ฉบับที่ 179 ฟังหูไว้หู เรื่องไวรัสสู้มะเร็ง

วันหนึ่งไม่นานมานี้เอง ผู้เขียนได้อ่านบทความในวารสารออนไลน์ Nature เกี่ยวกับวิวัฒนาการในการบำบัดมะเร็งด้วยไวรัส ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้เขียนไม่เคยทราบมาก่อน และคิดว่ามันเป็นประเด็นที่เข้ามาใกล้ตัวคนไทยมากขึ้นทุกที น่าจะนำมาคุยให้ท่านผู้อ่านที่ไม่คุ้นชินต่อการหาข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพรู้ไว้พอสังเขป เผื่อจำเป็นต้องตัดสินใจในประเด็นดังกล่าว บทความที่ผู้เขียนอ่านชื่อ Cancer-fighting viruses near market ตีพิมพ์ใน Nature ชุดที่ 526 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2015 ใจความสำคัญที่น่าสนใจคือ ได้มีการวิจัยปรับปรุงสายพันธุ์ไวรัสชื่อ เฮอร์ปีสซิมเพล็ก (herpes simplex virus) ด้วยกระบวนการทางวิศวพันธุกรรม จนสามารถทำให้ไวรัสทำลายเซลล์มะเร็งและช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของผู้ป่วยให้ทำลายเซลล์มะเร็งได้ด้วย เชื้อไวรัสชนิดเฮอร์ปีสซิมเพล็ก นั้น ข้อมูลจากอินเตอร์ทั่วไประบุว่า มันเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และอวัยวะเพศ และอาจก่อการติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกาย ซึ่งนำไปสู่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ในผู้ป่วยที่อ่อนแอ ลักษณะผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อของเฮอร์ปีสซิมเพล็กจะคล้ายกันไม่ว่าเกิดที่ไหนของร่างกาย โดยเป็นตุ่มน้ำเล็กๆ บนผิวหนังที่อักเสบแดง บทความในวารสาร Nature นั้นระบุว่า ในการปรับปรุงทางพันธุกรรมของ ไวรัสเฮอร์ปีสซิมเพล็ก ชื่อ talimogene laherparepvec (T-VEC) เพื่อใช้บำบัดมะเร็งชนิดเมลาโนมา (ซึ่ง Wikipedia อธิบายว่า เกิดจากเซลล์เมลาโนซัยต์ ซึ่งทำหน้าที่สร้างสารสีเมลานินที่พบใต้ผิวหนัง ตา หู ทางเดินอาหาร เยื่อหุ้มสมอง และเยื่อบุช่องปากและอวัยวะเพศ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์นี้ถือว่าเป็นมะเร็งผิวหนังที่พบน้อยราวร้อยละ 4 ของมะเร็วผิวหนังทั้งหมด แต่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึงร้อยละ 75 ของมะเร็งผิวหนังทั้งหมด)นั้น ได้รับการยอมรับจากคณะที่ปรึกษาของ European Medicines Agency และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ เมื่อเดือนเมษายน 2015 นี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาก็ได้ให้สัญญาณว่า มีแนวโน้มในการยอมรับกระบวนการบำบัดมะเร็งดังกล่าวภายในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนนี้ (ดูจากบทความเรื่อง FDA Panel Gives Thumbs-Up To Amgen's Virus-Based Melanoma Drug เมื่อ 29 เมษายน 2015 ใน www.forbes.com) ซึ่งต่อมาใน Wikipedia มีข้อมูลว่า US.FDA ได้ยอมรับไปแล้วในเดือนตุลาคม 2015 โดยยานี้มีชื่อการค้าว่า “Imlygic” หลักการบำบัดมะเร็งด้วยไวรัสนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะโดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ไวรัสนั้นเป็นสิ่งไม่มีชีวิตที่ไม่ดี นำโรคต่างๆ (รวมทั้งมะเร็งบางชนิด)มาสู่คน แต่ในทางวิทยาศาสตร์นั้น มีการใช้ไวรัสเป็นพาหะในการนำชิ้นส่วนดีเอ็นเอส่วนที่นักวิจัยสนใจเข้าสู่แบคทีเรีย เพื่อให้แบคทีเรียช่วยเพิ่มปริมาณชิ้นดีเอ็นเอนั้นพร้อมไปกับการเพิ่มปริมาณแบคทีเรีย และยังสามารถใช้ไวรัสบางชนิดควบคุมหรือต้านทานการก่อโรคในพืช เช่น มะละกอ ยาสูบ พริก ตลอดจนนำไวรัสไปศึกษาทดลองในวงการแพทย์เพื่อบำบัดโรคดังที่ยกตัวอย่างในบทความนี้ โดยพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไวรัสบางชนิดเข้าทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็งแบบจำเพาะ โดยหลังจากได้เพิ่มจำนวนไวรัสใหม่ในเซลล์มะเร็งที่เป็นเจ้าบ้านแล้วก็ทำให้เซลล์มะเร็งแตกออก โดยไม่ก่อปัญหากับเซลล์ปรกติอื่น ๆ  จากเว็บ Wikipedia ได้ให้ข้อมูลว่า ความรู้นี้เริ่มมีตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีไวรัสบางชนิดลดจำนวนเซลล์มะเร็งปากมดลูก Burkitt lymphoma และ Hodgkin lymphoma ได้ แต่สมัยนั้นยังมีข้อจำกัดว่า บางครั้งร่างกายก็สร้างระบบทำลายไวรัสที่ถูกศึกษา จึงทำให้เทคนิคการบำบัดนี้ยังไม่แพร่หลาย อีกทั้งต้องทำการฉีดไวรัสเข้าสู่บริเวณที่เป็นมะเร็งโดยตรง ไม่สามารถฉีดเข้าสู่กระแสเลือดได้ ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการบำบัดมะเร็งด้วยไวรัสนี้ เราสามารถค้นหาได้โดยใช้ Google ซึ่งทำให้ผู้เขียนได้ทราบว่า ใน www.pantip.com นั้นเคยมีผู้ตั้งกระทู้ในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน กล่าวคือในวันที่ 2 กันยายน 2556 เวลา 17:46 น. มีผู้ตั้งกระทู้ว่า “มีใครเคยไปรักษามะเร็งที่กวางโจว ป. จีน บ้างไหมคะ อยากทราบประสบการณ์ค่ะ” รายละเอียดของกระทู้คือ “กำลังจะตัดสินใจไปรักษาเพราะอ่านในอินเตอร์เนตว่ามีศูนย์รักษามะเร็งแผนใหม่ 2 แห่งที่มีชื่อเสียง และมีเทคนิคใหม่ๆ ที่ได้ผล จขกท.เป็นมะเร็งปอดขั้นสาม หมอที่จังหวัดแนะนำให้ผ่าตัดปอดซ้าย และทำคีโมปอดขวา จากที่เคยเห็นเพื่อนต้องตายไปจากวิธีเดียวกันนี้ ทำให้กลัว เพราะเทคนิคการรักษาและคีโมมีผลข้างเคียงมาก ขณะที่ในกวางโจวใช้เทคนิค ใหม่ๆ และผลข้างเคียงน้อย (ตามที่รพ.โฆษณา) จึงใคร่จะทราบว่า เพื่อนๆ ที่มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่ไปรักษามาจากกวางโจว พอจะให้คำแนะนำแก่ดิฉันได้บ้าง  โปรดตอบด้วยนะคะ เพราะวันนี้ไปอัพเดทมะเร็งมา ใน 90 วัน ก้อนเนื้อในปอดโตขึ้นจนเห็นได้ชัดเจนค่ะ คุณหมอแจ้งว่าควรรีบผ่าตัดด่วนค่ะ” ในความเป็นจริงแล้ว เคยมีแพทย์ท่านหนึ่งเข้าไปโพสต์ให้ความรู้ในเรื่องดังกล่าวก่อนหน้าเมื่อ 11 เมษายน 2556 เวลา 19:45 น. ในกระทู้ชื่อ “หมอมะเร็งอยากบอก ตอน การรักษามะเร็งด้วยไวรัส.....ข้อเท็จจริง....บิดเบือน....หรือหลอกลวง” แพทย์ผู้โพสต์ข้อมูลในกระทู้นั้น ได้เกริ่นไว้ตอนหนึ่งว่า ได้รับการปรึกษาจากคนไข้คนหนึ่งถึงเรื่อง การบำบัดมะเร็งด้วยไวรัสของโรงพยาบาลฟูด้า กวางโจว ประเทศจีน จากนั้นแพทย์ท่านนี้ก็ได้ให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานของกระบวนการ โดยมีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการใช้ไวรัสในประเทศจีนประมาณว่า ได้มีการศึกษาในคนโดยฉีดไวรัสเข้าตัวก้อนมะเร็งโดยตรง โดยเปรียบเทียบระหว่างการให้การบำบัดด้วยยาอย่างเดียวหรือยาร่วมกับการให้ไวรัส ซึ่งพบว่าในขั้นตอนการศึกษาที่ 1 นั้นคนไข้ทนต่อการรับไวรัสได้ดี แล้วในขั้นตอนที่ 2 แสดงให้เห็นว่าก้อนมะเร็งยุบลง แต่ในขั้นตอนที่ 3 ซึ่งศึกษาในคนไข้มะเร็งชนิด Squamous Cell Carcinoma ที่คอและศีรษะหรือหลอดอาหารนั้นกลับไม่สามารถบำบัดให้หายขาด…..เป็นต้น อย่างไรก็ดี จากข้อมูลในตอนต้นของบทความที่ผู้เขียนได้เอ่ยว่า ดูเหมือนประเทศทางตะวันตกได้เตรียมที่จะรับรองการบำบัดมะเร็งบางชนิดด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว ผู้เขียนจึงขอให้ข้อมูลที่ท่านอาจสนใจจากบทความชื่อ Oncolytic viruses for cancer therapy (ปรากฏในวารสาร OncoImmunology ชุดที่ 2 ฉบับที่ 6 ประจำเดือนมิถุนายน 2013 ซึ่งสามารถเข้าไปอ่านได้ที่เว็บ www.landesbioscience.com) ซึ่งกล่าวว่า ปัจจุบันกำลังมีการวิจัยในคนไข้เพื่อบำบัด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งผิวหนัง เนื้องอกสมอง มะเร็งปอด มะเร็งปอดชนิดเมโสเธลิโอมาซึ่งมักเกิดจากใยหิน มะเร็งเต้านม มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด มัลติเพิล มัยอิโลมา มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น โดยใช้ไวรัสเฉพาะชนิดของแต่ละมะเร็ง ข้อมูลดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ คนไข้ที่เป็นมะเร็งอาจมีอายุยืนยาวขึ้นหลังจากได้ จ่ายค่าบำบัดมะเร็งในราคาที่เหมาะสม กับเทคโนโลยีการแพทย์ทันสมัย ซึ่งคงเป็นไปได้สำหรับ คนที่มีสตางค์เหมาะสม เท่านั้น ส่วนคนที่ทำงานมีรายได้ชนเดือนบ้างไม่ชนเดือนบ้าง คงต้องใช้วิจารณญาณให้จงหนักว่า จะพยายามทำให้คนที่ท่านรักหรือตัวท่านเองอยู่ได้นานขึ้นสักระยะหนึ่งแล้วเป็นหนี้หัวโต หรือจากโลกนี้ไปเพื่อเกิดใหม่ในที่ที่อาจดีกว่า เพราะอย่างไรๆ ทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้นหมายเหตุ: บทความนี้ใช้คำว่า “บำบัด” เมื่อต้องการหมายความว่า ทำให้โรคนั้นหมดไป ยกเว้นข้อความซึ่งคัดลอกมาจากอินเตอร์เน็ทซึ่งใช้คำผิดๆ ว่า “รักษา” ซึ่งคำๆ นี้หมายความว่า คงอยู่ไม่สูญหาย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 159 วิตามินอีกับมะเร็ง

ผู้เขียนได้รับข่าวงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ (มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง) ฟรีจากวารสาร Nature ซึ่งเป็นวารสารวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติที่ใจกว้างมากฉบับหนึ่งเป็นประจำ ในข่าวประจำวันที่ 29 เดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้เขียนได้พบหัวข้อข่าวที่น่าสนใจว่า “Study suggests supplements such as vitamin E promote tumour growth.” ซึ่งแปลง่าย ๆ ว่า มีการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินอีนั้นเป็นการสนับสนุนการเจริญของเนื้องอก เนื้อข่าวกล่าวว่า ในการทดลองให้หนู mouse(ซึ่งคล้ายหนูถีบจักรสีขาวที่มีขายที่สวนจตุจักร) กินสารต้านออกซิเดชั่น(ซึ่งคนทั่วไปมักเรียกว่า สารต้านอนุมูลอิสระ) คือ วิตามินอี หรือ เอ็น-อะเซ็ตติลซิสตีอีน  (N-acetylcysteine (NAC)) แล้วกลับพบว่า เป็นการสนับสนุนการขยายขนาดของเนื้องอก ไม่ใช่ไปยับยั้งตามที่ตั้งสมมุติฐานไว้ งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science Translational Medicine ซึ่งคงไม่ถูกใจพระเดชพระคุณนับล้านคนที่กลืนเม็ดวิตามินอีในลักษณะอาหารเสริมเป็นประจำ ในสหรัฐอเมริกานั้นเคยมีการสำรวจว่า ผู้ใหญ่ราวร้อยละ 11 กินวิตามินอีเสริมในขนาด 400 IU หรือมากกว่า(ซึ่งขนาดที่นักวิชาการแนะนำว่า มนุษย์ธรรมดาควรได้รับจากอาหารคือ 22.4 IU) ด้วยความหวังว่าวิตามินอีและสารต้านออกซิเดชั่นอื่นๆ จะไปช่วยสกัดกั้นอนุมูลอิสระที่เป็นผลพลอยได้จากการใช้พลังงานและการทำงานในระบบภูมิต้านทานของร่างกาย(ส่วนใหญ่เป็นอนุมูลที่มีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบที่มีความไวในการทำปฏิกิริยาชีวเคมีกับสารอื่นในเซลล์) ไม่ให้ไปทำอันตรายชีวโมเลกุลอื่นๆ ในเซลล์   เพราะบางครั้งเกิดมากเกินจำเป็น จนก่อความเสียหายแก่ดีเอ็นเอ (ตัวกำหนดการทำงานของเซลล์) ซึ่งความเสียหายนั้นอาจนำไปสู่การเกิดเนื้องอกและมะเร็ง   โดยปรกติแล้วเรามักคิดว่า สารต้านออกซิเดชั่นนั้นเป็นตัวลดการเกิดอันตรายในลักษณะนี้ได้ จึงนำไปสู่ธุรกิจการขายสารต้านออกซิเดชั่นต่าง ๆ เช่น วิตามินอี เบต้าแคโรทีน วิตามินซี สารสกัดจากใบไม้ เปลือกไม้ เปลือกผลไม้ เมล็ดพืช และอื่นๆ อีกมากมาย ให้แก่ผู้บริโภคที่ประเมินตนเอง(ตามคำแนะนำของผู้ขายสินค้า วิทยากรในรายการโทรทัศน์ดาวเทียมและฟรีทีวีต่างๆ) ว่ามีความเสี่ยงต่ออันตรายดังกล่าว รายงานการวิจัยใน 1994 เกี่ยวกับการที่เบต้าแคโรทีนไปส่งเสริมการเกิดมะเร็งปอดของอาสาสมัคร 29,133 คนที่เป็น สิงห์อมควันนั้น ผู้เขียนได้กล่าวถึงหลายครั้งในหลายโอกาสแล้ว เพราะข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นตำนานในการเรียนการสอนด้านระบาดวิทยาของโรคที่ไม่ติดต่อในมนุษย์ที่พบว่า การเสริมสารเคมีเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านระบบที่ไม่ใช่การกินจากอาหารแล้วส่งผลเสียได้เหมือนกัน ข่าวจาก Nature เล่าถึงกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเต็นเบอร์ก ประเทศสวีเดน (University of Gothenburg เขียนเป็นภาษาสวีดิชว่า  Göteborgs universitet) ที่พบว่า การให้สาร NAC แก่หนู mouse ที่ตัดแต่งพันธุกรรมให้เป็นมะเร็งปอดได้ง่ายนั้น แทนที่จะเป็นการไปลดการเกิดมะเร็งกลับเป็นการเพิ่มการเกิดมะเร็งถึง 3 เท่าของกลุ่มที่ไม่ได้รับสารนี้ ก่อนอื่นต้องเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบว่า NAC หรือ N-acetylcysteine นั้นเป็นยาที่ลดอาการไอจากเสลด ใช้ล้างพิษพาราเซตตามอลที่มากเกินไป แต่ปัจจุบันถูกขายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพราะต้านการออกซิเดชั่นได้ดีกว่า L-Cysteine และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์กลูตาไธโอนในร่างกาย จึงมีการโฆษณาขาย(โดยไม่ขออนุญาต อย.) ว่า กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน บำรุง และปกป้องเซลล์ตับจากสารพิษ ควบคุมการผลิตเม็ดสีเมลานินในร่างกาย รักษาแผลหลังผ่าตัดหรือแผลที่เกิดจากรอยไหม้ ปกป้องผิวจากการถูกรังสีเผาไหม้ และป้องกันการเกิดมะเร็งจากสารเคมีในควันบุหรี่ ฯลฯ ดังนั้นผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกเต็นเบอร์ก จึงไปลบล้างคำโฆษณาเกี่ยวกับการป้องกันมะเร็งปอด ทั้งที่ความจริงแล้วถ้ากลูตาไธโอนเกิดขึ้นเองในร่างกายในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว สารนี้จะเป็นสารที่ใช้จับสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย สิ่งที่น่าสนใจจาก Nature ต่อไปคือ คณะนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ได้ทำการวิจัยลึกลงไปอีกว่า การเสริมสารต้านออกซิเดชั่นคือ วิตามินอีให้แก่หนูในขนาดที่มากกว่าที่มนุษย์ควรได้รับในแต่ละวัน 5 ถึง 50 เท่า(ซึ่งปรกติถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ขายให้คนนั้นจะมากกว่า  4 ถึง 20 เท่า) นั้น ไปเสริมการเกิดมะเร็งที่ปอดถึงสามเท่า เมื่อเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการเสริมสารต้านออกซิเดชั่น ที่หนักไปกว่านั้นคือ การเสริมสารต้านออกซิเดชั่นทั้งสองชนิดนั้น ทำให้หนูตายด้วยมะเร็งเร็วกว่าปรกติถึงสองเท่า ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ในการศึกษาโดยใช้เซลล์มะเร็งปอดจากหนูหรือคนในห้องปฏิบัติการนั้น พบว่า สารต้านออกซิเดชั่นที่ผสมในอาหารเลี้ยงเซลล์กลับช่วยปกป้องหน่วยพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งที่เลี้ยงไว้ให้เข้มแข็ง จึงทำให้ผู้วิจัยเข้าใจว่าสารต้านออกซิเดชั่นนั้นไปลดการทำงานของยีนที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบและทำลายดีเอ็นเอที่กลายพันธุ์ไปแล้วของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ดีเนื่องจากผลการศึกษานั้นเป็นการทำให้ห้องปฏิบัติการ ผู้ทำวิจัยจึงระบุในการแถลงข่าวว่า มันอาจยากที่จะแปลผลไปสู่มนุษย์ และที่สำคัญยีนมะเร็งของหนูที่ใช้ทดลองนั้นได้ถูกกระตุ้นให้ทำงานแล้ว(เนื่องจากหนูนั้นถูกตัดแต่งพันธุกรรมให้เป็นมะเร็งได้ง่าย) ซึ่งต่างกับมนุษย์ทั่วไปที่ยีนมะเร็งอาจอยู่สงบเป็นพรหมลูกฟักตลอดไป ถ้าไม่มีสารก่อมะเร็งไปกระตุ้นให้ตื่น ดังนั้นการทดลองของผู้วิจัย(จึงเหมือนเสียเปล่าเพราะ) ไม่ได้ระบุว่าสารต้านออกซิเดชั่นมีผลอะไรต่อคนที่มีสุขภาพดีทั่วไป แต่แนะให้สนใจถึงผลของสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจมีต่อสิงห์อมควันทั้งหลาย ซึ่งใครจะรู้ว่าขณะอมควันแล้วเกิดอาการหายใจไม่สะดวกเนื่องจากมีเมือกมากในปอดจึงต้องกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นสารต้านออกซิเดชั่น เช่น NAC เพื่อให้หายใจคล่องนั้น จะมีปรากฏการณ์เหมือนที่เกิดในหนูทดลองและเซลล์มะเร็งที่เลี้ยงในห้องทดลองหรือไม่ ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในเมือง Houston รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกาคือ  University of Texas MD Anderson Cancer Center ได้กล่าวในการประชุมหนึ่งว่า สารต้านออกซิเดชั่นนั้นป้องกันการเกิดความเสียหายของดีเอ็นเอเนื่องจากอนุมูลอิสระได้ แต่ทันทีที่เกิดเซลล์มะเร็งแล้ว สารต้านอนุมูลอิสระน่าจะกลับทำงานปกป้องการถูกทำลายของเซลล์มะเร็งด้วยระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งประเด็นนี้ผู้บริโภคมักสับสนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่นักวิชาการควรแนะนำผู้บริโภคคือ สารต้านการออกซิเดชั่นนั้นมีประโยชน์ในการป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้ตราบที่ได้รับจากการกินอาหาร แต่เมื่อใดที่เริ่มมีเซลล์มะเร็งแล้ว การกินในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจไปส่งเสริมให้เซลล์มะเร็งอยู่รอดปลอดภัยจากการต่อสู้ของระบบทำลายสารพิษในร่างกายเรา   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 116 กินอาหารด่างฆ่ามะเร็ง?

อาหารด่างนั้นไม่ได้หมายถึงอาหารของไอ้ด่างนะครับ ท่านผู้อ่านฉลาดซื้อหลายท่านคงเคยได้เห็นข้อความบนเน็ต หรือจาก forward mail เกี่ยวกับอาหารในประเด็นต่างๆ ทั้งที่น่าจะจริงและน่าประหลาด ข้อมูลเหล่านี้เป็นกระบวนการที่จะกระตุ้นให้ท่านใฝ่สำนึกถึงกาลามสูตรทางพุทธศาสนา หรือคำสอนของศาสดาในศาสนาอื่นๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจเชื่อในสิ่งใดที่มีคนบอกเล่าว่า ต้องใช้สมองในการประเมินความเชื่อถือเสียก่อนจะตัดใจว่าเชื่อหรือไม่ และที่สำคัญต้องเข้าใจหลักการหนึ่งว่า เฉพาะคนตายเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนความคิด คนเป็นนั้นเปลี่ยนความคิดได้ถ้ามีข้อมูลใหม่ที่ถูกต้องมาประกอบความเชื่อเดิม ในฉลาดซื้อเล่มนี้ผู้เขียนขอเล่าให้ฟังถึงประเด็นที่ถูกถามว่า เคยได้ยินการบอกเล่าจากผู้หวังดีให้บริโภคอาหารที่เป็นด่างเพื่อลดพิษและป้องกันมะเร็งหรือไม่ ผู้เขียนจึงต้องไปมองหาข้อมูลในเน็ตดู ก็พบว่ามีประเด็นดังกล่าวอยู่จริงๆ ขอยกตัวอย่างเว็บไซต์หนึ่งซึ่งเป็นเว็บที่มี experts อยู่เยอะมากชื่อ http://blog.ezinearticles.com ซึ่งเมื่อเข้าไปพิจารณาแล้ว พบว่าเป็นเว็บที่พยายามทำตัวให้เหมือน wikipedia แต่คงลำบากเพราะมีองค์ประกอบและวิธีการที่ต่างกัน เนื่องจากมีระบบที่ใครอยากเขียนอะไร เอาเลย ตัวอย่างคนที่เขียนบทความเก่งสุด เขียนบทความลงในเว็บจนถึงวันนี้ถึง 23,739 บทความ  ในขณะที่หมายเลขสองจรดปลายปากกามาจนถึงวันนี้ถึง 21,000 บทความ อะไรมันจะขนาดนั้นยอดเยี่ยมในการเขียนเหมือนจักรกลได้ประมาณนี้ ที่สำคัญสำหรับเว็บนี้คือ การที่ไม่มีใครตรวจสอบว่าบทความนั้นจริงหรือลวงทางวิชาการ ดังนั้นท่านอาคันตุกะผู้เยี่ยมเว็บนี้จึงสามารถพบบทความเรื่องเกี่ยวกับการกินอาหารที่เป็นด่างเพื่อสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เขียนโดยนักเขียนท่านหนึ่งซึ่งมีบทความในประเด็นนี้เท่าที่นับดูคือ 52 บทความ เช่น เรื่อง Alkaline Diet and Cancer - Cancer Cells Cannot Live In An Alkaline Environment เรื่อง High Alkaline Foods - What Are the Best Ones to Include? เรื่องThe Ideal Human pH & Its เรื่อง Benefits Blood pH Level - The Benefits Of Alkaline pH Blood ทำไมอาหารที่กินต้องเป็นด่าง ผู้เขียนบทความในลักษณะนี้หลายๆ คนรวมทั้งคนไทยที่ไปจำขี้ปากเขามาพูด จะอธิบายโดยกล่าวถึงพื้นฐานของความเป็นกรดด่างของร่างกายมนุษย์ในลักษณะมั่วๆ ว่า “ความเป็นกรดด่างในร่างกายเรานั้นต้องถูกรักษาให้เหมาะสมโดยมีอาหารที่เรากินเข้าไปนั้นส่งผลกระทบโดยตรง ถ้ากินอาหารที่เป็นกรด สภาวะในร่างกายจะเป็นกรดแต่ถ้ากินอาหารที่เป็นด่างสภาวะในร่างกายก็จะออกทางเป็นด่าง การเป็นด่างนี้ดีเพราะ ปรกติเวลาร่างกายเราเผาผลาญพลังงานออกมาโดยกระบวนการที่ใช้ออกซิเจนนั้นขยะที่ได้จะมีความเป็นกรดต่อเซลล์ ซึ่งทำให้เซลล์ไม่สบายอ่อนแอลงส่งผลให้เป็นโรคต่างๆ ได้ถึงเป็นมะเร็ง ความเป็นกรดด่างในร่างกายมนุษย์นี้มีผลกระทบถึงการทำงานของสมอง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่มีเซลล์ไขมันของมันเองแต่ได้พลังงานมาเซลล์เม็ดเลือดโดยตรง ดังนั้นถ้าเซลล์เม็ดเลือดไม่สบายเพราะความเป็นกรดด่างไม่เหมาะสม สมองก็ไม่สบายไปด้วย อีกทั้งการเป็นไปเป็นสภาวะกรดในร่างก็ทำให้ร่างกายเปลี่ยนขั้ว (polarity) ของเซลล์เม็ดเลือด จากลบเป็นบวกจึงทำให้หันไปเกาะติดกับผนังหลอดเลือดแดงซึ่งมีขั้วลบเกิดการตีบตัน จึงเกิดปัญหาโรคเส้นเลือดหัวใจได้ อีกทั้งความเป็นกรดภายในร่างกายนั้นทำให้น้ำหนักเกินได้ง่ายจึงอ้วนได้เร็ว การทำให้สภาวะในร่างกายเป็นด่างจึงเป็นการดึงสมดุลต่างๆ เข้าสู่ความเป็นปรกติ” อ่านแล้วก็น่าเหนื่อยใจ เพราะเว็บทั้งไทยและเทศมีข้อมูลวิชาการแบบจับแพะชนแกะเยอะมาก เหมือนอย่างที่ผู้เขียนเคยเล่าเรื่องที่มี forward mail ว่ากินน้ำเย็นแล้วไขมันจะอุดตันในทางเดินอาหารทำให้ย่อยไม่ได้ เคลื่อนลงไปในลำไส้ใหญ่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ซึ่งเป็นเรื่องมั่วสุดๆ เพราะแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะพบว่าการกินอาหารไขมันสูงจะมีความสัมพันธ์ต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็ตาม แต่กระบวนการนั้นไม่ใช่เรื่องโง่ ๆ แบบไขมันอุดในลำไส้ก่อมะเร็ง เช่นกันกับเรื่องกินน้ำเย็น ข้อความเกี่ยวกับสภาพกรดด่างในร่างกายที่มักเขียนในเน็ตโดยนักวิชาเกินนั้น เป็นเรื่องน่าอนาถอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะทั้งวิชาสรีรวิทยาและชีวเคมีที่สอนกันในมหาวิทยาลัยที่เชื่อถือได้ จะอธิบายว่า ระบบต่างๆ ในร่างกายมนุษย์จะควบคุมความเป็นกรดด่างให้เหมาะสมอย่างอัตโนมัติเท่าที่จะทำได้ โดยปรกติสภาวะในเลือดหรือเซลล์บางอวัยวะต้องมีความเป็นกรดด่างราว 7.4 เนื่องระบบการทำงานเช่น เอนไซม์ ต้องการสภาวะนี้ วิธีการปรับนั้นร่างกายเราใช้ระบบที่เรียกว่า บัฟเฟอร์ ซึ่งมีอย่างน้อยสาม ระบบที่เกิดจากองค์ประกอบในน้ำเลือดหรือเซลล์เอง ได้แก่ ฟอสเฟต (ซึ่งได้จากดีเอ็นเอในอาหารที่มีเซลล์ทั้งพืชและสัตว์) กรดอะมิโนหลายชนิดจากอาหารที่ถูกย่อยเข้าสู่เลือด แต่ที่สำคัญและน่าจะเป็นหลักสำคัญ คือ ไบคาร์บอเนต ซึ่งได้จากคาร์บอนไดออกไซด์ที่เซลล์ปล่อยออกมาระหว่างการเผาผลาญน้ำตาลเป็นพลังงาน องค์ประกอบของบัฟเฟอร์นั้นมีทั้งส่วนที่เป็นกรดและด่างในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีไบคาร์บอเนตบัฟเฟอร์ ถ้ามีส่วนที่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์มากไปจะต้องมีการกำจัดทิ้ง โดยมีการกระตุ้นการหาวของเราเพื่อขับก๊าซนี้ทิ้ง ซึ่งจะทำให้ระดับความเป็นกรดด่างของเลือดเข้าสู่สภาวะปรกติได้ สำหรับบางอวัยวะเช่น กระเพาะอาหารนั้นต้องมีความเป็นกรดสูงระหว่างย่อยอาหาร ความเป็นกรดอาจลดลงไปถึงช่วง 1-2 ได้เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง เพื่อช่วยในการย่อยโปรตีนบางส่วน ถ้ากระเพาะไม่สามารถปรับให้มีความเป็นกรดในระดับนี้ได้ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาสู่ระบบทางเดินอาหาร ที่เบาสุดคือ ท้องอืดเฟ้อ ในทางตรงข้าม ระหว่างการย่อยอาหารในลำไส้เล็ก ความเป็นด่างถึง 8 กว่าๆ นั้นจำเป็นต่อการย่อยสารอาหารทั้งโปรตีน แป้ง และไขมัน ซึ่งมีเอนไซมจากตับอ่อนเป็นตัวช่วยในการปฏิบัติการนี้ ซึ่งถ้าขาดซึ่ง  น้ำดี ที่ได้จากตับมาช่วยในปฏิบัติการนี้ การย่อยอาหารจะไม่สำเร็จ ส่งผลให้สารอาหารที่ไม่ถูกย่อยลงสู่ลำไส้ใหญ่ให้แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยเกิดก๊าซทำให้ท้องอืดเฟ้อได้เช่นกัน ดังนั้นความเหมาะสมของกรดด่างในร่างกายจึงต่างกันตามชนิดของอวัยวะ การกล่าวว่ากินอาหารเพื่อปรับร่างกายให้เป็นด่างนั้นน่าจะเป็นการพูดผิด และที่ผิดอย่างมากคือ การพยายามแนะนำให้กินผักผลไม้ซึ่งกล่าวว่าเป็นอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ซึ่งอาจหมายถึง การมีโปแตสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกาย แต่เมื่อมันเข้าไปอยู่ในร่างกายมันไม่จำเป็นต้องแสดงความเป็นด่างเหมือนเมื่อเป็นด่างชื่อ โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ ทั้งนี้เพราะแร่ธาตุนี้แสดงการทำงานในรูปการแตกตัวเป็นเกลือซึ่งในหลอดทดลองเมื่อละลายน้ำจะมีฤทธิ์เป็นกลาง อีกทั้งผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรดเช่น ผลไม้ตระกูลส้ม ก็มีโปแตสเซียมเป็นองค์ประกอบเช่นกัน โดยสรุปแล้วการกินอาหารเพื่อปรับความเป็นกรดด่างโดยการไปเชื่อคำแนะนำทั้งในหนังสือฝรั่ง และไทยนั้น ท่านอาจพลาดการได้ประโยชน์จากพืชผักที่อาจไม่อยู่ในกลุ่มที่เขาทั้งหลายจัดว่าเป็นด่างได้ ผักผลไม้ที่เรารับประทานนั้นควรมีความหลากหลาย โดยยึดให้มีสีแตกต่างกันไป และกินให้มากจนได้ปริมาณครึ่งจานก็จะเป็นประโยชน์ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีได้ ทั้งนี้เพราะใยอาหารบางชนิดจะถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยได้เป็นกรดไขมันที่ช่วยในการคงระดับความเป็นกรดด่างอยู่ที่ 7 คือ กลางๆ ไม่ให้เป็นด่าง ทั้งนี้เพราะถ้าลำไส้ใหญ่มีความเป็นด่าง(ซึ่งมักเกิดกับคนที่กินเนื้อสัตว์สูง) คนผู้นั้นจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะเซลล์มะเร็งจะเจริญได้ดีในสภาวะที่เป็นด่างเนื่องจากเซลล์มะเร็งมีการผลิตกรดมากเกินไป ความเป็นด่างจะช่วยให้เซลล์มะเร็งรอดจากกรดที่มันผลิตออกมา ดังนั้นการกล่าวว่าต้องกินอาหารเพื่อให้ร่างกายมีความเป็นด่างจึงดูเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ทีเดียว ในเรื่องการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 110 กินดอกไม้ต้านมะเร็ง

การศึกษาครั้งนั้นเป็นการดูการกลายพันธุ์ของขนบนปีกแมลงหวี่ที่ได้จากหนอนแมลงหวี่ซึ่งกินอาหารที่ผสมสารยูรีเทนและดอกไม้ที่ศึกษา จากผลการศึกษาพบว่าการกลายพันธุ์ลดลง ทำให้แปลผลได้ว่าดอกไม้ที่ศึกษานั้นลดความเสี่ยงของสารก่อมะเร็งได้ สำหรับความสามารถในการต้านพิษนั้นก็เข้าใจกันว่า มาจากสารต้านอนุมูลอิสระและอื่นๆ ที่อยู่ในเนื้อดอกไม้ รบกันมาพอควรแล้วคนไทย กลับบ้านกินอาหารไทยที่บ้านใครบ้านมันกันเถอะ เพราะอาหารไทยนั้นมีพืชผักเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ กินแล้วมักทำให้ใจเย็นลง (ถ้าไม่เติมเหล้าลงไปนะ) อีกทั้งยังเป็นปัจจัยทำให้คนไทยมีอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ค่อนข้างต่ำในอดีต ต่างกับในปัจจุบันที่ต้องเตือนให้คนไทยระวังมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากเราหันไปกินอาหารตามแบบชาวตะวันตกมากขึ้น ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าในสูตรอาหารไทยที่เป็นที่นิยมนั้น มีดอกไม้หลายชนิดเป็นองค์ประกอบ ดอกไม้จริงๆ นะครับ ไม่ใช่ดอกไม้ที่แกะสลักจากผักแล้วสวยจนกินไม่ลง เราคุ้นกันดีกับการนำดอกแคมาแกงส้ม เอาดอกโสนมาชุบไข่ทอด หรือเอาดอกกล้วยคือ หัวปลี มาลวกน้ำร้อนจิ้มน้ำพริก ดอกไม้เหล่านี้หากินได้ไม่ยากนักตามตลาดทั่วไป www.panmai.com/Food/Food.shtml เป็นตัวอย่างเว็บที่นำเสนออาหารที่ทำจากดอกไม้พร้อมวิธีปรุงอาหารจากดอกไม้หลายชนิดเช่น ดอกขจร ซึ่งนำมาปรุงเป็นแกงส้ม ยำ แกงจืด และข้าวต้ม มีสูตรปรุงดอกแคเป็นแกงส้ม ดอกแคสอดไส้ แกงเหลือง และการชุบแป้งทอด ดอกไม้ที่เว็บนี้แนะนำนอกจากที่กล่าวเป็นตัวอย่างแล้วคือ ดอกขี้เหล็ก ดอกสะเดา ดอกพยอม ดอกซ่อนกลิ่น ดอกโศก และดอกกระเจี๊ยบ อีกเว็บคือ www.odi.stou.ac.th ได้จำแนกประเภทดอกไม้ที่นำมาประกอบอาหารตามแหล่งที่ได้มา ได้แก่ ดอกไม้ที่เป็นดอกของผัก เช่น กะหล่ำดอก กะหล่ำดอก ดอกแคบ้าน ดอกกุยช่าย ดอกเก๊กฮวย ดอกผักกวางตุ้ง ดอกฟักทอง ดอกบวบหอม ดอกกระถิน ดอกหอม ดอกข่า ฯลฯ ดอกไม้บางชนิดประดับก็ได้ประแดกก็ดี เช่น ดอกเข็ม ดอกพวงชมพู ดอกเล็บมือนาง ดอก ลั่นทม ดอกดาวเรือง ดอกดาวกระจาย ดอกกุหลาบ ดอกแคฝรั่ง ดอกชบา ดอกซ่อนกลิ่น ดอกเฟื่องฟ้า ฯลฯ ขอเพียงอย่างเดียวควรทำอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ เพราะเมื่อประดับแล้วมันย่อมเหี่ยวเฉา หรือบางกรณีเช่น การใช้ดอกซ่อนกลิ่นประดับหน้าศพนั้น ใช้แล้วทิ้งเลยดีกว่า เอามาปรุงอาหารคงไม่อร่อยแน่ ดอกของไม้ผลบางชนิดเป็นผลพลอยได้ที่ชาวสวนต้องตัดทิ้งเมื่อออกดอกมากไป เพื่อให้ได้ผลไม้ที่มีขนาดเหมาะสม ดอกเหล่านี้สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ด้วย เช่น ดอกทุเรียน ดอกชมพู่สาแหรก ดอกมะขาม ดอกกล้วย (หัวปลี) ช่อมะม่วง ดอกมะละกอ ฯลฯ กรณีที่เป็นดอกของไม้ป่านั้นก็ไม่พ้นความสามารถของคนไทยในการที่นำมาลิ้มลอง เช่น ดอกพะยอม ดอกงิ้ว ดอกแคป่า ดอกแคขน ช่อสะเดา ช่อมะกอก ดอกขี้เหล็ก ดอกกระโดน ดอกลำพู ดอกกุ่มน้ำ ดอกแต้ว เป็นต้น สำหรับวัชพืชหลายชนิดที่มีดอก เช่น ดอกกะลา (ดอกดาหลา) ดอกสลิด (ดอกขจร) ดอกข้าวสาร ดอกผักปลัง ดอกผักตบไทย ดอกผักตบชวา ดอกกะแท่ง ดอกบุก ดอกกระพังโหม ดอกกระทือ ดอกครั่ง ดอกกระเจียว ดอกโสน ดอกบอน ฯลฯ ก็หนีไม่พ้นริมฝีปากของชาวไทย ดอกของต้นไม้อื่นๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะกินได้เช่น ดอกนุ่น ปลีตาล จั่นจาก(ดอกจาก) ดอกมะรุม ดอกโศก เราก็กินกัน สำหรับท่านที่นิยมของนอกอาจหาดอกไม้ต่างชาติมารับประทานได้เช่นกัน ที่มีการกินกันแล้วเช่น ดอกคาร์เนชั่น ดอกเดย์ลิลลี่ ดอกอิงลิชเดย์ซี่ ดอกเฟนเนล ดอกนัชเทอฌัม ดอกคาเลนดูล่า ดอกบีบาล์ม ดอกคาโมไมล์ ดอกไวโอเล็ต ดอกกุหลาบ ดอกโรสแมรี่ ดอกลาเวนเดอร์ ดอกไลแลค ดอกแอนิช ฮิซซอพ ดอกการ์ดีเนีย ดอกทิวลิป ดอกพริมโรส เป็นต้น สำหรับสูตรวิธีการปรุงดอกไม้เป็นอาหารรับประทานนั้น ท่านผู้อ่านคงพอหาได้จากหนังสือตำราอาหารหรือเว็บต่างๆ ดังตัวอย่างที่กล่าวแล้วข้างต้นคำถามว่าทำไมหลายคนถึงรับประทานดอกไม้เป็นอาหารส่วนใหญ่มักบอกว่า อร่อยดี หรือ แปลกดี บ้างก็ว่าเปลี่ยนบรรยายกาศ แต่ปัจจุบันหลายคนอาจบอกว่ามันเป็นยาเหมือนกัน เช่น ในเว็บ www.ku.ac.th/e-magazine/nov49/know/flower.htm และ http://news.enterfarm.com ซึ่งมีข้อมูลกล่าวถึงดอกไม้ที่ใช้เป็นยาได้ และก็กินเป็นอาหารได้ด้วยที่น่าสนใจมากคือ มีการกล่าวถึงดอกไม้ที่น่าจะต้านมะเร็งได้ เช่นในเว็บ www.vcharkarn.com มี ข้อมูลว่า นักวิจัยจากศูนย์วิจัยมะเร็ง Georgetown Lombardi Comprehensive Cancer Center เผยการใช้สารสกัดจากดอกไม้จำพวก Chrysanthemum parthenium ร่วมกับยารักษามะเร็งเต้านม tamoxifen ช่วยลดการดื้อยาทั้งก่อนและหลังใช้ยา ในประเด็นที่เรากินดอกไม้ด้วยและได้ประโยชน์จากการลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งนั้น ผู้เขียนเคยทำวิจัยดอกไม้ที่คนไทยกินกันเป็นประจำว่ามีความสามารถในการลดความเสี่ยงบ้างหรือไม่ ในการศึกษานั้นได้นำเอาดอกไม้กินได้แปดชนิดซึ่งส่วนใหญ่มีขายที่เกาะเกร็ด และตามตลาดทั่วไทย ได้แก่ หัวปลี ดอกขจร ดอกเข็ม ดอกแค ดอกบัว ดอกเฟื่องฟ้า ดอกโสน และดอกอัญชัน ทั้งสดและที่ผ่านกระบวนการปรุงโดยต้มหรือชุบแป้งทอด มาทดสอบว่ามีฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ของสารก่อมะเร็งชื่อ ยูรีเทน ในแมลงหวี่ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบเปลี่ยนแปลงสารพิษคล้ายระบบในหนูทดลอง การศึกษาครั้งนั้นเป็นการดูการกลายพันธุ์ของขนบนปีกแมลงหวี่ที่ได้จากหนอนแมลงหวี่ซึ่งกินอาหารที่ผสมสารยูรีเทนและดอกไม้ที่ศึกษา จากผลการศึกษาพบว่าการกลายพันธุ์ลดลง ทำให้แปลผลได้ว่าดอกไม้ที่ศึกษานั้นลดความเสี่ยงของสารก่อมะเร็งได้ สำหรับความสามารถในการต้านพิษนั้นก็เข้าใจกันว่า มาจากสารต้านอนุมูลอิสระและอื่นๆ ที่อยู่ในเนื้อดอกไม้ ดังนั้นเพื่อเพิ่มความหวานให้แก่ชีวิต ด้วยความหวังดีจากชายใส่เสื้อไม่มีสีขอแนะนำให้หันมากินดอกไม้ประกอบการพูดภาษาดอกไม้ น่าจะลดความเหนื่อยยากในชีวิตลงได้บ้างนะครับพวกคนชอบใส่เสื้อมีสี

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 183 รู้เท่าทันความเป็นกรดด่างกับมะเร็ง

 ขณะนี้เราจะได้รับข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับการรักษามะเร็งด้วยการปรับความเป็นกรดด่างในเลือดให้เป็นด่าง  เพราะมะเร็งชอบสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด  ดังนั้นถ้าเราปรับเลือดของเราให้เป็นด่างจะเป็นการฆ่าเซลล์มะเร็งไปในตัว  ทำให้น้ำดื่มที่เป็นด่าง รวมทั้งอาหารที่สร้างภาวะความเป็นด่างกลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับการส่งเสริมไปทั่วโลก  เรามารู้เท่าทันภาวะกรดด่างกับมะเร็งกันเถอะความเชื่อเกี่ยวกับภาวะกรดด่างกับมะเร็งปัจจุบัน วงการแพทย์ทางเลือกทั่วโลกมีความเชื่อและส่งเสริมให้คนกินอาหารด่างอย่างแพร่หลายว่า มะเร็งจะเจริญเติบโตได้ดีและเร็วในภาวะที่เป็นกรด  มะเร็งไม่สามารถเติบโตในภาวะแวดล้อมที่เป็นด่าง  ดังนั้น  การดื่มน้ำและกินอาหารที่เป็นด่างจะทำให้ไม่เป็นมะเร็งหรือรักษามะเร็งได้ ไม่เป็นข้ออักเสบ โรคอ้วนและโรคอื่นๆ   น้ำดื่มที่เป็นด่างนั้นสามารถทำได้โดยการใช้เครื่องที่ปรับน้ำธรรมดาให้เป็นน้ำที่มีค่าความเป็นด่าง  ส่วนอาหารที่สร้างภาวะเป็นด่างนั้นได้แก่  ผลไม้ ผัก และอาหารที่ได้จากพืชผักต่างๆ  และจำกัดการกินอาหารที่แปรรูปอาหารด่างสามารถเปลี่ยนเลือดให้เป็นภาวะด่างได้จริงหรือไม่การอ้างนี้ขัดกับความเป็นจริงที่ว่า ร่างกายมีระบบการปรับสมดุลความเป็นกรดด่างที่เข้มงวด โดยมีไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองและขับความเป็นกรดออกไปเพื่อให้เลือดคงความเป็นด่างเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา  ถ้าเลือดมีภาวะเป็นกรดหรือด่างผิดปกติมากหรือเรื้อรังจะเกิดอันตรายต่อชีวิตได้  อาหารหรือน้ำด่างที่เรากินเข้าไปนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนเลือดให้เกิดสภาวะเป็นด่างได้  ปกติเลือดของเรามีความเป็นด่างเล็กน้อยอยู่แล้ว (เลือดมีความเป็นกรดด่าง 7.35-7.45  ความเป็นกรดด่าง 7 จะเป็นกลาง  กระเพาะอาหารเป็นกรดมาก 3.5 หรือต่ำกว่า เพื่อช่วยการย่อยอาหารโดยเฉพาะโปรตีน) อาหารสามารถเปลี่ยนความเป็นกรดด่างของปัสสาวะได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนภาวะกรดด่างของเลือด เซลล์มะเร็งเติบโตได้ดีในภาวะกรดจริงหรือไม่เซลล์มะเร็งนั้นสามารถเจริญเติบโตในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งมีสภาวะความเป็นด่างเล็กน้อย  มีการทดลองจำนวนมากที่ยืนยันว่าเซลล์มะเร็งสามารถเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เป็นด่าง  เนื้องอกเจริญเติบโตได้เร็วกว่าในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เป็นเพราะเนื้องอกสร้างสภาวะความเป็นกรดด้วยตัวเองอาหารด่างมีประโยชน์หรือไม่อย่างไรก็ตาม แนวทางอาหารด่างที่กำลังนิยมกันนั้นนับเป็นอาหารสุขภาพ  เพราะได้แก่การกินผลไม้ ผัก และอาหารที่ได้จากพืชผักต่างๆ  ในปริมาณมาก  และจำกัดการกินอาหารที่แปรรูป  เป็นแนวทางการกินอาหารแบบดั้งเดิมที่บรรพบุรุษของเรากินกันมา  เป็นแนวทางของอาหารพื้นบ้าน  ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าการกินอาหารที่เป็นกรด(อาหารเนื้อสัตว์ นม ไข่ เป็นต้น)  มากเกินไปแต่การอ้างสรรพคุณอาหารด่างว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งเพราะไปปรับเลือดให้เป็นด่างนั้น  จึงไม่สมเหตุผลและไม่มีหลักฐานวิชาการเพียงพอที่จะสนับสนุนประสิทธิผลตามที่อ้างสรุปว่า ความเชื่อเรื่องการกินอาหารและน้ำที่เป็นด่างเพื่อให้เลือดในร่างกายมีภาวะเป็นด่าง รวมทั้งภาวะความเป็นด่างจะทำให้เซลล์มะเร็งนั้นไม่เจริญเติบโตนั้น  จึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะยืนยันว่าเป็นไปได้จริง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 180 รู้เท่าทันกัญชากับการรักษามะเร็ง

ระยะนี้มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์จากต่างประเทศเกี่ยวกับน้ำมันกัญชาว่ามีประโยชน์สารพัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง  มีผู้ป่วยหลายรายที่กินแล้วอาการดีขึ้น บางรายหายจากมะเร็ง  ในประเทศไทยเริ่มมีการพูดคุยเรื่องนี้กันมากพอควรว่า ถ้ามีประโยชน์จริงก็ควรนำมาใช้กับผู้ป่วยเพราะเป็นพืชที่ขึ้นได้ง่ายและจะเป็นการประหยัดเงินทองในการซื้อยาราคาแพงจากต่างประเทศ  เราจึงควรรู้เท่าทันเรื่องกัญชากับการรักษามะเร็งกัน มารู้จักกัญชากัญชาเป็นพืชจากเอเชียกลางแต่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในหลายๆ ส่วนของโลก กัญชาจะผลิตน้ำยางที่เป็นสารประกอบชื่อ แคนนาบินอยด์ (cannabinoids) ซึ่งมีฤทธิ์ทางยา มีผลต่อทั่วร่างกายรวมทั้งระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน  สารในแคนนาบินอยด์หลักที่มีฤทธิ์คือ delta-9-THC  สารมีฤทธิ์ตัวอื่นคือ แคนนาบิดอล (cannabidol) ซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดและการอักเสบ มีการใช้กัญชามาตั้งแต่ดั้งเดิมมากกว่า 3,000 ปี  ทั้งในตะวันออกและตะวันตก  ปีค.ศ. 1942 กัญชาได้ถูกตัดออกจากเภสัชตำรับในสหรัฐอเมริกาด้วยสาเหตุเรื่องความปลอดภัย และในปีค.ศ. 1951 (พ.ศ. 2494)  ถูกจัดเป็นยาเสพติดเป็นครั้งแรก  สำหรับประเทศไทย กัญชาได้กลายเป็นยาเสพติดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แม้ว่ากัญชาจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกา  แต่ก็มีการอนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์อย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่ต่ำกว่า 12 รัฐ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กัญชาอาจใช้กิน สูดดม หรือพ่นทางใต้ลิ้น  เมื่อกินทางปาก สาร delta-9-THC จะถูกกระบวนการของตับเปลี่ยนเป็นสารเคมีที่มีผลต่อจิตประสาท  เมื่อสูบหรือสูดดม สารแคนนาบินอยด์จะซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว  ผลกระตุ้นทางจิตจะเกิดน้อยกว่าการกินทางปากการศึกษาทางการแพทย์ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) ได้รายงานว่า มีการศึกษาในระดับห้องปฏิบัติการหรือในสัตว์ทดลองเกี่ยวกับการยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกชนิดต่างๆ ตั้งแต่การทำให้เซลล์มะเร็งแก่ตายเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่  มะเร็งเต้านม มะเร็งสมอง มะเร็งตับ ฯลฯ  นอกจากนี้ยังช่วยการอยากอาหาร ลดปวด ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ลดความกระวนกระวาย และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น การศึกษาการใช้กัญชาเพื่อการรักษามะเร็งในผู้ป่วยนั้นยังไม่มีในระบบฐานข้อมูลใน PubMed ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ แต่มีการศึกษาทางคลินิกเพื่อหาทางในการบำบัดอาการข้างเคียงของมะเร็งและการบำบัดมะเร็ง ได้แก่ •    การรักษาเนื้องอกที่เป็นก้อน มะเร็งสมอง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา•    ยาสกัดจากกัญชา 2 ชนิดสามารถขึ้นทะเบียนยาในสหรัฐอเมริกา ชื่อทางการค้าคือ dronabinol และ nabilone  เพื่อใช้รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยจากการรักษาตามมาตรฐานหรือการรับยาเคมีบำบัด •    ในเรื่องการเจริญอาหาร พบว่ายาจากกัญชามีผลในการเจริญอาหารหรือเพิ่มน้ำหนักร่างกายน้อยกว่าการรักษาตามมาตรฐาน  แต่กลับได้ผลดีในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี•    มีงานวิจัยในขนาดเล็กที่พบว่าสารประกอบในกัญชานั้นได้ผลดีในการลดอาการปวด รวมทั้งอาการคลื่นไส้อาเจียน  แต่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกายังไม่ยอมรับให้เป็นแนวทางในการรักษาความปวด•    มีการศึกษาในผู้ป่วยจำนวนน้อย พบว่า กัญชาที่ใช้สูดดมช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น พัฒนาความรู้สึกของสุขภาวะ และลดความวิตกกังวลโดยสรุป มีหลักฐานทางการแพทย์มากพอที่ยืนยันได้ว่า กัญชามีผลดีในการรักษาอาการข้างเคียงของมะเร็งและโรคอื่นๆ เช่น เอชไอวี  สารสกัดจากกัญชาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาถึงสองชนิดในอเมริกา  แม้ว่าการวิจัยเรื่องการใช้กัญชาในการรักษามะเร็งนั้นยังไม่มากเพียงพอ  แต่สำหรับการรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ซึมเศร้า นอนไม่หลับในผู้ป่วยมะเร็งนั้นก็เกิดประโยชน์มากมายเพียงพอแล้ว  ประเทศไทยจึงควรทบทวนเรื่องคุณค่าของกัญชาเสียใหม่  เพื่อนำมาใช้บำบัดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยจำนวนมหาศาล                            

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 177 รู้เท่าทันการกินไส้กรอก-แฮม-เบคอน เสี่ยงเป็นมะเร็ง

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2558  องค์การอนามัยโลกได้ออกรายงานว่า การกินเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอนนั้น เป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็ง  ทำให้เป็นข่าวใหญ่ระดับโลกและก่อให้เกิดความตื่นกลัวในหมู่ประชาชนจนไม่กล้ากินหรือไม่ให้เด็กๆ กินเนื้อแปรรูปเหล่านี้  ประเทศต่างๆ และอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ได้ออกมาคัดค้านว่าไม่เป็นความจริง  เรามารู้เท่าทันเรื่องนี้กันดีกว่า     รายงานขององค์การอนามัยโลก จัดให้ไส้กรอก เบคอน และแฮม เป็นสารก่อมะเร็งมากที่สุดในระดับเดียวกับบุหรี่ แอลกอฮอล์ แร่ใยหิน และสารหนู     รายงานดังกล่าวมาจาก The International Agency for Research on Cancer (IARC) ซึ่งเป็นหน่วยงานสาขา ขององค์การอนามัยโลก  โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ 22 คนจาก 10 ประเทศมาประชุมกันเพื่อระบุสิ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็ง  เวทีครั้งนี้ได้มีการนำผลงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 800 ผลงานมาใช้ในการจัดทำรายงานดังกล่าว     IARC ระบุว่า  เนื้อสัตว์แปรรูปเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1  และเนื้อแดงอยู่ในกลุ่ม 2A เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับมะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งต่อมลูกหมาก        เนื้อสัตว์แปรรูป หมายถึง เนื้อสัตว์ที่มีความเค็ม ใส่สารกันบูด หมัก รมควัน ปรุงกลิ่นแต่งรส     เนื้อแดง หมายถึง เนื้อวัว เนื้อลูกวัว หมู แกะ ม้า หรือห่าน  และประมาณครึ่งหนึ่งของเนื้อแดงที่บริโภคกันทั่วโลกนั้นเป็นเนื้อแปรรูป     การกินเนื้อแปรรูปทุกวัน วันละ 50 กรัม หรือเท่ากับไส้กรอกหนึ่งชิ้น  จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรงร้อยละ 18  การกินเนื้อแดงทุกวัน วันละ 120 กรัม (1.2 ขีด) เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรงร้อยละ 17  ซึ่งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนที่ค่อนข้างน้อย  เนื่องจากความเสี่ยงของผู้ชายที่จะเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรงตลอดอายุขัยมีเพียงร้อยละ 4.8  ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงเป็นร้อยละ 5.6     “เมื่อพิจารณาเฉพาะแต่ละคน ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรงจากการบริโภคเนื้อแปรรูปมีเพียงเล็กน้อย  แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์” ดร.เคิร์ท สเตรฟ หัวหน้าของ IARC Monographs Programme กล่าว “เมื่อพิจารณาประชากรจำนวนมากที่บริโภคเนื้อแปรรูป  อัตราการเกิดมะเร็งในวงกว้างจึงมีความสำคัญต่อสาธารณสุข”     ความจริง เนื้อสัตว์แปรรูปมีความเชื่อมโยงกับมะเร็งทางเดินอาหาร โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่กับไส้ตรง และมะเร็งกระเพาะอาหารเป็นเรื่องที่รู้กันมานาน  การจัดหมวดหมู่ของ IARC จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่  เพียงแต่ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น การกินเนื้อสัตว์แปรรูปมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเท่ากับการบุหรี่ แร่ใยหิน สารหนู หรือไม่?    การจัดหมวดหมู่ให้เนื้อสัตว์แปรรูปอยู่ในกลุ่ม 1 เท่ากับยาสูบ บุหรี่ และแร่ใยหิน  ไม่ได้หมายความว่า การกินไส้กรอกมีความเสี่ยงเท่ากับการสูบบุหรี่   การสัมผัสแร่ใยหิน และสารหนู  แต่นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่ามีบางอย่างที่ก่อมะเร็ง ไม่ใช่ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งนั้นเท่ากัน    เมื่อเปรียบเทียบผลการศึกษาในปีค.ศ. 2005 การสูบบุหรี่ทุกวัน วันละ 1 มวนจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดร้อยละ 200-400        โดยสรุป  ไส้กรอก แฮม เบคอน เนื้อแห้งที่แปรรูปต่างๆ รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงนั้น เป็นตัวก่อมะเร็ง และความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นตามปริมาณที่บริโภค  ดังนั้น  จึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์เหล่านี้เป็นอาหารหลัก หรืออาหารประจำวันของลูกหลานเรา  เราควรสอนเด็กๆ ของเรา  โรงเรียนควรสอนการกินอาหารที่ปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 97 กำจัดกลิ่นตัวอย่างไร ให้ห่างไกลมะเร็ง

สวยอย่างฉลาดรศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล : คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดลpypph@hotmail.com หน้าร้อนมาถึงเร็วมากในปีนี้ ร้อนมากกว่าทุกปีด้วย เหงื่อก็ต้องออกมากเพราะอากาศร้อนและชื้นมาก การหมักหมมของเหงื่อในที่อับชื้นในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีและรวดเร็ว ก่อให้เกิดกลิ่นตัวที่เหม็นบูดหรือกลิ่นเปรี้ยวและฉุน เป็นที่รังเกียจของสังคม แต่มักจะไม่มีคนรอบตัวกล้าเอ่ยปากบอกกล่าว กลิ่นตัวเกิดได้จากอีกหลายๆ สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่มักเกิดจากกลิ่นของเหงื่อไคลที่สะสมและรวมตัวกับเชื้อแบคทีเรียใต้วงแขนที่อุ่นและชื้น ทำให้กลายเป็นกลิ่นเหม็นเปรี้ยว สิ่งแรกที่ควรจัดการเมื่อรู้ตัวว่ามีปัญหาคือ อาบน้ำฟอกตัวด้วยสบู่ให้มากๆ ในอากาศร้อนชื้นเช่นนี้ การอาบน้ำเพียงไม่กี่ขัน อาจไม่เพียงพอที่จะชำระร่างกายให้สะอาดอย่างจริงจัง และควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน และผลัดเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดกลิ่นเหงื่อไคลที่ติดค้างอยู่บนเครื่องที่นอนด้วย วิธีกำจัดกลิ่นตัว อาจช่วยตัวเองได้ง่ายๆ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ดีโอโดแล้น (Deodorant) หรือ ยาระงับเหงื่อ (Antiperspirant) นักวิชาการบางท่านแนะนะให้กำจัดขนใต้วงแขนด้วย เนื่องจากเส้นขนเหล่านี้จะเป็นที่สะสมของแบคทีเรีย หรืออาจจะใช้สำลีชุบแอลกอฮอลเช็ดทำความสะอาดเส้นขนใต้วงแขนเพื่อกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ก่อนที่จะทายาระงับกลิ่นหรือระงับเหงื่อ วิธีนี้จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ทำงานได้ผลดีขึ้น ความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกับผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ มีองค์ประกอบในสูตรตำรับคือ น้ำหอมและสารเคมีที่ทำหน้าที่อุดรูของต่อมเหงื่อเพื่อระงับไม่ให้ต่อมเหงื่อหลั่งเหงื่อออกมาจากรูขุมขน หลักการก็คือเมื่อไม่มีเหงื่อ ใต้วงแขนจะแห้ง กลิ่นก็ไม่เกิด ตัวอย่างสารเคมีที่นิยมใช้เช่น เกลือของโลหะหนักอลูมิเนียมชนิดต่างๆ โลหะหนักชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการจับกับเกลือแร่ของน้ำเหงื่อกลายเป็นสารประกอบเชิงซ้อนคล้ายเจล กึ่งแข็งกึ่งเหลว และไปอุดตันรูขุมขนของต่อมเหงื่อ การอุดตันของรูขุมขน เมื่อสะสมมากๆ เข้า จะถูกร่างกายกำจัดออกทางผิวหนังโดยขบวนการผลัดเซลล์ผิวหนัง อย่างไรก็ตาม การไปบล็อกไม่ให้ต่อมเหงื่อทำงานปกติ นักวิชาการเองไม่ค่อยแนะนำ เพราะค่อนข้างผิดธรรมชาติ นอกจากนั้นยังเคยมีรายงานการวิจัยว่า การสะสมของสารโลหะหนักอลูมิเนียม อาจแทรกซึมเข้าระบบไหลเวียนของเลือด เนื่องจากต่อมเหงื่อและต่อมไขมันใต้วงแขนอยู่ใกล้กับเต้านม ทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ตามมา ดังนั้นวิธีการกำจัดกลิ่นตัวด้วยผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ น่าจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นหรือดีโอโดแล้น (Deodorant) จะทำหน้าที่หลัก คือช่วยลดกลิ่นของร่างกายที่เกิดจากแบคทีเรีย องค์ประกอบหลักในสูตรตำรับของผลิตภัณฑ์คือ น้ำหอมและยากำจัดเชื้อแบคทีเรียโดยมีแอลกอฮอลเป็นตัวทำละลาย สินค้าที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักดีคือ ‘มัม’ แอลกอฮอลจะทำหน้าที่เสริมฤทธิ์ในการทำลายเชื้อแบคทีเรียด้วย กรณีการใช้ผลิตภัณฑ์ดีโอโดแล้น เหงื่อจะยังคงออกได้ตามธรรมชาติซึ่งแตกต่างจากการใช้ผลิตภัณฑ์ยาระงับเหงื่อ สินค้าในตลาด บางชนิดได้นำหลักการของทั้งผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นมารวมเข้าด้วยกันเป็นผลิตภัณฑ์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น โรลออนทั้งหลายที่ขายกันอยู่ในห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้เราอาจเคยได้ยินสินค้าเก่าแก่ที่คนในยุคปู่ย่าตายายนิยมใช้กัน คือสารส้ม ที่ใช้สำหรับตกตะกอนน้ำให้ใส สารส้มมีชื่อทางเคมีคือ อลูมิเนียมอลัม (Aluminium alum) ในตลาดเมืองไทยจะหาได้ยาก แต่เป็นที่นิยมใช้กันมากในต่างประเทศเพราะราคาถูกและมีความระคายเคืองน้อย สารส้มหรืออลูมิเนียมอลัม มีลักษณะเป็นผลึกคริสตัลใส ละลายน้ำได้ดีมาก ในอุตสาหกรรม จะนำผลึกสารส้มมาเจียระไนด้วยมือเป็นก้อนในรูปแบบต่างๆ ให้สวยงาม ห่อด้วยกระดาษและบรรจุกล่อง ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มากที่สุด ขายดีเกือบจะเป็นอันดับหนึ่งของผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัวและระงับเหงื่อในต่างประเทศ แต่กลับหายากมากในประเทศไทย ข้อควรรู้สำหรับอันตรายอันอาจเกิดจากสารอลูมิเนียมในผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อมีรายงานการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า โลหะอลูมิเนียมที่สะสมเข้าร่างกายจากยาระงับเหงื่อ มีผลต่อเนื้อเยื่อสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบสารเหล่านี้ในสมองคนไข้อัลไซเมอร์ (Alzheimer) และยังกระจายไปในกระแสเลือดและทางเดินของสายรกอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาการสะสมของโลหะอลูมิเนียมจากการใช้ยาระงับเหงื่อ อาจมีความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมอีกด้วย  เอกสารอ้างอิงhttp://en.wikipedia.org/wiki/Deodorant

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 171 มายา ฮือฮา ทุเรียนเทศ

ทุเรียนเทศรักษามะเร็ง ได้ถึง 12 ชนิด ต่างประเทศยอมรับแล้ว ฯลฯ” ข้อความโฆษณาสรรพคุณมหัศจรรย์ของผลิตภัณฑ์ทุเรียนเทศทำนองเหล่านี้  เรามักพบเจออยู่เสมอๆ ในงานแสดงสินค้าต่างๆ ยิ่งเป็นงานใหญ่ ที่มีผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิดมาแสดง นอกจากจะสร้างความตื่นตาแล้ว มันยังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผลิตภัณฑ์อีกทางหนึ่งด้วย หันไปทางไหนก็มีผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่หน่วยงานคัดสรรมาออกร้านด้วยนี่นา ทุเรียนเทศ เป็นผลิตภัณฑ์ที่กำลังฮือฮาอย่างมาก มีการเผยแพร่สรรพคุณทางยาผ่านช่องทางต่างๆมากมาย สรรพคุณที่นำมากล่าวอ้างมีมากมาย ทั้งบำรุงหัวใจ ป้องกันความดันสูง และเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากคือกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยมีการอ้างอิงผลงานวิจัยจากต่างประเทศ ซึ่งบางสถาบันก็เป็นชื่อแปลกๆ ด้วยซ้ำ ล่าสุด ผมไปเดินในงานแสดงสินค้างานหนึ่ง พบว่ามีการเผยแพร่สรรพคุณของใบทุเรียนเทศว่า สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่ายาเคมีบำบัด และมีผลิตภัณฑ์จากใบทุเรียนเทศวางจำหน่ายรูปแบบต่างๆ เช่น แคปซูล ชาชง รวมถึงแนะนำให้ใช้ชาชงใบทุเรียนเทศร่วมกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด แต่ก่อนจะตัดสินใจเชื่อข้อมูลดังกล่าว สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ออกมาเตือนผู้บริโภคให้ตั้งสติก่อนนำมาบริโภคว่า มีงานวิจัยของต่างประเทศพบว่า ในใบของทุเรียนเทศมีสารแอนโนนาซิน ซึ่งเป็นสารที่มีพิษต่อเซลล์ประสาท และหากบริโภคปริมาณมากจะมีผลกระทบต่อการทำงานของไตได้ ขณะนี้สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กำลังรวบรวมใบทุเรียนเทศ มาศึกษาความเป็นพิษเบื้องต้นทางห้องปฏิบัติการ  เพราะการจะนำสมุนไพรทุเรียนเทศมาใช้บำบัดโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ต้องผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยให้ปลอดภัยเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะยิ่งเป็นผลเสียต่อผู้ป่วย การศึกษาวิจัยมีหลายขั้นตอน เช่น ศึกษากลไกออกฤทธิ์ต่อเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง การแยกสาระสำคัญที่ออกฤทธิ์ชนิดต่างๆ ในใบทุเรียนเทศ ตลอดจนการศึกษาด้านพิษวิทยาและความปลอดภัย อันที่จริงทุเรียนเทศ ไม่ใช่ผลไม้ที่น่ารังเกียจ มันเป็นผลไม้ที่สามารถรับประทานได้  มีการนำมาแปรรูปเป็นผลไม้กวน เยลลี ไอศกรีม ในบางประเทศ เช่น มาเลเซีย เวียดนามมีการนำไปทำเป็นน้ำผลไม้ ในเม็กซิโกและโคลัมเบีย ก็เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานและใช้ทำขนมเช่นกัน  ในแง่สารอาหาร ทุเรียนเทศมีสารคาร์โบไฮเดรตมาก โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโทส วิตามินซี และวิตามินบี   ในผล ใบและเมล็ด พบว่ามันมีฤทธิ์ทางยา มีการใช้เป็นยาสมุนไพร  เช่น มาเลเซียใช้ผลใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร   และยังพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้น หากเราจะบริโภคทุเรียนเทศเป็นอาหารทั่วๆ ไป ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล แต่การนำมาใช้โดยคาดหวังผลในการรักษาโรคมะเร็ง ยังไม่มีข้อมูลยืนยันและหากไม่ระมัดระวังอาจเกิดอันตรายเพิ่มขึ้นอีกด้วย  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 175 มะเร็งร้ายหายแต่ได้ภาวะแทรกซ้อนมาแทน

ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดเป็นเรื่องที่ไม่พึงปรารถนา โดยให้เราลองคิดกันดูเล่นๆ ว่าถ้าหากผ่าตัดแล้วจะทำให้เราปัสสาวะเองไม่ได้นานเป็นปี เรายังจะตัดสินใจรับการผ่าตัดนั้นอยู่หรือไม่ผู้ร้องอายุ 48  ปี ไปตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ แล้วพบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก ระยะแรก หมอจึงแนะนำให้ผ่าตัดเฉือนบางส่วนออกเพื่อหยุดยั้งการลุกลามของเซลล์มะเร็ง โดยไม่ได้ชี้แจงหรืออธิบายเพิ่มเติมถึงภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ทำให้เธอตัดสินใจทำตามโดยใช้สิทธิประกันสังคม ซึ่งหลังการผ่าตัดนั้นก็พบว่าสามารถตัดเซลล์มะเร็งออกไปได้หมดจริงๆ แต่กลับทำให้เธอไม่สามารถปัสสาวะเองได้อีกเลย หลังจากพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า 9 วันโดยการใช้ถุงเพื่อปัสสาวะมาตลอด เธอก็กลับบ้านและพบว่าชีวิตประจำวันของตัวเองต้องเปลี่ยนไป เพราะคนในครอบครัวต้องหยุดงานเพื่อมาช่วยกันดูแล สำหรับการสวนปัสสาวะทุกๆ 4 ชั่วโมง โดยอาการยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น แม้จะไปตรวจอาการที่โรงพยาบาลหลายครั้ง แต่แพทย์ก็ไม่ได้อธิบายข้อมูลเพิ่มเติมเพียงแต่แจ้งว่าเป็นผลจากการผ่าตัด ต้องใช้ระยะเวลาและฝึกฉี่เองอีกครั้ง และให้ถุงฟอเล่ หรือถุงฉี่กลับบ้านมาเท่านั้น การสวนปัสสาวะเองทุกครั้งก็ทำให้เธอติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และถูกส่งตัวไปรักษาต่อตามสิทธิประกันสังคมที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทโดยการใช้ยาฆ่าเชื้อ ซึ่งต่อมาก็ทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันภายหลังเธอจึงไปตรวจอาการอีกครั้งที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงทำให้พบความจริงว่าการผ่าตัดครั้งนั้นมีผลกระทบทำให้เส้นประสาททางเดินปัสสาวะโดนผ่าออกไปด้วย เพราะเส้นประสาทดังกล่าวผสานอยู่กับเนื้อเยื่อข้างเคียงของปากมดลูก ซึ่งมีสิทธิทำให้เซลล์มะเร็งที่ปากมดลูกลุกลามได้ เป็นเหตุให้เธอเกิดภาวะปัสสาวะคั่ง (ไม่สามารถควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้) ซึ่งหมอก็ไม่ยืนยันว่าสามารถรักษาให้หายขาดได้ เมื่อพบว่า เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จึงทำให้เธอรู้สึกว่า ได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน เพราะหากทราบก่อนการผ่าตัดว่าจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นนี้ ในตอนนั้นเธออาจจะเลือกไม่รับการรักษาด้วยวิธีนี้ก็ได้ เพราะนอกจากจะปัสสาวะเองไม่ได้แล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆ เธอยังต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด ซึ่งหากคิดแล้วก็ตกที่เดือนละกว่า 10,000 บาท ทั้งยังต้องเดินทางไปหาหมอตามสถานที่ต่างๆ เองอีกด้วย จึงทำให้เธอตัดสินใจมาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อขอความเป็นธรรม โดยหวังว่าอย่างน้อยแค่ให้หมอมาดูแลค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์เพื่อสวนปัสสาวะบ้างก็ยังดีแนวทางการแก้ปัญหาประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะผู้ร้องใช้สิทธิตามประกันสังคม จึงทำให้เธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องออกค่าอุปกรณ์ที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนเองด้วย ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา อีกทั้งทำไมหมอที่ดูแลอาการถึงไม่ชี้แจงภาวะแทรกซ้อนให้เธอทราบก่อนการผ่าตัด เพราะการผ่าตัดมะเร็งปากมดลูกมีความเสี่ยงสูงอยู่แล้วที่จะทำให้เส้นประสาทปัสสาวะได้รับความเสียหาย รวมทั้งไม่ได้อธิบายว่าจะแก้ปัญหาต่อไปอย่างไรศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ จึงแนะนำให้มีการเจรจากับโรงพยาบาล โดยตัวแทนของศูนย์ฯ ไปร่วมเจรจาด้วย และให้ผู้ร้องทำรายการค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าอุปกรณ์ที่ต้องใช้รักษาหลังการผ่าตัดออกมา (ย้อนหลังไปประมาณ 8 เดือน) ซึ่งผลก็คือหมอที่ดูแลอาการได้ขอโทษผู้ร้อง ที่ไม่ได้ชี้แจงภาวะแทรกซ้อนตั้งแต่ก่อนผ่าตัด พร้อมเยียวยาเบื้องต้นโดยให้ผู้ร้องสามารถรับอุปกรณ์สำหรับสวนปัสสาวะฟรี รวมทั้งชดเชยค่าเสียหายที่ผู้ร้องเสียไปแล้วจำนวน 1 แสนบาท ผู้ร้องจึงยินดีรับข้อเสนอดังกล่าว 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 มะเร็ง บัตรทองและการส่งต่อผู้ป่วย

มะเร็งเป็นโรคร้ายที่มีคนไทยป่วยเป็นจำนวนมากและคาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณวิภาก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายแรงนี้และคาดหวังถึงการรักษาที่จะช่วยให้เธอผ่านพ้นความเจ็บป่วยนี้ไปได้คุณวิภามีสิทธิในบัตรทองหรือสิทธิการรักษาในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ยามเจ็บไข้เธอมักจะไปใช้บริการการแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเสมอ โดยจ่ายเงินเองไม่พึ่งระบบหลักประกัน แต่ในการตรวจรักษาครั้งล่าสุดจากอาการเลือดออกทางช่องคลอด แพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 3 ซึ่งการรักษาพยาบาลต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีค่าใช้จ่ายสูง แพทย์จึงแนะนำให้เธอติดต่อกับสถานพยาบาลต้นสังกัดที่เธอมีสิทธิในระบบหลักประกันเพื่อลดภาระในเรื่องค่ารักษาพยาบาลปัญหาแรกคือ เธอไม่แน่ใจว่าเธอมีสิทธิบัตรทองที่สถานพยาบาลไหน ปัญหานี้แก้ไม่ยากเพราะเพียงตรวจสอบจากฐานข้อมูล ก็พบว่าเป็นสถานพยาบาลใดปัญหาที่สองคือ เมื่อสามีพาเธอไปติดต่อเพื่อขอรับการรักษาสถานพยาบาลดังกล่าว ทั้งสองพบว่าสถานพยาบาลแห่งนี้ไม่มีศักยภาพพอในการรักษาโรคร้ายของเธอ จึงร้องขอให้ทางสถานพยาบาลทำเรื่องส่งต่อ โดยประสงค์ให้ส่งต่อไปรักษาตัวที่ รพ.รามาธิบดี ซึ่งคุณวิภาคุ้นเคยและมีประวัติการตรวจวินิจฉัยโรคพร้อมอยู่แล้ว แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยบอกเพียงว่าจะทำเรื่องส่งตัวผู้ป่วยให้ไปรักษาที่สถาบันมะเร็งเท่านั้น ถ้าจะรักษาที่รามาธิบดีผู้ป่วยต้องจ่ายเงินเอง สามีของคุณวิภาจึงโทรศัพท์มาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และขอให้ช่วยเหลือให้ทางสถานพยาบาลต้นสังกัดทำเรื่องให้ภรรยาได้เข้ารับการรักษาที่ รพ.รามาธิบดี การแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นทางศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคได้ประสานไปยังสถานพยาบาลที่คุณวิภามีสิทธิบัตรทองอยู่ ทราบข้อมูลตรงกับที่สามีคุณวิภาร้องเรียนมา แต่ทางสถานพยาบาลแห่งนี้แจ้งว่า ไม่สามารถทำตามประสงค์ของผู้ร้องได้เนื่องจาก รพ.รามาธิบดีไม่ได้เป็นโรงพยาบาลในเครือข่าย หากเกินกว่าความสามารถในการรักษาทั้งระดับสถานพยาบาลปฐมภูมิและทุติยภูมิ จะส่งต่อไปที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลในเครือข่ายเท่านั้น   หากผู้ป่วยยังยืนยันจะรักษาพยาบาลที่ รพ.รามาธิบดี ก็ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง โดยไปทำเรื่องตามขั้นตอนการย้ายสิทธิกับทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)เรื่องการส่งตัวนี้เป็นหนึ่งในปัญหาที่ทาง สปสช.ได้รับการร้องเรียนมากที่สุดปัญหาหนึ่ง ซึ่งยังคงต้องมีการสื่อสารให้ผู้มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเข้าใจในระบบของบัตรทองหรือระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จะมีลำดับขั้นของการดูแลรักษา คือถ้าสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิหรือคลินิกใกล้บ้านใกล้ใจ ไม่สามารถรักษาได้ จะส่งต่อการรักษาไปที่โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ ซึ่งมีอุปกรณ์ที่รักษาผู้ป่วยได้ หากยังรักษาไม่ได้อีกจึงจะส่งต่อไปรักษาในสถานพยาบาลที่มีศักยภาพสูงสุด ซึ่งอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน โดย สปสช.จะติดตามดูแลค่ารักษาของผู้ป่วยไปตามสถานพยาบาลที่ผู้ป่วยถูกส่งตัวไปรักษาเมื่ออธิบายให้ทั้งคุณวิภาและสามีเข้าใจ ทั้งสองก็ยินดีให้ทางสถานพยาบาลทำเรื่องส่งตัวคุณวิภาไปรักษาที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ แต่สามีคุณวิภาก็แอบกังวลว่า ภรรยาอาจต้องรอคิวการรักษานานแล้วจะทำให้อาการของภรรยาทรุดหนักลง ซึ่งปัญหานี้ทางสถานพยาบาลตามสิทธิของคุณวิภาได้ช่วยประสานกับทางสถาบันมะเร็งฯ เป็นที่เรียบร้อย และเร่งทำใบส่งตัวให้อย่างเร็วที่สุด ปัจจุบันคุณวิภาได้เข้ารับการรักษา ณ สถาบันมะเร็งแห่งชาติแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 ผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตแบรนด์ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง จาก foodwatch

จากกรณีข่าว องค์กรเอกชนในเยอรมัน (foodwatch.org) ชี้ผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตแบรนด์ดังปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง  ที่สำนักข่าวต่างๆได้ลงไปนั้นทางนิตยสารฉลาดซื้อขอนำผลทดสอบทั้งหมด มาลงไว้ให้เป็นข้อมูล ทั้งนี้ท่านสามารถกดโหลดข้อมูล ฉบับเต็มของแหล่งข้อมูลได้ที่นี่ครับ >>>> 2016-07-04_Mineraloele_in_Schokolade_und_Chips.pdf

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 ฉลากแป้งฝุ่นทาผิวในประเทศไทยยังไม่มีคำเตือน อันตรายเสี่ยงมะเร็ง

หลังข่าวศาลชั้นต้นแห่งเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา ตัดสินให้ “จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน” จ่ายเงินจำนวน 72 ล้านดอลลาร์ให้กับสุภาพสตรีรายหนึ่งที่ป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ระยะสุดท้าย ซึ่งฟ้องร้องว่าสาเหตุของโรคนั้นมาจากแป้งฝุ่นของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันที่ตนใช้มายาวนานหลายสิบปี ได้กระจายไปทั่วโลก ความวิตกกังวลก็พลันบังเกิดขึ้นกับคนจำนวนมหาศาลที่นิยมใช้แป้งฝุ่นโรยตัว โดยเฉพาะบริเวณจุดซ่อนเร้น จากข่าวพบว่า ที่ผ่านมา จอห์นสันแอนด์จอห์นสันถูกฟ้องร้องกว่า 1,200 คดี ที่ทั้งหมดอ้างอิงจากผลการศึกษาและวิจัยต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แป้งเด็กจอห์นสันแอนด์จอห์นสันและผลิตภัณฑ์แบรนด์ชาวเวอร์ทูชาวเวอร์มีส่วนก่อให้เกิดโรคมะเร็งรังไข่ ในรายละเอียด คณะลูกขุนแห่งเมืองเซนต์หลุยส์ ตัดสินว่า จอห์นสันแอนด์จอห์นสันต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวน 10 ล้านดอลลาร์ และอีก 62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นค่าชดเชยแก่ครอบครัวของ แจ็คกี ฟอกซ์ สุภาพสตรีที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่เมื่อปีที่แล้ว หลังจากใช้แป้งจอห์นสันแอนด์จอห์นสันและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีส่วนผสมของแร่ทัลก์ติดต่อกันนานหลายปี เหตุผลสำคัญ คือ ทางบริษัทรับทราบมาไม่ต่ำกว่า 30 ปีแล้วว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแร่ทัลก์ อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งแต่ก็ล้มเหลวที่จะแจ้งและตักเตือนผู้บริโภค “มีความชัดเจนว่าบริษัทได้ปกปิดข้อมูลบางอย่างเอาไว้” คริสตา สมิธกล่าวในฐานะหัวหน้าคณะลูกขุนแห่งเมืองเซนต์หลุยส์ “สิ่งที่บริษัทควรทำมานานแล้วคือติดฉลากเพื่อตักเตือนผู้บริโภค” แจ็คกี ฟอกซ์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่ในวัย 62 ปี ได้ให้การในช่วงหกเดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิตว่า เธอใช้แป้งเด็กจอห์นสันแอนด์จอห์นสันและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นชาวเวอร์ทูชาวเวอร์ทุกๆ เช้า จนกระทั่งตรวจพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง (ข้อมูลจาก : http://waymagazine.org/%E0%B9%8Bjjcausecancer/)   ฉลากแป้งฝุ่นและคำเตือนสำคัญ จากข่าวดังกล่าวทำให้เกิดประเด็นถกเถียงทางสังคมว่าการทาแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้นเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงดังคำตัดสินในคดีของแจ็คกี ฟอกซ์ บริษัทผู้ผลิตควรมีคำเตือนเพื่อให้ผู้บริโภคได้ระมัดระวังการใช้ด้วยหรือไม่ โครงการสร้างความเข้มแข็งกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน จึงร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สุ่มสำรวจและเก็บตัวอย่างแป้งฝุ่นทาผิวจากท้องตลาดและห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในกรุงเทพฯ รวม 35 ตัวอย่าง เพื่อพิจารณาฉลาก ดูส่วนประกอบของแป้งว่ามียี่ห้อไหนบ้างที่มี ทัลค์ (Talc) เป็นส่วนประกอบ และมีคำเตือนที่บอกถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างการทาแป้งฝุ่นกับการเกิดมะเร็งหรือไม่   สรุปการสำรวจ1.ไม่พบคำเตือนที่บอกถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างการทาแป้งฝุ่นกับการเกิดมะเร็ง 2. พบผลิตภัณฑ์ 4 ตัวอย่าง ไม่ระบุคำเตือนใดๆ 3. คำเตือน ที่พบคือ ระวังอย่าให้แป้ง เข้าจมูกและปากเด็ก ระวังอย่าให้แป้งเข้าตา ห้ามใช้โรยสะดือเด็กแรกเกิด ถ้ามีการผสมสารเพื่อป้องกันแสงแดด จะระบุเพิ่ม หากใช้แล้วมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นต้องหยุดใช้และปรึกษาแพทย์4. พบ 34 ตัวอย่าง มีทัลค์ (Talc) เป็นส่วนประกอบสำคัญ5. มีเพียง 1 ตัวอย่าง ที่ไม่มีทัลค์ (Talc) เป็นส่วนประกอบ คือ แป้งหอมไร้ซแคร์ (ฟลอรัล สวีท) (ReisCare Perfumed Powder (Floral Sweet) แป้งฝุ่นทาผิวกับมะเร็งสำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ติดตามเฝ้าระวังเกี่ยวกับการปนเปื้อนของแร่ใยหินในทัลก์มาโดยตลอด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552-2553 และได้ส่งตรวจวิเคราะห์หาแร่ใยหินในแป้งที่มีส่วนผสมของทัลค์ จำนวน 40 ตัวอย่าง ซึ่งใน 40 ตัวอย่างนั้นตรวจไม่พบการปนเปื้อนแร่ใยหินแต่อย่างใด นอกจากนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ถึง 2558 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ส่งตัวอย่างแป้งที่มีส่วนผสมของทัลก์ ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์ โดยส่งตัวอย่างแป้งฝุ่นโรยตัว จำนวน 73 ตัวอย่าง และทุกตัวอย่างตรวจไม่พบแร่ใยหินปนเปื้อน ทั้งนี้แร่ใยหินเป็นวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ลำดับที่ 757 “จากการศึกษาพบว่า ทัลค์ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อสัตว์ทดลอง ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และยังอยู่ระหว่างการวิจัยว่าทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่”   ฉลาดซื้อแนะ1. ควรอ่านวิธีการใช้ให้ละเอียดและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด2. ระวังอย่าให้แป้งเข้าจมูก และปาก3. อย่าสูดดมแป้ง4. ไม่ควรใช้แป้งกับบริเวณอวัยวะเพศ               ทัลค์ (Talc), ทัลคัม (Talcum) และแมกนีเซียม ซิลิเกท (Magnesium Silicate) ทั้ง 3 ชื่อ คือตัวสารตัวเดียวกันเพียงแต่เรียกต่างกันเท่านั้น ทั้ง 3 ชื่อ คือแร่หินชนิดหนึ่งที่ได้มาจากการทำเหมืองหินทาล์ค แล้วนำมาโม่ให้ละเอียด อบให้แห้งและฆ่าเชื้อ แม้จะมีการแยกสิ่งแปลกปลอมออก แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้บริสุทธิ์ได้ จึงยังมีสิ่งแปลกปลอมหลงเหลืออยู่บางอย่าง ที่อาจจะมีคุณสมบัติคล้ายแอสเบสตอส (Asbestos) ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) และ U.S. Environmental Protection Agency จัดให้เป็นUnclassifiable Carcinogen (สารก่อมะเร็งที่ไม่สามารถจัดจำพวกได้) “ทัลคัม” เป็นสารอนินทรีย์ จึงไม่สามารถ ย่อยสลายได้ด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ ถ้าใช้โดยไม่ระมัดระวัง เมื่อสูดเข้าไปเป็นเวลานาน จะเกิดการสะสมอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ(Talcosis) และอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งรังไข่ในสุภาพสตรีได้(Ovarian Cancer) กรณีใช้ใต้ร่มผ้าเป็นระยะเวลานานๆ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 เราพบอะไรในชุดชั้นในสีดำ

หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวว่าในต่างประเทศมีการทดสอบเสื้อชั้นในสีดำและพบสารก่อมะเร็งในปริมาณสูง และอาจสงสัยว่าเสื้อชั้นในสีดำที่ขายอยู่ในบ้านเรามีสารดังกล่าวหรือไม่ ฉลาดซื้อเก็บตัวอย่างเสื้อในชั้นสีดำทั้งจากตลาดบน ตลาดกลาง และตลาดล่าง* ทั้งหมด 10 ตัวอย่าง (ราคาตั้งแต่ 50 - 790 บาท ทั้งหมดผลิตในประเทศไทย ยกเว้นยูนิโคล่ รุ่นไวร์เลส ที่ผลิตจากประเทศจีน) ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แล้วส่งเข้าทดสอบในห้องปฏิบัติการของศูนย์วิเคราะห์ทดสอบสิ่งทอ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อไขข้อข้องใจในประเด็นเหล่านี้ ชนิดของเส้นใยที่ใช้เป็นไปตามที่แจ้งบนฉลากหรือไม่ มีฟอร์มาลดีไฮด์ (สารที่ใช้เพื่อป้องกันผ้าย่น หรือยับ) หรือไม่ ค่าความเป็นกรด-ด่างเกินมาตรฐานหรือไม่ สารเคมีในสีย้อมที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง จากผลทดสอบในภาพรวม เสื้อชั้นในส่วนใหญ่ผลิตจากเส้นใยตามที่ได้แจ้งไว้ มีเพียงยี่ห้อ Princess ที่ระบุบนฉลากว่าเป็น “ฝ้าย 100%” แต่ทดสอบแล้วพบว่าเป็นเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ส่วนชุดชั้นในอีก 3 ยี่ห้อที่ไม่ระบุเส้นใยที่ใช้ก็เป็นโพลีเอสเตอร์ หรือโพลีเอสเตอร์ผสมฝ้าย ซึ่งเรื่องของเส้นใยนั้นต้องแล้วแต่ความชอบของผู้บริโภคแต่ละคน ใครเน้นสวมใส่สบาย ระบายอากาศดีก็เลือกที่เป็นเส้นใยจากฝ้าย แต่ถ้าใครเน้นซักง่ายแห้งเร็วก็คงจะเลือกเส้นใยโพลีเอสเตอร์ สำคัญตรงที่ผู้ผลิตมีการแจ้งต่อต่อผู้บริโภคอย่างตรงไปตรงมาเพื่อการพิจารณานั่นเอง ------------------------------------------------------------------------------- ตลาดชุดชั้นในสตรีในบ้านเราซึ่งมีมูลค่าการตลาดไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ : ข้อมูลจากงานวิจัยปี พ.ศ. 2552 โดย ผุสดี ใจแก้วทิ  เรื่อง กลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาดซึ่งสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเลือกซื้อชุดชั้นในสตรีของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร: กรณีศึกษา บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ลิขสิทธิ์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ------------------------------------------------------------------------------- จากงานวิจัยเดียวกัน สีเสื้อชั้นในที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือสีเนื้อ (ร้อยละ 37.5) ตามด้วยสีขาว (ร้อยละ 32) สีชมพู (ร้อยละ 13.5) และสีดำ (ร้อยละ 10.5) -------------------------------------------------------------------------------   เสื้อชั้นใน Ne’s bra รุ่น 8802 ราคา 50 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.52 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Princess รุ่น 191 ราคา 79 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก Cotton 100% ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.72 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Sister hood รุ่น Sport 072 ราคา 89 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ / ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 7.09 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Jintana รุ่น Jina Teen JB 2850 ราคา 260 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ไนลอน ค่าความเป็นกรดด่าง 7.16 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Sabina รุ่น SBN Sport SBB 374 BK ราคา 440 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 7.44 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน POP line รุ่น WL 1799 ราคา 450 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไนลอน ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ไนลอน ค่าความเป็นกรดด่าง 6.10 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Wacoal รุ่น WH 2M03 T-Shrunk ราคา 550 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 7.95 สารก่อมะเร็งในสีย้อม 4-chloroaniline 15.35 มก./กก.     เสื้อชั้นใน Elle รุ่น LB 8502 ราคา 650 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไนลอน ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ไนลอน ค่าความเป็นกรดด่าง 7.16 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน UNIQLO รุ่น Wireless Bra Light ราคา 790 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก โพลีเอสเตอร์ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.85 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Triumph รุ่น Sloggi Organic Cotton ราคา 790 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 6.84 สารก่อมะเร็งในสีย้อม 4-chloroaniline 15.09 มก./กก.   ------------------------------------------------------------------------ ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ชุดชั้นในสตรี มผช. 837/ 2554 กำหนดไว้ว่า ปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ ต้องน้อยกว่า 75 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ค่าความเป็นกรด-ด่าง ต้องอยู่ระหว่าง 5 ถึง 7.5 สีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีน 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ผลการวิเคราะห์ ในการทดสอบคราวนี้เราไม่พบฟอร์มาลดีไฮด์ในทั้ง 10 ตัวอย่าง และค่าความเป็นกรดด่างของเสื้อชั้นในส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ ยกเว้นวาโก้ WH 2M03 T-Shrunk ที่มีค่า pH สูงเกินเกณฑ์ไปเล็กน้อย   นอกจากนี้เรายังพบสาร 4-คลอโรแอนิลีน (4-chloroaniline) ในชุดชั้นใน 2 รุ่นได้แก่ วาโก้ WH 2M03 T-Shrunk และ ไทรอัมพ์ Sloggi Organic Cotton ในปริมาณ 15.35 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม และ 15.09 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม ตามลำดับ ปริมาณดังกล่าวถือว่าไม่เกินมาตรฐานที่ประเทศไทย หรือเกณฑ์เบื้องต้นของยุโรปกำหนดให้มีได้ไม่เกิน 30 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม)   อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวเป็นหนึ่งในสารอะโรแมติกแอมีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าอ้างอิงเกณฑ์ของฉลากสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของยุโรป จะต้องไม่มีสารดังกล่าวในผลิตภัณฑ์   ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอ ผศ.ดร.จันทร์ทิพย์ ซื่อสัตย์ ภาควิชาวิทยาการสิ่งทอ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า “สีย้อมประเภทเอโซเป็นสีกลุ่มที่แตกตัวให้สาร Aromatic amine เมื่อย้อมติดบนผลิตภัณฑ์ ไม่ควรก่อให้เกิดสาร Aromatic amine ชนิดที่อยู่ในข่ายสามารถก่อให้เกิดความผิดปกติในมนุษย์ ในปริมาณเกินกว่า 30 ppm สำหรับสาร 4-chloroaniline ที่ตรวจพบในผลิตภัณฑ์เสื้อชั้นในข้างต้น เป็นสารที่ห้ามใช้หรือไม่ควรพบตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอเลยเนื่องจากเป็นสารอันตราย ดังนั้นจึงถือว่าผลิตภัณฑ์เสื้อชั้นในที่ตรวจพบสารดังกล่าวอยู่ในข่ายที่สามารถก่ออันตรายต่อผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสผิวหนังโดยตรงเช่นนี้”   วลัยพร มุขสุวรรณ รองผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ และผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสารเคมี ระบุว่า “ตามเอกสารขององค์การอนามัยโลกและกฎหมายของสหภาพยุโรปที่ออกตามกฎหมาย REACH นั้น สหภาพยุโรปจำกัดการใช้สีย้อมประเภทเอโซ (ซึ่งสาร 4-chloroaniline รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) คือห้ามใช้สีย้อมเอโซที่อาจปล่อยสารแอมีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งออกมาจากผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเข้าสู่ผู้ใช้ได้ แต่ถ้าเป็นเอโซที่ไม่ปล่อยสารแอมีน จะยอมให้มีในแต่ละส่วนประกอบได้ไม่เกิน 30 พีพีเอ็ม สำหรับเอโซที่ปล่อยสาร 4-chloroaniline ออกมานั้นอยู่ในรายการห้ามใช้เลย ------------------------------------------------------------------------   เรื่องจากคนเย็บชุดชั้นใน -          ปัจจุบันนี้ เสื้อชั้นในหนึ่งตัว มีชิ้นส่วนประมาณ 20 ชิ้น และมีขั้นตอนการเย็บประมาณ 50 ขั้นตอน -          ถ้าเป็นเสื้อชั้นในแบบธรรมดาๆ พนักงาน 50 คน จะสามารถเย็บได้ วันละ 2,000 ตัว แต่ปัจจุบันเริ่มมีชิ้นงานแบบหรูหรา ที่ขายปลีกตัวละ 7,000 – 8,000 บาท พนักงานกลุ่มเดิมสามารถเย็บได้เพียงวันละไม่เกิน 400 ตัว -          ชิ้นงานสีดำหรือสีเข้มอื่นๆ ค่อนข้างลำบากต่อคนทำงาน เพราะมองไม่ค่อยเห็น จึงต้องส่องไฟเพิ่มซึ่งทำให้เกิดแสงสะท้อนเข้าตา -          ก่อนหน้านี้เคยมีผู้บริโภคร้องเรียนว่าพบปลายเข็มในเสื้อชั้นใน ซึ่งน่าจะเกิดจากเข็มที่หักในขั้นตอนการตัดเย็บ ในสายการผลิตจึงมีข้อกำหนดว่าจะต้องหาปลายเข็มที่หักให้เจอก่อนเสมอเมื่อเกิดกรณีที่เข็มหัก นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้พนักงานนำโลหะชิ้นเล็กๆ เช่นลวดเย็บ หรือดินสอกด เข้าไปบริเวณที่ทำงาน -          ขั้นตอนที่มีความเสี่ยง ขั้นตอนการประกอบลูกไม้/ผ้า เข้ากับฟองน้ำด้วยเครื่องพ่นกาว การขึ้นรูปผ้ากับฟองน้ำให้เป็นรูปโค้งตามขนาดคัพ ของเสื้อชั้นใน -          ครึ่งหนึ่งของราคาชุดชั้นในที่เราจ่าย คือค่าแบรนด์ -          เสื้อชั้นในที่เราเห็นนำมาลดราคาตามห้างนั้น ความจริงแล้วก็เป็นไปตามราคาขั้นต่ำที่เขากำหนดไว้แต่แรก บางครั้งการลดราคาก็เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้กับรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะผลิตออกมา หรือของค้างที่เก็บไว้ก็มีแต่จะเสื่อมราคาจึงต้องรีบขายออกไป อีกกลุ่มที่นำมาลดราคาคือสินค้าที่มีขนาดไม่ครบนั่นเอง -          ส่วนเสื้อชั้นในที่นำมาขายลดราคาให้กับพนักงงานในโรงงานนั้นอาจมาจากสินค้าตกเครื่องบิน (หรือตกเรือ) เพราะส่งไม่ทันเวลา บางครั้งเป็นสินค้ามีตำหนิ หรือสินค้าตัวอย่าง หรือสินค้าที่ไม่ผ่านคุณภาพส่งออก (เช่นมีสารก่อมะเร็ง) เป็นต้น ขอบคุณ คุณจิตรา คชเดช และคุณวิภา มัจฉาชาติ ผู้ประสานงานและผู้จัดการฝ่ายผลิตชุดชั้นในทางเลือก Try Arm ผู้ให้ข้อมูล  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 158 การแจกยาเบญจอำมฤตย์ เป็นความหวังดีต่อผู้ป่วยมะเร็งจริงหรือ

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีข่าวดังเกิดขึ้นในแวดวงการสาธารณสุขไทย เมื่ออธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข นพ.ธวัชชัย กมลธรรม ออกข่าวเรื่องแจกสูตรยาสมุนไพรต้านมะเร็งตับ เบญจอำมฤตย์ที่โรงพยาบาลการแพทย์ผสมผสานที่ยศเสเพื่อให้บริการรักษาและติดตามผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย ข่าวนี้สร้างความหวังให้กับผู้ป่วยมะเร็งตับอย่างมาก ขนาดแห่กันไปขอรับการรักษาจนแน่นโรงพยาบาล และทำให้วัตถุดิบในการผลิตยา ราคาพุ่งกระฉูด และก่อให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า วิธีการแจกยาให้แก่ผู้ป่วยนี้ อาจเข้าข่ายผิดจริยธรรม เพราะสูตรยาเบญจอำมฤตย์ที่ทางกรมฯ นำมาแจกจ่ายให้กับประชาชน เป็นสูตรยาในโครงการติดตามผลการใช้ยาเบญจอำมฤตย์ ที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการการพิจารณาการศึกษาวิจัยในคนด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก(The Ethic Committee for Research in Human Subjects In the Fields of Thai Traditional and Alternative Medicine)   3 ก.พ. 57 นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แถลงข่าว “ศาสตร์การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง” ว่าจากฐานข้อมูลภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยพบว่าตำรับยาแผนไทยที่มีสรรพคุณในการ รักษาโรคเรื้อรังมี จำนวน 12,428 ตำรับ ในจำนวนนี้เป็นตำรับยารักษาโรคมะเร็ง จำนวน 3,115 ตำรับ อย่างไรก็ตาม ตำรับยาที่น่าสนใจและเป็นอีกทางเลือกในการรักษาโรคมะเร็งร่วมกับการรักษา แพทย์แผนปัจจุบัน คือ สูตรยาสมุนไพรโบราณที่เรียกว่า เบญจอำมฤตย์   ซึ่งประกอบด้วยสูตรยาในคัมภีร์แพทยศาสตร์สงเคราะห์  9 ตัว ได้แก่ มหาหิงค์ ยาดำบริสุทธิ์ รงทอง มะกรูด ขิงแห้ง ดีปลี พริกไทย รากทนดี และดีเกลือ โดย สูตรยาดังกล่าวได้ทำการศึกษาร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตั้งแต่ปี 2554 โดยได้ทดสอบในระดับหลอดทดลอง และหนูทดลอง โดยให้ยาสูตรดังกล่าวพบว่า หนูมีภูมิต้านทานขึ้นมีประสิทธิภาพต้านเซลล์มะเร็ง เมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับยาดังกล่าว “ยาสูตรนี้จะได้ผลดีต่อการต้านทานเซลล์มะเร็งตับดีกว่ามะเร็งชนิดอื่น โดยได้ผ่านการรักษาผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งในรพ.เคียนซา และรพ.วิภาวดี จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ อยู่ระหว่างทดลองในระดับคลินิกในผู้ป่วยอาสาสมัครในโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยและ การแพทย์ผสมผสาน (ยศเส) ได้จัดทำเป็นยาชนิดแคปซูล เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการรักษา โดยไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้กับผู้ป่วยที่มารักษา ด้วยสิทธิบัตรทอง หรือหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเท่านั้น แต่สิทธิประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการก็สามารถมาติดต่อเพื่อขอรับยาตัวนี้ ได้ฟรี แต่ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แผนไทยที่รพ.ก่อน และต้องรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันร่วมด้วย” นพ.ธวัชชัย กล่าว ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20140203/178149.html     เบญจอำมฤตย์ ชื่อนี้มาจากไหน ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ซึ่งรวบรวมคัมภีร์แพทย์แผนโบราณไว้จำนวนมากนั้น ยาที่ชื่อว่า เบญจอำมฤตย์(หรือออกเสียงเหมือนกัน) ปรากฏอยู่ในคัมภีร์สามเล่ม คือ คัมภีร์ปฐมจินดา คัมภีร์โรคนิทาน และคัมภีร์ธาตุบรรจบ มีรายละเอียดดังนี้ คัมภีร์ปฐมจินดา ยาชื่อเบ็ญจอำฤต ขนานนี้ท่านให้เอา มหาหิงคุ์ ๑ ยาดำ ๑ สิ่งละส่วน รงทอง ๒ ส่วน มะกรูดใหญ่ ๓ ผล แล้วจึงเอามหาหิงคุ์ รงทอง ยาดำ ทั้ง ๓ สิ่งนี้ยัดเข้าในผลมะกรูดสิ่งละผล แล้วจึงเอามูลโคสดพอกสุมไฟแกลบให้สุกระอุดี แล้วจึงเอารากตองแตก ๔ ส่วน ดีเกลือ ๑๖ ส่วน ทำเปนจุณแล้วประสมกันเข้าจึงบดทั้งเนื้อมะกรูดปั้นแท่งไว้เอาหนัก ๑ สลึง ละลายน้ำส้มมะขามเปียก กินลงสดวกดี นัก ยาขนานนี้ถ้ากุมารได้ ๓, ๔ ขวบกินก็ได้ ดีเหมือนกัน คัมภีร์โรคนิทาน กล่าวถึงชื่อยา เบญจอำมฤตย์ (ชื่อนี้ปรากฏในสมุดไทยซึ่งเป็นฉบับหลวงชำระในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่เมื่อนำมาตีพิมพ์เป็นตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ใช้ชื่อว่า บุญจอำมฤตย์) โดยไม่ได้ระบุส่วนประกอบของตำรับ   คัมภีร์ธาตุบรรจบ ยาชื่อเบ็ญจะอำมฤตย์ เอามหาหิงคุ์ ๑ ยาดำบริสุทธิ์ ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง รงทอง ๒ สลึง มะกรูด ๓ ผล (เอามหาหิงคุ์, ยาดำ, รงทอง ใส่ในมะกรูดสิ่งละผล แล้วเอามูลโคพอกสุมไฟแกลบให้สุก) ขิงแห้ง ๑ ดีปลี ๑ พริกไทย ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง รากทนดี ๑ บาท ดีเกลือ ๔ บาท ยา ๕ สิ่งนี้ประสมกับมะกรูดที่สุมไว้ทำเปนจุณละลายน้ำ ส้มมะขามเปียกให้รับประทานหนัก ๑ สลึง ฟอกอุจจาระอันลามกให้สิ้นโทษ ชำระลำไส้ซึ่งเปนเมือกมันแลปะระเมหะทั้งปวง   ไม่ควรใช้ชื่อ เบญจอำมฤตย์ เพราะไม่เป็นไปตามตำรายาการแพทย์แผนไทย ยาเบญจอำมฤตย์ที่นำมาแจกจ่ายในขณะนี้ เป็นสูตรยาจาก โครงการติดตามผลการใช้ยาเบญจอำมฤตย์ ในผู้ป่วยมะเร็งทางเดินท่อน้ำดี และอ้างอิงว่า นำมาจากคัมภีร์ธาตุบรรจบ ซึ่งประกอบด้วยตัวยาจากวัตถุดิบ 9 ชนิด แต่สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาคือ ยาเบญจอำมฤตย์ที่คณะผู้วิจัย(โครงการติดตามความปลอดภัยของตำรับยาเบญจอำมฤตย์ ในผู้ป่วยมะเร็งตับ, ลำไส้, ปากมดลูก และต่อมลูกหมาก) ได้นำเสนอต่อคณะกรรมการจริยธรรม มีความต่างจากต้นตำรับเดิม   ตำรับยาเบญจอำมฤตย์   (ตาม protocol ที่เสนอคณะกรรมการจริยธรรม) ลำดับที่ รายการ ปริมาณ มาตราไทย มาตราเมตริก (กรัม) 1 มหาหิงคุ์ 1 สลึง 3.75 กรัม 2 ยาดำบริสุทธิ์ 1 สลึง 3.75 กรัม 3 รงทอง 2 สลึง 7.5 กรัม 4 มะกรูด 3 ผล 50 กรัม 5 ขิงแห้ง 1 สลึง 3.75 กรัม 6 ดีปลี 1 สลึง 3.75 กรัม 7 พริกไทย 1 สลึง 3.75 กรัม 8 รากทนดี 1 บาท 15 กรัม 9 ดีเกลือ 4 บาท 60 กรัม   ขั้นตอนการผลิต 1.ชั่งยาตามสูตร 2. เอามหาหิงคุ์ ยาดำ รงทอง ทำการสะตุหรือประสะตามวิธีของแต่ละตัว 3. นำมหาหิงคุ์ ยาดำ รงทอง แยกบดให้ละเอียดทีละชนิดแยกจากกันแล้วนำไปละลายน้ำ พักเอาไว้ 3. นำสมุนไพรที่เหลือมาอบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส แล้วบดสมุนไพรทั้งหมดรวมกันพอหยาบ 4. นำสมุนไพรที่ได้คลุกเคล้ารวมกับน้ำที่ละลาย มหาหิงคุ์ รงทองและยาดำ 5. นำสมุนไพรไปอบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส อีกครั้งจนสมุนไพรแห้ง จากนั้นนำไปอบจนสามารถบดเป็นลงละเอียดได้ 6. นำผงละเอียดที่ได้บรรจุลงแคปซูล   รูปแบบ/ความแรง แคปซูล 300 มิลลิกรัม วิธีใช้ รับประทาน ครั้งละ 3 แคปซูล ก่อนอาหาร วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น วิธีปรุงยาตำรับนี้ ในคัมภีร์ธาตุบรรจบระบุว่า “เอามหาหิงคุ์ ๑ ยาดำบริสุทธิ์ ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง รงทอง ๒ สลึง มะกรูด ๓ ผล (เอามหาหิงคุ์ ยาดำ รงทอง ใส่ในมะกรูดสิ่งละผล แล้วเอามูลโคพอกสุมไฟแกลบให้สุก) ขิงแห้ง ๑ ดีปลี ๑ พริกไทย ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง รากทนดี ๑ บาท ดีเกลือ ๔ บาท ยา ๕ สิ่งนี้ประสมกับมะกรูดที่สุมไว้ทำเปนจุณละลายน้ำ ส้มมะขามเปียกให้รับประทานหนัก ๑ สลึง”   จะเห็นว่าคณะผู้วิจัยฯ มีวิธีการเตรียมยา ที่ผิดไปจากในคัมภีร์ธาตุบรรจบ ดังนั้นผลในการรักษาอาจแตกต่างจากยาที่ปรุงตามตำรับยาดั้งเดิม จึงต้องถือว่า สูตรยาเบญจอำมฤตย์ตาม  protocol เป็นยาใหม่ ซึ่งหากจะนำมาทดลองวิจัยทางคลินิก จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกก่อน การดำเนินการแจกยาให้แก่ผู้ป่วยที่กระทำอยู่ในขณะนี้จึงสุ่มเสี่ยงว่า เป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภค(ผู้ป่วย) ซึ่งอาจไม่รู้ตัวว่า ตนเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการทดลองยาสูตรนี้อยู่ และเมื่อฉลาดซื้อได้สอบถามกับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทย ซึ่งทำงานอยู่ในสังกัดกรมพัฒนาการแพทย์ฯ ท่านหนึ่ง ได้ทราบข้อมูลเพิ่มว่า “ทางกรมฯ นำสูตรยานี้มาเปลี่ยนชื่อโครงการทีหลัง เน้นเฉพาะเจาะจงที่มะเร็งตับ ส่วนเหตุผลที่ทางกรมฯ อ้างว่า ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต EC (คณะกรรมการจริยธรรม) เพราะเป็น Actual Use Research (AUR) แบบที่ทางประเทศญี่ปุ่นใช้ แต่ประเด็นคือ AUR ในญี่ปุ่น เขาใช้วิธีนี้ในการศึกษายาแผนโบราณ ที่มีการใช้กันในท้องตลาดอยู่แล้ว ไม่ใช่กับยาใหม่ ซึ่งยังไม่มีการใช้มาก่อน”   ทัศนะจากประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค รศ.ดร. จิราพร ลิ้มปานานนท์ ฉลาดซื้อ : ตามที่ มีการแจก ยาเบญจอำมฤตย์ให้กับประชาชนทั่วไป โดยกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยฯ เป็นผู้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้นั้น เมื่อมีข้อสังเกตพบว่า ยาสูตรที่แจกนี้ มิใช่สูตรดั้งเดิมตามตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ กล่าวคือ เป็นสูตรดัดแปลงไปจากตำรับเดิม หากจะทำตามขั้นตอนการปฏิบัติในทางกฎหมายให้ถูกต้อง(เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค)  ต้องมีขั้นตอนอย่างไร   รศ.ดร. จิราพร  : ยานี้จะใช้ชื่อว่า ยาเบญจอำมฤตย์ ไม่ได้ เพราะสูตรได้มีการดัดแปลง จึงถือว่าเป็นยาใหม่ ซึ่งต้องมีการวิจัยเริ่มจากห้องปฏิบัติการในสัตว์ทดลอง และในมนุษย์ตามลำดับ   ฉลาดซื้อ : สูตรยาเบญจอำมฤตย์ สูตรนี้ ยังไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรม การที่กรมฯ นำมาแจกจ่ายให้กับประชาชน ถือว่าผิดขั้นตอนหรือไม่ และอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร   รศ.ดร. จิราพร :  ยาสูตรดัดแปลงจากยา เบญจอำมฤตย์ เมื่อจะทำการวิจัยทางคลินิก ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ก่อน การแจกจ่ายและโฆษณารักษาโรคเป็นการทำผิดกฎหมาย ที่สำคัญอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อผู้ใช้ได้ เน้นว่าผิดทั้งกฎหมายและจริยธรรม   การวิจัยทางคลินิกด้านการแพทย์แผนไทย การวิจัยทางคลินิก หมายถึง การทำวิจัยที่เกี่ยวกับการรักษาโรคในคน การทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัย ระบาดวิทยา ธรรมชาติของโรค ซึ่งประกอบด้วยอาการและอาการแสดงทางคลินิก การพัฒนาของโรค เครื่องบ่งชี้ในการพยากรณ์โรค การใช้ยา การผ่าตัด และอุปกรณ์ที่ใช้ทางการแพทย์ การป้องกันโรค เช่น วัคซีน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การสืบค้นรายงานผู้ป่วย การกรวดน้ำคัดหลั่ง เลือด หรือส่วนของเลือด เนื้อเยื่อของผู้ป่วย เป็นต้น ความสำคัญในการวิจัยทางคลินิกด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร คือ การทำให้การแพทย์แผนไทยมีความปลอดภัย ประสิทธิผล และมีคุณภาพที่คนไทยจะนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โครงร่างวิจัยทางคลินิกนี้จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อ ผ่านการพิจารณาและอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกแล้วเท่านั้น     เจาะประเด็นวันนี้ เราจะไปเจาะลึกทำความรู้จักกับสูตรยาสมุนไพรที่อยู่ในคัมภีร์แพทย์แผนไทย ที่ชื่อ"เบญจอำมฤตย์"ว่ามีคุณสมบัติอย่างไร ประกอบไปด้วยสมุนไพรชนิดใดบ้าง สามารถต้านมะเร็งตับได้เด็ดขาดจริงหรือไม่ วันนี้จะไปเจาะลึกกันค่ะ     "เบญจอำมฤตย์" เป็นสูตรยาสมุนไพรโบราณที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้คิดค้นวิจัยร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่ปี 2554 ผ่านการทดสอบการออกฤทธิ์ทั้งในหลอดทดลอง หนูทดลองและผู้ป่วยมะเร็งหลายชนิด ที่ รพ.เคียนซา และรพ.วิภาวดี จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งมะเร็งต่อมลูกหมากมะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งตับ พบว่า มีประสิทธิภาพต้านเซลล์มะเร็งตับดีที่สุด หลังกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ บรรจุและเผยแพร่ตำรับยาสมุนไพร"เบญจอำมฤตย์" ปรากฏมีผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ แห่มารับยาสมุนไพรฟรี ที่โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานยศเส จำนวนมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาด้วยอาการมะเร็งระยะสุดท้าย อย่างคุณลุงท่านนี้อยู่ไกลถึงเพชรบูรณ์ ทันทีที่ทราบข่าว ก็รีบเดินทางมาด้วยความหวังว่า อาการป่วยมะเร็งตับจะดีขึ้น จะได้อยู่กับลูกหลานนานๆ ขณะที่ทางโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยฯ ยสเส เปิดเผยว่าเพียงแค่วันเดียว มีผู้ป่วยมะเร็ง มาขอรับยามากถึงวันละ 3,000 แคปซูล และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น  ตามขั้นตอนผู้ป่วยต้องผ่านการตรวจคัดกรองสุขภาพ ก่อน เพื่อระวังผลข้างเคียง ย้ำว่าสมุนไพร"เบญจอำมฤตย์" ไม่ใช่ยารักษามะเร็งให้หายขาด  แต่ช่วยต้านการแพร่กระจายเซลล์มะเร็ง ลดภาวะแทรกซ้อน เสริมให้ระบบการทำงานของร่างกายดีขึ้นแต่จะให้ได้ผลดีที่สุดต้องรักษาควบคู่ กับการแพทย์แผนปัจจุบัน เมื่อเจาะลึกสูตรยา"เบญจอำมฤตย์" พบว่าประกอบด้วยสมุนไพรไทย 9 ชนิด ซึ่งสมุนไพรแต่ละตัวมีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ อยู่แล้ว  แต่เพิ่งวิจัยค้นพบว่าเมื่อนำมาผสมรวมกัน จะออกฤทธิ์ต้านมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานเจาะประเด็นลงพื้นที่ โรงพยาบาลอู่ทอง ซึ่งเป็นศูนย์ผลิตยาสมุนไพรไทยที่ได้มาตรฐาน ส่งทั่วประเทศ เจาะลึกสูตรยาสมุนไพรแคปซูล"เบญจอำมฤตย์"พบว่า ประกอบด้วยสมุนไพร  9  ชนิด  คือ มหาหิงค์ ยาดำบริสุทธิ์ รงทอง มะกรูด ขิงแห้ง ดีปลี พริกไทย รากทนดี และดีเกลือ เป็นสูตรยาในคัมภีร์แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ตำรายาโบราณของไทย แต่ละชนิดมีสรรพคุณบำรุงธาตุ และรักษาโรคอยู่แล้ว เช่น  ดีปลี พริกไทย ขิง ช่วยลดแก๊ส ขับลม แก้ท้องอืด ,ดีเกลือช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น โดยเมื่อเอามาผสมรวมกัน จะมีฤทธิ์ เสริมสร้างระบบในร่างกายให้สมดุล โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง ที่มีปัญหาใหญ่ คือเรื่องระบบขับถ่าย ล่าสุด ยอดผู้ป่วยต้องการยาเพิ่มขึ้น วัตถุดิบสมุนไพรบางชนิดเริ่มไม่เพียงพอ จำเป็นต้องสั่งซื้อจากนอกพื้นที่ สำหรับประเทศไทย มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ปีละกว่า 60,000 ราย พบผู้ชายป่วยเป็นมะเร็งตับมากที่สุด ส่วนผู้หญิง ส่วนใหญ่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และลำไส้ใหญ่ แพทย์แนะผู้ป่วยมะเร็ง นอกจากรักษาด้วยยาควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกาย และเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์เสริมภูมิต้านทานโรค ทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในทุกสิทธิการรักษา สามารถมาขอรับยาฟรีได้ที่โรงพยาบาลแพทย์แผนไทยฯ ยสเส โดยกลุ่มผู้ป่วยที่มารับยา จะถือเป็นกลุ่มอาสาสมัครเพื่องานวิจัยด้วย เป็นการพัฒนาอีกขั้นของการแพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือกความหวังของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ที่มา CH7 NEWS   มะเร็งกับการแพทย์แผนไทย ความปลอดภัยคือหัวใจสำคัญ มะเร็งเป็นโรคร้ายที่คุกคามต่อชีวิตมนุษย์ในปัจจุบัน ในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุมะเร็งเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยทั้งจากอาการของโรคและผลข้างเคียงจากการรักษา การรักษาผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งตามทฤษฎีการแพทย์แผนตะวันตก มี 2 วิธีหลักที่ปฏิบัติกันแพร่หลายคือการใช้รังสี และการใช้เคมีบำบัด ซึ่งทั้งสองวิธี ต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือทำลายเนื้อร้าย แต่ทั้งนี้ไม่สามารถเลือกทำลายเฉพาะเนื้อร้ายได้ เซลล์ดีจำนวนมากต้องถูกทำลายไปด้วย จึงเกิดผลข้างเคียงตามมาเช่น ผมร่วง แผลในปาก ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร โลหิตจาง เม็ดเลือดขาวต่ำเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่าย อีกทั้งผู้ป่วยยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีก จากการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง จึงมีผู้แสวงหาแนวทางอื่นในการรักษามากขึ้น และการแพทย์แผนไทย คือทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งภาครัฐโดยกระทรวงสาธารณสุขเองก็ให้ความสำคัญ จากการติดตามการแถลงข่าวของกระทรวงสาธารณสุข ตำรับยาแผนไทยที่เริ่มนำมาศึกษาถึงผลการต้านมะเร็งของกระทรวงสาธารณสุขมีที่เด่นๆ อยู่สองตำรับคือ ตำรับยา "เบญจามฤต"(เบญจอำมฤตย์) และ "ตรีผลา" การวิจัยทั้งสองตำรับยานี้เป็นกระบวนการวิจัยที่จะมีขั้นตอนการศึกษาทดลองในมนุษย์ด้วย (หลังผ่านการทดลองความปลอดภัยในสัตว์ทดลองมาแล้ว) ซึ่งจะสามารถยืนยันผลหรือสรรพคุณยาในคนได้เป็นอย่างดี ต่างกับการวิจัยอื่นที่อาจทดลองเฉพาะในสมุนไพรเดี่ยว ค้นหาส่วนประกอบสารสำคัญ/สารออกฤทธิ์ในสมุนไพร และทดสอบความเป็นพิษในสัตว์หรืออื่นๆ เท่านั้น แต่จากการสืบค้นข้อมูล พบว่า โครงร่างการวิจัย “โครงการติดตามความปลอดภัยของตำรับยาเบญจอำมฤตย์ ในผู้ป่วยมะเร็งตับ, ลำไส้, ปากมดลูก และต่อมลูกหมาก” ไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาการศึกษาวิจัยในคนด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงเป็นที่มาของข้อกังขาสำคัญว่า เหตุใดอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จึงนำยาเบญจอำมฤตย์สูตรนี้มาแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วไป ซึ่งเสี่ยงที่จะเข้าข่ายการละเมิดสิทธิผู้ป่วย “ตำรับยาดังกล่าวจากการวิจัยเริ่มต้นที่หลอดทดลอง ปรุงยาขึ้นมาโดยนำมาทดสอบกับเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง ผลที่ได้คือ ยามีผลต่อเซลล์มะเร็งตับอันดับแรกโดยฆ่าเซลล์มะเร็งตับได้ดี จากนั้นก็นำมาทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ทดลองซึ่งผลการทดสอบความเป็นพิษพบว่า ยาตำรับนี้ปลอดภัยในสัตว์ทดลอง  ความเป็นพิษค่อนข้างต่ำจึงมีความมั่นใจว่ายาตัวนี้น่าจะมีความปลอดภัยในคน แต่อย่างไรก็ตามงานวิจัยยังคงศึกษาทดลองต่อเนื่อง ติดตามประสิทธิผลและความปลอดภัยของตำรับยาในผู้ป่วยมะเร็งตับ ในกลุ่มอาสาสมัครที่เข้าร่วมในงานวิจัยการศึกษาวิจัยจะมีการเจาะเลือด ตรวจร่างกายเป็นระยะ ๆ...การวิจัยซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการเก็บตัวอย่างข้อมูล เก็บตัวอย่างผู้ป่วยที่ได้ยาเป็นการติดตามผลการรักษา ประเมินเป็นระยะโดยเริ่มในผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น ทีมวิจัยกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ด้วยตำรับยาไม่เป็นที่ปิดบังตำรับยาอยู่ในคัมภีร์โบราณซึ่งเมื่อเปิดแพทยศาสตร์สงเคราะห์ก็จะเห็นถึงรายละเอียด...” (ส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ ผู้ร่วมวิจัยของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานใน โครงการติดตามประสิทธิผลและความปลอดภัยของตำรับยาเบญจอำมฤตย์ ที่มา : เดลินิวส์ 5 มีนาคม 2557) ปัญหาคือ ยานี้ไม่ได้ปรุงตามคัมภีร์ธาตุบรรจบ แล้วอะไรคือหลักประกันความปลอดภัยของผู้รับยาที่กรมฯ นำมาแจก ----------------------------   วัตถุดิบทยอยขึ้นราคาทันทีที่เป็นข่าวดัง การให้ข่าวพร้อมกับการแจกจ่ายยาได้ก่อให้เกิดกระแสและสร้างความคาดหวังให้กับผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย จนไม่เพียงแต่แห่กันไปรับยาจนแน่นโรงพยาบาล(สำรวจ ณ วันที่ 25 เมษายน ฉลาดซื้อพบว่า ยังมีการแจกยาอยู่) แต่ยังกลายเป็นช่องทางให้ผู้ค้าวัตถุดิบสมุนไพรตามตำรับยาดังกล่าว โก่งราคาวัตถุดิบจนแพงลิ่ว ภญ.ดลิชา ชั่งสิริพร หัวหน้างานแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี(แหล่งผลิตวัตถุดิบยาตำรับเบญจอำมฤตย์) กล่าวว่าในช่วงหลังการออกข่าวมีประชาชนบางคนนำตัวสมุนไพรไปต้มสกัดยามารับ ประทานเองซึ่งขอเตือนว่าไม่สมควรทำอย่างยิ่งนอกจากจะไม่สามารถช่วยรักษา อาการได้แล้วยังมีผลตามมาถึงขั้นเสียชีวิตได้เนื่องจากตัวยาบางตัวถ้าใช้ใน ปริมาณที่ไม่เหมาะสมจะให้โทษอย่างมหันต์ เช่น ดีเกลือที่มีฤทธิ์ในการขับถ่าย อาจส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรงได้และสำหรับผู้ป่วยมะเร็งอาจส่งผลให้ เซลล์มะเร็งลุกลามมากขึ้นได้จึงขอเตือนว่าห้ามนำมาต้มรับประทานเองเด็ดขาด ซึ่งปริมาณที่ใช้ในการใช้วัตถุดิบเพียง 0.22 ไมโครกรัมต่อซีซี เท่านั้น ประชาชนห้ามผลิตเอง "สำหรับราคาวัตถุดิบที่ไปตรวจสอบมานั้นบางชนิดมีราคาสูงขึ้นเป็นเท่าตัวคือ มหาหิงค์ จาก 350 - 450 บาท เป็น 400 - 450 บาท ยาดำบริสุทธิ์ 400 - 500 บาท เป็น 600 -800 บาท รงทอง 300 - 400 บาท เป็น 800- 1,000 บาท มะกรูด 100 บาท เป็น 100 -150 บาท ขิง 500 - 600 บาท เป็น 600 -800 บาท ดีปลี 200 - 300 บาท เป็น 300- 350 บาท พริกไทย 500 บาท เป็น 500 -600 บาท รากทนดี 150 บาท เป็น 150 -200 บาท และดีเกลือ ราคาประมาณ 50 - 80 บาทซึ่งเป็นราคาต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ขอฝากให้ผู้ค้าวัตถุดิบเห็นใจและไม่ปรับราคาให้สูงขึ้นอีก"   รู้จักตัวยาสำคัญใน เบญจอำมฤตย์ >> มหาหิงคุ์ ยาดำ รงทอง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point