ฉบับที่ 187 ตรวจขี้ตา ตรวจขี้หู แล้วดูโรค

ข่าวการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพหลอกลวงชาวบ้านมีออกมาเรื่อยๆ  ส่วนใหญ่ผู้ขายเกือบทั้งหมดมักจะสร้างความน่าเชื่อถือ โดยอ้างอิงผลการศึกษาวิจัยจากสถาบันต่างๆ อ้างผิดอ้างถูก จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆเหยื่อมักจะระทวยหลงเชื่อไปแล้ว เพราะไม่ค่อยมีใครตรวจสอบล่าสุดผมได้รับข่าวจากน้องเภสัชกร โรงพยาบาลวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เล่าให้ฟังว่า  ได้ทราบข่าวผ่านทางไลน์ของ อสม.ในพื้นที่ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งอ้างว่ามาจากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง นำสมุนไพรมาหยอดตาชาวบ้าน และจะวินิจฉัยโรคจากขี้ตาที่ไหลออกมาหลังจากหยอดตา(สงสัยเป็นทฤษฎีขี้ตาศาสตร์) เมื่อน้องเภสัชกรท่านนี้พร้อมทีมงาน ลงไปติดตามตรวจสอบก็พบว่า คนกลุ่มนี้กำลังหยอดหูชาวบ้าน(สงสัยจะใช้วิชาขี้หูศาสตร์ ทำนายโรคจากขี้หูอีก) จึงได้สั่งให้หยุดการกระทำดังกล่าว และพาตัวไปดำเนินการตามกฎหมายที่สถานีตำรวจจากข้อมูลที่ได้ฟังมา คนกลุ่มนี้อ้างว่าตนเองมาจากทีมวิจัยสมุนไพรของศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพยั่งยืน  ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน  ได้เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาเยี่ยมญาติที่ป่วยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้  จึงอยากนำสินค้ามาแนะนำให้เพื่อเป็นการทำบุญตามโครงการวิจัย(มีการอ้างบุญซะด้วย) พวกตนจึงขอให้ผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสาย ให้ชาวบ้านที่มีปัญหาเรื่อง หู ตา คอ จมูก เบาหวาน ภูมิแพ้ ความดัน นำบัตรประชาชนมาลงทะเบียนเพื่อตรวจสุขภาพฟรี (กวาดต้อนมาซะหลายโรคยังกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่)จากการตรวจสอบพบว่า มีของกลางเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรจีน 4 ชนิด มีราคาตั้งแต่ 500 – 3,600 บาท  โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแสดงเลข อย. หมายถึงมีการขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร แต่เมื่อพิจารณาข้อความบนฉลาก พบว่าใช้ข้อความเชิงโอ้อวด เช่น “เหมาะสำหรับสุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรีที่ต้องการสมรรถนะของร่างกายที่ดีเยี่ยม” นอกจากนี้บางผลิตภัณฑ์ยังแสดงฉลากไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย หรือบางผลิตภัณฑ์ก็มีการแสดงชื่อเว็บไซต์บนฉลากด้วย แต่เมื่อตรวจสอบกลับไปก็ไม่พบหน้าเว็บดังกล่าว  แต่พบว่าเคยชื่อของเว็บเคยใช้เป็นชื่อของกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำยากำเนิดโฟมผลิตคอนกรีตมวลเบาซะเนี๊ย (ไปกันใหญ่แล้วพี่น้อง) จนมีชาวบ้านหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวหลายราย(อ้าว!ไหนบอกว่ามาเยี่ยมญาติและทำบุญ ไหงกลายเป็นทำการค้าไปได้)เหตุการณ์ที่เล่ามานี้ แสดงให้เห็นถึงกลวิธีต่างๆ ในการหลอกลวงผู้บริโภค เช่น  การขายที่มักจะอ้างผลการศึกษาวิจัย ของสถาบันต่างๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ   หรือ การสร้างความน่าเชื่อถือประกอบการขาย โดยมีการกระทำบางอย่าง เช่น การตรวจสุขภาพ (ดูขี้ตาดูขี้หูก็เอา) แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือการลุกขึ้นมาจัดการโดยเครือข่าย อสม. โดยใช้ไลน์เป็นเครื่องมือแจ้งข่าวจากการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สินค้าที่ไม่ปลอดภัยในชุมชน  นับเป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อให้ผู้บริโภคในที่ต่างๆใช้เป็นแบบอย่างในการร่วมเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 154 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนพฤศจิกายน 2556 กสทช.เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท จากนี้ไปปัญหาของคนที่ใช้บริการโทรศัพท์มือถือน่าจะบรรเทาเบาบางลง เมื่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิด “ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกิจการโทรคมนาคม” ขึ้นเพื่อเป็นช่องทางแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางจากการใช้บริการโทรคมนาคมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยศูนย์ฯ จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางตกลงหาข้อยุติของปัญหาให้กับฝ่ายผู้บริโภคและผู้ให้บริการ แต่การเข้าสู่ระบบการไกล่เกลี่ยนั้นเป็นไปตามความสมัครใจของทั้ง 2 ฝ่าย หรือหากดำเนินการไกล่เกลี่ยแล้ว ไม่เป็นที่พอใจ ผู้บริโภคที่ได้รับปัญหาก็สามารถนำเรื่องเข้าสู่การฟ้องร้องต่อไปได้ ส่วนผู้ที่จะมาเป็นคนกลางทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย จะเป็นบุคคลที่ได้รับการอบรมหลักสูตรเทคนิคหรือวิธีการไกล่เกลี่ยจากทาง กสทช.   ใครพบปัญหาจากบริการโทรคมนาคมสามารถติดต่อขอรับบริการที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกิจการโทรคมนาคม ที่สำนักงาน กสทช.   ตู้เอทีเอ็มเปลี่ยนไปใช้ระบบไมโครชิพ ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศปรับเปลี่ยนรูปแบบบัตรทั้ง บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต รวมถึงตู้เอทีเอ็ม จากระบบแถมแม่เหล็กเป็นระบบไมโครชิพ เพื่อป้องกันปัญหาการโจรกรรมข้อมูลบัตร หรือการ Skimming ซึ่งที่ผ่านมามีผู้เสียหายจากการโจรกรรมเงินผ่านตู้เอทีเอ็มเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีตู้เอทีเอ็มให้บริการอยู่ราว 50,000 เครื่อง มีตู้ที่ได้รับการเปลี่ยนระบบเป็นไมโครชิพแล้ว 30,000 ตู้ ซึ่งที่เหลือทางธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการเปลี่ยนตู้ของตัวเองให้เรียบร้อยทั้งหมดภายในสิ้นปี 2557 ที่สำคัญคือทางธนาคารแห่งประเทศไทย กำชับกับทางธนาคารพาณิชย์ว่าห้ามคิดค่าธรรมเนียมใดๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มจากระบบเก่าเป็นระบบไมโครชิพ เพราะถือเป็นหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ที่ต้องทำเพื่อยกระดับความปลอดภัยในบริการให้กับลูกค้า ส่วนผู้ใช้เองก็ต้องพยายามระมัดระวังในการใช้บัตร เช่น หมั่นเปลี่ยนรหัสบ่อยๆ และอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญลงในอินเทอร์เน็ตหากไม่มั่นใจในความปลอดภัย   คลอด รพ.ไหน ประกันสังคมก็จ่าย จากนี้ไปคุณแม่ที่ใช้สิทธิประกันสังคม สามารถใช้บริการคลอดบุตรได้กับทุกโรงพยาบาล โดยที่ยังคงได้รับเงินค่ารักษาพยาบาล 13,000 บาท ต่อการคลอดบุตร 1 คน นอกจากนี้ยังได้รับกรณีสงเคราะห์บุตร 400 บาทต่อเดือน คราวละไม่เกิน 2 คน รับสิทธิได้ในช่วงแรกเกิดถึงอายุ 6 ปี สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน แจงสิทธิประกันสังคมกรณีคลอดบุตร ผู้ประกันตนชาย หญิง มีสิทธิได้รับค่าคลอดบุตร คนละ 2 ครั้ง โดยผู้ประกันตนหญิง สามารถคลอดบุตรที่สถานพยาบาลใดก็ได้ แล้วนำสูติบัตรของบุตร สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน มาเบิกเงินที่สำนักงานประกันสังคม จะได้รับค่าคลอดบุตรเหมาจ่ายจากสำนักงานประกันสังคม จำนวน 13,000 บาท นอกจากนี้คุณแม่หมาดๆ ยังได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นเวลา 90 วัน ส่วนกรณีถ้าเป็นผู้ประกันตนชาย สามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้ โดยนำสำเนาสูติบัตรบุตร สำเนาทะเบียนสมรสหรือหนังสือรับรองกรณีมีทะเบียนสมรส มาเบิกเงินที่สำนักงานประกันสังคม จะได้รับเฉพาะเงินค่าคลอดบุตรเหมาจ่าย จำนวน 13,000 บาท นอกจากนี้ผู้ประกันตนยังสามารถยื่นขอรับเงินทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 400 บาทต่อบุตรหนึ่งคน สำหรับบุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีอายุไม่เกิน 6 ปี บริบูรณ์ แต่ผู้ประกันตนจะต้องมีการนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน โดยผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิเบิกเงินสงเคราะห์บุตรได้คราวละไม่เกิน 2 คน   อย. เผยชื่อ 5 ยาสมุนไพร อันตราย สำนักคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ดำเนินการตรวจสอบยาสมุนไพรแผนโบราณหลังจากที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนที่ถูกต้องตามกฎหมาย แถมยังโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง โดยมี 5 ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรที่ อย. ฝากเตือนผู้บริโภคให้หลีกไกลอย่าเผลอไปใช้เด็ดขาด ได้แก่ 1.ยาสมุนไพร ZIA TU WAN (เซีย ทู หวัน) 2.ผลิตภัณฑ์ พญาดงชุดชะลอความแก่ 3.ผลิตภัณฑ์ตายสิบปี ดีเหมือนเดิม 4.ผลิตภัณฑ์ฮับบาตุส เซาดาห์ “786” เนื่องจากฉลากแสดงข้อความโอ้อวดสรรพคุณรักษาสารพัดโรค อาทิ แก้หัด อีสุกอีใส ป้องกันและรักษานิ่วในไต นิ่วในถุงน้ำดี ต่อมลูกหมากโต มะเร็ง บํารุงกําหนัด บํารุงหัวใจ รักษาโรคเก๊าต์ อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน ฯลฯ และ 5.ยาสมุนไพร JIE DU DAN ชนิดแคปซูล สรรพคุณไม่ระบุข้อความภาษาไทย อย. ได้ดําเนินการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรทั้ง 5 รายการดังกล่าวยังไม่ได้ ขึ้นทะเบียนตํารับยา และยังพบว่ายาสมุนไพร JIE DU DAN ได้นําเลขทะเบียนยาผลิตภัณฑ์อื่นมาใส่บนฉลาก เพราะฉะนั้นผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อและซื้อมาใช้โดยเด็ดขาด เนื่องจากพบว่าผลิตภัณฑ์ที่แสดงสรรพคุณโอ้อวด เกินจริงมักลักลอบใส่ยาหรือสารที่เป็นอันตรายลงไป และการผลิตผลิตภัณฑ์มักไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน จึงอาจทําให้ได้รับอันตรายจากการปนเปื้อน   ฉลาก Smart Fabric รับรองสิ่งทอคุณภาพ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ได้ออกฉลาก Smart Fabric เพื่อเป็นตรารับรองมาตรฐานสินค้าสิ่งทอ โดยแบ่งระดับฉลากเป็น 4 ระดับ คือ 1.ฉลากคุณภาพสิ่งทอเป็นการรับรองคุณภาพสิ่งทอ เช่น การซัก การยืดหด 2.ฉลากคุณภาพสิ่งทอที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น กันแบคทีเรีย ทนไฟ กันน้ำ 3.ฉลากคุณภาพสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การประหยัดพลังงานในกระบวนการผลิต 4.ฉลากคุณภาพสิ่งทอที่มีคุณสมบัติพิเศษร่วมกับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่มีคุณภาพ รวมทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ได้มีโอกาสเลือกซื้อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและปลอดภัย โดยขณะนี้มีบริษัทที่ได้รับเครื่องหมายคุณภาพสิ่งทอไทยเป็นรายแรกแล้ว คือ บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับรองผลิตภัณฑ์ เสื้อเชิ้ตแบรนด์ กี ลาโรช (Guy Laroche) โดยได้รับมาตรฐานฉลากคุณภาพสิ่งทอที่มีคุณสมบัติพิเศษ ประเภทระบายความชื้นและเหงื่อได้ดีและเพิ่มความสบายเวลาสวมใส่ (Dry)   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 119 กระแสในประเทศ

  ประมวลเหตุการณ์เดือนธันวาคม 2553 2 ธันวาคม 2553นักวิจัยเตือน ผักไฮโดรโปนิกเสี่ยงมะเร็ง ม.เกษตรศาสตร์ เปิดเผยงานวิจัยที่ชวนตกใจ ระบุผักที่ไฮโดรโปนิก รับประทานมากอาจเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็ง จากไนเตรทที่สะสมมากับผัก น.ส.พัชราภรณ์ ภู่ไพบูลย์ นักวิจัยจากฝ่ายเครื่องมือและวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ร่วมกับทีมวิจัย ร่วมกันศึกษาการสะสมไนเตรทในพืชผักที่มากเกินไป ซึ่งหากรับประทานเข้าไปไนเตรตจะไปรวมตัวกับสารเหนี่ยวนำทำให้เกิดมะเร็ง  ผลการศึกษาพบว่าผักที่ปลูกในน้ำยาไฮโดรโปนิกมีแนวโน้มการสะสมไนเตรตสูงสุด เพราะวิธีปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกมีการเติมน้ำยาให้พืชเจริญเติบโตมากเกินความต้องการตามธรรมชาติของผัก โดยผักคะน้าไฮโดรโปนิกมีค่าเฉลี่ยของไนเตรตสูงที่สุด รองลงมาคือ ผักบุ้ง  ดังนั้นจึงอยากขอให้เกษตรกรและผู้ปลูกผักไฮโดรโปนิกลดปริมาณการใส่น้ำยาหรือเติมน้ำเปล่าให้มากขึ้น ผู้บริโภคควรเลือกผักไฮโดรโปรนิกจากเกษตรกรที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ส่วนการปลูกผักแบบอื่นๆ ก็ไม่ควรใส่ปุ๋ยมากเกินไป -------------------------------------------------------------------------------------------------------   16 ธันวาคม 2553ส่งเสริมสมุนไพรใช้รักษาโรคทั่วหน้า กระทรวงสาธารณสุขเตรียมส่งเสริมให้มีการใช้สมุนไพรในการรักษาโรคมากขึ้น โดยในปี 2554 นี้ จะผลักดันนโยบายด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้เข้าสู่ระบบบริการสุขภาพของสถานพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศ และให้มีการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนด้านการแพทย์แผนไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขได้บรรจุแพทย์แผนไทยที่จบปริญญาตรี ซึ่งทั่วประเทศมีประมาณ 1,000 คน ไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ยังไม่นับรวมแพทย์พื้นบ้านทั้งที่ขึ้นทะเบียนไว้และได้รับใบประกอบโรคศิลป์แล้วอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องยาและการนวดเป็นหลัก  นอกจากนี้ยังเตรียมตั้งโรงงานสมุนไพรแห่งชาติ เป็นศูนย์กลางวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตยาแผนไทยและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งจะช่วยทำให้สมุนไพรไทยได้รับการส่งเสริมและพัฒนาเพื่อนำมาผลิตเป็นยาหรืออาหารเสริมอย่างถูกต้องและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น -----------------------------------------------------------------------------------------------------   15 ธันวาคม 2553โฆษณานมเด็กเกินจริงมีสิทธิโดนแบน ถึงเวลาคุมเข้มโฆษณาอาหารสำหรับทารก เมื่อที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติ ครั้งที่ 3 เตรียมผลักดัน พ.ร.บ.อาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ตรวจสอบการโฆษณานมผงในเด็ก 0-2 ปี เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติคุณแม่ยุคใหม่ ให้หันกลับมาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากขึ้น  พญ.ยุพยง แห่งเชาวนิช เลขาธิการชมรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า อัตราการเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่” ในประเทศไทยลดลงเหลือเพียงร้อยละ 5.4 เนื่องจากมีการโฆษณาและแจกตัวอย่างนมผงในโรงพยาบาลจำนวนมาก ซึ่งการโฆษณานมผงสำหรับทารกในปัจจุบันนี้สร้างความเข้าใจที่ผิดๆ ว่ากินแล้วจะช่วยสร้างพัฒนาการที่ดีหรือทำให้เด็กฉลาดกว่าเด็กคนอื่น ทำให้มีพ่อ-แม่จำนวนมากหันมาเลี้ยงลูกด้วยนมผงกันมากขึ้น ดูได้จากยอดการนำเข้านมผงจากต่างประเทศ ซึ่งสูงถึง 10,000 ล้านบาทต่อปี  พ.ร.บ.ฉบับนี้ น่าจะเริ่มใช้ในปี 2555 เพื่อควบคุมการส่งเสริมการขายในผลิตภัณฑ์นมผงสำหรับเด็กแรกเกิด โดยกฎหมายฉบับนี้จะห้ามทำการโฆษณาและส่งเสริมการขายใดๆ ในผลิตภัณฑ์นมผงสำหรับเด็กทารกถึงอายุ 2 ปี ------------------------------------------------------------------------------------------------------     มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยสถิติร้องเรียนปี 53 หนี้บัตรเครดิตครองแชมป์!!! มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยข้อมูลการทำงานการรับเรื่องร้องเรียนในปี 2553 ที่ผ่านมา ปัญหาหนี้บัตรเครดิต ถือเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคร้องเรียนมากที่สุด ถึง 94% รองลงมาเป็นเรื่อง บริการสาธารณะ สินค้าและบริการ โทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ และบริการด้านสาธารณสุข น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงสถานการณ์การรับเรื่องร้องเรียนของศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในรอบปี 2553 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ฟ้องคดีกระทรวงคมนาคม กรณีดอนเมืองโทลเวย์ เป็นคดีสาธารณะ สนับสนุนการฟ้องคดีให้ผู้บริโภคจำนวน 386 คดี เป็นคดีที่ใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค 178 คดี รวมทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 212,576,590.07 บาท และมีคดีที่สิ้นสุดแล้วจนถึงปัจจุบันเป็นเงิน 27,244,803.39 ล้านบาท โดยรับเรื่องร้องเรียนและดำเนินการช่วยเหลือทั้งสิ้น 798 คดี  สำหรับลักษณะปัญหาเรื่องหนี้บัตรเครดิตที่มาร้องเรียนนั้น มีหลายรูปแบบ เช่น เป็นหนี้บัตรหลายใบ ไม่มีความรู้ในการจัดการบริหารหนี้สิน ถูกติดตามทวงหนี้ไม่เป็นธรรม จนถึงขั้นถูกฟ้องศาล แนะรัฐฯ ต้องออกกฏหมายคุ้มครองอย่างเหมาะสม เช่น กฎหมายติดตามทวงหนี้ที่เป็นธรรม กฎหมายบัตรเครดิตที่มีการกำกับดูแลค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย หรือการมีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำโดยรัฐกำกับดูแล เป็นต้น  มูลนิธิฯ ตั้งความหวังว่าจะได้เห็น องค์การอิสระเพื่อผู้บริโภคจะเกิดขึ้นในปี 2554 นี้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ภาครัฐฯ เข้ามาควบคุมดูแลกิจการที่คิดทำธุรกิจแบบผูกขาด และให้การสนับสนุนเรื่องมาตรการอาหารปลอดภัย ปรับปรุงคุณภาพบริการรถโดยสารสาธารณะ และเรียกร้องให้ภาคธุรกิจรับผิดชอบต่อผู้บริโภคให้เท่าเทียมกับความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคในต่างประเทศ ------------------------------------------------------------------------------------------------------   “สบท.” เดินหน้าทำงานต่อไปในยุค “กสทช.” นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ยืนยันว่า งานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคมยังคงดำเนินต่อไป แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กลายเป็นสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพราะมีมาตรา 31 ของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบ กิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์   และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 หรือ พ.ร.บ.กสทช. คอยรองรับอยู่ แต่เรื่องตัวสถาบันจะยังมีอยู่ต่อไปหรือไม่ ต้องรอหลังการจัดตั้งคณะกรรมการกสทช. ซึ่งต้องแล้วเสร็จภายใน 180 วัน ซึ่งแนวโน้มอาจจะถูกควบรวม และแต่งตั้งเป็นสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคใหม่  ทั้งนี้ ในฐานะผู้อำนวยการ สบท.จะส่งหนังสือไปยังผู้ประกอบการทุกรายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.กสทช. ใหม่นี้ว่า ผู้บริโภคยังมีสิทธิร้องเรียนปัญหาได้ตามเดิม เพราะการจัดตั้งสบท. มีความชอบด้วยกฎหมาย ตามพ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 เนื่องจาก สบท.มีผลสถานะเป็นหน่วยงานหนึ่งในสำนักงาน กทช. ยังมีสถานะอยู่ตามเดิม  นอกจากนี้ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคทั่วประเทศได้เสนอ 4 มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในช่วงจัดตั้งคณะกรรมการ กสทช. คือ 1. เร่งรัดให้มีการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์อย่างเร่งด่วน และคงบทบาทการทำงานของ สบท. ต่อไป 2. เร่งออกมาตรการคุ้มครองสิทธิ กรณี เอสเอ็มเอสรบกวน และการขายสินค้าผ่านโทรศัพท์ และกำหนดมาตรการการคงสิทธิเลขหมาย ย้ายค่ายเบอร์เดิมผู้บริโภคต้องไม่เสียค่าใช้จ่าย 3. เร่งให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือไม่ควรกำหนดอายุของบัตรเติมเงินตามประกาศของ กทช. และ 4. ขอให้ทำร่างแผนแม่บทคลื่นความถี่ที่รับผิดชอบก่อนมีกรรมการ กสทช.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนมีนาคม 255316 มีนาคม 2553 “กำจัดปลวก” ต้องเลือกดีๆ อย. เผยข้อมูลว่าปัจจุบันมีบริษัทรับจ้างกำจัดปลวกตามบ้านและสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนอยู่หลายบริษัท ซึ่งตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 กำหนดให้ การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง ต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน โดยผลิตภัณฑ์กำจัดปลวกถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มวัตถุอันตราย นอกจากนี้เจ้าของบริษัทกำจัดปลวกที่ได้รับอนุญาตต้องจัดให้มีผู้ควบคุมการใช้วัตถุอันตรายโดยเฉพาะ ซึ่งต้องมีประสบการณ์หรือผ่านการอบรมและทดสอบความรู้ตามที่ อย.กำหนด สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการใช้บริการกำจัดปลวก ควรตรวจสอบเอกสารการได้รับอนุญาตจาก อย.เอกสารรายละเอียดสารเคมีอันตรายที่ใช้ เช่น คำเตือน อาการเกิดพิษ วิธีแก้พิษ และเอกสารแนะนำความปลอดภัย รวมทั้งตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่บริษัทใช้ โดยฉลากผลิตภัณฑ์จะต้องมีข้อความแสดงรายละเอียดที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อทางเคมี อัตราส่วนที่ใช้ และเลขทะเบียนวัตถุอันตรายที่ใช้ในทางสาธารณสุข ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   23 มีนาคม 2553 ต่ออายุมาตรการภาษีเพื่อคนซื้อบ้านอีก 2 เดือนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ขยายเวลาการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งครบกำหนดลงในวันที่ 28 มีนาคม 2553 ออกไปอีก 2 เดือน เพราะห่วงจะเกิดผลกระทบกับประชาชนที่จองซื้อบ้านไม่สามารถโอนได้ทันกำหนด ซึ่งพบว่ามีผู้บริโภคกว่า 1 หมื่นรายได้รับความเสียหายหากประกาศยกเลิกมาตรการนี้ “อสังหาริมทรัพย์จะยังเติบโตได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งหากไม่มีการขยายเวลามาตรการดังกล่าว จะส่งผลให้ภาษีธุรกิจเฉพาะกลับไปสู่อัตราเดิมที่ 3.3% จาก 0.11% และค่าโอนเป็น 2% จาก 0.01%” +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   26 มีนาคม 2553 สมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” โฆษณาเกินจริงอย.จัดการลงดาบกับยาสมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” หลังมีการตรวจสอบและร้องเรียนจากผู้บริโภคว่าซื้อไปทานแล้วไม่สามารถรักษาโรคได้ตามที่อวดอ้าง ซึ่งมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย พร้อมทั้งถูกเพิกถอนทะเบียนตำรับยา อย.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคจำนวนมากว่าให้ช่วยตรวจสอบผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” หลังจากซื้อรับประทานเพราะเชื่อในสรรพคุณที่อวดอ้างว่ารักษาโรคได้สารพัด ทั้ง ฟื้นฟูตับไต รักษาเบาหวาน ความดัน โรคเกาต์ รูมาตอยด์ ต่อมลูกหมากอักเสบ บำรุงเลือด รวมทั้งเสริมสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งถูกนำไปเผยแพร่ทั้งทาง เคเบิ้ลทีวี เว็บไซต์ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะในเคเบิลทีวีได้มีการนำตัวอย่างผู้ป่วยที่ได้ทานสินค้าดังกล่าวแล้วอาการดีขึ้นมาพูดในเชิงอวดอ้างสรรพคุณสินค้า ซึ่งทางอย.ได้ชี้แจงว่า ยาสมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” ได้ขึ้นทะเบียนกับทางอย.ว่ามีสรรพคุณบำรุงร่างกายเท่านั้น ส่วนคำโฆษณาโอ้อวดเรื่องการรักษาโรคต่างๆ นั้นยังมีการศึกษาหรือข้อมูลใดๆ รับรองได้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   31 มีนาคม 2553 "บาร์โค้ดอัจฉริยะ" กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ร่วมกับบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พัฒนาโครงการนำร่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร จากรหัสมาตรฐานสากลเพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภค ผู้ส่งออก และเกษตรกรไทย โดยจะทำให้ “บาร์โค้ด” ที่ติดอยู่บนสินค้าเกษตรและอาหารบอกได้มากกว่าราคาสินค้า แต่สามารถบอกรายละเอียดลงไปได้ลึกถึงแหล่งผลิต "นิวัติ สุธีมีชัยกุล" ผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช) กล่าวถึงโครงการนี้ว่า บาร์โค้ดแบบใหม่นี้จะไม่แสดงเพียงแค่ราคาสินค้าเท่านั้น แต่จะแสดงข้อมูลผู้ผลิตสินค้า ซึ่งจะปรากฏบนหน้าจอของเครื่องอ่านบาร์โค้ด ผู้บริโภคก็สามารถรู้ได้ว่าผักถุงนี้ใครปลูก ปลูกในแปลงไหน เก็บเกี่ยวอย่างไร คาดว่าไม่เกิน 1 ก.พ. 2554 ก็จะเริ่มเห็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้บาร์โค้ดตามโครงการนี้วางจำหน่ายในท้องตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งความนิยมในสินค้าเกษตรอินทรีย์ ผักปลอดสารพิษ ถือเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกษตรกรเห็นว่าการยินดีเปิดเผยถึงการใช้สารเคมีหรือวิธีการผลิตช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของตัวเอง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   ผู้บริโภคค้าน พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ เหตุยุติบทบาท สบท.มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคกว่า 30 จังหวัด และสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ยื่นจดหมายคัดค้าน(ร่าง) พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ...... ให้แก่นายสมชาย แสวงการ ประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพราะเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือของบริษัทที่ต้องการยุบสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ในปัจจุบัน คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.)  ได้มีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองผู้บิโภคในกิจการโทรคมนาคม(สบท.) มีวัตถุประสงค์ในการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคและให้มีสำนักงานของตนเองบริหารงานเป็นอิสระในการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค  ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กทช.มีสำนักผู้บริการดำเนินกรคุ้มครองผู้บริโภคภายใต้สำนักงานของ กทช. อยู่แล้ว  หากกฎหมายฉบับนี้เขียนให้มีเพียงอนุกรรมการ นั่นย่อมเป็นเครื่องมือในการยุบสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคฯไปโดยปริยาย ซึ่งจากการดำเนินงานของ สบท. ในช่วงเวลาเพียง 2 ปีที่ผ่านมา มีส่วนช่วยทำให้มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่ออกประกาศโดย กทช. ถูกบังคับใช้และเกิดผลในการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็น กรณี 107 บาท ในการเรียกเก็บเงินต่อสัญญาณการให้บริการของบริษัทโทรคมนาคม การศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากเสาสัญญาณโทรคมนาคม รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้รับรู้สิทธิพื้นฐานของผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมมากขึ้น -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   ยื่นหมื่นรายชื่อ เสนอร่างพ.ร.บ.สินไหมฯ เข้าสภาเครือข่ายนักวิชาการ และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ได้เข้ายื่นร่าง พ.ร.บ.กองทุนสินไหมทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ...... โดยรวบรวมรายชื่อประชาชน 10,803 รายชื่อ เสนอต่อ พันเอกอภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง นางสาวกชนุช แสงแถลง ผู้ประสานเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค  กล่าวว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยพบว่า พ.ร.บ.คุ้มครอบผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล เนื่องจากปัจจุบันทุกคนมีหลักประกันสุขภาพ ผู้ประสบภัยไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังพบว่าในการเจรจากับบริษัทประกันภัยเอกชนทำให้ผู้ประสบภัยเสียเปรียบ เนื่องจากฝ่ายบริษัทประกันภัยประวิงเวลาในการจ่ายเงินค่าชดเชยจากบริษัท ประกันภัย ทำให้ผู้ประสบภัยต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น และทำให้เสียเปรียบในการใช้สิทธิ ดังนั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายนักวิชาการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคประชาชน จึงได้จัดทำ (ร่าง) พ.ร.บ.กองทุนสินไหมทดแทนผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ..... เพื่อให้แก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น พร้อมทั้งได้รวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่น รายชื่อเพื่อร้องขอให้ประธานรัฐสภานำร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 97 กระแสในประเทศ

สุมาลี พะสิม ประมวลเหตุการณ์เดือนกุมภาพันธ์ 255211 ก.พ. 52 5 ปีผ่านไป ยังพบสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางเพียบ นิยายเรื่องยาวของเครื่องสำอางผิดกฎหมายยังไม่จบ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยังตรวจวิเคราะห์พบเครื่องสำอางผิดกฎหมายเพียบตลอดช่วงปี 2547-2551 โดยสารห้ามใช้ที่ตรวจพบมากที่สุด คือ ปรอทแอมโมเนีย รองลงมา คือ สารไฮโดรควิโนนรวมกับกรดเรทิโนอิก และพบตัวอย่างที่มีสารไฮโดรควิโนนหรือพบกรดเรทิโนอิกอย่างเดียว รองลงมาตามลำดับ อย่างไรก็ตามขณะนี้มีกฎหมายใหม่ด้านเครื่องสำอางของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายเครื่องสำอางอาเซียน กำหนดให้เครื่องสำอางทุกชนิดเป็นเครื่องสำอางควบคุม ดังนั้นผู้ประกอบการต้องแจ้งและจัดทำแฟ้มข้อมูลของผลิตภัณฑ์ต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือสำนักงานสาธารณสุขหวัด (สสจ.) ก่อนผลิตหรือนำเข้า ซึ่งจะช่วยให้การติดตาม กำกับดูแลและแก้ปัญหาการใช้สารห้ามใช้ในเครื่องสำอางได้อย่างครอบคลุม สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการชุดทดสอบเครื่องสำอางนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 0-2951-0000 ต่อ 99499, 99926 หรือ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในส่วนภูมิภาคทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ รุมค้านประกาศสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายจากกรณีคณะกรรมการวัตถุอันตรายได้ประกาศให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี 13 ชนิด ประกอบด้วย สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก ขึ้นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และ หนอนตายยาก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 บัญชี ข และมี ผลบังคับใช้แล้วนั้น นพ.ประพจน์ เภตรากาศ รองอธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกล่าวว่า การบังคับใช้ประกาศฉบับดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมหาศาลแน่นอน เพราะพืชทั้ง 13 ชนิด เป็นพืชสมุนไพรไทยพื้นบ้านที่เป็นวิถีชีวิตของคนไทยมานาน หากมีการกำหนดเป็นวัตถุอันตรายแล้ว ถ้ามีครอบครอง หรือครอบครองไว้เพื่อจำหน่ายจะต้องมีการจดแจ้งหรือขออนุญาตให้ถูกต้อง ซึ่งส่วนนี้จะมีผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะชาวบ้านที่ปลูกหรือขายพืชเหล่านี้ ตามตลาดสดต่างๆ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมขนาดย่อม เช่น วิสาหกิจชุมชน ที่นำพืชสมุนไพรไทยมาดัดแปลงทำเป็นยาสมุนไพรด้วย 13 ก.พ. 2552 ก.สาธารณสุขขอให้ถอนประกาศพืช 13 ชนิดออกจากวัตถุอันตรายจากการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศให้สมุนไพรไทย 13 ชนิด เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งจัดโดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยมีตัวแทนจากหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมมากมายนั้น ต่างก็เห็นด้วยให้ถอนสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดออกจากการเป็นวัตถุอันตราย นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า “จากการรับฟังความเห็นต่างเห็นตรงกันว่า ควรมีการถอนประกาศที่ให้สมุนไพรไทย 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย เนื่องจากมีผลกระทบ โดยเฉพาะการสร้างความกังวลในการใช้และบริโภคสมุนไพรดังกล่าว ทั้งในรูปแบบอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์อื่นๆ แม้ว่าการออกประกาศฉบับนี้ทำไปเพื่อเจตนาคุ้มครองผู้บริโภค แต่ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า น่าจะใช้วิธีอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดกว่า เช่น การส่งเสริมเกษตรกรให้ใช้สมุนไพรในการควบคุมแมลงและศัตรูพืช การจัดตั้งกองทุนที่จัดเก็บภาษีจากการนำเข้าสารฆ่าแมลงเพื่อนำมาใช้ในการลดผลกระทบจากการใช้สารยาฆ่าแมลงรวมทั้งดูแลสุขภาพประชาชน ทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จะสรุปความเห็นจากที่ประชุมนี้เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประสานไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรมในการหาทางออกที่เหมาะสมต่อไป” ขณะที่ นางสาวทัศนีย์ วีระกันต์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ ทางเครือข่ายภาคประชาชน และเครือข่ายเกษตรกรรม จะเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการธรรมาภิบาล วุฒิสภา ซึ่งมีนางรสนา โตสิตระกูล สว.กทม. เป็นประธาน เพื่อให้มีการตรวจสอบวิธีการกระบวนการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกประกาศฉบับนี้ว่ามีความไม่ชอบพากลหรือไม่ เพราะสันนิษฐานว่าจะมีผลประโยชน์จากบริษัทผลิตสารเคมีกำจัดศัตรูข้ามชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งการที่กระทรวงอุตสาหกรรมออกมาชี้แจงเหตุผลโดยระบุว่าเกิดผิดพลาดนั้นไม่เพียงพอ ควรจะมีหน่วยงานอื่นเข้าไปตรวจสอบและหาผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย กรมวิชาการเกษตรยอมถอนประกาศพืช 13 ชนิด เป็นวัตถุอันตราย กรมวิชาการเกษตรยอมถอนประกาศพืช 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย ขอปรับเนื้อหาใหม่ รับทำสังคมสับสน ยันหวังดี ป้องกันเกษตรกรถูกหลอกใช้สารสกัดปราบศัตรูพืชไม่มีคุณภาพ ส.ส.ปชป.เรียกร้องให้ยกเลิก เผย"อภิสิทธิ์-สุเทพ"หนุนให้ทบทวน นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร แถลงว่า “ผมจะทำหนังสือไปถึงคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อขอให้ถอนประกาศฉบับนี้ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อความบางส่วน อาทิ เพิ่มเติมชื่อสารนำหน้าชื่อพืชสมุนไพร พร้อมระบุว่าใช้สำหรับการผลิตสารปราบศัตรูพืชไว้ด้านหลัง เพื่อให้สังคมเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น และจะถอนร่างประกาศของกรมฯ ที่ระบุถึงรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติตามประกาศฉบับนี้ มาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกันด้วย" 16 ก.พ. 52สปสช.เสนอ ครม.ขยายสิทธิครอบคลุมคนไร้สัญชาตินพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสปสช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการให้ประชาชนประชาชนที่เกิดในประเทศไทยแต่ยังไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้และอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานซึ่งมีอยู่ประมาณ 370,000 คน ให้มีหลักประกันสุขภาพ โดยจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณเหมาจ่ายรายหัวครอบคลุมบุคคลกลุ่มดังกล่าว โดยเริ่มในงบเหมาจ่ายรายหัวที่ได้รับ ปี 2552 ในอัตรา 2,202 บาทต่อประชากร ซึ่งเป็นไปตามตามจำนวนที่มีการขึ้นทะเบียนจริง ที่ผ่านมา รพ.ในถิ่นทุรกันดารโดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ตาก แม่ฮ่องสอน ต้องรับภาระด้านงบประมาณคนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือตามมนุษยธรรม โดยก่อนที่จะมีระบบหลักประกันสุขภาพยังพอมีงบประมาณช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยมาดูแล แต่ปัจจุบันสิทธิด้านการรักษาครอบคลุมคนไทยทุกคน คนที่รอการพิสูจน์สัญชาติจึงไม่มีงบใดๆ มาช่วยเหลือ และหากไม่ดูแลคนกลุ่มนี้ ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด หรือเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ทำให้สถานพยาบาลต้องรับภาระหนักขึ้นในการดูแล 26 ก.พ.52 เครื่องสำอางทำให้ขาวไม่มีสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษเรื่อง “ขาวอันตราย ...ขาวอย่างปลอดภัย” โดย รศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประธานวิชาการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ผลิตผู้ขายที่นำผงไข่มุก ไข่ปลาคาร์เวีย หรือน้ำลายหอยทาก ทั้งที่เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางและใช้โดยตรง โดยอ้างว่าเพื่อบำรุงผิวพรรณนั้น ขอยืนยันว่า ทางการแพทย์ ไม่พบว่ามีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณแต่อย่างใด รวมถึงสารกลูตาไธโอนที่เป็นยารักษาโรคมะเร็ง แต่นิยมนำมาทำให้ผิวขาว ก็ยังไม่พบว่ามีการวิจัยทางการแพทย์ในมนุษย์ยืนยันสรรพคุณดังกล่าวเช่นกัน จึงไม่สามารถตอบได้ว่าได้ผลจริงหรือไม่ ดีหรือไม่ดี ในส่วนของทองคำ พบว่า มีงานวิจัยยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการสมานผิว ลดการอักเสบของผิวหนัง รวมถึงรักษาโรคปวดข้อ แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ อนุภาพของเงินกับทองที่มีขนาดเล็กมาก อาจเข้าไปสะสมตามผิวหนังและอวัยวะต่างๆของร่างกายทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ส่วนที่มีการโฆษณามากๆ อีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ โดยมีครีมที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์สำหรับทา เพื่อให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะสเต็มเซลล์จะใช้วิธีฉีดเท่านั้น อีกทั้งการใช้สเต็มเซลล์ทางการแพทย์รับรองแต่เพียงการใช้เพื่อการรักษาโรคทางโลหิตวิทยาเท่านั้น ดังนั้นเครื่องสำอางที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์นั้นไม่เป็นความจริง อย่างมากก็แค่มีสารในน้ำเลี้ยงสเต็มเซลล์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า เรื่องสเต็มเซลล์อาจเป็นคำตอบของการรักษาในอนาคต วิธีที่ทำให้ผิวขาวทำได้แต่ก็คงไม่ขาวเกินกรรมพันธุ์ของแต่ละคน วิธีการคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดด ไม่ว่าจะเป็นการกางร่ม ใส่แว่นดำ รวมถึงการใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟเหมาะสม และมีการใช้ที่ถูกวิธี ผู้บริโภคยื่น 12,000 รายชื่อ เสนอ กม.องค์การอิสระผู้บริโภคต่อประธานรัฐสภา19 กุมภาพันธ์ 2552 เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคฟันธง...ร่างกฎหมายองค์การอิสระผู้บริโภคของรัฐบาลไม่ อิสระจริง เดินหน้า ยื่น 12,000 รายชื่อเสนอกฎหมายฉบับของประชาชนต่อประธานรัฐสภาและรัฐมนตรีที่กำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อนำไปพิจารณาผลักดันให้เป็นกฎหมายของประชาชนเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค จากภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กลุ่มคนคอนโด ชมรมเพื่อนโรคไต ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เครือข่ายผู้เดือดร้อนจากปัญหาที่อยู่อาศัย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค รวมจำนวน 120 คน ได้เดินทางมาเข้าพบนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อยื่นรายชื่อของประชาชนจำนวน 12,208 รายชื่อเพื่อเสนอ (ร่าง) พ.ร.บ.องค์การอิสระผู้บริโภค พ.ศ.....ฉบับของภาคประชาชนเลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการที่รัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ฉบับปี 2540 จนถึงฉบับปัจจุบันในมาตรา 61 ที่ได้บัญญัติให้มีองค์การคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนผู้บริโภค ทำหน้าที่ให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของหน่วยงานของรัฐในการตรา และการบังคับใช้กฎหมายและกฎ และให้ความเห็นในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งนี้ ให้รัฐสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการขององค์การอิสระนี้ด้วย ซึ่งขณะนี้มี (ร่าง) พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐบาลอยู่อีก 1 ฉบับ ซึ่งนำเสนอโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) และอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคได้จัดประชุมพิจารณาสาระกฎหมายของรัฐบาลเปรียบเทียบกับร่างฉบับประชาชนไปเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่ามีหลายประเด็นที่แตกต่างกัน เช่น ร่างกฎหมายของรัฐบาลไม่ได้ให้คณะกรรมการองค์การอิสระทำงานอย่างเต็มที่เต็มเวลา แต่เน้นความสำคัญไปที่ผู้อำนวยการสำนักงานที่จะเป็นผู้ชงเรื่องส่งขึ้นไปให้ คณะกรรมการพิจารณา ซึ่งรูปแบบเช่นนี้ไม่ต่างจากโครงสร้างการทำงานของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ยังไม่สามารถทำงานเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในปัญหาที่หลากหลายได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ร่างกฎหมายองค์การอิสระผู้บริโภคของภาคประชาชนนั้นจะให้ความสำคัญกับคณะกรรมการองค์การอิสระฯ โดยให้ทำงานในลักษณะเต็มเวลา และให้มีเลขาธิการสำนักงาน ทำหน้าที่เป็นเพียงเลขานุการของคณะกรรมการและบริหารกิจการในสำนักงานเท่านั้น ส่วนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการในฉบับของภาคประชาชนนั้นจะเขียนอย่างชัดเจน ที่จะให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดองค์กรผู้บริโภคขึ้นอย่างน้อยในทุกจังหวัด และที่สำคัญคือการสนับสนุนการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งการฟ้องแทนผู้บริโภคเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งร่างของรัฐบาลไม่มีในส่วนนี้ หรือการไม่เขียนอย่างชัดเจนว่า งบที่รัฐบาลจะส่งเสริมสนับสนุนเพื่อการดำเนินการขององค์การอิสระนั้นจะเป็นจำนวนเท่าไร แต่กลับปล่อยให้เป็นดุลยพินิจของรัฐบาล ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่จะทำให้องค์การอิสระผู้บริโภคไม่อิสระอย่างแท้จริง เพราะถูกควบคุมกำกับด้วยงบประมาณ ในขณะที่ร่างกฎหมายของประชาชนนั้นจะกำหนดชัดเจนว่ารัฐจะต้องจัดสรรงบประมาณ ไม่น้อยกว่า 5 บาทต่อจำนวนประชากรทั้งประเทศต่อปี หรือตกปีละ 300-400 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบประมาณที่ไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับการกระจายงบของรัฐบาลตามโครงการต่างๆ ในปัจจุบันนอกจากนั้นนางสาวสารี คาดหวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้ประชาชนผู้บริโภคมีที่ปรึกษา เป็นจุดให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ มีการทำงานเชิงรุกไม่ตามแก้ปัญหา เป็นกระบอกเสียงให้กับผู้บริโภคในการให้ความเห็นต่อการดำเนินการทั้งที่เป็นประโยชน์และเกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค อย่างเช่น การออกประกาศวัตถุอันตรายที่เป็นสมุนไพร 13 รายการ การออกกฎกระทรวงยกเว้นยาและเครื่องมือแพทย์ที่ผลิตและใช้โดยผู้ประกอบวิชาชีพไม่เป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ตามพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 โดยไม่มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้บริโภคว่าคิดเห็นอย่างไรไม่น่าจะกระทำได้“พวกเราเล็งเห็นว่าหากปล่อยให้ร่างกฎหมายองค์การอิสระผู้บริโภคของรัฐบาลถูกนำมาบังคับใช้ในอนาคต เราก็อาจเห็นคณะกรรมการองค์การอิสระผู้บริโภค เป็นเพียงแค่คณะอนุกรรมการชุดหนึ่งเท่านั้นของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคจึงได้ช่วยกันรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเข้าชื่อ เสนอกฎหมายที่เป็นร่างของประชาชน โดยสามารถรวบรวมรายชื่อได้ทั้งหมด 12,208 รายชื่อ ซึ่งได้ยื่นให้ท่านประธานรัฐสภาและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกที่ดูแลรับผิดชอบ งานด้านคุ้มครองผู้บริโภคได้นำไปเข้าสู่กระบวนการพิจารณากฎหมายต่อไป และหวังว่าร่างกฎหมายองค์การอิสระของภาคประชาชนจะถูกบังคับใช้ในรัฐบาลสมัย นี้” นางสาวสารีกล่าว เครือข่ายผู้บริโภค ร้อง กทช.สะสางปัญหา 107 บาท12 กุมภาพันธ์ 2552 เครือข่ายผู้บริโภค 7 ภูมิภาค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเข้ายื่นหนังสือต่อ กทช.ให้ออกคำสั่งยกเลิกเงื่อนไขวันหมดอายุบัตรเติมเงิน และขอให้บังคับไม่ให้เรียกเก็บค่าต่อสัญญาณ 107 บาท จี้ให้ยกเลิกใบอนุญาตผู้ประการที่เรียกเก็บ 107 บาทด้วยเครือข่ายผู้บริโภคกว่า 200 คน นำโดยนางปฐมมน กันหา เครือข่ายผู้บริโภคภาคกลาง เดินขบวนจาก สถานีรถไฟฟ้า อารีย์ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. เพื่อ ยื่นหนังสือเสนอให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บังคับใช้ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 โดยยกเลิกบทเฉพาะกาล ข้อ 36 วรรคสุดท้าย เพราะเครือข่ายผู้บริโภคเห็นว่าเป็นช่องโหว่ที่ถูกนำมาอ้างว่าสัญญาใหญ่ยัง อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กทช.พร้อมทั้งขอให้ทาง กทช.มีคำสั่งที่ชัดเจนให้ผู้ประกอบการยกเลิกเงื่อนไขวันหมดอายุของระบบบัตรเติมเงิน และยกเลิกการเก็บค่าเชื่อมต่อสัญญาณ ส่วนผู้ประกอบการที่เอาเปรียบผู้บริโภค และละเมิดสิทธิโดยการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้บริการต่อบุคคลอื่น ขอให้ยกเลิกใบอนุญาต หรือกำหนดมาตรการการลงโทษขั้นเด็ดขาด รวมทั้งขอให้ กทช.เร่งดำเนินการคงสิทธิเลขหมาย โดยควบคุมการเรียกเก็บค่าบริการให้เกิดความเป็นธรรม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 กระแสในประเทศ

17 ตุลาคม 2551 สธ.โวยมีคนแอบใช้นมผลิตอาหารสัตว์ทำ "เบเกอรี่" จี้ คลัง-เกษตรฯ ส่งตรวจซ้ำ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอความร่วมมือให้ด่านศุลกากรทั่วประเทศตรวจสอบการนำเข้านมจากประเทศจีน ที่แจ้งวัตถุประสงค์เพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรแจ้งข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ของ อย.ประจำด่านอาหารและยา เพื่อสุ่มตรวจนมที่มีการนำเข้าทุกลอตซ้ำ เนื่องจากพบว่า มีการนำนมดังกล่าวมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้เกิดการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์จากนม ที่คนนำมาบริโภค เช่น เบเกอรี่ต่างๆ อย.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ประจำด่านอาหารและยาทั่วประเทศ ประสานกับเจ้าหน้าที่ของด่านศุลกากรและด่านปศุสัตว์ เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบการนำเข้านมและผลิตภัณฑ์จากนมต่างประเทศ โดยเฉพาะของจีนอย่างเข้มงวด และให้รอผลการตรวจหากการปนเปื้อนสารเมลามีนจากกรมวิทย์ฯ ก่อนที่จะนำสินค้าออกจากด่านทั้ง 32 ด่าน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- 22 ตุลาคม 2551“หยินจี้หวง” ยาสมุนไพรทำเด็กจีนตาย ไม่พบในไทย ข่าวกระทรวงสาธารณสุขจีน สั่งให้โรงพยาบาลทั่วประเทศงดการใช้ยา “หยินจี้หวง” ที่ใช้รักษาโรคตับและโรคดีซ่านในทารก ซึ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพร ดอกพุด และต้นสายน้ำผึ้ง ผลิตโดยบริษัท ไทฮั่ง ฟาร์มาซูติคอล เนื่องจากทำให้ทารกเสียชีวิตแล้ว 1 ราย และป่วยอีก 3 รายนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยได้เร่งตรวจสอบเป็นการด่วนแล้วพบว่า ไม่มียาดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย และไม่มีการผลิตหรือนำเข้ายาสมุนไพรจีน ที่มีส่วนประกอบของดอกพุดและต้นสายน้ำผึ้งในตำรับอื่นเข้าในประเทศไทยอีกด้วย ขอให้ประชาชนไทยมั่นใจได้ “สำหรับประชาชนที่นิยมใช้สมุนไพรรักษาอาการเจ็บป่วย แนะนำให้ซื้อจากร้านขายยาสมุนไพรที่มีใบอนุญาตถูกต้อง ถ้าเป็นยาแผนโบราณหรือยาสำเร็จรูป ต้องสังเกตว่ามีเลขทะเบียนตำรับยา หากพบข้อน่าสงสัยหรือไม่มั่นใจว่าเป็นยาสมุนไพรที่ปลอดภัย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อ อย.จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบต่อไป” นักโภชนาการหนุนดื่มนมแม่ เลี่ยงเมลามีน นางสุจิต สาลีพัน นักโภชนาการ 8 กรมอนามัย กล่าวว่า การพบการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์นม นมผง อาหาร ขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนผสมของนมนั้น อาจทำให้ผู้ปกครองห่วงใยบุตรหลาน และอาจหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อน หรือระมัดระวังจนทำให้ร่างกายของเด็กขาดโปรตีนและแคลเซียม ซึ่งความจริงผู้ปกครองควรพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้มาเลี้ยงดูบุตรหลานด้วยนมแม่แทน เพราะในน้ำนมแม่มีโปรตีน แร่ธาตุ และสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่านมวัวและนมอื่นๆ ทั้งยังส่งผลให้เด็กมีภูมิคุ้มกันโรค ร่างกายแข็งแรง มีไอคิว อีคิวดี และเป็นการเสริมสร้างใยรักจากแม่สู่ลูกด้วยการสัมผัส ซึ่งเด็กสามารถดื่มนมแม่ได้ถึงอายุ 2 ขวบ และหากแม่ต้องเดินทางไปทำงาน ในปัจจุบันก็มีถุงเก็บน้ำนมที่แม่สามารถปั๊มเก็บไว้ให้ลูกดื่มได้ และยังอาจเสริมด้วยผลไม้บด เช่น กล้วยน้ำว้าบด เป็นต้น 29 ตุลาคม 2551ทั่วโลกร่วมร่างกฎคุมบุหรี่เถื่อน ห้ามดิวตี้ฟรีขายบุหรี่ปลอดภาษี รายงานจากการประชุมของสมาคมวิจัยการเสพติดนิโคตินและยาสูบภาคพื้นเอเชีย ครั้งที่ 1 ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า สมาชิกสมาคม 160 ประเทศทั่วโลกได้ร่วมกันหารือในประเด็น การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาบุหรี่เถื่อน โดยห้ามขายบุหรี่ปลอดภาษี โดยเฉพาะในร้านสินค้าปลอดภาษีของสนามบินต่างๆ ที่สามารถขายบุหรี่ได้แต่ต้องเป็นบุหรี่ที่จัดเก็บภาษีแล้วเท่านั้น เนื่องจากช่องทางนี้เป็นสาเหตุสำคัญในการมีบุหรี่เถื่อนเล็ดลอดออกมาจำหน่ายในประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังห้ามโฆษณาขายบุหรี่ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มาตรการห้ามโฆษณาบุหรี่ 100% จึงสามารถลดการสูบบุหรี่ได้เต็มที่ โดยเรื่องดังกล่าวนี้ยังจะต้องมีการประชุมอีก 2-3 ครั้ง จึงจะได้ข้อสรุป เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีประเด็นเหล่านี้บรรจุในกฎหมายของประเทศสมาชิกอนุสัญญาฯ มาก่อน 30 ตุลาคม 2551“อัมมาร” เซ็งนักการเมืองหัวหดไม่เก็บภาษี รพ.เอกชนที่ทุ่มรักษาชาวต่างชาติเต็มที่ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า กรณีที่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีแนวคิดจะเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผลักดันมาตรการการจัดเก็บภาษีสถานพยาบาลเอกชนที่ให้บริการรักษาโรคกับชาวต่างชาตินั้น ตนเองได้เสนอแนวคิดในการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมานานแล้ว และสนับสนุนให้มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ 100% ซึ่งในทางปฏิบัติยังไม่มีการจัดเก็บภาษีนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในการขับเคลื่อนแนวคิดนี้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงยังเป็นเรื่องยาก เพราะยังไม่มีหน่วยงานใดให้ความสำคัญ“แม้ สปสช.จะเล็งเห็นถึงความสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นนโยบายของภาครัฐได้สำเร็จ เพราะ สปสช.ไม่มีอำนาจเพียงพอ เรื่องนี้จะต้องใช้อำนาจของกระทรวงการคลังหรือรัฐบาล เป็นเจ้าภาพดำเนินการเท่านั้น แต่ขณะนี้เมื่อพูดถึงเรื่องการจัดเก็บภาษี นักการเมืองก็หัวหด ไม่มีใครใจถึงกล้าทำสักคน ขณะนี้จึงยังคงเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น หากจะนำไปบังคับใช้จริง จะต้องมีการศึกษาผลกระทบทั้งข้อดี เสีย และอัตราการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนเพียงพอ” ดร.อัมมาร กล่าว“เมดิเคิลฮับ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แพทย์ในระบบราชการถูกซื้อตัวไปอยู่ภาคเอกชนที่มีรายได้จาการรักษาชาวต่างชาติเป็นมูลค่าที่สูงมาก ซึ่งจากข้อมูลสถานพยาบาลเอกชนกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ที่ให้บริการรักษาชาวต่างชาติเมื่อปี 2550 พบว่า มีชาวต่างชาติมารักษาโรคในประเทศไทย ประมาณ 1.5 ล้านบาท มีรายได้ประมาณ 60,000 ล้านบาท” ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง หัวหน้าโครงการติดตามประเมินผลการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทีดีอาร์ไอ กล่าว กิน “ปลา” ต้านเบาหวาน คนในยุคปัจจุบันมีความเสี่ยงกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น จนต้องรณรงค์เพื่อลดปัญหาดังกล่าวกันขนานใหญ่ ล่าสุดมีการรณรงค์ “กินปลาไร้พุงต้านโรคเบาหวาน” ขึ้นเนื่องใน “วันเบาหวานโลก” 14 พ.ย. 2551 นี้ ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการกองทุน สสส. ให้ข้อมูลว่า องค์การอนามัยโลกได้มีการประเมินว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกอย่างน้อย 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 300 ล้านคน ในอีก 17 ปีข้างหน้า และจากการสำรวจในไทยที่ผ่านมาพบคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 3 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการชี้ให้เห็นด้วยว่า โรคเบาหวานนั้นมีความอันตรายสูงกว่าโรคเอดส์ เพราะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละกว่า 3.2 ล้านคน ส่วนเอดส์นั้นเสียชีวิตเพียง 3 ล้านคนต่อปี “เบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ที่อ้วน หรือคนอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นคนที่ออกแรง หรือออกกำลังกายน้อยเกินไป อีกทั้งในปัจจุบันนี้ยังพบมากในเด็ก ซึ่งเป็นการกินอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง และวิธีหนึ่งที่จะสามารถลดปัญหาโรคอ้วนและโรคเบาหวาน คือการหันมาส่งเสริมการกินอาหารแบบไทยโดยการเน้นการบริโภคปลาให้มากขึ้น เพราะปลานั้นเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีราคาถูก ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานได้” พญ.ชนิกาอธิบายด้าน นพ.ฆนัท ครุธกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลเสริมว่า ไม่ว่าจะเป็นปลาน้ำจืด หรือปลาน้ำเค็มก็มีคุณค่าไม่แตกต่างกันมาก แต่ที่เห็นได้ชัดคือ ปลาน้ำเค็มนั้นจะมีไอโอดีนสูง แต่ก็จะมีคอเลสเตอรอลสูงเช่นกัน อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารตกค้างในทะเลอย่าง สารปรอท สารตะกั่ว ดื่ม “กาแฟ” ไม่ทำให้ผอมเพรียว ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน กล่าวว่า ขณะนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า การดื่มกาแฟแล้วจะทำให้รูปร่างผอมเพรียว ซึ่งต้องบอกว่าไม่เป็นความจริงทั้งหมด แม้ว่ากาแฟจะมีส่วนต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย แต่หากดื่มเป็นปริมาณมาก โดยหวังว่าจะให้ร่างกายผอม หุ่นดีนั้นอาจเกิดอันตรายกับร่างกายได้ แทนที่จะผอม เพราะกาเฟอีนจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานดีขึ้น แต่หากทานมากไปจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ“เป็นไปไม่ได้ที่กาแฟจะทำให้ลดน้ำหนักได้ เพราะไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันเช่นนั้น ทั้งนี้ ถ้าหากกินกาแฟสูตรใดสูตรหนึ่งแล้วสามารถลดน้ำหนักได้จริงคงเป็นการเติมสารอะไรบางอย่างทำให้มีผลต่อร่างกาย อาจเป็นยาลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก นอกจากนี้ หากดื่มกาแฟมากกว่าวัน 2 แก้วต่อวัน ก็อาจมีผลเสียกับร่างกายได้ เพราะหากร่างกายได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้” นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการระดับ 9 กรมอนามัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้บริโภคตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ต้านการละเมิดสิทธิของธุรกิจโทรคมนาคม4 พ.ย.51 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคจับมือสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม เปิดตัวศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชน กรุงเทพมหานคร รวมกว่า 31 ศูนย์ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมเดินหน้ารับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมบางรายยังมีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบลูกค้า โดยเฉพาะการกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของซิมแบบเติมเงิน รวมทั้งการเก็บค่าต่อสัญญาณใหม่ 107 บาท นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ “เราจะหยุดการเอาเปรียบของธุรกิจโทรคมนาคมได้อย่างไร” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการดังกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคในหลายๆ ปัญหาที่พบมาก คือการถูกเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนทั้งที่ไม่ได้เปิดใช้บริการใช้ซิมฟรีที่ได้รับแจกมา การใช้ซิมแบบเติมเงินแต่ถูกกำหนดวันหมดอายุการใช้งานต้องเติมเงินเพิ่มทั้งๆ ที่มีเงินเหลืออยู่ อีกปัญหาที่มีการร้องเรียนมาโดยตลอดคือ กรณีลูกค้าขอเปิดใช้งานโทรศัพท์หลังโดนระงับสัญญาณเพราะค้างชำระค่าบริการ แทนที่ผู้ให้บริการจะคิดค่าปรับตามอัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนดแต่กลับใช้วิธีเรียกเก็บค่าเชื่อมต่อสัญญาณใหม่ ในอัตรา 107 บาทตายตัว และบางเจ้าก็เรียกเก็บในอัตรา 214 บาท ซึ่งเป็นการขัดกับข้อกำหนดในเรื่องของค่าธรรมเนียมและค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมตามพระราชบัญญัติการประกบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ที่ห้ามไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการนอกเหนือหรือเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) กำหนด แต่ในทางปฏิบัติยังมีการละเมิดสิทธิในเรื่องนี้อยู่ แต่เมื่อลูกค้าร้องเรียนหรือขอให้มีการยกเว้นก็จะมีการคืนเงินในส่วนนี้ให้ และเป็นการให้เฉพาะรายไม่ใช่ทุกรายเสมอไป “ในขณะนี้แม้กฎหมายจะกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่เปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและห้ามคิดค่าโทรในการร้องเรียน แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบอย่างเต็มที่จากผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ จึงถือเป็นหน้าที่ของ สบท. ที่นอกจากจะมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของตนเองแล้ว ยังจะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรผู้บริโภคภาคประชาชนรวมตัวกันเพื่อปกป้องพิทักษ์สิทธิของตนเอง การจัดตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิภาคประชาชนจะช่วยทำให้ประชาชนได้รับรู้และตระหนักในสิทธิของตนเองได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ด้าน รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า จากปัญหาหลากหลายที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องเร่งให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มผู้บริโภคเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมกับเครือข่ายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนจัดตั้ง “ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชนในกิจการโทรคมนาคม” ขึ้น โดยจะเริ่มต้นในเขต กรุงเทพมหานครเป็นลำดับแรก โดยจะมีทั้งหมด 31 ศูนย์ มีพื้นที่ให้บริการประชาชนครอบคลุมทุกเขตของกรุงเทพมหานคร โดยมีศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นองค์กรประสานงานกลาง โดยปัญหาเร่งด่วนที่วางเป้าว่าจะต้องมีข้อยุติภายในปีนี้คือ การกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน และการคิดค่าต่อสัญญาณโทรศัพท์ใหม่ที่ไม่ใช่ลักษณะของการคิดค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด จะต้องทำไม่ได้กับผู้บริโภคทุกรายไม่ใช่รายที่มีการร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 101 มหกรรมสมุนไพรครั้งที่ 6

เรื่องเรียงเคียงจานนก อยู่วนาเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อนพี่น้องในเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก 4 ภาคมานั่งคุยกันว่าจะเตรียมโชว์ผักพื้นบ้านของแต่ละภาคในงานมหกรรมสมุนไพรครั้งที่ 6 ซึ่งจะจัดในอิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 2 – 6 กันยายน ปีนี้ งานนี้นอกจากจะมีสูตรอาหารท้องถิ่นที่มาจากชุมชนที่รักษาความหลากหลายของพืชพรรณในระบบนิเวศน์ต่างๆ แล้ว ยังมีข้าวมีข้าวพื้นบ้าน และลานสาธิตการปรุงอาหารจากผักพื้นบ้าน และการเตรียมเมล็ดพันธุ์ กล้าไม้ไว้ให้ผู้สนใจได้เอากลับไปปลูกกินเองต่อที่บ้าน คุยกันเล่นๆ ว่า ถ้ายังไม่รู้จักว่าผักพื้นบ้านหน้าตาแปลกๆ นั้นจะนำไปปรุงและกินอย่างไร คำตอบง่ายๆ สำหรับเรื่องนี้มีไข่เป็นตัวช่วยค่ะ “เจียวไข่” กรรมวิธีปรุงอาหารคลาสสิคที่ใครๆ ส่วนใหญ่เคยทำ น่าจะเป็นเมนูแรกๆ ที่คนไม่เคยทำอาหารมาก่อนเลยเลือกทดลอง อาจจะเป็นรองแค่ไข่ต้มและไข่ดาวที่ง่ายกว่า ไข่เจียว กินอร่อย กินง่าย ทำง่าย ใช้เวลาไม่มาก แต่หากพิถีพิถันแล้วเรียนรู้วิธีการเจียวไข่สารพันกับผักก็จะกลับเป็นเรื่องสนุกได้เหมือนกัน เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่อยากจะหัดทำกับข้าวและลองรับประทานผักพื้นบ้าน ในเมืองไทยมีผักพื้นบ้านให้เจียวกับไข่ได้ หลายเมนูไม่ซ้ำกัน ลองมานั่งไล่กันดูนะคะ1.กระถิน เมล็ดอ่อนแกะแต่เมล็ดเจียวกับไข่ 2.กระเทียมเจียว ตีสับๆ หยอดลงกระทะก่อนเทใส่ไข่ หรืออีกวิธีมีกระเทียมดองปอกเปลือกออกแล้วซอยใส่ลงในไข่ที่ตีฟูแล้วเจียว 3.กะเพรา เอาแต่ใบกับยอดใส่ไข่แล้วทอดเหลืองๆ หอมๆ 4.กะทกรก ใส่ไข่เจียวคล้ายๆ กับข้อ 3 5.ชะอมชุบไข่ กินกับน้ำพริก 6.กุยช่าย เหมาะมากกับคุณแม่คลอดลูกใหม่เสริมโปรตีนและขับน้ำนม 7.ปลีกล้วย ซอยถี่ๆ เหมือนจะเอาไปลวกกินกับขนมจีนน้ำพริก แต่คราวนี้ใส่ลงในไข่ปรุงรสน้ำปลา 8.กระสังใบใสๆ กินสดรสจืดๆ กินแก้ไข้ 9.ขจร หรือดอกสลิด ตอกไข่ใส่ชาม ปลิดเอาแต่ดอก 10.ข้าวสาร ปกติต้มกินกับน้ำพริก ลองเปลี่ยนมาฝานบางๆ ใส่ไข่เจียวดู 11.เข็ม ดอกเข็มแดงๆ ในไข่เหลืองฟู น่ากินมาก12.ข้าวโพดข้าวเหนียว ฝานเมล็ดแล้วเจียว...สุดยอด 13.ขนุน ใบอ่อนหรือดอกขนุนตัวผู้ ที่ทางอีสานเรียกหำบักมี้ ซอยใส่ไข่ 14.ดอกแคบ้าน และ15.ดอกแคแดง เจียวในน้ำมันร้อนแรงกับไข่ ไข่เจียวฟูๆ ถ้าไม่มีดอก ใช้ยอดและใบอ่อน รูดเอาแต่ใบนะจ๊ะ 16.งา ทั้งงาขาวและงาดำ 17.ชะพลู อีสานเรียกอีเลิด ซอยฝอยๆ หอมอร่อย 18.ดาวกระจาย เลือกแต่กลีบดอกเส้นเหลืองๆ บางๆ ไม่ใช้เกสร 19.ตะไคร้ ซอยบางๆ เหมาะสำหรับใครบางคนที่เพิ่งเดินทางข้ามทวีปแล้วมีอาการเจ็ตแล็ค 20.ไค สาหร่ายในแม่น้ำทางอีสาน เหนือ และลาว ที่กำลังมีลดน้อยลงทุกที 21.ตำลึง ใส่เป็นใบทอดไข่หนานุ่มกินกับน้ำพริก หรือจะซอยบางๆ โรยเบาๆ ในไข่ฟูๆ ก็ได้ 22.ถั่วฝักยาว23.ถั่วพุ่ม 24.ถั่วพู ถั่ว 3 อย่างนี้ ซอยบางๆ ส่วนถั่วพูถ้ามียอดและใบอ่อนก็เจียวได้ค่ะ ว้า! มาจนถึงหมวด บ.ใบไม้ ครับผม 25.บวบกลม 26.บวบเหลี่ยม 27.บวบงู บวกอีกหนึ่ง ต.แตงอ่อน และแตงกวา เป็นอันดับที่ 28 กับ 29 กลุ่มนี้ไม่เจียวแต่ใช้ท่อนผัดกับน้ำมันแล้วตอกใส่ไข่ มีตัวช่วยเป็นไข่พออนุโลมไหมหนา30.ผักกะเฉด เอาแต่ยอดอ่อนๆ 31.ผักกูด ลวก ราดกะทิกินกับน้ำพริกอร่อย ต้มแกงก็อร่อย แต่วันไหนอย่างกินง่ายๆ ไม่ใช้เวลามากลองผัดไฟแดงหรือเจียวดู! 32.ผักขี้หูด ผักพื้นบ้านภาคเหนือ ขอบอก เลือกฝักอ่อนๆ นะจ๊ะ 33.ผักโขม 34.ผักโขมจีน ซอยแล้วเจียว แข็งแรงอย่างป็อบอายเชียว 35.ผักชี 36.ผักชีล้อม 37.ผักชีลาว she ทั้งสามมีเสน่ห์ความหอมที่แตกต่าง 38.ผักเชียงดา ยอดอ่อนตอนหน้าแล้งรสไม่เฝื่อนเหมือนหน้าฝน 39.ผักบุ้งไทยใบเขียว ซอย ตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำข้นๆ ใส่ลงในไข่สัก 1 – 2 ช้อนโต๊ะเหยาะน้ำปลา เป็นไข่เจียวมรกตฟูๆ 40.ผักบุ้งแดง ซอยเป็นแว่นๆ เจียวเพิ่มวิตามินเอ 41.ผักปลัง ใช้ส่วนยอด 42.หวานบ้าน และ43.ผักหวานป่า จะเจียวหรือผัดไข่ก็อร่อย 44. ผำ ล้างน้ำสะอาดแล้วกรองเอาแต่เม็ดผำใส่ลงในไข่ ไม่ต้องใส่น้ำ เพราะผำฉ่ำน้ำ ไม่งั้นไข่จะนิ่มเละเกินไป ถ้าชอบไข่ฟูใส่แค่ 1 ช้อนโต๊ะต่อไข่ 1 ใบก็ได้ความอร่อยแบบใหม่ 45.พริก อ๊ะ! ใช้ส่วนใบมาเจียวค่ะไม่ใช้เมล็ด 46.เพกา เอาฝักที่ใช้เผากินกับแจ่วแล้วอร่อยสุดๆ นั่นแหละ มาฝานบางๆ แล้วเจียวดูสิ 47.ฟักข้าว ใช้ยอดอ่อนมาเจียวกับไข่ 48.ฟักทอง ถ้าเป็นยอดไม่มีปัญหาในการเจียว แต่ถ้าเป็นผล ฝานบางแล้วซอยเป็นเส้นฝอยๆ เจียวกับไข่ฟูๆ แต่ถ้าชอบไข่นิ่มๆ หั่นบางๆ ก็โอเค 49.มะขามเทศ มะขามเทศต้นข้างทางที่ฝาดๆ พอเอามาใส่ไข่เจียวหนานุ่มแล้ว ...อืม อร่อยลืมฝาด แต่อย่าลืมแกะเปลือกกับเมล็ดออกก่อนนา 50.มะเขือพวง 51.มะเขือเปาะ และ 52.มะเขือยาว จะใส่ไข่เจียวเป็นแพหรือชุบไข่ทอดเป็นคำดี 53.มะระขี้นก ใช้ได้ทั้งยอดและผล ถ้าเป็นผล ผ่ากลางผลแล้วแกะเมล็ดออก ฝานบางๆ 54.มะละกอ บ้างว่าสับ บางว่าซอยเป็นเส้น แล้วแต่ความถนัดและความนิยม จะซอยหรือผัดกับไข่อร่อยมากๆ 55.เหมียง อ้าว! อันนี้ก็ผัดไข่ 56.โหระพา เจียวแล้วหอม 57.อัญชัน ใช้ดอกมาเจียว เลยนึกขึ้นมาได้อีกอันเป็นอันดับที่ 58 คือดอกดาหลา แล้วมาจบที่ 59. ดอกโสน ส่วนวิธีทำและวิธีรับประทานแบบอื่นๆ ค่อยๆ เรียนรู้ดัดแปลงต่อได้หลังจากเราพอจะปรับลิ้น ปรับใจให้คุ้นกับไข่สารพันผัก ซึ่งในงานเราคงจะไม่สาธิตการเจียวไข่กับผักแต่จะเอาเมนูเด่นทั้งแบบพื้นถิ่นและแบบประยุกต์มาสาธิต และพูดคุยกันถึงสรรพคุณอันแสนวิเศษผักอย่าง ตามัด ราน้ำ หญ้าช้อง สะคร้าน เทียมลิง ซึ่งฉันเองไม่เคยรู้จัก คงจะได้รู้จักในงานนี้ ส่วนผักที่บางอันเพิ่งรู้จัก บางอันก็คุ้นเคยมานานนับปี อย่างหัวทือ ทำมัง เต่ารั้ง หวาย คาวตอง ขะแยง สาบ ติ้ว และฯลฯ คงจะมาอวดโฉมพร้อมกับให้ได้ลิ้มรสฝีมือการปรุงจากแม่ครัวท้องถิ่น ขอบอกก่อนว่าไม่ใช่มีแต่เครือข่ายเกษตรทางเลือกที่จะทำให้กิน มีทั้งเครือข่ายหมอยาและกลุ่มชาวบ้านที่รักษาฐานทรัพยากรอาหารอีกหลายแห่งก็เตรียมขนผักกันมามากมาย คาดว่าจะละลานตา .... ละลานใจ ไม่แพ้งานปีก่อนๆ เลย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 98 ยำสมุนไพรผักพื้นบ้านต้านมะเร็ง ของดีจากกุดชุม

เรื่องเรียงเคียงจานนก อยู่วนาromsuan@hotmail.com เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา กลุ่มแม่บ้านเครือข่ายตลาดทางเลือก จ.ยโสธร นั่งประชุมหารือกันว่าจะทำอย่างไรให้ลูกหลานในชุมชนและคนเมือง โดยเฉพาะที่มาอุดหนุนสินค้าอาหารปลอดสารพิษจากระบบเกษตรอินทรีย์ได้หันมาสนใจกินผักพื้นบ้านมากขึ้น ผักพื้นบ้านที่ทั้งปลูกง่ายกว่า มีหมุนเวียนมาให้กินตามฤดูแต่ละฤดู... กินกันไม่เบื่อ แต่ดูเหมือนทั้งคนเมืองและลูกหลานในชุมชนเองจะรู้จักและรักที่จะกินน้อยลง จากระยะเวลาสั้นๆ แค่ 2 วัน สาวๆ 20 กว่าคนช่วยกันรวบรวมรายชื่อตัวอย่างผัก 101 ชนิด พร้อมสรรพคุณ แหล่งที่อยู่ และวิธีการนำมาประกอบอาหาร แล้วช่วยกันคัดเลือกมาทำนิทรรศการเผยแพร่ที่ตลาดสีเขียว จ.ยโสธร ซึ่งเปิดจำหน่ายสินค้าอินทรีย์ทุกวันเสาร์ไปตั้งแต่เช้า ตี 5 จนถึงสายๆ แม่บ้านแต่ละคนยังเลือกที่จะจดจำเป็นผักพื้นบ้านในดวงใจกันคนละ 1 – 3 ชนิด เอาไว้สื่อสารกับคนกินที่เขามาซื้อหาและพูดคุยกันด้วย และเพื่อให้ผักพื้นบ้านได้เข้าไปพบปะและมีโอกาสแสดงตัวบนโต๊ะอาหาร พี่พิศ สุพิศ พืชผล แห่งบ้านกุดหิน ต.กำแมด อ.กุดชุม จ.ยโสธร หนึ่งในกลุ่มแม่บ้านฯ ได้หารือกับเกรียงไกร เจ้าหน้าที่ศูนย์สมุนไพรท่าลาด ช่วยกันทำสูตรผักยำต้านมะเร็ง โดยสูตรนี้เน้นผักพื้นบ้าน ซึ่งพอเราได้ชิมแล้วก็ชวนให้พี่พิศมาทำโชว์ในงานแถลงข่าวเปิดตัวกินเปลี่ยนโลกทันที วิธีการทำยำสมุนไพรสูตรบ้านกำแมดผักที่ใช้ยำ 24 ชนิด  1.ใบเม็ก รสฝาด มีเบต้าแคโรทีนสูง 2.ใบกระโดนน้ำ รสฝาด มัน มีวิตามินเอสูง ควรกินควบคู่กับอาหารที่ให้โปรตี 3.ใบมะยม รสมัน จืด แก้ไข้ บำรุงประสาท ขับเสมหะ บำรุงอาหา 4.ผักลิ้นปี แก้ท้องเสีย แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้หืด แก้ไ 5.ใบชะพลู รสเผ็ดเล็กน้อย แก้ธาตุพิการ แก้ปวดท้อง จุก เสียด บำรุงธาตุ คุมเสมหะให้ปกติ 6.ใบว่านกาบหอย รสจืด เย็น แก้ช้ำใ 7.ใบขนุนอ่อน เจริญอาหาร 8.หัวปลี รสฝาด แก้ท้องเสีย บำรุงน้ำนม แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้โลหิตจาง เพิ่มน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอด 9.ผักอ่อมแซบ รสจืด เย็น มีสารแอนติออกซิแดนซ์หรือสารต้านสารก่อมะเร็งสูง 10.ดอกสะเดา   รสขมจัด ช่วยแก้ไข้ บรรเทาความร้อน ช่วยเจริญอาหาร เบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูง 11.ผักสลัด รสจืด เย็น แก้ท้องผูก 12.แตงกวา   รสเย็น เป็นยาระบายอ่อนๆ บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ขับปัสสาว 13.ถั่วพุ่ม   รสมัน มีโปรตีน ช่วยเจริญอาหาร 14.ถั่วงอก รสเย็น มีวิตามินซี วิตามินบี 12 สารเลซินทิน(บำรุงประสาท) สารชะลอแก่(ออซินัน) มีกรดโปรตีนที่ย่อยง่ายในรูปกรดไลซินและไตรโทปัน 15.คะน้า มีสารต้านสารก่อมะเร็งสูง ทั้งวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน รวมทั้งโฟเลตและธาตุเหล็ก 16.ยอดมันแกวลวก รสมัน วิตามินเอสูง 17.ยอดบวบลวก รสจืด เย็น แก้ร้อนใน 18.ยอดฟักข้าวลวก รสหวาน เย็น บรรเทาความร้อนในร่างกาย มีสารต้านสารก่อมะเร็งสูง 19.ยอดเสาวรสลวก ยาบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด แก้โรคเหน็บชา เป็นยาถ่ายพยาธิ 20.ดอกแคกะทิ และแคหางลิง ดับพิษร้อน ถอนไข้ 21.สะระแหน่ กลิ่นหอมเย็น แก้หวัด ขับเหงื่อ ระบายความร้อน แก้ปวดท้อง ขับลมในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร รักษาอาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการปวดไมเกรน หลอดลมอักเสบ และหอบหืด 22.ต้นหอม แก้หวัดคัดจมูก 23.กระเทียม ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงร่างกาย 24.มะเขือเทศ เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยย่อย แก้กระหาย ลดรอยเหี่ยวย่นทำให้ผิวพรรณดี มีวิตามินซีสูง มีสารไลโคปีนซึ่งมีคุณสมบัติต้านสารก่อมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ เครื่องปรุงรส1. มะนาว 1-2 ผล2. มะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ คั้นเอาแต่น้ำ3. ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ4. เกลือ 1-2 ช้อนชา5. น้ำตาล 1-2 ช้อนชา6. ถั่วลิสงคั่ว 1-2 ช้อนโต๊ะ7. น้ำเปล่า ?-1 ถ้วย วิธีทำ1. นำผักสดทั้งหมดล้างน้ำให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ (ปริมาณและชนิดของผักแล้วแต่ความชอบของผู้รับประทาน)2. หั่นผักสด (ยกเว้นถั่วงอก) และผักที่ลวกแล้วเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาใส่รวมกันในชาม3. ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสที่เตรียมไว้4. หั่นมะเขือเทศใส่ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสได้อีกตามใจชอบ เครือข่ายตลาดทางเลือก จ.ยโสธร“เกษตรอินทรีย์ ดินดีมีชีวิต ผู้ผลิตปลอดภัย มั่นใจผู้บริโภค”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 159 พอกหน้าด้วยสมุนไพรให้ถูกวิธี

สาวชาวเอเชียนั้นไม่ว่าจะสีผิวขาวหรือผิวคล้ำต่างก็ให้ความสำคัญกับผิวที่เรียบเนียน และใสสว่าง เครื่องสำอางที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดและการบำรุงเพื่อให้ผิวดูสดชื่น ไม่หมองคล้ำจึงเป็นสินค้าขายดีมาโดยตลอด ความนิยมให้การดูแลผิวโดยเฉพาะส่วนใบหน้าโดยการมาร์คหรือพอกหน้า ก็เป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญเพราะเชื่อว่า การให้อาหารแก่ผิวโดยตรงจะช่วยให้ผิวดูสดชื่นขึ้นแบบทันตา อันที่จริงจะเรียกว่า “ให้อาหาร” ก็คงไม่จริงนัก เพราะผิวคนเรามีความหนาของชั้นผิวที่ไม่ยอมให้อะไรผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ การพอกหน้าจึงเป็นได้เพียงแค่ ”การกระทำ” กับผิวชั้นนอกสุด คือเหมือนการเร่งให้ชั้นผิวบนสุดนี้ผลัดผิวได้เร็วขึ้น ผิวเก่าที่หมองคล้ำเมื่อหลุดออกไป ผิวใหม่ที่ปรากฏขึ้นย่อมดูสดใสกว่าแน่นอน ทันตาเห็น ในประวัติศาสตร์ยุคโบราณสตรีชั้นสูงก็นิยมเรื่องการบำรุงผิว พอกผิวเช่นกัน เพราะความสวยย่อมประกันเรื่องสถานะในชนชั้นของตนได้ สมุนไพรและอาหารหลายชนิดจึงถูกคัดสรรมาเพื่อเสริมความงามให้กับสตรีเหล่านี้ นม ไข่มุก ทองคำ น้ำผึ้ง ปรากฏในตำราความงามในหลายเชื้อชาติ ทั้งในอียิปต์ จีน อินเดีย สำหรับสตรีสาวในแถบสุวรรณภูมิ ต้องยกให้สมุนไพรพื้นบ้าน ดูได้จากวรรณคดียุคเก่าเวลานางในวรรณคดีทั้งหลายจะเข้าพิธีสำคัญอย่างการแต่งงาน สมุนไพรอย่าง มะขาม ขมิ้น ฯลฯ จะต้องถูกกล่าวถึง สิ่งเหล่านี้ถูกถ่ายทอด บันทึกผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ดังนั้นหากจะเลือกนำมาใช้เพื่อการพอกหน้า ขัดผิว ย่อมรับประกันเรื่องความปลอดภัยได้ แต่ท่านไม่ควรประมาท เพราะยังไงก็ต้องคำนึงถึงสิ่งที่ไม่มีในยุคโบราณแต่มันมีอยู่จริงในปัจจุบันคือ การปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆ ทั้งโดยจงใจและการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ฉลาดซื้อจึงนำข้อคิดดีๆ มาแนะนำไว้เพื่อเป็นการประเมินในเบื้องต้น ก่อนที่จะหยิบเอาสมุนไพรหรืออาหารมาใช้เพื่อการพอกหน้าบำรุงผิว การใช้สมุนไพรสำหรับผิวหน้ามีหลักการง่ายๆ ดังนี้ 1.อยู่บนพื้นฐานของความสะอาด สิ่งที่ต้องคำนึงคือ การปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ โดยเฉพาะเชื้อรา เพราะฉะนั้นของสดใหม่ย่อมดีกว่า เก่าเก็บ หรือการปนเปื้อนของสารเคมีอย่างสารเคมีการเกษตร ผัก ผลไม้บางอย่างเหมือนเป็นของพื้นบ้าน แต่บางทีท่านอาจนึกไม่ถึงว่า เป็นผักที่มีการใช้สารเคมีสูงสุดก็เป็นได้ เช่น ใบบัวบก 2.เป็นสมุนไพรที่ปลอดภัย หมายความว่า ควรมีการสืบทอดทางภูมิปัญญาหรือมีข้อมูลยืนยันว่าปลอดภัยในการใช้ อย่าเป็นหนูทดลองกับสมุนไพรบางอย่างที่มีคนฉวยโอกาสโฆษณาเพื่อ “ขาย” สินค้า สมุนไพรที่มีความปลอดภัย จำง่ายๆ ก็คืออะไรที่กินได้ สามารถใช้เป็นเครื่องสำอางได้ 3.อย่าทำบ่อยเกินไป ต้องเชื่อมั่นธรรมชาติของผิวหนังที่มีกลไกดูแลตัวเองอยู่แล้ว ต้องรักษากลไกนั้นไว้นานๆ การทำซ้ำ ทำบ่อยเกินไปอาจเป็นการทำลายสิ่งดีๆ ที่ผิวของเรามีอยู่ก็ได้ 4.ภูมิแพ้ สมุนไพร ทุกอย่างอาจมีบางคนที่แพ้ได้ การทดสอบว่าแพ้หรือไม่ให้นำส่วนผสมที่จะใช้ทาที่ท้องแขนก่อน เพราะผิวหนังบริเวณนี้จะเป็นส่วนที่บางกว่าหน้า ทิ้งไว้สักพักหนึ่งถ้าไม่เกิดอาการแสบร้อน มีผื่น ถือว่าไม่แพ้ 5.ระยะเวลาในการพอกไม่มีสูตรตายตัว การใช้สมุนไพรเพื่อความงามส่วนใหญ่เป็นผลไม้หรือผักที่ไม่ได้ตายตัว สามารถที่ปรับได้ ขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละคน คนที่ผิวแพ้ง่ายควรใช้เวลาน้อยกว่า และการใช้ในช่วงแรกไม่ควรพอกหรือทาทิ้งไว้นานๆ โดยเฉพาะตำรับที่มีกรดผลไม้ การใช้ช่วงแรกๆ ต้องใช้ปริมาณน้อยๆ ไปก่อน และในช่วงเวลาสั้นๆ -------------------------------------------------------------------------------- ครีมมะขาม ปลอดภัยและไม่แพง มะขาม Tamarindus indica Linn. สรรพคุณ ลดรอยด่างดำบนใบหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหน้าเรียบลื่น ทำให้ผิวหนังสดชื่นลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ เพิ่มความชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น ตำรับความงามที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งพบตำรายาสมุนไพรเขียนด้วยภาษาล้านนาว่า "มะขาม ฝักกระดาน สักกำมือแช่น้ำอุ่น ทาตัวทาหน้า ผิวดำและฝ้าย่อมเสี้ยงไป" (เสี้ยง หมายถึง หมดไป) ที่เป็นเช่นนี้เพราะในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว มะขาม จะมีกรดเอเอชเอ (AHA หรือ alpha hydroxy acid) ซึ่งเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยขัดผิว ลอกผิวด่างดำ และฝ้า            การเตรียมมะขาม การใช้มะขามให้ใช้มะขามเปรี้ยวสุก (มะขามหวานใช้ไม่ได้เพราะกรดผลไม้มีน้อย) น้ำคั้นมะขามเปียกที่ดีมีคุณภาพ ต้องได้จากการคั้นมะขามเปียกสดใหม่ และใช้ทันที ถ้าเก็บในตู้เย็นต้องไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าหากจะกวนเก็บไว้ใช้นานๆ ต้องกวนจนเกือบแห้งซึ่งมักจะกวนใส่นมหรือน้ำผึ้งก็ได้ การใช้มะขาม มะขามเปียก 1 กำมือ นมสด 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำเนื้อมะขามเปรี้ยวสุก ไม่ต้องแกะเมล็ดปั้นเป็น ก้อนกลม ห่อด้วยผ้าขาวบาง ฟอกขัดตัวเมื่ออาบน้ำ จะทำให้ผิวที่คล้ำด้วยแดด หรือลม เป็นผิวที่นวลผ่อง น้ำมะขามเปียกผสมน้ำพอเจือจางล้างหน้าเป็นประจำ ช่วยขจัดความมันบนใบหน้า และสิวให้หลุดออกไปอย่างหมดจด                  หรือทำเป็นครีมมะขาม โดยใช้มะขามเปียกที่แกะเมล็ดแล้วขนาดประมาณ 1 กำมือ นมสด 1 กล่อง ขยำเข้ากัน กรองด้วยตะแกรง เพื่อเอาซังมะขามออก นำไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ พอใกล้งวด เติมน้ำผึ้งลงไป 1 ช้อนโต๊ะ อาจเติมขมิ้นชันลงไปประมาณ ¼ ช้อนชา (ระวังอย่าใส่มากเกินไปจะทำให้หน้าเหลือง) เคี่ยวต่อจนงวด แต่อย่าให้ข้นเกิน สังเกตว่ายังสามารถแตะขึ้นมาได้ง่าย เสร็จแล้วบรรจุลงในกระปุกสะอาด ถ้าไม่เปิดเลยจะอยู่ได้ประมาณ   6 เดือน ใช้ล้างหน้าทุกวันทำให้หน้าขาวขึ้น ที่มา มูลนิธิสุขภาพไทย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 131 สมุนไพรหมื่นแปดหายทุกโรค!

  หากมีคนมาขายยาสมุนไพร ชุดละ 18,000 บาทต่อเดือน โดยโฆษณาว่ารักษาหายได้ทุกโรค ท่านคิดว่าผู้ป่วย จะซื้อหรือไม่ ? น้องเภสัชกรท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดลำปางแจ้งข้อมูลให้ผมทราบว่า มีบุคคลอ้างว่าตนเป็นหมอสมุนไพร จบจากเมืองนอก มาจัดการโฆษณาขายยาสมุนไพรที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง โดยในการจัดกิจกรรมนั้นได้เชิญชวนให้ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ซื้อยาสมุนไพรที่อ้างว่ารับประทานแล้วหายได้ทุกโรคนำไปใช้รับประทาน สมุนไพรที่ว่านี้ราคาสูงถึงชุดละ 18,000 บาท (มีทั้งแบบซองสำหรับชงและแบบแท่งสำหรับต้มดื่ม) ผู้บริโภครายหนึ่งที่ได้เข้าไปฟังการโฆษณาจึงหลงเชื่อ ซื้อกลับมา 1 ชุดเพื่อให้ญาติของตนที่ป่วยเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ ลองใช้รักษาอาการป่วย หลังจากนั้นไม่นาน ทางโรงพยาบาลก็ได้รับตัวผู้ป่วยชาย อายุ 58 ปี ซึ่งป่วยเป็นเนื้องอกร้ายของมะเร็งท่อน้ำดีในตับ กลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่คราวนี้ ผู้ป่วยกลับมาด้วยอาการปวดขาข้างขวามาก เมื่อแพทย์ตรวจแล้วจึงพบว่าเกิดจากลิ่มเลือดอุดตันที่ขา เภสัชกรที่โรงพยาบาลได้ไปซักประวัติผู้ป่วยเพิ่มเติม ได้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้มีพฤติกรรมการบริโภคอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิมเลย นอกจากกินยาสมุนไพร 18,000 บาทที่โฆษณาว่าหายทุกโรคนี่แหละ เมื่อขอยาสมุนไพรที่ผู้ป่วยรับประทานทั้ง 2 แบบมาดู ก็พบว่า ยาสมุนไพรทั้ง 2 แบบนี้ มีการโฆษณาที่ผิดกฎหมายหลายอย่าง เช่น ยาดองเหล้าสมุนไพรแอนนี่ ไม่ได้ขึ้นทะเบียนยาแต่กลับโฆษณาสรรพคุณมากมาย ส่วนยาสมุนไพรแอนนี่ แม้ไม่ได้ระบุสรรพคุณยาบนฉลาก แต่ก็เป็นยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเช่นกัน หากแสดงเลขที่ใบอนุญาตตั้งคลินิกที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตามกฎหมายแล้วจะไม่สามารถมาเร่ขายยาตามโรงแรมได้ เพราะเขาอนุญาตให้จ่ายเฉพาะผู้ป่วยที่รับบริการจากคลินิกเท่านั้น ล่าสุดทราบว่า เภสัชกรได้แจ้งข้อมูลไปให้ ทั้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปางและจังหวัดอุบลราชธานีทราบ เพื่อช่วยกันติดตามดำเนินการตามกฎหมายต่อไปแล้ว หากใครเจอการเร่จัดมหกรรมโฆษณาขายยาที่ไม่ถูกต้องแบบนี้ อย่าหลงเชื่อนะครับ อาจจะเสียทั้งเงินและได้รับอันตรายได้ ช่วยๆ กันเตือนเพื่อนฝูงและแจ้งข้อมูลให้หน่วยราชการทราบด้วยนะครับ จะได้ช่วยกันจัดการให้ยาหายทุกโรคแบบนี้ หายไปจากการหลอกลวงซะที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 128 สอดสะท้านโลกา

  “ไม่รู้ว่ามันคือยาหรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ วิธีใช้ มันให้สอดครับ ไม่ใช่สอดใต้หมอน หรือสอดใต้ผ้าห่มนะครับ มันให้สอดที่ตรงนั้นของผู้หญิงต่างหาก” ผู้ขายอ้างว่า วัตถุสีดำก้อนเล็กๆ นี้เป็นยาสมุนไพรไทยที่ทำขึ้นมา เพื่อช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงในระยะเบื้องต้น เช่น ตกขาวมีกลิ่นและผิดปกติ เชื้อราในช่องคลอด มดลูกอักเสบ อาการคันต่างๆ และยังช่วยลดกลิ่นอับบริเวณจุดซ่อนเร้น ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด แก้อาการตกขาวผิดปกติ ตกขาวเยอะคัน มีสีเขียวเหลือง และที่สำคัญทำให้มดลูกกระชับแน่น  ไม่ต้องเสียเงินไปทำรีแพร์ เห็นผลได้หลังจากที่ใช้รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง เพิ่มความฟิตกระชับช่องคลอด แก้ตกขาว ไม่เหม็น ไม่อับ มั่นใจดุจวัยสาวแรกแย้ม (ยาเทวดาหรือไงนี่ ?)  นอกจากนี้ยังโฆษณาอวดอ้างอีกว่า ยานี้ใช้ป้องกันการติดเชื้อจากคุณผู้ชายด้วย ใช้ได้ทั้งสุภาพสตรีและสาวประเภทสอง ที่สำคัญความรู้สึกของสามีจะดีขึ้น 100% เหมือนได้กลับมารักกันใหม่ๆ อีกครั้ง และที่มันถึงกับทำให้สะท้านโลกาก็เพราะ มันเล่นบรรยาย เกี่ยวกับสรรพคุณระหว่างคุณผู้หญิงขณะมีความสุขกับคุณสามีแบบสยิวกิ้วไม่บันยะบันยัง แบบถ้าคนที่หลงเชื่อคงระทวย และวิ่งไปคว้ามาสอดทันที  เจ้าวัตถุสีดำนี้ขายเป็นตลับ ตลับละ10 เม็ด (ราคา 150 บาทพร้อมส่ง) ตลับต่อไป100 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่เคยสั่งซื้อแล้ว ตลับแรก 125 บาทพร้อมส่งตลับต่อไป 100 บาท นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีก เช่น เจลสลายไขมัน, สบู่สลายไขมัน , แป้งJT , แป้งสมุนไพรทารักแท้ ระงับกลิ่นและเหงื่อใต้รักแร้ การสั่งซื้อไม่ยากเลย เพียงแค่สั่งทาง SMS แล้วโอนเงินผ่านธนาคารได้ทันที ผมดูส่วนประกอบที่อ้างว่าเป็นส่วนสำคัญในตัวยา ว่ามีว่านชักมดลูก เปลือกทับทิม ต้นธูปดำ ขมิ้นอ้อย ดูแล้วเจ้าสมุนไพร 4 ชนิดนี้คงไม่สามารถทำให้เกิดสรรพคุณสะท้านโลกาแน่นอน แต่ที่แน่ๆ ราคามันสะท้านกระเป๋าแน่นอน ยังไงก็ขอเตือนมายังผู้อ่านทั้งหลาย อย่าหลงเชื่อนะครับ ร่างกายของเรา มีเราเป็นเจ้าของ อย่าให้วัตถุสะท้านโลกาที่ไม่มีการขึ้นทะเบียนใดๆ มาอวดอ้างสรรพคุณและฉวยเข้ามารุกล้ำอธิปไตยของเราเลยครับ เดี๋ยวจะบาดเจ็บทั้งกายและใจเปล่าๆ ส่วนผมขอไปนำสืบเพื่อดำเนินคดีให้สะท้านโลกาดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 สเตียรอยด์ในยาสมุนไพร “เยอะ”

  ในระหว่างปี 2548 – 2552 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ได้ตรวจวิเคราะห์ยาแผนโบราณ เพื่อเฝ้าระวังการปลอมปนสารสเตียรอยด์ พบว่ายาแผนโบราณจำนวน 626 ตัวอย่าง มีสเตียรอยด์ปลอมปนอยู่ถึง 136 ตัวอย่าง และเมื่อได้นำยาที่เหลือมากพอมาทดสอบหา “ปริมาณ” สารสเตียรอยด์ที่ปลอมปน ปรากฏว่าพบข้อมูลที่น่าตกใจ เพราะสารสเตียรอยด์ที่ปลอมปนอยู่นั้น มีปริมาณที่ค่อนข้างสูงมาก จนอาจเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และที่น่าทึ่งคือ บางชนิดแม้เป็นยี่ห้อเดียวกัน แต่กลับพบปริมาณสารสเตียรอยด์ปนอยู่ในปริมาณที่ไม่เท่ากันหรือพบการผสมสเตียรอยด์ต่างชนิดกัน  ดังข้อมูลในตัวอย่างต่อไปนี้   ยาผงสีน้ำตาลเหลือง ไม่ระบุชื่อ  จำนวน 3 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone (สารสเตียรอยด์) ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ 1 เม็ดครึ่ง ถึง 5 เม็ด และบางตัวอย่างยังพบ สเตียรอยด์ผสมถึง 2 ชนิด  คือผสมทั้ง Dexamethasone และ Prednisolone  ดังนั้นหากคิดง่ายๆ ว่า รับประทานยานี้วันละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 3 มื้อ เราจะมีโอกาสได้รับ Dexamethasone  ถึง 15 เม็ดต่อวัน   ยาผงสีน้ำตาล ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรไทย” จำนวน 8 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone  ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ ครึ่งเม็ด ถึง  3 เม็ด บางตัวอย่างยังพบว่ามี Prednisolone ผสมอยู่ด้วย โดยพบในปริมาณเทียบเท่ากับยาเม็ด  Prednisolone จำนวนครึ่งเม็ด  และบางตัวอย่างพบการผสมสเตียรอยด์ร่วมกันทั้ง  2 ชนิด   ยาเม็ดสีน้ำตาลแดง ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรตามแนวทางโครงการพระราชดำริ” ซึ่งฉลากระบุ ให้รับประทาน 1 เม็ด หลังอาหาร ตรวจพบว่ายาชนิดนี้ 1 เม็ด มีปริมาณ Prednisolone ผสมอยู่ เทียบเท่ากับยาเม็ด Prednisolone 4 เม็ด   ดังนั้นหากเรารับประทานยานี้หลังอาหาร 3 มื้อ จะมีโอกาสได้รับ Prednisolone ถึง 12 เม็ดต่อวัน ยาจากสมุนไพร ฉลากระบุชื่อ “ยากษัยเส้นตราเทียนทองคู่” ระบุ รับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ตรวจพบว่า ในยา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณ Dexamethasone  ผสมอยู่ เทียบเท่ายาเม็ด จำนวนครึ่งเม็ด ถึง 1 เม็ด และหากรับประทานวันละ 3 ครั้งตามที่ระบุบนฉลาก  เราจะได้รับ Dexamethasone ถึง 6 เม็ดต่อวัน (ยา Dexamethasone ชนิดเม็ดเท่ากับ 0.5 mg , ยา Prednisoloneชนิดเม็ดเท่ากับ 5 mg) จากการสอบถามผู้บริโภค ส่วนใหญ่ผู้ที่บริโภคยาเหล่านี้ มักจะรับประทานยาดังกล่าวเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน หมายความว่า ร่างกายจะได้รับสารสเตียรอยด์ติดต่อกันในปริมาณสูงจนอาจเป็นอันตรายได้  ขอแนะนำว่าหากเราเจอยาแผนโบราณ ที่ไม่มีทะเบียนยา ไม่มีรายละเอียดบนฉลาก หรือเป็นยาที่รับประทานแล้วอาการป่วยหายอย่างรวดเร็วจนผิดสังเกต ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจสอบโดยด่วน เพื่อป้องกันอันตรายนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 124 ไม่หายจริงตามมายิงทิ้งได้ทันที

  “ขอส่งยามาตรวจได้มั้ย ? ยาอะไรไม่รู้มีรถวิ่งมาขายให้ผู้ป่วย ตอนนี้ผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือด หูตาลายแล้ว”  ผมได้รับข้อมูลคร่าวๆ ทางโทรศัพท์ จากน้องเภสัชกรโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัด หลังจากนั้นไม่กี่วันตัวอย่างยาดังกล่าวก็ถูกส่งมาถึงที่แผนกของผมทันที ยาขวดแรกชื่อ “สมุนไพรแท้อุดมเกียรติ จิรโรจนศักดิ์” แค่อ่านสรรพคุณก็น่าทึ่ง เพราะระบุสรรพคุณ บรรเทาได้เพียง 90% ไม่โกหก ปวดสันหลัง ยอก (ใช้ได้ตามแต่นึกได้) บำรุงหัวใจ ผื่น บวม ปวดกล้ามเนื้อ ปวดฟัน หูอื้อ แพ้สาร แผลสดเปื่อย ทาท้อง ผสมน้ำกิน ผสมน้ำขัดหน้า ไร้สารเคมี (ระวังของปลอม) อย่าทาใกล้ตา เข้าตาลืมตาในน้ำ ไม่ต้องพบแพทย์  ไม่มีสารเคมี ส่วนผสม ไพรม่วง 3% พิมเสนแท้ 2% ชะเอมเถา 5% ไม้สักทอง 5% ระบุผู้ปรุง ชื่อแพทย์แผนไทย.... บภ.บว. และสถานที่อยู่ใน ต.ท่าคอย เพชรบุรี  แต่ที่เด็ดสะระตี่คือข้อความ “หมอพิกิตติ์รับรองหาย 100% ไม่หายจริงตามมายิงทิ้งได้ทันที” ริดสีดวงทวาร+จมูก+ไซนัส แบบถอนรากถอนโคน ไม่งอกอีก 499 บ. ตจว.รับทาง ปณ.ใกล้บ้าน ขวดเดียวส่งถึงที่  รวมทั้งแสดงเลขที่ในเครื่องหมาย อย. สธ.06-1-43846-2-2550 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขรับรองวิเคราะห์ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย เลขทดสอบ 4050012009 ลง 12 ก.ย. 50 ใบอนุญาตที่ บ.ภ.เลขทะเบียนยาแผนโบราณที่ G.15314  ผมดูแล้วทึ่งในนวัตกรรมการแสดงฉลากสุดๆ เลยครับ เพราะแสดงเลขในเครื่องหมาย อย.ให้คล้ายเลขสารบบอาหาร(เลข 13 หลัก) ทั้งๆ ที่ตัวเองพยายามจะเป็นยารักษาโรค   ขวดต่อมาคือ สมุนไพรแพทย์ธนากร บ.ว.บ.ว. มีใบอนุญาตควบคุมการประกอบโรคศิลปะ บ.ภ.บ.ว.  ทะเบียนยาแผนโบราณ เลขที่ G.15314/41 บ.ภ. วิธีใช้ หยดใส่ตาข้างละ 1-2 หยด เว้น 5 วัน อย่าหยดทุกวัน ตาจะแดง ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่(ทานได้ ไร้สารเคมี) ใช้สำลีชุบ ระบุสรรพคุณ บรรเทาโรคตาต้อ ตาแดง อักเสบ ฝุ่นผงเข้าตา ส่วนประกอบ ใน 1 ขวด เถาตำลึง 20% ใบทองหลาง 20% หญ้างวงช้างทั้ง5 20% พิมเสนแท้ 10% น้ำฝนเดือน 5 30% และอื่นๆ 5% โดยวิธีพาสเจอร์ไรส์ทุกขั้นตอน ระบุผู้ผลิต แพทย์....... บ.ภ.บ.ว.และนักศึกษาแพทย์แผนไทย สถานที่อยู่ใน ต.ท่าคอย อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี 76130 (สถานที่เดียวกับชนิดแรก แต่ชื่อแพทย์คนละชื่อ) เรื่องนี้ผมได้แจ้งไปยัง จังหวัดเพชรบุรีและประชาสัมพันธ์ไปทั่วประเทศเพื่อดำเนินการตามกฎหมายแล้วครับ ยังไงถ้าใครเจอรถเร่วิ่งจำหน่ายยาเหล่านี้ ขอให้รีบแจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้เลย เพราะผมกลัวว่าหากผู้ป่วยไม่หาย จะยิ่งพากันไปตามยิงผู้ผลิตทิ้งน่ะครับ สงสารจริงๆ ติดคุก ถูกปรับ ยังดีว่าถูกยิงนะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 121 ทำผิดแล้วยังกล้า...อ้างผู้ใหญ่

ภญ.สุภาวดี  เปล่งชัย เภสัชกรคนขยันแห่ง โรงพยาบาลเสลภูมิ ส่งข่าวมาว่า พบผู้ป่วยหลายรายถูกชักจูงให้ซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพร อ้างสรรพคุณเกิน ราคาแพงมาบริโภค เธอทราบข่าวครั้งแรกจากคุณครูท่านหนึ่ง  ซึ่งได้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพร  เคี่ยงเซียมเจ็ง (ตราณรงค์  เอ็น.อาร์.) (ขนาดบรรจุ 750 ml ราคา 2,900 บาท) มาให้เธอตรวจสอบและเมื่อเธอลงพื้นที่เพื่อไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยอัมพฤกษ์  ก็พบว่าผู้ป่วยรายนี้ ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ ยาน้ำสมุนไพรโสมคนทั่งเฉ้า (ตราณรงค์  เอ็น.อาร์.) ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ทะเบียนเลขที่ G 70 / 49 (ขนาดบรรจุ 350  ml ราคา 1,400  บาท) โดยซื้อมา 5 ขวด เป็นเงินถึง  4,500   บาท  เพื่อรักษาโรคอัมพฤกษ์  ตามที่มีคนแนะนำ  จากการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ป่วย ได้ความว่า มีตัวแทนจำหน่ายจากหมู่บ้านหนึ่ง ในเขตอำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร ได้นำรถมารับตนไปยังจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อรับฟังการบรรยายสรรพคุณ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งระหว่างการบรรยายยังมีการวินิจฉัยโรค โดยการจับชีพจรผู้เข้าร่วมประชุมรวมทั้งตนเองด้วย  หลังจากนั้นก็ได้แจ้งว่าตนเป็นโรคนิ่ว  และได้จัดส่งยามาให้ทางไปรษณีย์ (ลักษณะเป็นเม็ดสีเขียว จำนวน 100 เม็ด ราคา  1,500  บาท รับประทานครั้งละ 6 เม็ด หลังอาหาร 3 เวลา) นอกจากนี้ตนยังได้ซื้อผลิตภัณฑ์ โสมคนทั้งเฉ้า  มา 5 ขวด 4,500  บาท มาเช่นเดียวกัน   ล่าสุด ภญ.สุภาวดี  ได้ออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยอีกรายซึ่งป่วยเป็นเบาหวาน  ก็พบว่าผู้ป่วยรายนี้ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ ยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียม (ตราณรงค์ เอ็น.อาร์.) ขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ทะเบียนเลขที่ G 369/53 มารับประทาน (ขนาดบรรจุ  750 ml ราคา 2,900 บาท) โดยผู้ป่วยแจ้งว่ารับประทานเพื่อรักษาอาการปวด   ด้วยความที่ ภญ.สุภาวดี  มีวิญญาณคุ้มครองผู้บริโภค จึงได้ขอตัวอย่างขวดผลิตภัณฑ์ พร้อมเอกสารโฆษณาจากผู้ป่วยมาตรวจสอบ  พบว่าเอกสารที่ผู้ป่วยมอบให้นั้น  แจ้งสรรพคุณว่า รักษาได้ 18  โรค แต่ข้อมูลที่ขอขึ้นทะเบียน และระบุที่ฉลากขวดและกล่อง  ระบุว่า บำรุงร่างกาย บำรุงโลหิต บำรุงสมอง เท่านั้น (อย่างนี้ก็เกินจริงหรือเปล่า ลองเดาเอาเองนะครับ)   ภญ.สุภาวดี  พบเห็นความผิดปกติจากการโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณ รักษาโรคได้มากมาย  จึงได้นำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทั้ง 3  นี้  มาแสดงไว้ในตู้หน้าห้องจ่ายยา  “เพื่อเป็นการแนะนำ ให้ความรู้ที่ถูกต้องทั้งทางวิชาการและทางกฎหมายว่าไม่มีผลิตภัณฑ์ใดรักษาโรคได้ครอบจักรวาลอย่างนั้น” โดยในตู้ที่เผยแพร่ความรู้ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแสดงร่วมด้วย ( เช่น  ยาชุด  ยาลูกกลอน ยาที่ไม่มีเลขทะเบียนยา  ยาแผนโบราณที่มีสเตียรอยด์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆที่อ้างรักษาได้หลายโรค) นอกจากนี้เธอยังได้ทำป้าย แสดงข้อความเตือนผู้บริโภค วางบนตู้  ว่า “อย่าหลงเชื่อ อย่าเสียเงินซื้อ ผลิตภัณฑ์ราคาแพงๆเหล่านี้รักษาโรคครอบจักรวาลไม่ได้” “โรคเหล่านี้ รักษาโดยอาหารเสริมไม่ได้ (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ มะเร็ง อัมพฤกษ์  อัมพาต หลอดเลือดสมอง ปวดเมื่อย)”   หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคนโทรศัพท์มาหาเธอ อ้างว่าโทรมาจากบริษัท ขอให้นำผลิตภัณฑ์ของบริษัทออก และยังมาถ่ายรูปตู้ดังกล่าวด้วย และอีก 2 วันต่อมา บุคคลเดิมได้โทรมาสอบถามว่า เธอได้นำผลิตภัณฑ์ของบริษัทออกจากตู้หรือยัง  ถ้ายังจะให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทดำเนินการ และถัดมาไม่กี่ชั่วโมง  ก็มีผู้อ้างว่าเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี (อ้างว่าชื่อ สุรชัย เพิ่มสงวนวงศ์ ใช้เบอร์  081-3342877) โทรศัพท์เข้ามาข่มขู่เธอว่า “บริษัท ถูกเธอกลั่นแกล้ง นำผลิตภัณฑ์ของบริษัท มาประจานและได้ปรึกษานิติกรของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว ให้เอาลงเดี๋ยวนี้  บริษัทจะดำเนินคดีกับคุณแล้ว”   แต่ด้วยความเด็ดเดี่ยวของ ภญ.สุภาวดี ซึ่งยืนยันว่าตนได้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค จึงไม่ยอมทำตามคำขู่และมีการประสานงานกับผู้ใหญ่ที่รู้จัก สืบจนได้ว่ามีการแอบอ้างชื่อ นายสุรชัย มาข่มขู่ ซึ่งขณะนี้ได้พยายามรายงานให้ผู้ที่ถูกอ้างชื่อทราบเพื่อจัดการแล้ว นอกจากนี้เครือข่ายเภสัชกรที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคยังได้ไปแจ้งข่าวใน Facebook ของท่านรัฐมนตรีเพื่อให้ดำเนินการกับผู้แอบอ้างด้วย   ท้ายนี้เลยขออนุญาตประชาสัมพันธ์เลยว่า หากผู้อ่านหรือเจ้าหน้าที่ท่านใด ที่ได้ทำหน้าที่เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค แล้วโดนข่มขู่เช่นนี้ ขอให้จดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ไว้ และไปแจ้งความหรือแจ้งมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อดำเนินการจัดการกับพวกนี้ซะที  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 111 ชาโอเว่อร์

ไม่รู้ผู้ขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ไปหาอีเมล์ผมจากไหน วันๆ ผมต้องมาคอยลบเมล์ที่ส่งมาจากใครที่ไม่รู้จักมากมาย เนื้อหาก็ไม่มีอะไร นอกจากขายสินค้าอวดอ้างสรรพคุณต่างๆ มากมาย ล่าสุดนี้ผมได้รับเมล์จากใครก็ไม่รู้ ทีแรกนึกว่าเป็นเพื่อน เพราะชื่อคล้ายกันมาก พอเปิดเมล์ดู กลายเป็นเมล์แนะนำชาสมุนไพร ชนิดหนึ่ง ลองดูเนื้อหาที่เขาส่งมาทางเมล์ซิครับ โฆษณาซะระเบิดเถิดเทิงกันเลย “ ชาสมุนไพรลดเซลลูไลท์เพื่อสุขภาพ (Instant Beverage Green tea Extract) ประกอบด้วยส่วนผสมของหัวชาชั้นดี และสมุนไพรที่คัดเลือกแล้ว , ช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินให้เปลี่ยนรูปเป็นพลังงาน ทั้งยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อและผิวหนังไว้ไม่ให้เหี่ยวย่น , ช่วยชดเชยการออกกำลังกาย (ไม่ใช่ทดแทน) ร่างกายเราจะมีปริมาณการเผาผลาญที่สูงขึ้น ลดปริมาณไขมันในเส้นเลือด” “ดื่มชาชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว จะเผาผลาญไขมันได้เท่ากับการวิ่งออกกำลังกาย 3 กิโล , ช่วยลดส่วนเกินได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นไขมันหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา , *ช่วยลดเซลลูไลท์ที่อยู่บริเวณใต้คางหรือข้างแก้ม ทำให้หน้าเรียวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด , ช่วยการขับสารพิษ และสิ่งสกปรกที่อาจตกค้างในร่างกาย และช่วยทำความสะอาดระบบภายใน” (เว่อร์กันเข้าไป) “ช่วยในกระบวนการกำจัดไขมัน โคเรสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งทำให้ลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง , จากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด , ช่วยในการขับสารพิษ และสารอนุมูลอิสระ จึงส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะมะเร็งและโรคความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย , ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าเนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงานระดับเซลล์ , ให้สารคลอโรฟิลล์(Chlorophyll) ซึ่งมีประโยชน์ต่อขบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและขับสารพิษตกค้างออกจากร่างกาย” (ยังเว่อร์ไม่หยุด) มาอีกแล้วครับ การอ้างรับรองคุณภาพแบบไร้หลักฐาน “นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีอย.รับรอง 70 ประเทศทั่วโลก” ยังไม่พอนะครับ เขายังนำรูปผู้คนต่างๆ มาโชว์ให้เห็นอีกด้วย โดยแสดงเปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้ ผมเลยตามเข้าไปดูในเว็ปที่ให้มา ก็ไม่มีการแสดงภาพสินค้าอะไรนะครับ มีแต่แบบฟอร์มให้กรอกการสั่งซื้อและขอให้แจ้งความประสงค์ในการส่งข้อมูลต่างๆ (แสดงว่าหัวหมอไม่เบา เล่นเอาตัวเองปลอดภัยไว้ก่อนเลยนะ) และท่าทางจะยิ่งรู้มากพอสมควร จึงอาศัยลูกเล่นของการได้รับอนุญาตอาหารมาโฆษณาเอาดื้อๆ “จดทะเบียน อย.ในหมวดอาหาร ไม่ใช่ยา สามารถรับประทานได้ไม่จำกัดปริมาณ ยิ่งทานในปริมาณมากยิ่งเห็นผลเร็วขึ้น หมายเลข อย. : 10-3-07839-1-0001” แต่ทำไมไม่ยักรู้ว่าเมื่อเป็นอาหาร ต้องขออนุญาตโฆษณาในลักษณะอาหารเท่านั้น ไม่ใช่ดันทะลึ่งมาโฆษณาสรรพคุณแสนวิเศษจนเสมือนยา จนชาสมุนไพรกลายร่างเป็นชาโอเว่อร์ ไปซะแล้ว ใครเจอก็ช่วยกันแจ้ง อย.หรือกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหสัดด้วยนะครับ เผื่อจะได้ไปแนะนำแบบประชิดตัวให้ถูกกฎหมายซะที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 104 ปวดร้าวเพียงใด

ฉบับที่แล้วผมให้ข้อมูลไปว่า ยาสมุนไพรหากจะผลิต แปรรูปเป็นยาแผนโบราณ ก็ต้องนำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะได้ช่วยตรวจสอบว่ามันเป็นยาที่มีความเป็นไปได้ในแง่ผลการรักษาเพียงใด โดยจะเปรียบเทียบอ้างอิงกับตำรับยาแผนโบราณเพื่อจะพิสูจน์ว่ามันไม่มีอันตรายต่อผู้ป่วย แต่ในท้องตลาดยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ จำหน่ายในทำนองนี้ด้วย เช่น เครื่องดื่มสมุนไพร หากเราสังเกตชื่อที่ระบุประเภทว่า “เครื่องดื่ม” เราจะทราบว่ามันคือเครื่องดื่ม ไม่ใช่ยา ดังนั้นมันจึงไม่สามารถ บำบัด บรรเทา รักษาโรคได้ ล่าสุดเภสัชกรสาวสวยคนเดิมจากโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ได้ส่งข้อมูลมาอีกแล้ว เธอเล่าว่าผู้ป่วยชาย อายุ 60 ปี ได้ซื้อเครื่องดื่มสมุนไพรจีน มิทเชลล์ฉาง มารับประทาน โดยดื่มวันละ 2 อึก แก้พังผืด ข้อตึง (สรุปง่ายๆ คือซื้อมากินเพื่อรักษาโรคนั่นแหละ) หลังจากรับประทานมาประมาณ 1 เดือน ก็มีอาหารผิดปกติเกิดขึ้นจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เภสัชกรสาวสวยขี้สงสัยคนนี้ จึงได้ส่งเครื่องดื่มชนิดนี้ไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ผลปรากฏว่าคราวนี้เธอร้องกรี๊ดดดดด ดังกว่าเดิม (ไม่รู้ตกใจหรือโกรธ) เพราะผลการตรวจปรากฏว่าพบยาแก้ปวด ลดไข้ พาราเซตามอล ผสมอยู่ด้วย เธอจึงรีบแจ้งมายังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามให้ติดตามตรวจสอบต่อไป ในเบื้องต้นพบว่า เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้มีวางขายแพร่หลายตามท้องตลาด ในราคา ขวดละพันกว่าบาท โดยโฆษณาว่าเป็นเครื่องดื่ม สูตรสมุนไพรแบบองค์รวม ปรุงขึ้นตามตำรับจีนโบราณ โดยเน้นความสมดุลของระบบหยิน-หยาง และธาตุทั้ง 5 (ดิน น้ำ ทอง ไม้ ไฟ) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดูแลสุขภาพ สามารถขจัดอนุมูลอิสระ(Antioxidant) อันเป็นเหตุของความชราภาพและโรคภัยต่างๆ มากมาย(ในโฆษณาไม่มีส่วนผสมของยาแผนปัจจุบันนะครับ) ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามตรวจสอบเชิงลึกอยู่นะครับว่า ยาแก้ปวดลดไข้ พาราเซตามอล มันเข้ามาอยู่ในขวดได้อย่างไร แต่เผอิญเมื่อวานได้มีโอกาสนั่งประชุมกับน้องๆ เจ้าหน้าที่จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม น้องเล่าว่าผลการตรวจยาสมุนไพรมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมๆ ที่พบแค่สารสเตียรอยด์โดยพบว่าเริ่มมีการผสมยาแผนปัจจุบันบางชนิดแล้ว และยังพบในผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยาลูกกลอนด้วย เช่น พบในยาผงสมุนไพร หรือยาน้ำหรือเครื่องดื่มอีกด้วย {xtypo_info}เรื่อง ที่เล่ามานี้คงเป็นข้อมูลเตือนภัยอีกทางหนึ่งว่า แม้การดูแลสุขภาพจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเลือกผลิตภัณฑ์มาใช้อย่างรอบคอบระมัดระวัง ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างยิ่ง และถ้าเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ใช่ยา (เช่น เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฯลฯ) ยิ่งต้องระวัง ไม่ใช้อย่างสับสน ต้องท่องให้ขึ้นใจว่า “มันคืออาหาร ไม่ใช่ยา มันจึงรักษาโรคไม่ได้” เราจะได้ปลอดภัยทั้งตัวและปลอดภัยทั้งตังค์นะครับ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 103 โอม… เพี้ยง! ไขมันจงลด

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม “อัลดุลลา....มาแหล่ว....หายมั๊ย...หาย...ลดมั๊ย...ลด” ยาสมุนไพร เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุนิยมใช้กันมาก ยาสมุนไพรหากจะผลิต แปรรูปเป็นยาแผนโบราณ ก็ต้องนำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะได้ช่วยตรวจสอบว่ามันเป็นยาที่ทีความเป็นไปได้ในแง่ผลการรักษา โดยจะเปรียบเทียบอ้างอิงกับตำรับยาแผนโบราณเพื่อจะพิสูจน์ว่ามันไม่มีอันตรายต่อผู้ป่วย แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผลการรักษาของยาแผนโบราณมันจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ผลปรู๊ดปร๊าดรวดเร็วแบบยาแผนปัจจุบันนะครับ วันหนึ่งมีผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 40 ปี มาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ด้วยอาการที่ผิดปกติที่คาดว่าน่าจะเกิดจากการใช้ยา เภสัชกรสาวสวยผู้รับเรื่อง จึงได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจึงทราบว่า ผู้ป่วยรายนี้ได้รับประทานยา “สมุนไพรอโรคยาศาลาอิสระธรรม” ตามสรรพคุณที่ว่า “ขยายหลอดเลือด ลดไขมันในเลือด” พร้อมทั้งเล่าว่าได้ยานี้มาจาก อโรคยาศาลาอิสระธรรม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยจะรับประทานครั้งละ 3 เม็ด วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น หลังจากการกินมาประมาณ 2 เดือนก็พบอาการผิดปกติเภสัชกรสาวสวย (เธอฝากมาย้ำว่าให้ระบุด้วย) จึงได้ส่งยาไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ผลการตรวจปรากฏว่า พบ “ยาลดไขมัน Simvastatin” ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบัน ผสมอยู่ในยาชนิดนี้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอจะร้อง กรี๊ดดดดดด หรือไม่ รู้แต่ว่าเธอแจ้นมาแจ้งเรื่องยัง เภสัชกร ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามทันที เจ้ายาลดไขมัน Simvastatin นี้ บางครั้งอาจจะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงต่างๆ เช่น อาการปวดเกร็งท้อง ท้องเสียหรือท้องผูก คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย ปวดแสบกระเพาะ ปวดศีรษะ มองภาพไม่ชัด เวียนศีรษะ ผื่น คัน นอกจากนี้ยังมีคำเตือนสำหรับผู้ใช้อีก คือ “ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์หรือสงสัยว่าอาจจะมีการตั้งครรภ์ รวมทั้งในระยะให้นมบุตรด้วย และควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากเป็นโรคตับ โรคไต ติดเชื้ออย่างรุนแรง ความดันโลหิตต่ำ ควรบอกแพทย์หรือเภสัชกรว่าขณะนี้ได้รับยาอะไรอยู่บ้าง โดยเฉพาะยา ซัยโคลสปอริน อิริโธรมัยซิน เจ็มไฟโปรซิล ไนอะซิน และยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วอร์ฟาริน ฯลฯ (เพราะมันส่งผลต่อกัน) และถ้าหากต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือทำฟันให้บอกแพทย์หรือทันตแพทย์ด้วยว่าขณะนี้ได้รับยา Simvastatin นี้อยู่ เนื่องจากยานี้จะไปส่งผลต่อยาอื่นและมีผลต่อร่างกาย และถ้ามีอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแข็งกดเจ็บ ตะคริวหรืออ่อนเพลีย โดยมีไข้หรือไม่มีไข้ให้รีบพบแพทย์ทันที” แค่เห็นคำเตือนต่างๆ ก็ย่อมจะทราบได้ว่าเจ้ายาลดไขมันที่มันไปปรากฏแบบไม่ได้รับเชิญในยาสมุนไพรนั้น มันมีอันตรายอย่างไร ขณะนี้ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ได้แจ้งเรื่องไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม ให้ไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วน ที่เล่านี้ก็อยากให้เป็นอุทธาหรณ์ว่า สมัยนี้หากจะเลือกยาสมุนไพรหรือยาแผนโบราณมารับประทาน อย่าไว้ใจง่ายๆ ต้องท่องให้ขึ้นใจว่า “ต้องมีทะเบียนยา” เสมอ และหากเจอผลการรักษาที่รวดเร็วปรู๊ดปร๊าด ให้พึงสังหรณ์ใจไว้ก่อนว่าอาจจะมีแขกที่กฎหมายไม่ได้เชิญมาปนอยู่ด้วยก็ได้ ให้รีบแจ้งกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค อย.หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อติดตามตรวจสอบโดยด่วน โอม เพี้ยง!

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 101 ไปดูเขาขาย น้ำสมุนไพรหมักแบบลักไก่

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ในยุคที่ผู้บริโภคหันกลับมาสนใจกับสมุนไพร การผลิตน้ำสมุนไพรโดยกลุ่มผู้ประกอบการต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่สร้างสีสันให้แก่ผู้บริโภคมาก และผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่มันอ่อนระโหยโรยแรงกันหรืออย่างไร ส่วนใหญ่น้ำสมุนไพรเห็นที่ผลิตกันหลายต่อหลายรายจึงมักจะมีสรรพคุณบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง โดยการผลิตก็จะนำเอาสมุนไพรพื้นบ้านต่างๆ มาหมักเป็นน้ำสมุนไพรและนำมาขออนุญาตขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ   วันหนึ่งก็เกิดปรากฎการณ์มหัศจรรย์แบบ “ลักไก่” เกิดขึ้นจนได้ เรื่องของเรื่อง คือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ดันไปตรวจพบน้ำสมุนไพรหมักเต็มพลัง ตราโสมตังเซียม และน้ำสมุนไพรหมักเต็มพลัง ตราผู้ใหญ่สุพรรณ ที่ผลิตแถวๆ อำเภอสูงเนิน วางจำหน่ายในท้องตลาด โดยยังไม่ได้ขออนุญาตสถานที่ผลิตให้ถูกต้องเป็นเรื่องเป็นราวซะด้วยสิ จากการตรวจสอบฉลากข้างขวดของน้ำสมุนไพรหมักเต็มพลัง ตราผู้ใหญ่สุพรรณ มันระบุว่า ประกอบไปด้วย หัวโสม ม้ากระทืบโรง กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร โด่ไม่รู้ล้ม แหม…แต่ละอย่างมันชวนให้สอดคล้องกับ สรรพคุณที่ระบุว่า “บำรุงร่างกายให้แข็งแรง” ซะด้วย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เขาพลิกคว่ำพลิกหงายตะแคงขวดตรวจดูยังไง ก็ไม่ยักเจอ เลขทะเบียนยาแผนโบราณ เลยเก็บตัวอย่างส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์นครราชสีมา เพื่อดูให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่ามันมีส่วนผสมอะไรบ้าง แล้วความจริงก็ปรากฏ คือพบยาแผนปัจจุบันผสมลงไปด้วย เป็นยา Cyproheptadine ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผู้ที่รับประทานเจริญอาหารขึ้นมาได้ ไม่รู้ผู้ผลิตเขาคิดง่ายๆ คือให้กินยาน้ำสมุนไพรเข้าไป แล้วก็คงจะเจริญอาหารขึ้นมาทันตาเห็น พอกินอาหารได้มากขึ้น ร่างกายก็อาจจะแข็งแรงขึ้นมามั้ง ขออนุญาตเอากรณีดังกล่าวนี้เป็นตัวอย่างป่าวประกาศเลยนะครับ หากใครจะผลิตน้ำสมุนไพรหมัก โดยจะโฆษณาว่ามีสรรพคุณทางยา อย่าลืมมาขออนุญาตขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณให้ถูกต้องนะครับ และเมื่อได้รับอนุญาตให้ทำการผลิตได้แล้ว ก็ต้องแสดงฉลากให้ผู้บริโภคเห็นข้อมูลครบถ้วนตามที่กฎหมายเขากำหนด รวมทั้งต้องแสดงเลขทะเบียนตำรับยาด้วย และที่สำคัญ “ต้องผลิตด้วยสูตรตามที่ได้รับอนุญาต” นะครับ ประเภทที่ขออนุญาตผลิตยาแผนโบราณ แต่แอบเอายาแผนปัจจุบันผสมแบบลักไก่ให้ออกฤทธิ์ตามต้องการนั้นไม่ถูกกฎหมายนะครับ ติดคุกนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 90 สำรวจ : นวดไทย โดนใจอย่างแรง

“แพทย์แผนไทย” ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาไทย ยาสมุนไพร อบ ประคบหรือนวด จัดเป็นบริการทางการแพทย์สาขาหนึ่งที่แทรกอยู่ในสถานพยาบาลของรัฐ ทั้งโรงพยาบาลระดับศูนย์ โรงพยาบาลชุมชนและสถานีอนามัย  แม้จะไม่ทุกแห่งแต่ก็ครอบคลุมทั่วประเทศ คุณที่มีบัตรทองหรือสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลอื่นสามารถขอใช้บริการได้ หรือไม่มีสิทธิหลักประกันก็ร่วมจ่ายค่ารักษาได้ในราคาไม่แพง เรียกว่า ถูกและดี ทั้งเป็นการส่งเสริม “คุณค่าแบบไทย” อีกด้วย ก่อนปี พ.ศ.2551 รู้ไหมว่า “นวดไทย” ครองใจชาวบ้านมากที่สุด จาก “รายงานสถานการณ์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก ประจำปี พ.ศ.2548-2550” โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ การพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในรายงานฉบับนี้ระบุว่า เมื่อสำรวจข้อมูลจากศูนย์ส่งเสริมสุขภาพการแพทย์แผนไทย 57 แห่ง จากทั้งหมด 70 แห่ง พบว่า ปี 2546 มีผู้ใช้บริการแพทย์แผนไทย ทั้งเพื่อการบำบัดรักษา การฟื้นฟูสมรรถภาพ การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค รวม 407,651 ครั้ง โดย นวดไทย ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นร้อยละ 48 ประคบ ตามมาห่างๆ ที่ร้อยละ 19.3 การใช้ยาไทยและยาสมุนไพร ร้อยละ 17.8 อบไอน้ำสมุนไพร ร้อยละ 10.2 ที่เหลือก็เป็นนั่งสมาธิ การขอความรู้ หรือแม้แต่การทำฤาษีดัดตน ปวดหลัง ปวดไหล่นวดไทยช่วยคุณได้ ทำไมนวดไทยมาแรง เรามาดูสาเหตุของการเจ็บป่วยกันก่อน ในรายงานสถานการณ์การแพทย์แผนไทยฯ อาการเจ็บป่วยที่พึ่งแพทย์แผนไทย สูงสุดอันดับหนึ่งร้อยละ 59.3 คือ เจ็บป่วยเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก ทายสิว่า ปวดอะไรมากที่สุด เฉลย…ปวดหลังมากที่สุด รองลงมาก็ปวดเมื่อย/เคล็ดขัดยอก ปวดขา/ข้อเท้าแพลง ปวดไหล่/สะบัก/บ่า   และปวดเข่า/เข่าอักเสบ อันนี้สอดรับกับข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2546 ซึ่งพบว่า คนไทยที่เจ็บป่วยและเลือกใช้การรักษาในแนวทางแพทย์แผนไทย แพทย์พื้นบ้าน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม ทั้งเกษตรและประมง โดยกลุ่มโรคที่พบมากสุดคือ  โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและข้อ ซึ่งโรคกลุ่มนี้จัดเป็นอาการแบบเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ เพราะรู้กันอยู่ว่า คนในภาคเกษตรกรรมนั้น ทำงานหนักใช้แรงกายมาก อาการปวดเมื่อยหลังไหล่เลยพบได้บ่อย นวดนี่แหละช่วยได้มาก ไม่ต้องกินยาให้เสี่ยงกับอาการไม่พึงประสงค์จากยา  แต่บริการนวดเขาก็ไม่ได้ปิดกั้นคนทำงานออฟฟิสนะ เดี๋ยวนี้โรคปวดหลัง ปวดไหล่ ไม่เข้าใครออกใคร ไม่เฉพาะคนสูงอายุ วัยทำงานแหละตัวดี ดังนั้นหากปวดหลังไหล่ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว แล้วกินแต่ยากันจนเคย ลองเปลี่ยนมาใช้บริการนวดไทยในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเอกชนที่เปิดให้บริการนวด ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย  นวดไทยเป็นสิทธิประโยชน์ในบัตรทองตอนปี 2549 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกาศนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการแพทย์แผนไทย โดยการเพิ่มการรักษาพยาบาลด้วยระบบนี้ไว้ในชุดสิทธิประโยชน์ของผู้ถือ “บัตรทอง” และเพิ่มเงินสนับสนุนอย่างจริงจังในปี 2551 ให้กับการจัดบริการแพทย์แผนไทย เน้นการนวดเพื่อการรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสภาพ   ปรากฏว่า ผ่านมา 6 เดือน (มกราคม – มิถุนายน 2551) ผู้ถือบัตรทองนิยมบริการนวดแผนไทยเพื่อรักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพ ถึง 60,000 ครั้ง โดยเขตเชียงใหม่ใช้บริการมากสุด 17,000 ครั้ง จากหน่วยบริการ 122 แห่ง ส่วนเขตพื้นที่ที่มีการใช้บริการน้อยที่สุดคือ เขตพื้นที่สุราษฎร์ธานี ใช้บริการ 600 ครั้ง จากหน่วยบริการ 13 แห่ง โดยขณะนี้มีสถานพยาบาลทั่วประเทศ ทั้งโรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ สถานีอนามัย และศูนย์สุขภาพชุมชน ที่ให้บริการแพทย์แผนไทย ที่เกี่ยวกับการนวด ประคบ อบสมุนไพร เพื่อการรักษาพยาบาลและฟื้นฟูสภาพทั้งสิ้น 708 แห่ง นวดไทย เสน่ห์ไทย นวดไทยนับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับแล้วว่าสามารถผ่อนคลายบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้หลายกลุ่มอาการโรค ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาการเรียนการสอนด้านการนวดไทยอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐานถูกต้องตามหลักวิชาการ ประโยชน์ของการนวด มีมากมาย ทั้งลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เพิ่มระบบการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง กระตุ้นระบบประสาท เพิ่มประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจ ฟื้นฟูสภาพของระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบประสาท และทำให้รู้สึกสบายคลายเครียด แล้วคุณล่ะ จะลองไปนวดกันสักครั้งดีไหม 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 54 น้ำสมุนไพร ของดีที่ไม่ต้องซื้อหา

ส่วนที่ใช้และวิธีทำ   ประโยชน์และสรรพคุณ   ดอกคำฝอย   ใช้ดอกต้มในน้ำเดือดจัด ๆ ปิดฝาทิ้งไว้ 3 - 5 นาที   ช่วยบำรุงประสาท บำรุงหัวใจ ลดไขมัน ขับเหงื่อ แก้โรคดีพิการ ช่วยให้สตรีมีประจำเดือน เป็นปกติ เป็นยาระบายอ่อน ๆ มีสารคาธามีน ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น   น้ำขิง เลือกขิงที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ล้างน้ำปอกเปลือกทุบพอแหลก ตั้งน้ำให้เดือดอีกราว 2 - 5 นาที หากต้มนานเกินไป ความหอมจะจางลงกรองเอากากออก   ดื่มแก้ไอ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ และช่วยย่อยอาหารพวกโปรตีน รวมทั้งแก้เมารถเมาเรือ มีฤทธิ์แก้ปวดข้อ   น้ำกระเจี๊ยบ เลือกดอกกระเจี๊ยบแดง คัดเอากลีบหนึ่งขีดครึ่งใส่ในหม้อเคลือบ เติมน้ำ 3 - 4 ลิตร ต้มนาน 30 - 40 นาที จนน้ำต้มเป็นสีแดงสดกรองเอากากออก ดื่มแก้กระหาย ให้ความสดชื่น กัดเสมหะ แก้ไอ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อน ๆ   น้ำใบบัวบก ใช้ต้นบัวบกสด ล้างน้ำให้สะอาด ตำหรือใส่เครื่องปั่นก็ได้ เติมน้ำสุกลงไปพอประมาณ กรองกากออกจะดื่มน้ำคั้นสดหรือเติมน้ำเชื่อมนิดหน่อยก็ได้   ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ มีวิตามินเอและแคลเซียมในปริมาณสูง   น้ำดอกอัญชัน ดอก ตากแห้ง ต้มดื่มเป็นชา   ตับกระหาย มีสารแอนโธชัยยานิน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิต้านทาน   น้ำมะตูม ใช้มะตูมดิบหั่นเป็นแว่นตากแดดแล้วอบหรือหั่นเป็นชิ้น คั่วให้หอม ชงเป็นชา   เป็นยาระบายขับลม ช่วยเจริญอาหาร ขับเสมหะ แก้อาการร้อนในได้ดี น้ำหญ้าหนวดแมว ใช้ส่วนต้นใบและดอก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากให้แห้ง ต้มดื่ม   ลดอาการปวดเมื่อย ช่วยรักษาโรคไต และขับปัสสาวะ   ชาทองพันชั่ง รากและต้น ตากแห้ง ชงเป็นชา   แก้ขัดปัสสาวะ แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยเพิ่มธาตุน้ำย่อย   ชาหญ้าลูกใต้ใบ รากและต้น ตากแห้ง ชงเป็นชา   รสขมมีฤทธิ์เป็นยาเย็น แก้ไข้ทุกชนิด แก้ดีซ่าน บำรุงตับ แก้บิด ถ่ายเป็นมูกเลือด   ชาหนุมานประสานกาย ใบตากแห้ง ชงเป็นชา   แก้หวัด แพ้อากาศ บรรเทาอาการหอบหืด และโรคหลอดลมอักเสบ   น้ำเชอร์รี่ นำไปใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียด นำไปกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำเปล่า ต้มสุกส่วนที่เหลือใส่วงไปคั้นกับกากเชอร์รี่ให้แห้งมากที่สุด นำน้ำเชอร์รี่ที่คั้นได้ ใส่น้ำเชื่อมเติมเกลือ ชิมรสตามชอบ มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง   น้ำลูกเดือย นำลูกเดือยล้างให้สะอาด ใส่หม้อเติมน้ำตั้งไฟเคี่ยวจนลูกเดือยสุกเปื่อย ใส่น้ำตาล เกลือป่นใส่ในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียดชิมรสตามชอบ   ให้ฟอสฟอรัสสูงมากช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงธาตุ เป็นอาหารสำหรับคนไข้พักฟื้น ช่วยเจริญอาหาร ชงเป็นยาเย็นขับปัสสาวะแก้ร้อนใน บำรุงไต กระเพาะอาหาร ม้าม รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอดรักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง   น้ำฝรั่ง เลือกฝรั่งที่แก่จัด ล้างน้ำสะอาด ฝานเนื้อชิ้นเล็ก ๆ นำใส่เครื่องปั่น เติมน้ำสุก ปั่นจน ละเอียดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบางเติมน้ำเชื่อมและเกลือป่นเล็กน้อย ชิมรสตามใจชอบ   มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันและมีสาร เบต้า-แคโรทีน ช่วยลด สารพิษในร่างกาย ทั้งยังป้องกันไม่ให้ไขมันจับที่ผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของ โรคเลือดแข็งตัว ช่วยลดระดับไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดอุดตัน   น้ำฟ้าทะลายโจร เอาฟ้าทะลายโจรหั่นตากแห้ง ใส่หม้อต้ม เอาใบเตยหอมหั่นใส่ลงไปด้วย เพื่อสร้าง ความหอมและน่าดื่ม .ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ ต้มจนเดือด เคี่ยวจนงวด ยกลงเอากากออก แบ่งดื่มวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น   ช่วยโรคภูมิแพ้ได้ดี แก้ร้อนใน เจ็บคอ ตัวร้อน ปวดหัว ช่วยเจริญอาหาร   น้ำเห็ดหลินจือ นำเห็ดหลินจือแห้งและน้ำสะอาดใส่ลงในหม้อเคลือบหรือหม้อดินยิ่งดี ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ ต้มจนเดือด แล้วหรี่ไฟลงให้น้ำเดือดปุด ๆ ต่อไป ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงยกลง ควรดื่มน้ำสกัดจากเห็ดที่มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิร่างกาย ให้ดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน   สารอาหารในเห็ดหลินจือ จะเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ในร่างกายให้ทำหน้าที่ปรกติ และสามารถต้านทานการเจริญเติบโตของเซลมะเร็ง ต้านการจับตัวของลิ่มเลือด รวมทั้งลดน้ำตาลในเลือด เป็นยาอายุวัฒนะ มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายเกือบ ทุกระบบของร่างกาย เช่นระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคที่เกิดจากการมีคลอเรสเตอรอล ในเลือดสูง เส้นเลือดอุดตัน หลอดเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง โรคหัวใจ และรอบเดือน ไม่ปรกติของสตรี ระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอักเสบ ลำไส้อักเสบ ท้องผูก ทางเดินอาหารอักเสบเรื้อรัง ริดสีดวงทวารโรคมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายโรคอื่น ๆ เช่น โรคตับอักเสบ โรคไขข้ออักเสบ โรคอ้วน อัมพาต อัมพฤกษ์ โรคไตอักเสบ โรคปวดหัวข้างเดียวนอนไม่หลับ และโรคเครียด   น้ำข่า เอาข่าแก่ที่ตากแห้งแล้วใส่ลงไปในถ้วยกาแฟ 4-5 แว่น .เอาน้ำร้อนเดือดใส่ลงไปค่อนถ้วย ปิดฝาถ้วย ทิ้งไว้ซักครู่หนึ่งแล้วค่อยดื่ม ควรดื่ม 2-3 ถ้วยต่อวัน ก็ทำให้สบายท้องขึ้น หรือจะใช้ ข่าสดก็ได้ 10-12 แว่น นำมาทุบให้แตก ต้มเอาน้ำดื่มก็ได้   ช่วยขับลมได้อย่างดี เป็นการระบายลมออกมา จากลำไส้ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว น้ำคะน้า นำใบคะน้าล้างให้สะอาด หั่นใส่เครื่องปั่นเติมน้ำต้มสุกครึ่งหนึ่งปั่นจนละเอียด นำมากรอง จากนั้นเติมน้ำส่วนที่เหลือลงไปเติมน้ำเชื่อม น้ำมะนาว เกลือ ชิมรสตามชอบ   ให้วิตามินเอสูงมากช่วยบำรุงสายตา คะน้าเป็นแหล่ง เบต้า-แคโรทีน ซึ่งช่วยต้านการ ก่อมะเร็งรองลงมามีแคลเซียมบำรุงกระดูกและฟัน และมีวิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออก ตามไรฟัน ช่วยให้เนื้อเยื่อของเราทำงานได้ดี ป้องกันโรคโลหิตจาง ลดอุณหภูมิใน ร่างกาย แก้กระหายน้ำ   น้ำกระเพราแดง เอาใบกระเพราแดงสดมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปตากแดด 2-3 แดดจนแห้ง เก็บไว้ใน กระป๋อง เวลาชงเอากระเพราแดงแห้งใส่ในกระติกน้ำร้อนหรือชงกับน้ำ 1 แก้วก็ได้ ทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วดื่มได้เลย   ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ดี   น้ำมะนาว นำมะนาวมาล้างเปลือกแล้วผ่าออก เอาเมล็ดมะนาวออกให้หมดคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำ น้ำเชื่อม เกลือ คนให้เกลือละลายชิมรสตามชอบ หรืออาจเอาเปลือกของผลสดประมาณ ครึ่งผล หรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออกชงน้ำร้อนดื่ม เวลามีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด   มีวิตามินซีมากช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับเสมหะ ลดอาการไอ เจ็บคอ คลื่นไส้อาเจียนและช่วยขับลมในกระเพาะ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อและอ่อนเพลีย   น้ำมะเฟือง ล้างมะเฟืองที่แก่จัดให้สะอาด หั่น แกะเมล็ดออก แล้วนำใส่เครื่องปั่น เติมน้ำสุกปั่นจนละเอียดแล้วเติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามใจชอบ ถ้าต้องการเก็บไว้ดื่ม ให้ตั้งไฟให้เดือด 3-5 นาที กรอกใส่ขวด นึ่ง 20-30 นาที เย็นแล้วนำเข้าตู้เย็น   น้ำมะเฟืองมีสีเหลืองอ่อน ๆ มีกลิ่นหอม ประกอบด้วยคุณค่าทางอาหาร วิตามินเอ วิตามินซี ฟอสฟอรัสและแคลเซียมเล็กน้อย เป็นยาขับเสมหะ ป้องกันโรคโลหิตจาง ขับปัสสาวะรวมทั้งป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน   น้ำมะม่วง เตรียมวิธีที่ 1 ใช้มะม่วงดิบ เช่น มะม่วงแก้วหรือมะม่วงแรด เป็นมะม่วงที่มี รสเปรี้ยวไม่มากนัก จะได้น้ำมะม่วงที่มีรสกลมกล่อมปอกเปลือกมะม่วงออก ล้างน้ำ สับให้เป็นเส้นเล็ก ๆ คั้นกับน้ำสุก กรองด้วยผ้าขาวบาง เอากากออก เติมน้ำเชื่อม เกลือป่นชิมรสตามชอบ ใส่น้ำแข็งดื่มจะได้น้ำมะม่วงใส สีขาวนวล มีรสหวานอมเปรี้ยวเตรียมวิธีที่ 2 ใช้มะม่วงดิบเหมือนวิธีที่ 1 คือ สับให้เป็นเส้นเล็ก ๆ ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสุก น้ำเชื่อมและเกลือป่นตามต้องการชิมดูรสตามใจชอบ น้ำมะม่วงวิธีนี้ จะขุ่นขาว เพราะมีเนื้อมะม่วงปนอยู่เตรียมวิธีที่ 3 ใช้มะม่วงสุก ล้างมะม่วงให้สะอาด ปอกเปลือก ฝานเนื้อเข้า เครื่องปั่นเติมน้ำสุก เติมเกลือเล็กน้อย ชิมรส ถ้าต้องการหวานให้เติมน้ำเชื่อม ลงไป น้ำมะม่วงควรเตรียมและดื่มให้หมดภายใน 1 วัน   มีวิตามินเอและซีสูง ช่วยบำรุงสายตาป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และยัง มีฟอสฟอรัสแคลเซียมและเหล็กเล็กน้อย เป็นยาระบายอ่อน ๆ   น้ำมะขาม นำมะขามสดไปลวกในน้ำต้มเดือด ตักขึ้น แกะเอาแต่เนื้อมะขาม นำไปต้ม กับน้ำตาลส่วนผสมให้เดือด เติมน้ำเชื่อม เกลือชิมรสตามชอบ แต่ถ้าใช้ มะขามเปียก ควรแช่น้ำไว้สัก 1/2 ชั่วโมง เพื่อให้มะขามเปียก เปื่อยยุ่ยออก มารวมกับน้ำ ก่อนนำไปต้มจนเดือดแล้วปรุงด้วยน้ำเชื่อมและเกลือ   คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา และมีแคลเซียมช่วยบำรุง กระดูก รวมทั้งแก้กระหายน้ำ ช่วยขับเสมหะแก้ไอ เป็นยาระบายท้อง ช่วยการขับถ่ายได้ดี ลดอาการโลหิตจาง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน   น้ำแมงลัก เอาเม็ดแมงลักมาเลือกเอาเศษผงออก แล้วเอา ใส่ภาชนะที่ทนความร้อน เอาน้ำร้อนหรือน้ำเย็น เทลงใส่ในเม็ดแมงลัก คนให้เข้ากัน ปล่อยให้ เม็ดแมงลักพองตัวออกจนมีลักษณะเป็นเมือกขาวใส ตรงกลางเม็ดแมงลักจะมีสีดำ ๆ เอาน้ำตาลใส่ ในเม็ดแมงลัก ชิมรสตามชอบ   ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด เป็นการช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเป็นโรคหัวใจ แก้ท้องผูก ระบายท้อง ถ้าให้ได้ผลดีควรดื่มก่อนนอน   น้ำมะระขี้นก นำมะระขี้นกล้างให้สะอาด ผ่าซีก แกะเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นยาว ๆ บาง ๆ ตามขวางของผลมะระ นำใบเตยหั่นเป็นท่อนสั้นๆตากแห้งแล้วคั่วให้เหลือง กรอบเก็บในขวดปากกว้าง เอามะระขี้นก ใบเตยหอมและน้ำใส่ในหม้อต้มให้ เดือด หรือถ้าไม่อยากต้ม จะใส่ในถ้วยแก้ว ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วนำมาดื่ม ได้ไม่ต้องกลัวว่าจะขมเวลาดื่ม เพราะแก้ไขด้วยการเอาใบเตยหอมและ น้ำมะนาวมาผสมช่วยกลบความขมของมะระขี้นกได้ดี   มีวิตามินเอสูงมากช่วยบำรุงสายตา น้ำคั้นผลมะระ เมื่อดื่มจะช่วยลดการเกิด ต้อกระจกจากเบาหวาน ช่วยเจริญอาหาร ลดน้ำตาลในเลือด ลดไข้ แก้ อาการข้ออักเสบ บำรุงน้ำดี   น้ำส้ม นำส้มมาล้างเปลือกให้สะอาด ใช้มีดผ่าขวางลูก คั้นเอาแต่น้ำเติมเกลือ ตักเอาเมล็ดออก ชิมรสตามชอบ มีวิตามินเอมากช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและ วิตามินซี ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันโรคเลือดออก ตามไรฟัน   น้ำสัปปะรด ล้างสับปะรดให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วล้างอีกครั้ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบ   มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากช่วยบำรุงกระดูกและฟัน รองลงมามีวิตามินซี ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้อง ลดอาการอักเสบ บวม ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยขับเสมหะ   น้ำตำลึง นำใบตำลึงมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ ละเอียด นำไปกรอง ใส่น้ำที่เหลือคั้นเอาแต่น้ำ นำน้ำที่ได้ไปใส่เกลือ น้ำมะนาว น้ำเชื่อม ชิมรสตามชอบ   ให้วิตามินเอสูงมาก ซึ่งช่วยบำรุงสายตา มีแคลเซี่ยม และฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและวิตามินซี ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน นำใบมาตำ ให้ละเอียด แก้อาการแพ้ อาการอักเสบ แมลงกัดต่อย ช่วยป้องกัน โลหิตจาง โรคมะเร็งและหัวใจขาดเลือด   น้ำแตงโม นำเนื้อแตงโม น้ำ น้ำเชื่อม เกลือ ใส่ในเครื่องปั่น นำไปปั่นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบ มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา และวิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออก ตามไรฟัน ช่วยขับปัสสาวะ ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ   น้ำมะเขือเทศ นำมะเขือเทศล้างให้สะอาด หั่นให้ชิ้นพอประมาณ ใส่ในเครื่องปั่น พร้อมน้ำเชื่อม เกลือ น้ำสุก ปั่นให้ ละเอียด ชิมรสตามชอบ   มีเบต้า-แคโรทีน สูงมาก ช่วยต่อต้านมะเร็งและมี วิตามินซี สูงมากเช่นกันป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ทำให้เกิดความสดชื่นแก้กระหายน้ำ ผิวพรรณผ่องใส ช่วยในการย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยฟอกเลือดและป้องกันโรคมะเร็ง   น้ำว่านหางจรเข้ เ เอาว่านหางจระเข้มาปอกเปลือก ล้างน้ำเอายางสีเหลือง ออกให้หมด ต้มให้สุกแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใบเตยหอมเช่นกัน นำมาหั่นชิ้นเล็ก ๆ นำไปต้มเพื่อเอาน้ำมาใช้ประโยชน์ . เอาว่านหางจระเข้ผสมรวมกับน้ำเตยหอม น้ำเชื่อม ใส่เครื่องปั่น ตามด้วยน้ำแข็งทุบ ปั่นจนละเอียด เทใส่แก้วดื่มได้ทัน   ในวุ้นมีสารสำคัญออกฤทธิ์สมานแผล ช่วยเร่ง การเจริญเติบโต ของเซลที่อยู่รอบ ๆ แผล ช่วยบำรุงร่างกายเนื่องจากการ อ่อนเพลียพักผ่อนน้อย ช่วยระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ   ใบชะพูล รากและต้น หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากให้แห้ง ต้มเคี่ยวจนน้ำงวดลง   แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม   น้ำรากบัว รากบัวสด ฝานเป็นแนวเฉียง ใส่หม้อต้มจนเนื้อรากบัวนิ่ม   ดับอาการร้อนใน แก้ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ หอบหืด ผิวหนังซีด   น้ำเก็กฮวย ใช้ดอกแห้ง ล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อต้มน้ำเดือดนาน 5 นาที   ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ เป็นยาช่วยย่อย มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ   น้ำใบเตยหอม ใบเตยสดที่ไม่แก่มากเก็บใหม่ๆ ล้างทีละใบให้สะอาด แช่น้ำด่างทับทิม หรือน้ำเกลือ 10-15 นาที นำมาหั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็ก ๆ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งใส่ลงในหม้อที่มีน้ำกำลังเดือด ต้มเคี่ยว 5-10 นาที เติมน้ำตาลทรายให้รสหวานจัด กรองเอากากออก ใบเตยที่หั่นแล้ว ส่วนที่สองปั่นให้ละเอียด โดยเติมน้ำ กรองเอากากออก เติมน้ำที่คั้นได้ ซึ่งมีสีเขียวและกลิ่นหอมลงในหม้อที่เติมน้ำตาลและกำลังเดือด ชิมให้มีรสหวาน พอเดือดรีบยกลง เมื่อดื่มใส่น้ำแข็งบดละเอียด   ใบสด ต้มกับน้ำดื่ม ลดอาการกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น น้ำตะไคร้ มีส่วนประกอบหลัก 3 อย่างคือ 1.ใช้ตะไคร้ 2-3 ต้นเอามาทั้งต้นทั้งใบ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วมัดเป็นกำ 2.เอาใบกะเพรา 1 กำมือ มาล้างน้ำให้สะอาด 3.เอาใบเตยหอมมาล้างน้ำแล้วมัดให้เป็นท่อน เอาตัวยาทั้งสามมาใส่หม้อ ใส่น้ำพอประมาณตั้งไฟอ่อน ๆ ต้มสักครู่ เสร็จแล้วกรองน้ำที่ต้ม ผสมน้ำตาลทรายหรือน้ำเชื่อมเล็กน้อย ควรดื่มขณะที่ยังอุ่นๆ   น้ำตะไคร้ช่วยดับกระหายและเป็นยาแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อได้   น้ำเชื่อมขิงใบมะขาม นำขิงแก่สดมาหั่นเป็นแว่นๆ ประมาณ 30 ชิ้น  เติมน้ำลงในหม้อ 2 แก้ว (แก้วขนาด 250 ซี.ซี.) แล้วใส่ขิงที่หั่นไว้ลงไป นำไปตั้งไฟ ต้มให้ เดือดนาน 5 – 10 นาที ตักเอาเนื้อขิงออกให้หมดแล้วนำไปตั้งไฟต่อ แล้วนำใบมะขามอ่อนที่ล้างสะอาดใส่ลงในหม้อพอให้ปริ่มน้ำ หรือ มะขามเปียกครึ่งช้อนโต๊ะ ต้มต่อไปให้เดือดนาน 5 – 10 นาที  หลังจาก นั้นให้กรองเอาใบมะขามหรือมะขามเปียกออกด้วยผ้าขาวบาง นำน้ำขิงใบมะขามที่ได้มาตั้งไฟอ่อน ๆ ค่อย ๆ เติมน้ำตาลงไปจนเป็น ได้รสชาติที่พอใจ   ใช้เป็นยาแก้ไอสำหรับเด็ก   น้ำมะขามสามรส 1.ยี่หร่านำมาคั่วด้วยไฟอ่อนๆ คั่วพอให้มีกลิ่นหอมแล้วมาตำให้แหลกแยกไว้2.นำพริกไทยมาตำบดหรือตำให้เป็นผง3.มะขามเปียกแช่น้ำสะอาดไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นเอามาคั้น และกรองด้วยผ้าขาวบางสะอาด เติมน้ำตาลทรายคนให้ละลาย นำไปต้มให้เดือดนานประมาณ 1-2นาที จากนั้นเติมเกลือทีละน้อยชิมรสตามใจชอบ นำยี่หร่าคั่วและ พริกไทยเติมลงไปทีละน้อย คนให้เข้ากันดี   แก้กระหาย บำรุงกำลัง ขับลม เป็นยาระบายอ่อน ๆ

อ่านเพิ่มเติม >