ฉบับที่ 166 รู้เท่าทันวิตามินซีกับไข้หวัดธรรมดา

ฤดูหนาวเริ่มมาถึงแล้ว เด็กๆ ผู้สูงอายุ แม้กระทั่งคนหนุ่มสาวมีโอกาสที่จะเป็นไข้หวัดธรรมดาได้ง่าย  มีคนถามกันมากว่า การกินวิตามินซีขนาดสูงจะช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัดธรรมดาได้หรือไม่  จึงลองสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ของ Cochrane (ซึ่งเป็นเครือข่ายอิสระของบุคลากรด้านสุขภาพ นักวิจัย ผู้ป่วยและอื่นๆ ที่ร่วมกันทำหลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวิจัยต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพ    Cochrane เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ มีเครือข่ายกว่า 120 ประเทศที่ทำงานร่วมกันเพื่อผลิตสารสนเทศทางด้านสุขภาพที่เชื่อมั่นได้และเข้าถึง โดยปราศจากการสนับสนุนจากธุรกิจและองค์กรอื่นๆ ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน)  ในการทบทวนของ Cochrane เกี่ยวกับวิตามินซีในการป้องกันและรักษาไข้หวัดธรรมดา มีเนื้อหาที่น่าสนใจ จึงขอนำมาเสนอดังต่อไปนี้ ไข้หวัดธรรมดาเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยที่ทำให้เด็กต้องขาดเรียน ผู้ใหญ่ต้องขาดงาน ที่สำคัญคือผู้สูงอายุนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้  มีไวรัสกว่า 200 ชนิดที่ทำให้เกิดไข้หวัดธรรมดา มีอาการต่างๆ ได้แก่ คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ และอาจมีอาการปวดศีรษะ ไข้ ตาแดง  อาการของไข้หวัดนั้นแตกต่างกันตามแต่ละคน และแต่ละชนิดของไข้หวัด  เนื่องจากไข้หวัดธรรมดานั้นเกิดจากเชื้อไวรัส การกินยาปฏิชีวนะจึงไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นจึงมีการหาวิธีการรักษาทางเลือกอื่นๆ อย่างมากมาย มีการนำวิตามินซีมาใช้ในการรักษาภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจ ตั้งแต่มีการแยกสารวิตามินซีออกมาได้ในทศวรรษค.ศ. 1930  ต่อมาในทศวรรษค.ศ. 1970 เกิดความนิยมในการใช้วิตามินซีในการรักษาไข้หวัดธรรมดาอย่างมากมายเมื่อ ลีนัส พอลลิ่ง ซึ่งได้รับรางวัลโนเบิล สรุปผลจากการทดลองใช้วิตามินซีแบบมีกลุ่มควบคุมว่า วิตามินซีสามารถป้องกันและบรรเทาไข้หวัดธรรมดาได้  หลังจากนั้นมีการทำการศึกษาทดลองตามมากว่า 20 การศึกษา  วิตามินซีจึงถูกขายและใช้เป็นสารป้องกันและรักษาไข้หวัดอย่างแพร่หลาย   การทบทวนนี้จำกัดเฉพาะการศึกษาทดลองใช้วิตามินซีขนาด 0.2 กรัมต่อวัน หรือมากกว่าการกินวิตามินซีสม่ำเสมอไม่มีผลกระทบต่ออุบัติการณ์ของไข้หวัดธรรมดาในประชากรทั่วไป โดยทบทวนจากการศึกษาเปรียบเทียบจำนวน 29 รายงาน ครอบคลุมประชากร 11,306 ราย  อย่างไรก็ตาม การกินเสริมเป็นประจำมีผลพอควรแต่ชัดเจนในการลดระยะเวลาการเป็นไข้หวัดธรรมดา จากฐานการศึกษาเปรียบเทียบ 31 รายงานและมีการเกิดไข้หวัดธรรมดา 9,745 ครั้ง   การทดลอง 5 รายงาน ในประชากร 598 รายที่ออกกำลังกายระยะสั้นอย่างหนัก (ได้แก่ นักวิ่งมาราธอน นักเล่นสกี)  พบว่า วิตามินซีลดความเสี่ยงของไข้หวัดใหญ่ลงครึ่งหนึ่ง  แต่ไม่มีการรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวิตามินซี   การทดลองให้วิตามินซีในขนาดสูงเพื่อเป็นการรักษา โดยเริ่มให้เมื่อเกิดอาการ พบว่า ไม่มีผลกระทบที่ชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาในการเป็น หรือความรุนแรงของไข้หวัดธรรมดา  อย่างไรก็ตาม มีการทำการทดลองเพียงสองสามรายงานเท่านั้น และไม่มีการศึกษาในเด็ก แม้ว่าผลกระทบในการป้องกันไข้หวัดธรรมดาในเด็กจะมีมากกว่าวัยอื่น  มีการทดลองขนาดใหญ่หนึ่งการทดลองในผู้ใหญ่ รายงานผลดีในการให้วิตามินซี 8 กรัมซึ่งเป็นขนาดในการรักษาเมื่อเริ่มเกิดอาการ  และมีการทดลอง 2 รายงานที่ให้กินวิตามินซีเสริมเพื่อการรักษาเป็นเวลา 5 วัน และพบว่าเกิดประโยฃน์  มีความจำเป็นที่จะต้องทำการทดลองเพิ่มขึ้นเพื่อตัดสินบทบาทในการรักษาไข้หวัดธรรมดาที่เป็นไปได้ของวิตามินซี ซึ่งจะต้องให้ทันทีเมื่อเกิดอาการ ดูเพิ่มเติมใน: http://summaries.cochrane.org/CD000980/ARI_vitamin-c-for-preventing-and-treating-the-common-cold#sthash.NdamaOV4.dpuf  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 รู้เท่าทันแคลเซียมและวิตามินดี ตอนที่ 3

ฉบับนี้เป็นตอนสุดท้าย  หลังจากที่เรารู้ข้อเท็จจริงพื้นฐานทั้ง 9 ข้อแล้ว  เราสามารถสรุปแนวทางการดูแลกระดูกของเราให้แข็งแรงและชะลอการบางตัวลงให้มากที่สุด  ด้วยวิธีการที่ได้ผล ประหยัด คุ้มค่า และสามารถบอกต่อกัลยาณมิตรของเราได้ดังนี้ 1. เราอยู่ในช่วงอายุขัยอะไร  เป็นเด็ก  หนุ่มสาว  หรือผู้สูงวัย  การแพทย์แผนไทยเรียกว่า อายุสมุฏฐาน ถ้าเป็นปฐมวัย (เกิด-16 ปี) กระดูกของเราอยู่ในช่วงขาขึ้น  มีการสะสมแคลเซียมมากกว่าการใช้  จึงเป็นช่วงเวลาในการเก็บออมแคลเซียมให้มากที่สุด  ถ้าเป็นมัชฌิมวัย (16-32 ปี) เป็นช่วงที่การสะสมและการใช้แคลเซียมเท่ากัน  จึงต้องรักษาสมดุลนี้ไว้ให้นานที่สุด  และเมื่อเป็นปัจฉิมวัย (32-สุดท้ายของชีวิต) กระดูกของเราอยู่ในช่วงขาลง  มีการสะสมแคลเซียมน้อยกว่าการใช้  โดยเฉพาะผู้หญิงที่เริ่มหมดประจำเดือน (อายุ 49 ปี)  กระดูกจะบางตัวอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นจึงต้องลงอย่างช้าๆ และสง่างาม 2. ผลการศึกษาพบว่า กระดูกของคนไทยมีความแข็งแรงเท่าๆกับกระดูกของฝรั่ง  ทั้งๆ ที่อาหารไทยมีโปรตีนน้อยกว่า  การกินนมก็น้อยกว่า  แคลเซียมก็น้อยกว่า  แสดงว่า  อาหารไทยนั้นเหมาะสมกับคนไทยและกระดูกของคนไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปกินอาหารตามแบบฝรั่งเพราะเชื่อว่าอาหารฝรั่งจะดีกว่า  การส่งเสริมให้เด็กไทยและผู้สูงอายุดื่มนมวัวให้มากๆ เพื่อให้กระดูกแข็งแรงนั้น  อาจนำมาซึ่งโรคภัยหลายอย่าง  ความจริงแคลเซียมและโปรตีนที่ดีและปริมาณมากนั้นสามารถหาได้จากพืช ผัก และถั่วต่างๆ ปลาตัวเล็กตัวน้อย ในอาหารไทยอยู่แล้ว  ซึ่งมีคุณค่าและไม่มีอันตราย  นอกจากนี้ในถั่วและธัญพืชยังมีเอสโตรเจนจากพืช  ซึ่งช่วยทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงที่หมดประจำเดือน   3. วิตามินดีในผู้สูงอายุของคนไทยและเอเชียนั้นไม่ได้ลดลง  เนื่องจากเราได้รับแสงแดดเพียงพอ  ไม่เหมือนฝรั่งที่ยิ่งอายุมาก วิตามินดีในเลือดยิ่งลดลง  คนไทยจึงไม่ต้องกินวิตามินดีเสริมเลย  เดินอาบแดดช่วงเช้าวันละ 15 นาทีดีกว่า ฟรีอีกต่างหาก  ยกเว้นแต่รัฐบาลเพิ่งคิดได้ว่าจะเก็บภาษีการใช้แดดเหมือนเก็บภาษีการใช้น้ำธรรมชาติ 4. ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือ พันธุกรรมของคนไทยและเอเชียส่วนใหญ่(ร้อยละ 85) เป็นพันธุกรรมที่มีมวลกระดูกสูง ดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ได้ดี  กระดูกแข็งแรง มีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ที่มีพันธุกรรมที่ดูดซึมแคลเซียมไม่ดี  ส่วนฝรั่งนั้นมีพันธุกรรมที่ดูดซึมแคลเซียมไม่ดีถึงร้อยละ 22  ดูดซึมแคลเซียมปานกลางร้อยละ 50  ดังนั้นคนไทยมีพันธุกรรมที่ดีกว่าชาวตะวันตกมากมาย  อาหารการกิน  อาหารเสริม วิตามิน ยา ที่ชาวตะวันตกต้องกินนั้น  ส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในคนไทย ดังนั้น ควรภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย 5. สุดท้าย  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ  การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือ  การทำกิจวัตรประจำวัน  การเคลื่อนไหว  การทำงานประจำที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา  พยายามให้การออกกำลังกายนั้นอยู่ในวิถีชีวิตปกติ  ไม่จำเป็นต้องหาเวลาเฉพาะเพื่อมาออกกำลังกายเท่านั้น  การทำงานบ้าน  การเดินไปตลาด  พูดคุยกับเพื่อนบ้าน  การทำสวน  การใช้รถให้น้อยลง  เหล่านี้จะช่วยให้กระดูกแข็งแรง  และช่วยให้อายุยืน  ทำชีวิตให้ลำบากไว้เถอะ  เพราะชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ 6. สุดท้ายของสุดท้าย  ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน  ในช่วงระยะเวลา 5 ปีหลังหมดประจำเดือนต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ  การดูแลที่จำเป็นได้แก่  การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  การฝึกการยืดเหยียดกล้ามเนื้อและข้อ  การกินธัญพืชที่ไม่ขัดขาวและถั่วต่างๆ โดยเฉพาะถั่วเหลือง  การฝึกสมาธิ  และการมีกลุ่มกัลยาณมิตรที่พูดคุย ปรับทุกข์สุข  และการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม หรือผู้คนที่ขาดโอกาส  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 149 รู้เท่าทันแคลเซียมและวิตามินดี ตอนที่ 2

ในฉบับที่แล้ว ท่านผู้อ่านได้รับรู้ข้อเท็จจริงพื้นฐาน 5 ข้อแล้ว  ในฉบับนี้ขอต่อข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ คือ ข้อที่หก พันธุกรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่ควบคุมและกำกับปริมาณสูงสุดของมวลกระดูกและอัตราการสลายกระดูก  ผู้ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมหรือองค์ประกอบของยีนชนิด bb จะมีมวลกระดูกสูงกว่าผู้ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด Bb ซึ่งจะมีมวลกระดูกสูงกว่าผู้ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด BB   รศ.นพ.บุญส่ง  องค์พิพัฒนกุลจากคณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดีศึกษาพบว่า คนไทยร้อยละ 85 มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด bb   ร้อยละ 14  มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด Bb   และร้อยละ 1 มีลักษณะทางพันธุกรรม BB ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างกับลักษณะทางพันธุกรรมของชาวตะวันตก ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด bb, Bb และ BB เป็นร้อยละ 28, 50, 22 ตามลำดับ การกระจายตัวของลักษณะทางพันธุกรรมในคนไทยใกล้เคียงกับของคนญี่ปุ่นมาก   การศึกษาพบว่า  คนไทยจำนวนมากที่มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด bb สามารถดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ได้ดีกว่าคนไทยที่มียีนชนิด Bb และ BB อย่างมีนัยสำคัญ  การที่คนไทยมีลักษณะทางพันธุกรรม bb ถึงร้อยละ 85 ซึ่งแตกต่างจากชาวตะวันตกซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรม bb เพียงร้อยละ 28 เท่านั้น  ดังนั้นคนไทยจึงมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ดูดซึมแคลเซียมได้ดีกว่าชาวตะวันตกอย่างมากมาย ข้อที่เจ็ด ฮอร์โมนที่มีบทบาทในการย่อย ดูดซึมและใช้แคลเซียมคือ  วิตามินดี ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เองเมื่อแสงอุลตราไวโอเล็ทถูกต้องผิวหนัง และวิตามินดีที่สังเคราะห์ขึ้นจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ ควบคุมการขับถ่ายแคลเซียมออกจากไต และควบคุมการสะสมแคลเซียมบนเนื้อของกระดูก ประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรและได้รับแสงอาทิตย์เต็มที่ตลอดทั้งปี  จากการศึกษาของ         ดร.ละออ ชัยลือกิจ จากคณะแพทยศาสตร์โรงเพยาบาลรามาธิบดี  พบว่า  ระดับวิตามินดีในเลือดของคนไทยทั้งชายและหญิงมีปริมาณสูงพอเพียงและระดับไม่ได้ลดลงเมื่ออายุสูงขึ้น ทั้งนี้มีความแตกต่างกับชาวต่างชาติทางตะวันตกซึ่งเมื่ออายุมากขึ้นระดับวิตามินดีในเลือดจะลดลง ข้อที่แปด การกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์และเกลือแกงมากจะมีผลกระทบต่อแคลเซียม จากการศึกษาของ ศ.นพ.สุรัตน์  โคมินทร์ พบว่าคนไทยในกรุงเทพมหานครกินแคลเซียมในปริมาณน้อย คือโดยเฉลี่ย 361 มิลลิกรัมต่อวันต่อคน นอกจากนี้ น.ส. นพวรรณ เปียซื่อ จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดียังศึกษาพบด้วยว่าคนไทยรับประทานโปรตีนและเกลือแกงน้อยกว่าคนอเมริกัน  ประเด็นนี้มีความสำคัญเนื่องจากการรับประทานโปรตีน (จากเนื้อสัตว์) มากเกินไปจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ลดลง  และการรับประทานเกลือแกงมากเกินไปจะทำให้ไตขับถ่ายแคลเซียม ออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ข้อที่เก้า การกินแคลเซียมปริมาณสูงจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง จากวารสารฉลาดซื้อฉบับตุลาคม 2555 กล่าวว่า การดื่มนมแคลเซียมสูงไม่ได้พิเศษไปกว่าการดื่มนมธรรมดา ร่างกายจะไม่ดูดซึมเอาแคลเซียมไปใช้ได้ทั้งหมดจะดูดซึมไว้แค่ประมาณร้อยละ 30 – 40 ส่วนที่เหลือก็ถูกร่างกายขับถ่ายออกไป ถ้าอาหารยิ่งมีแคลเซียมสูงการดูดซึมจะเกิดขึ้นน้อยกว่าอาหารที่มีแคลเซียมต่ำ การกินแคลเซียมเม็ดก็เช่นเดียวกัน  ปริมาณแคลเซียมที่กินในแต่ละครั้งจะผกผันกับการดูดซึม  พูดง่ายๆ ก็คือ  ยิ่งกินแคลเซียมมากหรือสูง  การดูดซึมกลับลดลง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดอันตรายจากภาวะแคลเซียมในเลือดสูงเกิน หน้ากระดาษหมดอีกแล้ว  คงต้องขอต่อบทสุดท้ายในฉบับหน้าว่า  เราจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเรียกว่า รู้เท่าทัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 148 รู้เท่าทันแคลเซียมและวิตามินดี ตอนที่ 1

ทุกวันนี้  คนมีอายุยืนยาวกว่าสมัยก่อนมากมายเพราะอาหารการกินอุดมสมบูรณ์มากกว่าก่อน  รวมทั้งวัคซีนป้องกันโรคติดต่อ  ยาปฏิชีวนะ และยารักษาโรคต่างๆ ดีขึ้นมาก ทำให้อายุขัยของคนทั่วโลกยืนยาวขึ้น  การที่คนมีอายุยืนยาวขึ้นทำให้มีปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเช่นเดียวกัน โรคหนึ่งที่พบและเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมากในปัจจุบันก็คือ โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนคือ  ภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง  เนื่องจากแร่ธาตุ โดยเฉพาะแคลเซียมในกระดูกลดลง  ทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่าย  โดยเฉพาะที่บริเวณ ข้อมือ สะโพก และสันหลัง (ให้ลองนึกภาพของกิ่งไม้หรือท่อนไม้สดที่เพิ่งตัดมาใหม่กับกิ่งไม้หรือท่อนไม้ที่แห้งและกรอบ) โรคนี้พบมากในผู้สูงอายุ  พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า  และผู้ที่มีพี่น้องเป็นโรคกระดูกพรุน  จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป การโฆษณาชวนเชื่อทางสื่อต่างๆ ที่ให้ผู้สูงอายุต้องกินนมที่มีแคลเซียมสูง(ราคาสูงตามไปด้วย)  และต้องกินวิตามินดี(เพื่อให้กระดูกดีสมชื่อ)  นั้นคงทำให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่คล้อยตามและเสียเงินเสียทองตามไปด้วย  ซึ่งถ้าได้ผลดีตามโฆษณาก็คงดีไม่น้อย  แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่เป็นไปตามโฆษณาชวนเชื่อ  ทำให้ผู้สูงอายุเสียโอกาสในการมีวิธีการที่ดีกว่า  ประหยัดกว่า  และได้ผลมากกว่าในการดูแล ป้องกันกระดูกพรุน   การจะรู้เท่าทันเรื่องกระดูกพรุนนั้น  จะต้องรู้และเข้าใจข้อเท็จจริงพื้นฐาน ดังนี้ ข้อที่หนึ่ง กระดูกของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต  มีการสร้างและสลายตัวอยู่ตลอดเวลา  เมื่อสร้างกระดูกใหม่จะมีการดึงแคลเซียมจากอาหารที่กินเข้าไป  ในขณะเดียวกันก็มีการสลายแคลเซียมจากเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ   ข้อที่สอง ในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากกว่าสลาย  มวลกระดูกจะแข็งแรงเต็มที่เมื่ออายุ 25-35 ปี  หลังจากนั้นจะเริ่มมีการสลายมวลกระดูกมากกว่าสร้าง  ดังนั้นในผู้สูงอายุ  ภาวะกระดูกบางตัวลงเป็นธรรมชาติของการสูงวัย   ข้อที่สาม ผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน  มีการลดลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว  ทำให้กระดูกบางลงอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน  และค่อยๆ บางช้าลง   ดังนั้นช่วงเวลานี้มีความสำคัญ  ต้องดูแลและชะลอการบางตัวของกระดูกไว้   จากการศึกษาของนพ.รัชตะ รัชตะนาวิน (ปัจจุบันเป็นอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล) และคณะนักวิจัยเรื่องกระดูกของคนไทยมีคุณค่าอย่างยิ่ง พบว่ามีปัจจัยที่แตกต่างจากของชาวต่างประเทศโดยเฉพาะฝรั่ง  ดังนี้ ข้อที่สี่ คนไทยกินแคลเซียมน้อยกว่าฝรั่งแต่กระดูกมีความแข็งแรงเท่ากับฝรั่ง เด็กไทยทุกกลุ่มอายุได้รับแคลเซียมจากอาหารน้อยกว่าความต้องการคือได้เพียงประมาณหนึ่งในสอง ถึง สามในสี่ของปริมาณที่ควรได้รับประจำวัน (ตามข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทยที่จัดทำเมื่อ พ.ศ. 2532) แต่ความหนาแน่นกระดูกของเด็กไทยมีค่าเท่ากับหรือมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กสวิสและอยู่ในเกณฑ์ปกติเมื่อเทียบกับเด็กชาวออสเตรเลีย   ข้อที่ห้า ในการศึกษาเดียวกันพบว่า  การออกกำลังกายประเภทที่มีการรับน้ำหนักได้แก่การเล่นกีฬาฟุตบอล บาสเกตบอล และแบดมินตัน มีผลในทางบวกต่อความหนาแน่นกระดูกบริเวณต่างๆ ในเด็กชาย ส่วนในเด็กหญิงพบว่าการเล่นบาสเกตบอลมีผลดีต่อความหนาแน่นกระดูก บริเวณกระดูกสันหลัง แต่กีฬาประเภทที่ไม่มีการรับน้ำหนัก ได้แก่ ว่ายน้ำและขี่จักรยาน ไม่พบว่ามีผลในทางบวกต่อความหนาแน่นกระดูกใดๆ   หน้ากระดาษหมดเสียแล้ว  คงขอต่อในฉบับต่อไป  เรายังมีข้อเท็จจริงอีกหลายข้อที่ผู้สูงอายุควรรู้  เพื่อที่จะได้ดูแล จัดการ และชะลอการบางตัวของกระดูกด้วยวิธีการที่เหมาะสมและได้ผลอย่างแท้จริง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 แข็งแรงและผิวสวยด้วยวิตามิน ?

วิตามิน คืออะไร?วิตามินคือสารอินทรีย์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อยมากในแต่ละวัน เพื่อการเจริญเติบโตและการสร้างพลังงานของทุกเซลล์ในร่างกาย จำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพที่ดี เราจำเป็นต้องได้รับวิตามินไม่ว่าจะจากอาหารที่รับประทานหรือจากการได้รับอาหารเสริม วิตามินเป็นสิ่งที่ร่างกายเราไม่มีและไม่ได้สร้างขึ้นเอง มีวิตามินทั้งหมด 13 ชนิด ที่ร่างกายควรจะได้รับ วิตามินไม่ใช่อาหารและไม่สามารถใช่ทดแทนอาหารได้ วิตามินไม่มีแคลอรี่ และไม่สามารถให้พลังงานโดยตรงกับร่างกาย แต่เราก็ยังจำเป็นต้องได้รับวิตามินเพื่อไปทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน วิตามิน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มตามคุณสมบัติการละลายในตัวทำละลาย1. วิตามินชนิดที่ละลายได้ในน้ำมันหรือไขมัน วิตามินกลุ่มนี้ เช่น วิตามินเอ อี ดี และเค วิตามินเหล่านี้จะสามารถถูกกักเก็บไว้ตามกล้ามเนื้อหรือไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ภายหลังจากที่เรารับประทานเข้าไป ข้อดีคือ เราไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินกลุ่มนี้ทุกวันเพราะมีสะสมอยู่ตามกล้ามเนื้อ แต่หากเรารับประทานวิตามินเหล่านี้มากเกินไปจะเกิดการสะสมมากเกินไปในส่วนต่างๆ ทำให้เป็นพิษจากวิตามินได้เช่นกัน 2. วิตามินชนิดที่ละลายได้ในน้ำ เช่น วิตามินซี และบี วิตามินกลุ่มนี้ไม่สามารถถูกสะสมหรือกักเก็บในร่างกายได้นานเนื่องจากคุณสมบัติที่ได้ละลายได้ดีในน้ำ จึงถูกกำจัดออกทางปัสสาวะหรือเหงื่อ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินกลุ่มนี้ทุกวันจากการรับประทานอาหารหรืออาหารเสริม หากร่างกายได้รับวิตามินชนิดที่ละลายน้ำมากเกินไป ส่วนเกินของวิตามินจะถูกขับออกโดยไม่ทำให้เกิดพิษหรือปัญหาต่อร่างกาย วิตามินสำหรับต้านอนุมูลอิสระขบวนการหรือปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นในร่างกายทุกขณะหรือตลอดเวลาไม่ว่าเราจะตื่นอยู่หรือกำลังนอนหลับคือ ปฏิกิริยาที่เรียกว่า ‘ออกซิเดชั่น’ เป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นและก่อให้เกิดอนุมูลอิสระสะสมภายในเซลล์และอวัยวะในทุกส่วนของร่างกาย อนุมูลอิสระเหล่านี้ทำลายเซลล์ทุกชนิด และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเหี่ยวย่นของผิวหนังและความเสื่อมของทุกเซลล์จนทำให้เซลล์ตายได้ในที่สุด สารต้านอนุมูลอิสระ คือสารที่สามารถป้องกันหรือยับยั้งปฏิกิริยาลูกโซ่ของปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้ สารต้านอนุมูลอิสระสามารถทำหน้าที่ปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ อันอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกร่างกายด้วย เช่น จากรังสีดวงอาทิตย์ หรือฝุ่นละอองจากสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ร่างกายคนเราก็สามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสสระได้เอง เพื่อปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื่องจากอนุมูลอิสระในร่างกายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากสภาวะความเครียดและความกดดันของร่างกายในโลกปัจจุบัน ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระที่ผลิตขึ้นเองภายในร่างกายไม่เพียงพอในการปกป้องเซลล์ทุกชนิดในร่างกายได้ ดังเห็นได้จากการเจ็บป่วยที่ไม่รู้สาเหตุมากมาย เราจึงจำเป็นต้องเพิ่มหรือเสริมให้ร่างกาย ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระ 1. ทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย เป็นการปกป้องเนื้อเยื่อที่แข็งแรงของร่างกายในทุกส่วน2. สารต้านอนุมูลอิสระสามารถเสริมความเข็มแข็งของกล้ามเนื้อและโครงสร้างของเส้นเลือดทั้งหลายในร่างกาย ซึ่งเป็นการเสริมความแข็งแรงของระบบเลือดและหัวใจโดยทางอ้อม3. สารต้านอนุมูลอิสระนับเป็นยาอายุวัฒนะที่ช่วยชะลอความแก่ของผิวพรรณและร่างกาย และยังมีรายงานสนับสนุนว่าสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย วิตามินสำหรับต้านอนุมูลอิสระ ที่ให้ผลโดดเด่น ได้แก่ วิตามินเอ ซี อี และแร่ซีเลเนี่ยมวิตามินต้านอนุมูลอิสระจากผลไม้ เช่น ลูกพรุนทั้งสดและแห้ง องุ่นทั้งสดและแห้ง ผลไม้ชนิดเบอรี่ทั้งหลาย เช่น สตรอว์เบอรี่ ผลฝรั่งและส้มจะอุดมมากด้วยวิตามินซี ฯลฯวิตามินต้านอนุมูลอิสระจากผัก เช่น ผักบุ้ง บล็อกเคอรี่ ผักขม ฯลฯพืชสมุนไพรที่อุดมด้วยวิตามินต้านอนุมูลอิสระ เช่น ขิง ข่า ขมิ้น กระเทียม ฯลฯชาเขียว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นชาขาว ชาดำ ชาเขียว นักวิทยาศาสตร์พบว่าสามารถต้านหรือป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ พร้อมๆ กับการช่วยชะลออายุผิวอีกด้วยเมื่อนำมาผสมผสานในเครื่องสำอาง ผิวสวยด้วยวิตามินได้อย่างไร?วิตามินซี อี บี6 บี12 โฟลิคแอซิด และวิตามินเอ จัดเป็นวิตามินที่พบในอาหารทั่วไปและในมัลติวิตามินที่จำหน่ายในร้านขายยาและอาหารเสริม หน้าที่หลักของวิตามินเหล่านี้คือ การไปทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ป้องกันเซลล์ผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายหรือเหี่ยวย่นก่อนวัย ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยชะลอความแก่ของร่างกายส่วนต่างๆ ได้ไม่เฉพาะแต่ผิวหนังเท่านั้น ทางการแพทย์เชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุดควรจะได้จากผักสดและผลไม้สดเท่านั้น อย่างไรก็ตามแหล่งของอาหารเสริมที่สามารถให้สารต้านอนุมูลอิสระ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่สองที่สามามารถทดแทนได้เช่นกันสำหรับผู้ที่รับประทานผักสดและผลไม้สดน้อยเกินไป การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญ เช่น วิตามินซี เอ บี6 บี12 และสำคัญที่สุดที่ต้องไม่ขาดคือวิตามินอี นักวิทยาศาสตร์พบว่าวิตามินอีมีบทบาทสำคัญที่สุดในการช่วยชะลออายุของผิวหนัง ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยป้องกันการเกิดโรคทั่วไปหลายๆ ชนิด วิตามินอี สามารถใช้ในรูปแบบของครีมทาผิว และในรูปแบบของแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัมสำหรับรับประทาน เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นและปรับสภาพผิวหนังให้เนียมนุ่มได้อย่างรวดเร็ว มีประวัติการใช้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันส่วนวิตามินซี แม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย เช่น ให้ความชุ่มชื้นผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ช่วยชะลอและยืดอายุผิวหนัง แต่เนื่องจากคุณสมบัติของวิตามินซีที่ละลายในน้ำได้ดีมาก ทำให้คุณสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสสระสลายไปได้อย่างรวดเร็วเมื่อละลายในน้ำหรือเมื่อถูกความชื้น ทำให้วิตามินซีที่ผสมผสานในครีมบำรุงผิวทั้งหลายไม่เกิดประโยชน์ต่อผิวหนังเลย นอกจากนั้นยังพบว่าวิตามินซีหรือวิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำ ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ ดังนั้นประโยชน์จากวิตามินซีในครีมบำรุงผิวจึงไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้พยายามคิดค้นและปรับปรุงโครงสร้างของวิตามินซีให้มีคุณสมบัติละลายน้ำได้น้อยลงแต่ละลายได้ดีในน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความคงตัวและการดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังของวิตามินซีในเนื้อครีมบำรุงผิวเอกสารอ้างอิงhttp://www.vitaminsdiary.com/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 140 วิตามินสารพัดเรียว

อิทธิพลของค่านิยมต่างๆ ที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาหลอกลวง ยิ่งในยุคหลังๆ ที่สังคมพยายามยัดเยียดค่านิยมว่า หากจะสวยอย่างแท้จริงก็จะต้องผอมเพรียวด้วย ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจะหลอกลวงต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย ผลิตภัณฑ์ที่นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ คือผลิตภัณฑ์ “วิตามินสารพัดเรียว” วิตามินชนิดนี้มีการนำไปเสนอขายทางอินเตอร์เน็ต โดยหลังจากสั่งซื้อแล้ว จะส่งสินค้าให้ทางไปรษณีย์ เน้นกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการความเรียวทุกประเภท มีทั้ง วิตามินแขนเรียว วิตามินแขนเรียว วิตามินหน้าเรียว วิตามินลดหน้าท้อง ราคาเม็ดละประมาณ 8 บาท โดยแนะนำว่า “ให้รับประทานวันละ 1 - 2 เม็ด ก่อนอาหารมื้อแรก 30 นาที สำหรับลูกค้าท่านใดไม่เคยรับประทานยาลดน้ำหนักมาก่อนเลย ให้รับประทานวันละ 1 เม็ด แล้วดื่มน้ำตามเยอะๆ” มีผิดสังเกตตรงที่ในโฆษณานั้นย้ำว่าหลังทานยาอย่าลืมทานข้าวทุกมื้อ (ไม่รู้ว่ากลัวคนกินเกิดอาการผิดสำแดงอย่างไร?) นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่านำเข้ามาจากเกาหลี ทั้งผลิตภัณฑ์ Slimming  Diet ที่อ้างว่ารับประทานแผงเดียวลดได้ 5 กิโลกรัม และผลิตภัณฑ์ กลูต้าหิมะ Gluta 100000 Super   Whitening Snow ที่โฆษณาว่าจะทำให้ผิวขาวเนียนนุ่มดุจหิมะ ผิวขาวใสอมชมพู ขาวเปล่งประกายอย่างมีมีออร่า ลบริ้วรอย จุดด่างดำ จากสิวฝ้า กระ ช่วยเร่งให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังอ้างว่าจะ Detox ตับ และป้องกันการเกิดมะเร็ง ทั้งๆที่ส่วนประกอบที่แสดงบนฉลากคือ แอล กลูต้าไธโอน (L-Glutathione 100000 mg) ซึ่งเคยมีรายงานว่ามีผู้ป่วยได้รับอันตรายต่อตับจากการใช้อย่างไม่ถูกต้องมาแล้ว และที่เสมอต้นเสมอปลายคือ ภาพจากโฆษณาเหล่านี้ไม่มีเลขทะเบียนยา หรืออาหารแต่อย่างใด แต่ฉลากที่แสดงเป็นภาษาไทยน่าจะเชื่อได้ว่าแอบลักลอบผลิตในประเทศนี่เอง ใครมีลูกหลานวัยรุ่น วัยที่รักสวยรักงาม รีบไปเตือน “อย่าไปเสี่ยงเรียวเชียวนะหนู” และใครทราบแหล่งผลิต แหล่งจำหน่าย ขอให้รีบแจ้งเบาะแสให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทราบด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 89 เมื่อน้ำส้มจะทำร้ายนางเอก

น้ำผลไม้ในความคิดของผู้บริโภคส่วนใหญ่ คือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพราะต่างก็รู้ว่า ผลไม้นั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะน้ำส้มคั้นเป็นน้ำผลไม้ที่นิยมกันมาก ขนาดนางเอกหนังไทยต้องสั่งมาดื่มทุกครั้งที่มีฉากในร้านอาหาร จึงถูกเรียกอย่างน่ารักๆ ว่า “น้ำนางเอก” น้ำส้มหากคั้นสดแล้วดื่มเลยทันที ย่อมมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในน้ำส้มจะเสื่อมคุณภาพอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อให้น้ำส้มคงคุณภาพได้นานขึ้นและสะดวกในการขนส่ง จึงได้มีการผลิตน้ำส้มพร้อมดื่ม (น้ำส้มบรรจุในภาชนะปิดสนิท) ออกมาจำหน่ายเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ทุกวันนี้ตามชั้นวางเครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า เราจะพบน้ำส้มพร้อมดื่มหลากหลายยี่ห้อ มีทั้งที่เป็นน้ำส้มแท้ (100%) น้ำส้มผสม ที่มีปริมาณน้ำส้มตั้งแต่ 25% ขึ้นไป และอีกหลายยี่ห้อมีน้ำส้มผสมเป็นหัวเชื้ออยู่ประมาณ 10 – 15% แล้วแต่งสี กลิ่น รส สังเคราะห์ให้คล้ายน้ำส้ม ซึ่งผลิตภัณฑ์ประเภทหลังนี้ อย.ไม่ให้เรียกว่า “น้ำส้ม” แต่ต้องเรียกว่า “น้ำรสส้ม” (จริงๆ ฉลาดซื้ออยากเรียกว่า “น้ำสีส้ม” มากกว่า เพราะสีส้มได้ใจมาก) แม้ว่าในระยะสองสามปีที่ผ่านมานี้ น้ำส้มพร้อมดื่มอาจจะถูกตีตลาดด้วย “ชาเขียว” ทำให้ซบเซากันไประยะหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ชาเขียว out ไปแล้ว น้ำส้มกำลังกลับมาผงาดอีกครั้ง ลองสังเกตปรากฏการณ์น้ำส้มฟีเวอร์ได้จากโฆษณาและชั้นวางสินค้าเครื่องดื่ม ลองดูสิ คุณจะเห็นขวดและกล่องสีส้มละลานตาไปหมด กับสินค้าสุดฮิต ฉลาดซื้อย่อมไม่พลาดที่จะหยิบมาทดสอบ เราเก็บตัวอย่างน้ำส้มและน้ำรสส้มพร้อมดื่ม จำนวน 22 ยี่ห้อ จากชั้นวางเครื่องดื่มในห้างสรรพสินค้า มาทดสอบหาปริมาณ “น้ำตาล” และ “วิตามิน ซี” ที่คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันไปเองว่า ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน ซี สูง เมื่อทำให้เป็นน้ำส้มแล้ววิตามิน ซี ย่อมสูงตามไปด้วย  ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกือบถูก แต่ไม่ถูกต้อง เพราะคนส่วนใหญ่จะยังขาดความเข้าใจอีกมากเกี่ยวกับวิตามินตัวนี้ ผลทดสอบน้ำส้มและน้ำรสส้มพร้อมดื่ม จำนวน 22 ยี่ห้อ •    น้ำส้ม น้ำรสส้ม สามอันดับแรกที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ได้แก่ น้ำรสส้ม ฟรุ้ตฟิตฟอร์ฟัน มีปริมาณน้ำตาลถึง 15 ช้อนชาต่อขวด ขนาด 330 มล.(19.3 กรัม/100 มล.) อันดับสอง มาลี จู๊ซมิกซ์ 13 ช้อนชาครึ่งต่อขวด ขนาด 350 มล.(16.4 กรัม/100 มล.) และน้ำส้ม 30% ทิบโก้ คูลฟิต 11 ช้อนชาครึ่งต่อขวด ขนาด 300 มล.(16.3 กรัม/100 มล.)•    น้ำส้ม 100% ที่ไม่เติมน้ำตาลจะมีปริมาณน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 5.5 ช้อนชา ต่อ 200 มล.(1 แก้ว) ส่วนน้ำส้มผสมจะมีปริมาณน้ำตาลโดยเฉลี่ยที่ 12.8  กรัมต่อ 100 มล.หรือประมาณ 6 ช้อนชา ต่อ 1 แก้ว (200 มล.)   •    เมื่อนำน้ำส้ม น้ำรสส้มมาทดสอบหาวิตามิน ซี พบว่า ส่วนใหญ่ไม่มีวิตามิน ซี เหลืออีกแล้ว หรือไม่ก็เหลือในปริมาณที่น้อยมาก บางผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า มีการเติมวิตามิน ซี ก็ไม่พบ ได้แก่ น้ำส้ม 25% ฟิวเจอร์ น้ำรสส้ม 20 % โออิชิ เซกิ •    จากการทดสอบ มีผลิตภัณฑ์อยู่สามยี่ห้อที่พบว่ามีวิตามิน ซี อยู่มากกว่า 20 มก./100 มล. ได้แก่ น้ำรสส้ม แบร์รี่ ซันเบลสท์ มีปริมาณวิตามิน ซี 24 มก. น้ำส้ม 40% ยูเอฟซี มีวิตามิน ซี 23 มก. น้ำรสส้ม อะมิโนโอเค มีวิตามิน ซี 20 มก. ปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนผสม 7 ช้อนชา ต่อ 1 กระป๋อง น้ำหวาน 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลเฉลี่ย 6 ช้อนชา นมถั่วเหลือง1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลเฉลี่ย 5 ช้อนชาชาเขียว 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลเฉลี่ย 5 ช้อนชา ฉลาดซื้อแนะ•    ภาชนะบรรจุน้ำส้ม น้ำรสส้มพร้อมดื่มที่นำมาทดสอบมีขนาดตั้งแต่ 180 – 500 มล. โดยขนาดบรรจุที่ปริมาณ 180 – 350 มล. จะเป็นขนาดที่ดื่มได้หมดภายในครั้งเดียว ทำให้ปริมาณน้ำตาลที่ดื่มเข้าไปในแต่ละครั้งมีปริมาณที่ค่อนข้างสูง แต่ปริมาณน้ำตาลที่นักโภชนาการแนะนำต่อวัน คือระหว่าง 6 - 8 ช้อนชา ดังนั้นน้ำส้มพร้อมดื่ม จึงไม่น่าจะใช่เครื่องดื่มที่เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพสำหรับนางเอกหรือผู้ที่รักสุขภาพ  •    บางครั้งคนเราก็ต้องการดื่มอะไรที่หวานเย็นชื่นใจบ้าง ดังนั้นหากคิดจะดื่มน้ำส้มหรือน้ำรสส้มจึงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่ควรจะเลือกขวดหรือกล่องขนาดเล็กหรือแบ่งดื่มเพื่อไม่ให้ร่างกายรับความหวานมากเกินไป เพราะคุณต้องไม่ลืมว่าวันหนึ่งคุณยังต้องกินอาหารที่มีน้ำตาลผสมอยู่อีกหลายชนิด รวมๆ กันแล้วต่อวันก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ •    น้ำรสส้มที่ผลิตโดยค่ายน้ำอัดลมยักษ์ สแปลช (ลิขสิทธิ์โคค่า โคล่า) และทรอปิคานา ทวิสเตอร์ (ลิขสิทธิ์เป๊ปซี่) ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความหวานไม่ต่างจากน้ำอัดลม โดยที่ สแปลช มีปริมาณน้ำตาล 6 ช้อนชาต่อขนาดกล่อง 180 มล.(14 กรัม/100 มล.) และ ทรอปิคานา มีปริมาณน้ำตาล ประมาณ 12 ช้อนชาต่อขนาดขวด 350 มล.(14.3 กรัม/100 มล.) พอๆ กับน้ำอัดลมหรือมากกว่า โดยน้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 7 ช้อนชาต่อ 1 กระป๋อง •    ข้อแตกต่างระหว่างผลไม้สดกับน้ำผลไม้ คือเส้นใยอาหาร เมื่อผลไม้ถูกสกัดมาเป็นน้ำผลไม้ กากใยอาหารถูกแยกออกไป ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้เร็ว แต่ไม่ช่วยเรื่องการขับถ่าย  ส่วนการกินผลไม้สดซึ่งมีใยอาหารสูง การดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดจะช้ากว่าและเนื้อของผลไม้จะช่วยให้เราไม่รับประทานน้ำตาลมากจนเกินไป อีกทั้งยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย•    อย่าเข้าใจผิดว่า น้ำส้มหรือน้ำรสส้มพร้อมดื่มจะมีวิตามิน ซี สูง เสมอไป อย่างที่ฉลาดซื้อได้ทดสอบให้เห็นแล้วว่า ขนาดผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า เติมวิตามิน ซี ลงไปด้วยหรือผลิตด้วยเทคโนโลยีสุดทันสมัยก็ยังหาแทบไม่เจอ ทั้งนี้คุณต้องมีความเข้าใจในเรื่องจริงที่ว่า วิตามิน ซี นั้นถูกทำลายได้ง่ายมาก และกว่าที่เครื่องดื่มจะมาถึงผู้บริโภคก็ต้องผ่านการขนส่ง ผ่านการจัดเก็บในสถานที่ต่างๆ อาจโดนทั้งแสง ความร้อน ทำให้ปริมาณวิตามิน ซี (ที่เหลือมาบ้างจากกระบวนการผลิต) ลดลงไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือค่าอะไรให้วัดได้อีก•    น้ำส้มที่ผสมวิตามิน ซี ไม่ควรมาพร้อมกับวัตถุกันเสีย(เบนโซอิก) เพราะมีข้อมูลที่ชวนให้สงสัยว่า เมื่อทั้งสองมาอยู่รวมกันอาจเกิดเป็นสารพิษที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ (หาอ่านได้จากเรื่อง วันนี้คุณดื่มน้ำอัดลมแล้วหรือยัง ในฉลาดซื้อฉบับที่ 80)  •    น้ำส้มเสื่อมคุณภาพได้ง่าย ดังนั้นควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา •    ไม่แนะนำสำหรับเด็กและสาวๆ ที่ต้องการมีหุ่นแบบนางเอก เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเบาหวาน ตลาดน้ำผลไม้มีมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท เป็นน้ำผลไม้ 100% มูลค่า 2,500 ล้านบาท ส่วนน้ำผลไม้ต่ำกว่า 25% มีมูลค่าอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นน้ำผลไม้ 40% รสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ "น้ำส้ม" ที่มีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดน้ำผลไม้ปริมาณวิตามินซีในผัก ผลไม้และน้ำผลไม้คั้นสด

อ่านเพิ่มเติม >