ฉบับที่ 219 ย้อนความทรงจำในอดีตผ่าน Timehop

เชื่อว่าหลายคนมีความทรงจำในอดีตที่น่าประทับใจน่าจดจำหลายอย่าง และมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะย้อนวันเวลากลับไปในช่วงเวลาที่มีความสุขเหล่านั้น แม้ว่าอยากให้ช่วงเวลานั้นอยู่นานแค่ไหนแต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะกลายเป็นแค่ความทรงจำที่ดีและเก็บไว้ในใจไปตลอด ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่อยากจะย้อนวันวานเพื่อระลึกถึงความทรงจำดีๆ ที่ผ่านมาในอดีต ให้มาปรากฎเป็นภาพอีกครั้ง        บางครั้งความทรงจำในอดีตก็สามารถช่วยเยียวยาจิตใจ เป็นแรงผลักดัน เป็นเรื่องตลกขำขัน ให้ดำเนินชีวิตได้ในปัจจุบัน ฉบับนี้จึงขอย้อนความทรงจำในอดีตกลับมาอีกครั้ง และไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีความทรงจำเหล่านั้นก็สามารถกลับมาได้ทุกวันอย่างแน่นอน เพียงแค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Timehop ลงบนสมาร์ทโฟนได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และระบบปฏิบัติการ iOS         แอปพลิเคชันจะให้เลือกการเข้าใช้ 3 รูปแบบ คือ การใช้ผ่าน facebook การเข้าใช้ผ่านเบอร์โทรศัพท์ หรือการเข้าใช้ผ่านการสมัครเข้าใช้งานโดยตรง หลังจากนั้นแอปพลิเคชันจะให้ทำการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียอื่นๆ ตามขั้นตอน ทั้งการเชื่อมต่อ facebook, twitter, Instagram, swarm, dropbox photos, google photos และเชื่อมต่ออัลบั้มรูป camera roll ในสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย         โดยการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียอื่น สามารถเลือกได้ตามความต้องการของผู้ใช้แอปพลิเคชันและสามารถปิดเปิดการเชื่อมต่อได้ภายหลัง เมื่อทำตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว แอปพลิเคชัน Timehop จะเชื่อมต่อเรื่องราวและความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด         การทำงานของแอปพลิเคชัน Timehop จะแจ้งเตือนทุกวันว่าในวันนี้เมื่อปีก่อนหรือหลายปีก่อน ผู้ใช้แอปพลิเคชันเคยโพสต์เรื่องราวอะไรไว้บ้างในอดีต ซึ่งภายในแอปพลิเคชันจะปรากฎเรื่องราวที่เคยโพสต์ไว้ทั้งหมดของแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียที่ได้เชื่อมต่อไว้ทั้งหมด        Timehop ถือว่าเป็นแอปพลิเคชันที่สามารถสร้างสีสันและย้อนความทรงจำให้รำลึกถึงอดีตต่างๆ ที่ผู้ใช้แอปพลิเคชันได้เคยโพสต์ไว้ในแต่ละแอปพลิเคชัน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่ภาพและเรื่องราวความทรงจำต่างๆ ในอดีตได้กลับมาให้ผู้ใช้แอปพลิเคชันได้เห็น ประกอบกับทำให้ได้ระลึกถึงความสุข ความปลาบปลื้ม ความตลก ฯลฯ ที่เคยเกิดขึ้นในวันนั้นเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนำมาเปรียบเทียบว่าในปีนี้มีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด         ลองดาวน์โหลดกันมาลองเล่นกันดูนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 ภัยจากอุบัติเหตุรถตู้โดยสาร

เพียง “วูบเดียว” ของ นายสุมนต์ เอี่ยมสมบัติ คนขับรถตู้โดยสารสาธารณะ เส้นทางจันทบุรี – กรุงเทพทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดอีกเหตุการณ์หนึ่ง เป็นเหตุให้หลายครอบครัวต้องหลั่งน้ำตาในงานศพ แทนที่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัวช่วงเทศกาลปีใหม่         ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานว่ามีรถตู้โดยสารหมายเลขทะเบียน 15-1352 กรุงเทพมหานคร ที่วิ่งรับส่งผู้โดยสาร เส้นทางจันทบุรี – กรุงเทพ บรรทุกผู้โดยสารมาเต็มคันรถ เกิดเสียหลักข้ามไปถนนฝั่งตรงข้ามประสานงาเข้าอย่างจังกับรถกระบะที่บรรทุกผู้โดยสารมาเต็มคันรถเช่นเดียวกัน จนเกิดไฟลุกท่วมก่อนเกิดระเบิดตามมาอีก 1 ครั้ง จนกลายเป็นการย่างสดผู้โดยสารเสียชีวิตรวมทั้งหมด 25 ราย สาเหตุคาดว่าคนขับ ชื่อ ของนายสุมนต์ เอี่ยมสมบัติ มีอาการหลับใน เพราะต้องขับรถติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมง        ทั้งนี้หลังเกิดเหตุการณ์มีหลายหน่วยงานที่เข้าไปให้การช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและครอบครัวผู้เสียชีวิตทำให้ผู้เสียหายได้รับการชดเชยเยียวยาอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ประสานเครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันออกเข้าไปพูดคุยกับญาติผู้เสียหายว่า ยังมีประเด็นปัญหาอะไรที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือไม่         นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ประสานงานโครงการรถโดยสารปลอดภัย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า “เพราะจากประสบการณ์การขับเคลื่อนเรื่องการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านการโดยสารรถสาธารณะในช่วงที่ผ่านมา พบว่าหลังเกิดอุบัติเหตุแล้วผู้โดยสารไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิได้รับการชดเชยอะไรบ้าง ทำให้เสียสิทธิที่ควรได้รับการชดเชย และจากการพูดคุยทำให้เราได้รู้ว่าผู้เสียหายได้รับเพียงการชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ รายละ 7 แสนบาท เท่านั้น โดยแบ่งเป็นค่าชดเชยจากประกันภัยภาคบังคับ 3 แสนบาท และประกันภัยภาคสมัครใจ 4 แสนบาท แต่สิทธิอื่นๆ ไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นจึงคิดว่าต้องลงไปพูดคุยกับเขาเพื่อให้ได้รับการชดเชยตามสิทธิที่มีมากกว่านี้”           แต่การเข้าไปให้การช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้เสียหายไม่ยอมเปิดใจ มีความกังวลว่าทางมูลนิธิฯ จะเข้าไปหาผลประโยชน์อะไรจากเขาหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้มีประสบการณ์ถูกหน่วยงานหนึ่งเข้าไปเรียกร้องบางอย่างจากการเข้าไปให้การช่วยเหลือ จึงค่อนข้างผิดหวัง แต่สุดท้ายหลังจากที่ทำความเข้าใจกันแล้วก็เปิดใจยอมรับการให้การช่วยเหลือจากมูลนิธิฯ และนำสู่การฟ้องร้องคดีห้างหุ้นส่วนจำกัด 2017 วีเจ ทรานสปอร์ต เป็นจำเลยที่ 1 นางสาววาสนา จันทร์เอี่ยม เป็นจำเลยที่ 2 และบริษัท ขนส่ง จำกัด เป็นจำเลยที่ 3 กรณีละเมิด ต่อศาลจังหวัดจันทบุรี เรียกค่าเสียหาย ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น         อย่างไรก็ตาม การต่อสู้มีอุปสรรคบ้าง เพราะดูเหมือนว่าหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้ข้อมูลในหลายๆ เรื่อง ทำให้การทำงานครั้งนี้ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ต้องเสาะหาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาเป็นหลักฐานประกอบ อาทิ หลักฐานการเสียชีวิต หลักฐานการจัดการงานศพ ภาพถ่ายต่างๆ เอกสารต่างๆ หลักฐานรายได้ของผู้เสียหาย ซึ่งเหตุการณ์ผ่านไป 2 เดือนแล้ว บางอย่างหาได้ บางอย่างหาไม่ได้ บทเรียนจากการสู้คดี         การสู้คดีถือว่าใช้เวลาไม่นานศาลจันทบุรีได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2561 โดย นายโสภณ หนูรัตน์ ทนายความอาสา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) ผู้ดูแลคดีดังกล่าว ได้ให้สัมภาษณ์ในวันนั้น ว่า ศาลฯ ได้ตัดสินให้จำเลยที่ 3 และจำเลยร่วมที่ 1 และ 2 คือ ทายาทของคนขับ ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ญาติของผู้เสียชีวิต รวมเป็นเงิน 20,780,000 บาท รวมทั้งต้องจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิด นั่นคือวันที่ 2 มกราคม 2560 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ         ทนายความของคดี ยังระบุอีกว่า ส่วนสำคัญ คือ ศาลชั้นต้นได้กรุณากำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษกับโจทก์แต่ละราย รายละ 500,000 บาท เนื่องจากเห็นว่าคนขับรถประมาท เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตของผู้โดยสารเป็นจำนวนมาก รวมทั้งค่าสินไหมทดแทน ได้แก่ ค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะ ค่าขาดแรงงานในครัวเรือน และค่าทรัพย์สินเสียหายสูญหาย ส่วนจำเลยที่ 1 และ 2 ศาลได้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ใช่นายจ้างหรือตัวการตัวแทนที่ต้องรับผิดร่วมกับคนขับรถตู้คันเกิดเหตุ ซึ่งทาง มพบ. จะมีการประชุมคดีเพื่อพิจารณาในการใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อไป         และในวันเดียวกันนั้น “นางเสงี่ยม หินอ่อน” มารดาของหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ได้ให้สัมภาษณ์ ด้วยสีหน้าและแววตาที่ปราศจากรอยยิ้ม โดยสรุปใจความว่า         “ตัวเธอเองต้องสูญเสียลูกสาวไปอย่างไม่มีวันกลับ หนำซ้ำ หลานสาวตาดำๆ ยังต้องกลายมาเป็นเด็กกำพร้าที่คอยถามเธอทุกครั้งที่เห็นภาพถ่ายว่า “แม่ไปไหน” และคำตอบที่เธอพอจะพูดออกไปได้เพื่อเป็นการปลอบประโลมใจทั้งของหลานสาว และของตัวเธอเองคือ “แม่ไปสวรรค์นะ” ขณะที่ฐานะทางบ้านเริ่มสั่นคลอนเพราะเสียเสาหลักไป ส่วนเงินที่ได้จากการชดเชยก็จะนำไปใช้เป็นเงินเก็บไว้เลี้ยงดูลูกของลูกสาวในอนาคตต่อไป”อย่างไรก็ตาม จากการติดตามความคืบหน้าล่าสุดถึงกลางปี 2562 นายคงศักดิ์ บอกว่า คดีความยังไม่เป็นที่สิ้นสุด เนื่องจากจำเลย คือ บริษัทขนส่งจำกัด ได้มีการยื่นอุทธรณ์เนื่องจากมองว่าศาลตัดสินให้ต้องมีการชดเชยมากเกินไป ซึ่งศาลก็ได้นัดฟังคำตัดสินในเดือน ก.ย.2562 นี้ ก็ต้องมาดูว่าศาลเห็นด้วยหรือไม่ มีการปรับแก้คำพิพากษาอะไรหรือไม่ แต่ถึงแม้ว่ามีคำพิพากษาออกมาแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถยื่นฟ้องถึงศาลฎีกาได้อีก ซึ่งคาดว่าหากถึงขั้นนั้นคงใช้เวลาประมาณ 4 ปี ถือว่าค่อนข้างเร็วในมุมมองของทางมูลนิธิฯ เพราะบางคดีเคยต่อสู้กันนานถึง 8 ปี กว่าผู้เสียหายจะได้รับการชดเชย         ทั้งนี้ ถึงแม้คดีความจะยังไม่จบ แต่ความสูญเสียอันใหญ่หลวงจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่กลายเป็นการเสียเปล่าเสียทีเดียว เพราะทำให้มีการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับระบบขนส่งรถโดยสารสาธารณะของไทยขนานใหญ่ โดยมีการออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 15/2560 เรื่องมาตรการเพิ่มความปลอดภัยในรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือกำหนดให้รถโดยสารต้องทำประกันภัยภาคสมัครใจ         “การทำประกันภัยภาคสมัครใจสำคัญมากเพราะเมื่อก่อนรถบางคันก็ทำ บางคันก็ไม่ทำ รถคันที่ไม่ทำก็มีเพียง พ.ร.บ. เท่านั้น หากเกิดเหตุรุนแรง ไม่ว่าจะบาดเจ็บ เสียชีวิตก็จะได้รับการชดเชยน้อยมาก ดังนั้นการมีการทำประกันภัยภาคสมัครใจก็จะได้รับการชดเชยอย่างต่ำ 3 แสนบาท รวมกับประกันภัยภาคบังคับอีก 3 แสนบาท รวมเป็น 6-7 แสนบาท”         นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดมาตรการความปลอดภัยต่างๆ เช่น การควบคุมจำนวนที่นั่งของรถตู้โดยสารจากเดิมที่มีมากถึง 15-16 ที่นั่ง ก็กำหนดให้ไม่เกิน 13 ที่นั่ง มีการจำกัดความเร็ว การจัดจุดบริการรถตู้ให้เป็นสัดส่วน จากเดิมที่อยู่กระจัดกระจาย ไม่มีการจัดระเบียบ ไม่มีมาตรการควบคุมอะไรเลย         นายคงศักดิ์ ชี้ว่า ก่อนหน้านี้ตัวเลขการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสารทุกประเภท เฉลี่ยเสียชีวิตประมาณ 200-300 คน ต่อปี บาดเจ็บประมาณ 2,000-3,000 คน ต่อปี ในจำนวนนี้รถตู้โดยสารเป็นประเภทรถเกิดอุบัติเหตุรุนแรงที่สุด เพราะมีการขับรถเร็ว ไม่มีการติดตั้งจีพีเอสติดตาม แต่พอเกิดอุบัติเหตุรถตู้จันทบุรีก็ทำให้มีการควบคุมมาตรฐานที่น่าพอใจ จำนวนการเกิดอุบัติเหตุกับรถตู้โดยสารสาธารณะลดลง แต่ไปพบปัญหาใหม่คือ เกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นในกลุ่มรถตู้โดยสารรับจ้างส่วนตัว ที่สูงขึ้นเพราะกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกบังคับให้ติดจีพีเอส อาจจะยังสามารถขับรถเร็วมากกว่า 90 กม./ชม.เป็นเรื่องที่ต้องติดตามแก้ไขกันต่อไป         เช่นเดียวกับบทสรุปคำพิพากษาของศาลต่อกรณีอุบัติเหตุรถตู้โดยสาร “จันทบุรี – กรุงเทพ” ว่าจะออกมาอย่างไร ผู้เสียหายจะได้รับการชดเชยเยียวยาอันสมควรหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูกันต่อไป แน่นอนว่าเงินชดเชยที่ได้นั้นไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินเท่าไรก็ไม่อาจชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้ แต่อย่างน้อยก็จะช่วยดูแลครอบครัวอันเป็นที่รักของผู้ตายในฐานะเหยื่อของเหตุการณ์ไม่อาจจะดูแลครอบครัวอันเป็นที่รักต่อไปในอนาคต.นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ประสานงานโครงการรถโดยสารปลอดภัย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า ด้วยสถานการณ์ข่าวที่โหมรุนแรง ทางบริษัทประกันฯ เลยชักช้าไม่ได้ ทำให้ผู้เสียหายได้รับการชดเชยอย่างตรงไปตรงมา แต่หากเปรียบกับเคสอื่นๆ เมื่อมีการรับเงินชดเชยส่วนนี้แล้วจะถูกให้เซ็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งในสัญญาตัวนี้จะมีถ้อยคำที่เป็นอันตราย ที่ระบุว่า “ผู้เสียหายจะไม่ติดใจเอาความ ดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา”  ซึ่งเมื่อมีข้อความเหล่านี้จะไม่มีสิทธิเรียกร้องสิทธิอื่นๆ ได้เลย จะได้รับแค่สิทธิที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ประกันภัยผู้ประสบภัยจากรถเท่านั้น ทั้งๆ ที่ยังมีสิทธิในการเรียกร้องค่าชดเชยการขาดรายได้ ค่าเลี้ยงลูกจนโต        “เรื่องนี้หลายคนไม่รู้ หน่วยงานก็ไม่เคยบอกว่าหากเซ็นแล้วต้องเจอแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเจอกรณีให้เซ็นสัญญาประนีประนอมผู้เสียหายสามารถเขียนข้อความกำกับลงไปได้ว่า ขอสงวนสิทธิในการที่จะเรียกร้องดำเนินคดีกับเจ้าของรถต่อ หรือไม่ต้องเซ็นเอกสารนั้นเลยก็ได้ ถ้าถูกบังคับให้เซ็นหรือข่มขู่ว่าถ้าไม่ยอมเซ็นชื่อจะไม่ได้รับเงินชดเชย ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนไปยัง คปภ.ได้ ว่าถูกบังคับ ถ้าไม่ร้องเรียนทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการบริษัทประกันฝ่ายเดียว”         ดังนั้น เวลาขึ้นรถโดยสารขอให้คำนึงว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นหมั่นสังเกตข้อมูล เกี่ยวกับรถ ทะเบียนรถ ตั๋วโดยสาร ข้อมูลคนขับ สิ่งสำคัญคือสิทธิที่จะได้รับมีอะไรบ้าง หลักๆ เลย วงเงินที่ได้รับการชดเชยตาม พ.ร.บ.ผู้ประสบภัยจากรถ กรณีเป็นผู้โดยสารจะได้รับสิทธิในการรักษาพยาบาลตามจริง ประมาณ 80,000 บาท กรณีเสียชีวิตจะได้รับเงินชดเชย 300,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ยังไม่มีการพิสูจน์ถูกผิด สิทธิที่ผู้โดยสารจะได้รับเบื้องต้นคือ ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 30,000  บาท.          จากการรวบรวมสถิติอุบัติเหตุรถตู้โดยสารสาธารณะในปี 2560 โดยศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนนและเครือข่ายเฝ้าระวังรถโดยสารสาธารณะที่เก็บข้อมูลผ่านข่าวออนไลน์ พบว่า มีอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดกับรถตู้โดยสารสาธารณะในพื้นที่ทั่วประเทศมากถึง  252 ครั้ง แบ่งเป็น ประเภทรถตู้โดยสารประจำทาง 61 ครั้ง รถตู้โดยสารไม่ประจำทาง 72 ครั้ง และรถตู้โดยสารส่วนบุคคล 119  ครั้ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 1,008 คน และเสียชีวิต 229 คน           ปัจจุบันมีรถตู้โดยสารที่จดทะเบียนสะสมกับกรมการขนส่งทางบก ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2561จำนวน 45,510 คัน  แบ่งเป็นรถตู้โดยสารประจำทาง 14,436 คัน  รถตู้โดยสารไม่ประจำทาง 31,074 คัน แม้กฎหมายจะบังคับให้รถโดยสารสาธารณะทุกคันต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัย ก็ยังพบปัญหาของรถโดยสารที่มีเข็มขัดนิรภัยแต่ไม่อยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ ไม่มีอุปกรณ์นิรภัยประจำรถ พนักงานขับรถขับรถด้วยความประมาท สภาพร่างกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ ขับรถเร็ว บรรทุกผู้โดยสารเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะในรถตู้โดยสารประจำทาง ที่ส่งผลถึงมาตรฐานการให้บริการรถตู้โดยสารของผู้ประกอบการที่ไม่มีคุณภาพ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงจากอุบัติเหตุ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 7 ปี กับ “ฟิตเนสไม่ว้าว”

ทุกคนมีสิทธิฉบับเข้าหน้าฝนกับอารมณ์เหงาๆ ขอพาไปย้อนถึงเรื่องราวเก่าๆ เมื่อ 7 ปีก่อน ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคว่า แคลิฟอร์เนียฟิตเนส ซึ่งเจ้าของคือ บริษัทแคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียน จำกัด (มหาชน) บริษัทฯ ได้ทยอยปิดสาขาที่ตนเองใช้บริการ โดยไม่แจ้งให้ทราบ และสมาชิกของฟิตเนสต่างก็ไม่สามารถไปใช้บริการในสาขาอื่นที่เหลือได้ เพราะมีสถานที่ไม่เพียงพอ หรือบางคนเพิ่งสมัครสมาชิกไม่นาน สาขาที่สมัครไว้ก็ปิดบริการ จนต้องสูญเงินไปจำนวนมาก  จนกระทั่งประมาณเดือนมีนาคม 2555 บริษัทฯ ถูกธนาคารกรุงเทพฯ ฟ้องล้มละลาย  (ต่อมาบริษัทฯ ได้ทำการขอยื่นฟื้นฟูกิจการที่ศาลล้มละลาย ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการในเดือนพฤษภาคม 2555)        สมาชิกที่ได้รับความเสียหาย เริ่มทยอยเข้ามาร้องเรียน  มูลนิธิฯ เห็นว่ากรณีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก  จึงจัดแถลงข่าวเปิดรับเรื่องร้องเรียนเพิ่มเติมในวันที่ 21 มีนาคม 55  (เปิดรับเรื่องร้องเรียนตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2555 – 31 สิงหาคม 2555) รวมมีผู้เข้ามาร้องเรียนถึงกว่า 300 ราย  จากนั้นได้มีการประชุมหารือและจัดตั้งแกนนำกลุ่มผู้เสียหายขึ้น เพื่อดำเนินการรับคำร้องเรียนเพิ่มในสื่อสังคมโซเชียล จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 55 มีผู้ร้องเข้ามาร้องเรียนที่มูลนิธิฯ ถึง 639  ราย  ต่อมาทางบริษัทฯ ได้ยื่นเรื่องขอถอนการฟื้นฟูกิจการของตนเองเดือนธันวาคม 2555 กล่าวคือ บริษัทฯ  กลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณาล้มละลายต่อไปและศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในวันที่ 2 พฤษภาคม 56  (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2556)           จากการสอบข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายและข้อมูลของบริษัทฯ พบความผิดปกติและพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นเจตนาไม่สุจริตหลายอย่าง เช่น บริษัทฯ รับสมัครสมาชิกแบบตลอดชีพในราคาที่ไม่สูงมากเพื่อดึงดูดให้มีการสมัครสมาชิกจำนวนมาก   และให้สมาชิกชำระค่าใช้บริการด้วยวิธีการ ชำระเป็นเงินสด หักบัตรเครดิต และชำระเป็นรายเดือนโดยผ่อนกับบัตรเครดิตและการกู้ยืมสินเชื่อส่วนบุคคล ต่อเมื่อเข้าไปใช้บริการจะถูกกดดันด้วยเทรนเนอร์ให้สมัครใช้บริการเทรนเนอร์ส่วนบุคคล  หากใครไม่สมัครจะไม่ได้รับการดูแล  หรือจะถูกเทรนเนอร์เข้ามาตื๊อจนต้องสมัครด้วยความรำคาญ และเมื่อสมัครแล้วจะถูกหว่านล้อมให้สมัครซื้อบริการล่วงหน้า บางรายซื้อล่วงหน้าเกือบ 8 ปี  เป็นเงินหลายแสนบาท เป็นต้น          จากข้อมูลรายงานว่าบริษัทฯ ยังส่งงบดุลบัญชีว่าขาดทุนตั้งแต่ปี 2549-2554  และผู้ตรวจสอบบัญชีไม่รับรองงบฯ ตั้งแต่ปี 2552 สิ่งนี้แสดงว่าบริษัทประสบภาวะทางการเงิน   แต่ในทางปฏิบัติบริษัทฯ ยังรับสมัครสมาชิกตลอดชีพอยู่ตลอดเวลา   อีกทั้งเมื่อเดือน สิงหาคม 2554 ไม่มีประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้ธุรกิจการออกกำลังกายเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา   ได้กำหนดระยะเวลาในสัญญาห้ามเกิน 1 ปี แต่บริษัทฯ ยังรับสมัครสมาชิกตลอดชีพอยู่ หากมีสมาชิกทักท้วง จะได้คำตอบว่าเป็นสัญญาตลอดชีพนั่นแหละ แต่ต้องระบุในสัญญาว่าปีเดียว  สมาชิกเห็นว่าเป็นบริษัทมหาชนที่น่าเชื่อถือ คงไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย จนเกิดปัญหาในที่สุด          ทุกคนมีสิทธิฉบับนี้ จึงขอสัมภาษณ์หนึ่งในแกนนำผู้เสียหาย ที่ยังคงตั้งความหวังว่าจะได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการพิจารณาคดีที่สืบเนื่องมานานถึง 7 ปี          เยาวภา ทรัพย์สมบูรณ์ “อยากให้เป็นบทเรียนกับคนที่อยากไปสมัครฟิตเนสว่า ก่อนสมัครอยากให้เช็คดูให้ดีก่อน สถานการณ์ปัจจุบันเรากำลังต่อสู้กันอยู่นะคะ ตอนนี้ก็มีการฟ้อง และก็คือเริ่มมีข่าวดีว่าเรา ศาลรับฟ้องเป็นคดี ก็คือเอาผิดกับผู้ที่เรากล่าวหา”ใช้เวลากับการร้องเรียนและดำเนินคดีมานานแค่ไหน        ปีนี้เป็นปีที่เจ็ดแล้ว ศาลเพิ่งจะรับฟ้อง คือเคยต่อสู้กันครั้งหนึ่งเขา(บริษัทฯ) หาว่าเรา คือแบบว่าภาษากฎหมายคือ ไม่เป็นธรรมกับเขา เขาก็สู้ตอบ เขาก็ส่งทนายมาสู้ตอบ แต่ ณ ตอนนี้คือ เมื่อเที่ยวที่แล้วที่ไปฟังศาล ศาลท่านนัดจำเลยมาพบในวันที่ 15 เดือนพฤษภาคมนี้ กลุ่มเรา ที่ฟ้องมีประมาณ 16 ท่าน (เท่าเดิมจากตอนแรก) ค่ะ เป็นตัวแทนในการฟ้อง การทำงานในระหว่างเจ็ดปีที่ผ่านมา มีการประสานงานกันอย่างไร        เราก็ได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พาเราไปร้องเรียนที่สำนักงานใหญ่ของเขา ไปกองปราบ ไปแจ้งความ ไปทำหนังสือยกเลิกเอกสาร ไปกรรมาธิการที่รัฐสภา เราก็ไปนะคะ ไป สคบ., ปปง. เราไปมาหมด จนเราแบบว่าที่ไหนที่เราคิดว่าเขาให้ความยุติธรรม สามารถช่วยเหลือเราได้ เราก็ไปค่ะ        รวมๆ แล้ว 7 ปีคะ  ตั้งแต่เริ่มเลย ไปอย่างนี้เรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายเราก็เป็นคนออกเอง แล้วก็มีหน่วยงานทนายความอาสาที่เขาช่วยเหลือในการฟ้อง สิ่งที่ทำให้กลุ่มพี่มีกำลังใจในการสู้คืออะไร        เราถูกโกงเราไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ต้องการที่จะเรียกร้องความยุติธรรม ความถูกต้องค่ะ และตอนนี้ 7 ปีเราก็ไม่เคยได้รับการเยียวยาใดๆ ทั้งสิ้น เราผู้เสียหาย บริษัทแคลิฟลอเนียว้าว ยังไม่เคยให้ความรับผิดชอบใดๆ ให้กับผู้เสียหายเลย  ถามว่าท้อแท้บ้างไหม ไม่เลยค่ะ เราไม่ได้รับความยุติธรรม เราจะสู้ต่อไปค่ะ เราก็จะดำเนินการทางด้านกฎหมายให้ถึงที่สุด จนกว่าเราผู้เสียหายทุกคนจะได้รับการเยียวยา ของพี่เองได้รับความเสียหายเท่าไหร่คะ        ค่าเสียหายมากทั้งที่หาเอกสารเจอและไม่เจอเกือบล้านค่ะ ที่เราฟ้องไว้ที่พอจะมีเอกสารก็ประมาณเจ็ดแสนกว่า ถ้ารวมทั้งหมดของคนอื่นๆ ด้วย แล้วมูลค่าประมาณหลายสิบล้านคะ เฉพาะที่มาร้องเรียนที่มูลนิธิข้อมูลก็น่าจะหลายล้านอยู่ สำหรับผู้ที่มาฟ้องมูลนิธิ กับผู้ที่ไปฟ้องที่อื่นอีก ก็คือเขาปิดกิจการไปเฉยๆ ก็คือเท่ากับว่าสมาชิกทุกคนถูกโกงหมดไม่มีใครไม่โดนโกง ณ วันที่เขาใกล้ปิดกิจการเขาก็ยังหาลูกค้าอยู่ ตอนนั้นพี่ทำงานและใช้บริการที่ไหนคะ        ตอนนั้นทำงานอยู่บริษัทเอกชน แถวๆ สมุทรปราการ แล้วก็มาใช้ได้เฉพาะวันอาทิตย์วันเดียวนะคะ แต่ก็ซื้อคอร์สไว้มากมาย ระหว่างที่มีปัญหา คอร์สเราก็ยังเหลืออยู่ ซึ่งเขาก็ไมได้คืนเงินให้ เขาบอกว่าปิดกิจการค่ะ เราจะไปออกที่ไหน ก็นอกจากฟ้องผู้ประกอบการใช่ไหมคะ แล้วตอนนี้ออกกำลังกายที่ไหนคะ        ตอนนี้ไม่ได้ไปออกกำลังกายแล้วค่ะ สงสัยจะต้องพึ่งสนามกีฬาแบบแอโรบิคตอนเย็น ตามชุมชนซะแล้ว ดีกว่า คือสบายใจกว่า มีเพื่อนเยอะ แต่ที่เราเลิกเพราะเราไม่ค่อยมีเวลาในบางจุดใช่ไหมคะ แล้วเครื่องออกกำลังกายบางอย่างเราก็ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ต้องมีคนสอน แล้วอีกอย่างหนึ่ง อย่างสถานชุมชนเขาก็อาจจะเปิดแค่ไม่เกินหกโมงเย็น เวลามันไม่ได้ เราต้องทำงาน แต่เราก็ผิดหวังกับการให้บริการของฟิตเนสเอกชน ก็ทำให้เข็ด เวลาถ้าเกิดจะไปสมัครที่ไหนก็ต้องระมัดระวัง ตอนนี้ออกกำลังกายกำลังเป็นกระแส        ใช่ค่ะ การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีนะคะ แต่การบริการก็ต้องให้กับผู้บริโภค ผู้ใช้บริการได้รับความยุติธรรม สอนให้จบ เงินเสียไปคุณก็ต้องสอนเราให้จบ ไม่ใช่จ้องแต่ว่าขอให้ซื้อเพิ่ม ซื้อเพิ่มโดยที่ไม่รู้ว่าการบริการจะเป็นอย่างไร คุณจะบริการให้เราได้หรือไม่ ใช่ไหมคะ คุณสักแต่ว่าให้เราซื้อ ซื้อคอร์สแล้วสุดท้ายบริษัทก็ปิดกิจการหนีไป ซึ่งเกิดเหตุกับแคลิฟลอเนียว้าวแล้ว ก็ไม่อยากจะให้เกิดกับบุคคลอื่น โดนเหมือนอย่างที่เราโดน เพราะว่าอันนี้ก็ถือเป็นบทเรียนคนที่จะสมัครฟิตเนสตอนนี้ต้องดูอะไรบ้าง        ก็อยากจะเตือนผู้ที่จะสมัครฟิตเนสว่า การจะสมัครก็ให้ดูเอกสารสัญญาให้ชัดเจน ควรจะฝึกให้หมดคอร์สแล้วค่อยต่อใหม่จะดีกว่านะคะ ดูสัญญาเพราะตอนนี้สัญญามันจะต้องเป็นสัญญาปีต่อปีคะ สัญญาแบบยาวนานตลอดชีพไม่มีแล้วนะคะ นอกจากเรื่องสัญญาต้องดูพฤติกรรมการสอนของเขา บางครั้งเขาก็จะมาอ้อนวอนให้เราช่วยซื้ออะไรแบบนี้ ก็ควรจะ หมดแล้วค่อยต่อใหม่น่าจะดีกว่า น่าจะปลอดภัยต่อผู้สมัคร อยากฝากอะไรให้ผู้ประกอบการบ้าง        ผู้ประกอบการก็ควรมีจรรยาบรรณ คุณมีบริการด้านสุขภาพ สมาชิกยินดีเสียเงิน แต่ผู้บริการก็ต้องให้บริการตรงตามสัญญา หรือตรงตามที่เขาต้องการใช่ไหมค่ะ เขาอยากได้สุขภาพดีคุณก็สอนไป คุณก็สอนไปจนเขาจบคอร์ส แต่ไม่ใช่คุณได้เงินแล้วคุณไม่บริการ หนี ปิดกิจการไป มันก็ไม่ถูกต้องกับผู้บริโภคใช่ไหมคะ มันก็จะต้องเกิดปัญหาเกิดขึ้น มันก็เหมือนกับว่าคุณใช้ธุรกิจด้านการให้บริการออกกำลังกายบังหน้า เพื่อที่จะหาเงินเข้าส่วนของบริษัทของคุณ         เราซื้อคอร์สไว้มากมาย แล้วปิดกิจการไป ส่วนที่เหลือไม่ได้ชดเชยให้ ปิดไปเฉยๆ ดื้อๆ อย่างนี้ สอบถามไปก็อ้างว่าจะปรับปรุง สุดท้ายก็ทยอยปิด ทยอยปิดทีละสาขา จนสุดท้ายไม่เหลือ และก็ไม่เคยชี้แจง หรืออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าผู้ประกอบการออกมาแสดงความรับผิดชอบ เรื่องมันก็คงไม่ยาวขนาดนี้ การที่เขาปล่อยให้ยาวขนาดนี้ ก็แสดงถึงเจตนาเขาเหมือนกันนะคะ เพราะว่าถ้าเกิดเขาแสดงความรับผิดชอบ ทุกคนที่เป็นผู้เสียหายได้รับการเยียวยาก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่มีการฟ้องร้องที่ยาวนาน     จากนี้จะมีกิจกรรมหรือการเคลื่อนไหวอะไรอีกบ้าง        ก็วันที่ 15 พฤษภาคมนี้ ศาลนัดอีกที แล้วก็มีพวกที่ไปร้องไว้ที่ ปปง.หรือที่อื่นเขาก็ดำเนินการอยู่บ้าง รวมตัวกัน เราก็จะสู้ต่อไปค่ะ ก็คือแม้จะใช้เวลายาวนานอีกเท่าไหร่ก็จะสู้ต่อไปค่ะ เพื่อความยุติธรรม เพราะว่าสิ่งที่เขาทำกับเรา เราไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ไม่คิดว่าบริษัทเขามีกิจการใหญ่โต จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับเรา และนอกจากเรื่องนี้ พอเกิดเหตุการณ์เรื่องนี้เสร็จแล้วนี่ ในการซื้อของหรือว่าในการใช้บริการต่างๆ พี่เอาเรื่องนี้มาใช้กับตนเองอย่างไรบ้าง ก็คิดว่าถ้าเกิดไปใช้บริการด้านสุขภาพพวกนี้ก็ต้องระมัดระวังขึ้นในเรื่องสัญญา หนึ่งสัญญา และก็สองการซื้อคอร์ส ก็คือต้องคุยกันว่าจบแล้วเริ่มใหม่ดีกว่าซื้อเผื่อไว้ล่วงหน้าแบบนี้ เราคงจะไม่ซื้อเผื่อไว้ล่วงหน้าคะ พูดง่ายๆ ก็คือเราเข็ด เพราะเราเคยโดยมาแล้ว โดนพฤติกรรมแบบนี้ เราก็ต้องระวัง วันที่ 15 คือนัดให้จำเลยไปแถลงต่อศาลถ้าเขาไม่มาก็ออกหมายจับเลยหรือคะ        น่าจะประมาณนี้ ก็ดีนะ นานมากเจ็ดปี ใช่ค่ะกองปราบเราก็ไป สคบ.ก็ไป แล้วก็ให้ ปปง.เขาสืบเส้นทางการเงินของบริษัทเขา ปรากฏว่าเขาก็มีเส้นทางโอนเข้าโอนออกอะไรของเขา  แต่เมื่อก่อนบริษัทนี้ใหญ่มาก มีตั้งหลายสาขา  ณ ตอนนี้มันเริ่มสืบถึงตัวเจ้าของ แต่ก่อนเราก็ได้แค่ปลาซิวปลาสร้อยเล็กๆ น้อยๆ ตอนนี้เหมือนเขาจะให้แค่ 20 % (การเยียวยา) ซึ่งทางเราไม่ยอม ทางเราหลายคน ตั้งเป้าไว้ว่าอย่างไรคะ        มันต้องได้คืนทั้งหมด  ดอกเบี้ยก็ต้องค่าเสียหายตามศาลสั่ง ใช่ไหมคะ ระหว่างเจ็ดปีเรามีค่าใช้จ่ายนะคะ แต่ละคนมีค่าใช้จ่ายในการไปศาล ในการวิ่งเต้น และก็ได้ทนายอาสาช่วย ซึ่งมันต้องจ่ายเอง แล้วระยะเวลาก็อยากจะให้คนทุกคนออกมาใช้สิทธิ์ของตนเองด้วย ในการเรียกร้อง เพราะเราเป็นผู้ถูกกระทำ เราเป็นผู้เสียหาย         เราทุกคนจะสู้ต่อไป ในกลุ่มเอง ตัวดิฉันเองถ้ายังไม่ได้รับความยุติธรรมก็จะสู้คะ จนกว่าจะถึงที่สุดคือ คำสั่งศาลถือว่าเป็นที่สุดคะ เพราะคดีนี้มันจะเป็นคดีอาญาไปแล้วคะ เป็นทั้งคดีผู้บริโภค ผิดคดีอาญาด้วย มันก็จะเป็นคดีตัวอย่างที่มีปัญหา ซึ่งฟ้องกลุ่มจะสามารถดำเนินการได้ต่อเป็นบรรทัดฐานใหม่ มันนานมาก คดีอื่นก็น่าจะจบไปแล้ว ก็อยากจะให้กระบวนการยุติธรรมช่วยพิจารณาคดีเราให้เร็วกว่านี้อีกนิดหนึ่ง นี่เรารอมาตั้งเจ็ดปีแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 ความเคลื่อนไหวเดือนพฤษภาคม 2562

11 องค์กรร่วมเคลื่อนขบวนผลักดันกัญชาออกจาก พ.ร.บ. ยาเสพติด        เครือข่ายภาคประชาชน 11 องค์กร ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม “เดินเพื่อผู้ป่วย : กัญชารักษาโรค” โดยการเดินเท้าจากวัดป่าวชิรโพธิญาณ จังหวัดพิจิตร ไปถึงวัดบางปลาหมอ จังหวัดสุพรรณบุรี รวมระยะทาง 268 กิโลเมตร ระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม – 9 มิถุนายน โดยระหว่างทางจะมีเวทีบรรยายพิเศษและเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายกัญชารักษาโรค โดยมีวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ แสดงความจำนงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง        อาจารย์เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ กล่าวว่า เป้าหมายหลักในการเดินครั้งนี้มีด้วยกันสาม ประการ คือ ประการที่หนึ่ง ต้องการปรับเปลี่ยนกฎหมายปัจจุบันให้ดีขึ้นเพราะกัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่ แม้จะผ่อนผันให้ทำยาได้แต่ขอบเขตจำกัดมาก ทำให้การผลิตและแจกจ่ายเข้าถึงผู้ป่วยได้น้อย ประการต่อมา ต้องการให้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อสาธารณชนว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติดแต่เป็นยารักษาโรค การใช้ที่ถูกต้องจะเป็นประโยชน์มากโดยเฉพาะการรักษาและแก้ไขปัญหาสุขภาพซึ่งมีราคาถูก สามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากโดยเฉพาะลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และประการสุดท้าย ระดมทุนบริจาคเพื่อผลิตยาสำหรับแจกฟรี และหากยังทำไม่ได้มากก็ใช้ทุนก้อนนี้ในการรณรงค์ในการปรับกฎหมาย ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จัดกิจกรรม และจัดครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอ เพียงแต่เป็นการเริ่มต้น และมีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องให้ความรู้โดยการอบรม จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปี พาณิชย์ ยันค่ายา "รพ.เอกชน" สูงเกินจริงหลายเท่าตัว        12 พ.ค. 62  คณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการกำกับดูแลยาและเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ ได้ศึกษาข้อเท็จของค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชน โดยแยกเป็นสามส่วนคือ ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ ค่ายาคือฐานข้อมูลที่ศึกษาเสร็จแล้ว ปลัดกระทรวงพาณิชย์ บุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร กล่าวว่า คณะทำงานได้ขอข้อมูลราคาซื้อ-ขาย ราคานำเข้า และต้นทุนการผลิตยากว่า 30,000 รายการ พบว่าราคายาของโรงพยาบาลเอกชนมีต้นทุนใกล้เคียงกับรายการยาของกรมบัญชีกลาง แต่ราคายาของโรงพยาบาลเอกชนราคาสูงมาก บางรายการสูงเกิน 300 - 500%        “ได้ทราบว่าโรงพยาบาลเอกชนแต่ละที่มีการเรียกเก็บค่ายาที่แตกต่างกัน ยาชนิดเดียวกันมีต้นทุนการซื้อใกล้เคียงกัน แต่ราคาที่จำหน่ายจะต่างกันมาก ระดับกำไรเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ซื้อมา มีตั้งแต่ระดับไม่มาก จนสูงขึ้นไปถึง 300 - 900 เปอร์เซ็นต์ ก็มีในบางรายการ" บุณยฤทธิ์ กล่าว        ทั้งนี้ข้อมูลบางส่วนจากคณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการกำกับดูแลยาและเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ ระบุผลการเปรียบเทียบราคายาสามรายการ คือ ยาบำรุงเลือด ราคาเบิกจ่ายกรมบัญชีกลาง 0.88 บาท ราคาซื้อ โรงพยาบาลเอกชน 3 บาท ราคาขาย 6 บาท ส่วนยาฆ่าเชื้อไวรัส ราคาเบิกจ่ายกรมบัญชีกลาง 2 บาท 77 สตางค์ ราคาซื้อ โรงพยาบาลเอกชน 4 บาท 84 สตางค์ ราคาขาย 27 บาท 84 สตางค์ ขณะที่ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ราคาเบิกจ่ายกรมบัญชีกลาง 43 บาท 92 สตางค์ ราคาซื้อ โรงพยาบาลเอกชน 68 บาท ราคาขาย 549 บาท 18 สตางค์ เครือข่ายผู้บริโภค ร่วมร้องสอดคดี รพ.เอกชนฟ้อง พณ.ยกเลิกประกาศควบคุมค่ายา-ค่ารักษาแพง        เครือข่ายผู้บริโภค ประกาศร่วมร้องสอดคดี สมาคม รพ.เอกชน และ 41 รพ.ยื่นฟ้องกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศค่ายา เวชภัณฑ์ ค่ารักษา เป็นสินค้าและบริการควบคุม เหตุได้รับผลกระทบโดยตรงหากยกเลิก หากถูกเอาเปรียบทำ พณ. ตรวจสอบเอาผิด รพ.ไม่ได้ ยัน รพ.เอกชนร่วมออกประกาศ ขณะที่มาตรการควบคุมเป็นของเดิมยังไม่ส่งผลกระทบใดๆ        14 พ.ค. เครือข่ายผู้บริโภคแถลงข่าวเตรียมร้องสอดการฟ้องคดีของสมาคม รพ.เอกชน โดย น.ส.สุภัทรา นาคะผิว ประธานอนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีมติเห็นชอบประกาศให้ยา เวชภัณฑ์ ค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการทางการแพทย์ และค่าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นสินค้าและบริการควบคุม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และผ่านความเห็นชอบคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2562 กระทั่งปลาย เม.ย. 2562 สมาคม รพ.เอกชน และสมาชิกสมาคมฯ ที่เป็น รพ.เอกชนอีก 41 แห่ง ได้ฟ้องศาลปกครองขอให้มีการยกเลิกการประกาศดังกล่าวไม่เป็นสินค้าและบริการ ซึ่งถ้ามีการยกเลิกประกาศ ผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบโดยตรง จากการพูดคุยกับเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศ จึงเห็นว่าเครือข่ายผู้บริโภคที่ร่วมผลักดันเรื่องนี้มาตลอดจะต้องร้องสอดเข้าใปในคดี และขอให้กระทรวงพาณิชย์และ กกร.เดินหน้าต่อไป เพื่อให้เกิดผลในการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างแท้จริง        "เครือข่ายฯ ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนทุกอย่าง ในการที่จะมีมาตรการทำให้ค่ารักษาพยาบาลที่แพงลดลง เพราะการออกประกาศและให้ติดราคายังไม่แก้โจทย์เรื่องแพง ที่จะให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมกับผู้บริโภคและโรงพยาบาล” น.ส.สุภัทรา กล่าว        ด้านนายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) กล่าวว่า คดีนี้สมาคมฯ กับพวกเป็น รพ.เอกชน 41 แห่งเป็นผู้ฟ้องคดี โดยมีผู้ถูกฟ้องคดี 4 คน ได้แก่ 1.กกร. 2.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 3.ปลัดพาณิชย์ และ 4.อธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งมพบ.และองค์กรผู้บริโภคถือเป็นบุคคลภายนอกคดี ที่ไม่ใช่คู่ความ แต่อาจจะเข้ามาร่วมได้ด้วยการร้องสอดเป็นคู่ความในคดี ซึ่งเครือข่ายผู้บริโภคร้องสอดเข้ามาด้วยความสมัครใจในการเป็นผู้ถูกฟ้องคดีร่วมกับอีก 4 คน เพราะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในคำพิพากษาในคดีนี้ ถ้าหากมีการยกเลิกเพิกถอนประกาศจะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วประเทศ จึงร้องสอดเป็นฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีอยู่ฝั่งกระทรวงพาณิชย์ เพี่อเข้าไปร่วมต่อสู้กับสมาคมรพ.เอกชน มพบ. เผยสถานการณ์ผู้บริโภคไตรมาสแรกปี 62 ปัญหาโฆษณาเกินจริงยังคงครองแชมป์อันดับ 1         มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เปิดเผยสถานการณ์ผู้บริโภคในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 โดยตั้งแต่เดือนมกราคม - เดือนมีนาคมที่ผ่านมา มพบ. และเครือข่ายผู้บริโภค 7 ภาค ได้ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมด จำนวน 1,147 ราย        ปัญหาที่ผู้บริโภคได้รับผลกระทบและร้องเรียนมากเป็นอันดับหนึ่งและสองยังคงเหมือนกับสถิติปี 2561 คือ เรื่องอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ 511 ราย คิดเป็นร้อยละ 44.55 ของจำนวนผู้ร้องเรียนทั้งหมด และบริการสาธารณะ มีผู้ร้องเรียน 300 ราย  คิดเป็นร้อยละ 26.16 ส่วนอันดับที่สามเป็นเรื่อง การเงินการธนาคาร ที่ขยับขึ้นมา 1 อันดับจากปี 2561 โดยมีผู้ร้องเรียน 147 ราย คิดเป็นร้อยละ 12.82        สำหรับการร้องเรียนหมวดอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ (511 ราย) ลักษณะปัญหาที่พบส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องโฆษณาอันเป็นเท็จหลอกลวง ซึ่งมีมากถึง 282 ราย มีทั้งการแสดงสรรพคุณอันเป็นเท็จ แสดงที่ตั้งอันเป็นเท็จทำให้หลงเชื่อ ประเภทของผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหามากที่สุดคือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากผู้บริโภคใช้บริการซื้อขายผ่านร้านค้าออนไลน์หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเชื่อคำโฆษณาโดยไม่ได้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ก่อน ซึ่งนอกจากจะทำให้มีความเสี่ยงที่จะได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพและประสิทธิภาพแล้ว ยังมีโอกาสได้รับสินค้าที่มีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตอีกด้วย        ส่วนด้านบริการสาธารณะ (300 ราย) ได้รับร้องเรียนเกี่ยวกับการขนส่งทางบกมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเยียวยาความเสียหายจากอุบัติเหตุรถโดยสาร กลุ่มรถที่ถูกเฝ้าระวังและร้องเรียนมากที่สุดสี่อันดับ ได้แก่ 1. รถทัวร์โดยสาร (107 ราย) ได้รับร้องเรียนเรื่องอุบัติเหตุรถ และพฤติกรรมพนักงานขับรถ อุปกรณ์ความปลอดภัยภายในรถ 2. รถตู้โดยสาร (86 ราย) เป็นเรื่องพฤติกรรมพนักงานขับรถและอุบัติเหตุรถ 3. รถรับส่งนักเรียน (48 ราย) เป็นเรื่องการใช้รถผิดประเภทในการรับส่งนักเรียน และ 4. รถสองแถว เรื่องการบรรทุกผู้โดยสารเกินที่นั่ง        สุดท้าย หมวดการเงินการธนาคาร (147 ราย) เรื่องร้องเรียนส่วนใหญ่คือ กลุ่มสินเชื่อถึง 96 ราย ปัญหาที่ร้องเรียนจะเป็นลักษณะการทำสัญญาพิสดาร ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นผลพวงจากคดี ‘สามล้อเอื้ออาทร’ เมื่อช่วงปลายปี 2561        จากสถิติที่กล่าวไปข้างต้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และองค์กรเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศ ได้รับเรื่องและดำเนินการช่วยเหลือผู้บริโภค โดยการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแต่ละกลุ่มปัญหา เพื่อช่วยกันหาทางออก แต่บางกลุ่มปัญหาเรื้อรังหรือมีเพิ่มมากขึ้น โดยไร้การแก้ไขเยียวยา ตลอดจนไม่มีหน่วยงานที่ดูแลชัดเจน และกระบวนการช่วยเหลือล่าช้า ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับการเยียวยา บางรายก็ได้รับความเสียหายมากกว่าเดิม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 รู้ทันตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ (ตอนที่2)

        หลังจากฉบับที่แล้วเราได้พิจารณารูปโฉมโนมพรรณภายนอกของเจ้าตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญไปแล้ว เรามาล้วงลูกผ่าตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญดูภายในกันเลย ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ผลิตจากแต่ละบริษัทอาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ภายใน จะแยกได้เป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นถังเก็บน้ำ และส่วนที่ติดตั้งระบบการกรองและระบบฆ่าเชื้อโรค                      จะเห็นได้ว่าส่วนที่จะส่งผลทำให้น้ำดื่มที่จะจ่ายออกมาสะอาดหรือไม่ คือ ถังเก็บน้ำมันสะอาดจริงหรือ? และระบบการกรองและระบบฆ่าเชื้อมันยังคงมีประสิทธิภาพเหมือนตอนผลิตใหม่ๆ หรือไม่? คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องสอบถามหาคนรับผิดชอบ หรือสอบถามคนใกล้เคียง เพื่อหาข้อมูลการดูแลตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญนี้ให้มั่นใจ โดยสอบถามในประเด็นต่างๆเกี่ยวกับการดูแล บำรุงรักษา ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญนี้        1. ใครเป็นผู้รับผิดชอบดูแลตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญนี้ แล้วมาดูแลอย่างไร บ่อยแค่ไหน           การดูแลนั้น ไม่ใช่แค่มาดูว่าตู้ฯพังหรือไม่? หรือมาเปิดเพื่อเก็บเงิน แต่ต้องมาดูแลเช็ดถู ทั้งภายนอกและภายใน ของตู้ฯให้สะอาด        2. มีการดูแลระบบและอุปกรณ์ที่การกรอง และฆ่าเชื้อตามระยะเวลาตามที่ติดไว้บริเวณด้านหน้าของเครื่องหรือไม่ เช่น มีการล้างไส้กรอง มีการเปลี่ยนไส้กรองแต่ละชนิด หรือหลอดยูวีตามวัน เดือน ปี ที่ระบุหรือไม่         3. มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำจากตู้นี้บ้างหรือไม่ อย่างไร        โดยการตรวจสอบคุณภาพน้ำจะทำได้สองแบบ         (1) การตรวจสอบด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น ซึ่งควรจะทำการทดสอบให้ครบทั้ง 3 อย่าง ได้แก่ ทดสอบความเป็นกรด-ด่าง (ผลที่ได้ควรมีค่าอยู่ในช่วง 6.5 – 8.5) ทดสอบความกระด้าง (ผลที่ได้ไม่ควรเกิน 100 มิลลิกรัม/ลิตร) และทดสอบเชื้อโรคด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น (ผลที่ได้ไม่ควรพบเชื้อโรค)         (2) การเก็บตัวอย่างน้ำส่งตรวจวิเคราะห์ที่ห้องแลบ เพื่อยืนยันว่าน้ำดื่มได้มาตรฐานจริงๆหากสอบถามแล้วเรายังไม่ได้ข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ ก็เหมือนการยอมเสียเงินเพื่อได้น้ำดื่มที่เราไม่รู้ว่าสะอาดหรือไม่มาบริโภคนั่นเอง          ไม่มั่นใจหรือสงสัย สอบถามเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ ที่อยู่ใกล้ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญได้เลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 เงินจองรถ ขอคืนได้ไหม?

        หลายท่านคงมีประสบการณ์เกี่ยวกับการซื้อรถหรือจองรถมาบ้าง แต่หลายครั้งที่พบว่าเมื่อจองไปแล้ว เกิดปัญหาทำให้ผู้บริโภคต้องการเลิกสัญญาจอง เช่น ผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถจัดหารถยนต์ให้แก่ผู้บริโภคได้ ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ตามที่กําหนด ปรับเปลี่ยนราคารถยนต์สูงขึ้น เมื่อส่งมอบรถยนต์มีรายการอุปกรณ์และของแถมไม่ครบถ้วนตามที่ระบุในใบจอง ผู้บริโภคไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินตามเงื่อนไขการจอง ซึ่งเหล่านี้ เมื่อผู้บริโภคใช้สิทธิขอเงินคืนกลับถูกปฏิเสธ ซึ่งหลายท่านไม่ทราบว่ามีกฎหมายคุ้มครองดูแลผู้บริโภคเรื่องนี้อยู่        กฎหมายที่ว่า ก็คือ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการขายรถยนต์ที่มีการจอง เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2551 เป็นประกาศของสํานักงานคณะกรรมคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. โดยประกาศดังกล่าวมีผลให้สัญญาจองรถยนต์ใหม่ของผู้ประกอบธุรกิจจะต้องระบุรายละเอียดสาระสําคัญตามที่ได้กําหนดไว้ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ที่มีการจอง เช่น ยี่ห้อ รุ่น ปีที่ผลิต สีและขนาดกําลังเครื่องยนต์รายการอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติมและของแถม หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ (ถ้ามี) จํานวนเงิน หรือสิ่งใดที่รับไว้เป็นเงินมัดจํา(ถ้ามี) ราคา กําหนดเวลาที่คาดว่าจะส่งมอบรถยนต์ฯลฯ        นอกจากควบคุมสัญญาจองรถแล้ว ยังกำหนดสิทธิให้แก่ผู้บริโภคที่สำคัญเลย คือทำให้ผู้บริโภคมีสิทธิยกเลิกสัญญาจองได้โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องคืนเงินให้กับผู้บริโภคภายใน 15 วัน นับจากวันที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาจากผู้บริโภค ซึ่งเงื่อนไขในการบอกเลิกสัญญาของผู้บริโภคที่มีสิทธิได้รับเงินจองคืนมีดังนี้        1. ปรับเปลี่ยนราคารถยนต์สูงขึ้น        2. ไม่ส่งมอบรถยนต์ให้ผู้บริโภคภายในระยะเวลากําหนด        3. ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่มียี่ห้อ รุ่น ปีที่ผลิต สีและขนาดกําลังเครื่องยนต์ตรงตามที่กําหนดในสัญญา        4. ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่มีรายการอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติมและของแถมหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามที่กําหนดในสัญญา        5. ผู้บริโภคไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อตามที่ขอภายในกําหนดเวลาที่คาดว่าจะส่งมอบรถยนต์        หากผู้ประกอบธุรกิจไม่ส่งมอบสัญญาให้แก่ผู้บริโภคหรือส่งมอบสัญญาโดยไม่มีข้อสัญญาที่มีสาระสําคัญ หรือส่งมอบข้อสัญญาที่เป็นการฝ่าฝืนประกาศฯ ฉบับดังกล่าว จะต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ        ดังนั้น สำหรับคนที่เจอปัญหาไปจองรถ แล้วไฟแนนซ์ไม่ผ่านก็ไม่ต้องกังวล ตอนนี้มีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องนี้ชัดเจน ว่าบริษัทต้องคืนเงินจอง และต้องคืนภายใน 15 วันนับแต่ที่ได้แจ้งบอกเลิกสัญญาด้วย ดังนั้น หากผู้ขายไม่คืนเงินจองก็สามารถร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงิน หรือหากไม่คืนก็สามารถดำเนินคดีต่อศาลได้ด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจการขายรถยนต์ที่มีการจองเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2551ข้อ 3 (4) ผู้บริโภคหรือผู้ประกอบธุรกิจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีสิทธิบอกเลิกสัญญา หากมีข้อเท็จจริงที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับทราบว่า ผู้บริโภคต้องขอสินเชื่อเพื่อการซื้อรถยนต์และผู้บริโภคไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อตามที่ขอ (5) เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาตาม (4) แล้วผู้ประกอบธุรกิจต้องคืนเงินหรือสิ่งใดที่รับไว้เป็นมัดจำทั้งหมดแก่ผู้บริโภค ภายใน 15 วัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 ผื่นแพ้เสื้อผ้า แก้อย่างไรดี

                ช่วงที่ผ่านมาอากาศร้อนจนร่างแทบละลาย แถมบางคนยังเกิดผื่นแพ้จากเหงื่อและเสื้อผ้า จนคันคะเยอเสียอาการ ครั้งนี้เรามาหาสาเหตุและการแก้ไขเพื่อให้สามารถผ่านช่วงเวลาแสบๆ คันๆ นี้ไปได้         สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดผื่นแพ้เสื้อผ้า        1.ผ้า ปกติผ้าใยธรรมชาติจะไม่ค่อยก่ออาการแพ้ อย่างฝ้าย ลินินหรือผ้าไหม ถ้าแพ้อาจเกิดจากสารเคมีที่เติมเข้าไป เช่น สีย้อม การกันเชื้อรา ฯลฯ ผ้าขนสัตว์ มักทำให้ผิวหนังระคายเคือง และเกิดลมพิษจากการสัมผัสได้ ผ้าไนลอน อาจก่อให้เกิดผดได้ เพราะเนื้อผ้าไม่ให้เหงื่อซึมผ่านออกมาทำให้เกิดการอับชื้น         2.สิ่งประดับในเสื้อผ้า  ซิป กระดุม ตะขอ ที่มีส่วนผสมของนิกเกิล อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ ยิ่งอยู่ในส่วนที่สัมผัสกับผิวโดยตรง         3.แพ้สารเคมี เช่น ผงซักฟอกเนื่องจากล้างออกไม่หมดแล้วตกค้างบนเสื้อผ้า หรือน้ำยาทำให้ผ้าเรียบ หรือแพ้สีย้อมผ้า         4.แพ้สารเคมีจากขอบยางยืด โดยเฉพาะยางยืดกางเกงชั้นใน เนื่องจากยางยืดส่วนใหญ่ใช้ยางพาราในการผลิต แม้มีคุณสมบัติทนทานแต่ในน้ำยางมีโปรตีนธรรมชาติที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ (เชื่อว่าคุณผู้ชายหลายคนน่าจะมีประสบการณ์ผื่นแพ้จากขอบกางเกงในกันมาบ้าง) อาจพบผื่นผิวหนังอักเสบด้านในและด้านหน้าของต้นขา เป็นต้น         5.แพ้เนื่องจากมีแมลงที่อาศัยในเสื้อผ้า เช่น เหา หิด ซึ่งชอบอาศัยตามเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์หรือเสื้อผ้าหนาๆ         6.แพ้จากเชื้อรา ที่แฝงในเสื้อผ้าที่เปียกชื้น         7.แพ้เนื่องจากอ้วนขึ้น การแพ้เสื้อผ้าอาการแพ้จะมากน้อยขึ้นอยู่กับบริเวณที่สัมผัสกับผ้า หากใส่เสื้อผ้าที่รัดรึงเกินไปจะทำให้ผิวจมอยู่กับสิ่งที่ก่ออาการแพ้ได้มากขึ้น เช่น ขอบยางยืด ซิป         วิธีป้องกันการแพ้เสื้อผ้า         ก่อนอื่นต้องหาสาเหตุให้พบเสียก่อน แล้วค่อยตัดสิ่งสงสัยไปเรื่อยๆ โดยขอเสนอเป็นแนวทางป้องกันกว้างๆ ดังนี้         1.ต้องมั่นใจว่าซักล้างผงซักฟอกจนสะอาดไม่ตกค้างบนเสื้อผ้า         2.ไม่ใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นโดยเฉพาะเสื้อชั้นใน กางเกงใน เพราะจะก่อให้เกิดการหมักหมมของเชื้อโรค เชื้อรา         3.ไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดรึงเกินไป ควรใส่เสื้อผ้าให้พอดี ยิ่งระยะที่มีอาการแพ้ควรใส่เสื้อผ้าให้หลวมเพื่อไม่ให้สัมผัสกับผิวมากเกินไป         4.เมื่อเสื้อผ้าเปียกเหงื่อมากๆ ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เพื่อความสบายตัวและไม่เกิดการหมักหมม         5.หากแพ้เสื้อผ้าบางชนิดเช่น ผ้าขนสัตว์ ควรหลีกเลี่ยงหรืออาจป้องกันด้วยการสวมใส่เสื้อด้านในเพื่อกันไม่ให้เสื้อขนสัตว์สัมผัสผิวโดยตรง         6.ขอบยางยืด หากแพ้สารประเภทยางพารา ควรเลือกที่ยางยืดมีส่วนผสมของ Spandex หรือใช้วิธีกำจัดสารโปรตีนที่มากับยางพาราที่ใช้ทำยางยืด โดยใช้ยางมะละกอจากผลมะละกอดิบ/ จากใบมะละกอสัก 1 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำสัก 1 กาละมัง / หรืออาจจะใช้น้ำสับปะรดสดคั้นประมาณ 1 ถ้วย พร้อมกับใส่น้ำยาล้างจานลงไปเล็กน้อย แล้วแช่กางเกงในเจ้าปัญหาลงไปแช่ค้างคืน ก่อนที่จะนำมาซักปกติ (ที่มาเพจ เคมีฟิสิกส์ของสิ่งทอ อาหาร และของรอบตัว ) 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 รู้เท่าทันการกินผัก 5 สี

                มีการส่งเสริมการกินผัก 5 สีว่าจะได้คุณค่าและประโยชน์จากผักสีต่างๆ  ผักแต่ละสีจะมีสารอาหารแตกต่างกัน เรื่องผัก 5 สี เป็นเรื่องจริงหรือไม่ มีประโยชน์ตามสีหรือเปล่า เรามารู้เท่าทันกันเถอะผัก 5 สี ฮือฮาเฉพาะเมืองไทยหรือ         เว็บไซต์ต่างประเทศมีการส่งเสริมการกินผัก 5 สีในประเทศต่างๆ ตั้งแต่ออสเตรเลีย อเมริกา เกาหลี เป็นต้น  แสดงว่า ความเชื่อเรื่องกินผัก 5 สีนั้น เป็นกระแสนิยมที่แพร่กระจายทั่วโลก ในนิตยสารอาหารออสเตรเลียเรียกการกินผัก 5 สีว่า กินสายรุ้ง  ในประเทศไทย การกินผัก 5 สี ก็ได้รับความนิยมมากพอควร เว็บไซต์ของสสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ก็มีบทความส่งเสริมการกินผัก 5 สีเช่นเดียวกัน มีอะไรในแต่ละสีของผัก สีเขียว  ผักและผลไม้สีเขียวจะมีคลอโรฟิลล์ สารเคมีจากพืช ตั้งแต่แคโรทีนอยด์ อินโดล ซาโปนิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง  พวกผักโขม บร็อคโคลี่ จะอุดมไปด้วยโฟเลต (หนึ่งในวิตามินบีรวม) สีแดง ผักผลไม้สีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม พริกชี้ฟ้า หอมแดง ฟักข้าว มะละกอสุก แครอท ส้มโอ แก้วมังกร หม่อน มีสารไลโคพีนในปริมาณสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์สูงมาก ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งอื่นๆ และทำให้หัวใจแข็งแรง สีเหลือง ส้ม  ผักผลไม้สีเหลือง ส้ม เช่น มะละกอ ฟักทอง มันเทศ  แครอท ส้ม สับปะรด  มีสารเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และลูทีน ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันต้อกระจก จอตาเสื่อม รักษาสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด  ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สีม่วง น้ำเงิน  ผักผลไม้สีน้ำเงิน ม่วง เช่น มะเขือม่วง กะหล่ำปลีสีม่วง ลูกหว้า ชมพู่ มะเหมี่ยว ดอกอัญชัญ หอมแดง มีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีส่วนช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์  ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดอุดตันในสมอง สีขาว น้ำตาล   ผักผลไม้สีขาว น้ำตาล เช่น  ขิง ข่า กระเทียม หัวไชเท้า งาขาว ถั่วเหลือง ลูกเดือย กล้วย มันฝรั่ง มีสารอัลลิซิน (ในกระเทียม) มีคุณสมบัติในการต้านไวรัสและแบคทีเรีย ในกล้วยจะมีโปตัสเซียมมาก  ผักผลไม้สีขาว น้ำตาล สร้างเซลล์ให้แข็งแรง  ยับยั้งการเกิดเนื้องอก  ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก ต้านการอักเสบ ลดระดับน้ำตาลในเลือด  ลดความดันโลหิตป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ลดปริมาณไขมันในเลือด รักษาระบบภูมิคุ้มกัน  กินผัก 5 สี มีประโยชน์จริงหรือ         งานวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการกินผัก 5 สีมีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาสารอาหารต่างๆ ในผักแต่ละสีว่ามีคุณสมบัติอย่างไร แต่งานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับประโยชน์ของการกินผักและผลไม้ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดยุทธศาสตร์ อาหาร การออกกำลังกาย และสุขภาพ ไว้ว่า          “ผักและผลไม้เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การกินผักและผลไม้เพียงพอในแต่ละวันจะช่วยป้องกันโรคสำคัญ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งบางชนิด”          องค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ได้ออกคำแนะนำเมื่อเร็วๆ นี้ ให้บริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน เพื่อป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน         สรุป  การกินผักและผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแน่นอน ส่วนการกินผักและผลไม้ 5 สีนั้นช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายจากผักมากขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง : มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี

        ปกติแล้ว ละครโทรทัศน์แนวโรแมนติกคอมเมดี้จะถูกมองว่า เป็นละครแนวที่ผู้ชมจะบันเทิงเริงรมย์เบาสมอง เสียจนบางคนเชื่อว่าไม่น่าจะมีอะไรสลักสำคัญอยู่ในนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราวแบบบางเบาสมองเช่นนี้ก็อาจจะไม่ได้ “ไร้สาระ” หากแต่ตั้งคำถามต่อความเป็นจริงและความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนในสังคมไว้อย่างเข้มข้น แถมยังแยบยลยิ่งนัก        “ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง” ก็เป็นหนึ่งในละครโรแมนติกคอมเมดี้แบบย้อนยุค ที่ลึกๆ ลงไปในเนื้อหาแล้ว ความสัมพันธ์ของตัวละคร “ทองเอก” กับ “ชบา” ซึ่งกว่าความรักที่แตกต่างกันทั้งในแง่ศักดิ์ชั้นและบุคลิกนิสัยจะลงเอยกันได้ในตอนจบ แก่นความคิดของเรื่องกลับดูร่วมสมัยที่แทบจะไม่ได้ย้อนยุคแต่อย่างใด        โดยเส้นเรื่องหลักอาศัยพล็อตที่ผูกย้อนไปเมื่อครั้งสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ช่วงเวลานั้นทองเอกได้ถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวของหมอยาที่สืบทอดองค์ความรู้วิชาแพทย์แผนโบราณ และเมื่อยังเป็นเด็ก “พ่อหมอทองอิน” ปู่แท้ๆ ของเขา ก็เคยต้องรู้สึกเสียใจอย่างใหญ่หลวง เมื่อครั้งหนึ่งไม่สามารถยื้อชีวิตของเด็กน้อยคนหนึ่งที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า และตายอยู่ในอ้อมแขนของตน ปู่ทองอินจึงหนีบาดแผลในอดีต และพาทองเอกที่เป็นกำพร้าพ่อแม่อพยพมาใช้ชีวิตอยู่ที่ชุมชนบ้านท่าโฉลง โดยไม่คิดรักษาโรคให้กับใครอีกเลย        ความเจ็บปวดและเสียใจกับอดีตดังกล่าว ส่งผลให้หมอทองอินสั่งห้ามทองเอกผู้เป็นหลานชายและเพื่อนๆ อย่าง “เปียก” และ “ตุ่น” ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับตำรับยารักษาโรคโดยเด็ดขาด เพราะลึกๆ แล้ว ปู่ก็กลัวว่าทองเอกจะต้องชะตากรรมเดียวกับที่ตนเคยเผชิญมา        แต่เพราะพระเอกหนุ่มมีความมุ่งมั่นว่า ความรู้เรื่องหมอยาเป็นคุณค่าที่สั่งสมมาในสายตระกูล และเป็นความหวังสำหรับบรรดา “ผู้ไข้” ทั้งหลายที่อยากจะหลุดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ทองเอกจึงแอบร่ำเรียนวิชา และใช้ความรู้หมอยารักษาคนไข้ โดยไม่เลือกปฏิบัติว่า “ผู้ไข้” เหล่านั้นจะมาจากศักดิ์ชั้นสังกัดใดในสังคม        ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร “ผ่อง” สาวชาวบ้านที่เคยโฉมงาม แต่เพราะป่วยเป็นโรคคุดทะราดจนมีสภาพไม่ต่างจากผีปอบ และถูก “แม่หมอผีมั่น” ผู้เป็นมารดาอัปเปหิไปอยู่กระท่อมกลางป่า หรือตัวละคร “คุณนายสายหยุด” แม่ของชบา และเป็นภรรยาของ “ท่านขุนกสิกรรมบำรุง” ที่ตัวคุณนายเองได้ป่วยเป็นโรคลมในท้องรักษาไม่หาย ไปจนกระทั่งตัวละคร “เสด็จพระองค์หญิง” ซึ่งป่วยเรื้อรังจนสุดความสามารถของหมอหลวงในวังที่จะรักษาให้หายขาด ทุกคนก็ล้วนกลายเป็น “ผู้ไข้” ที่ทองเอกรักษาให้โดยมิได้ตั้งแง่แต่อย่างใด        ด้วยเหตุที่ละครผูกเรื่องไว้เป็นแนวโรแมนติกคอมเมดี้ อีกด้านหนึ่งของชีวิตการเป็นหมอยานั้น กว่าที่ทองเอกกับชบาจะลงเอยแฮปปี้เอนดิ้ง ทั้งคู่ก็ต้องฝ่าบททดสอบต่างๆ มากมาย ทั้งจาก “กล้า” ตัวละครหนุ่มหล่อและรวยที่เป็นคู่แข่งหัวใจของทองเอก ผ่องผู้เป็นคนรักเก่าของเขา และความขัดแย้งระหว่างทองเอกกับขุนกสิกรรมบำรุงผู้เป็นว่าที่พ่อตา ซึ่งกีดกันพระเอกนางเอกด้วยฐานานุรูปที่แตกต่างกัน        และดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า เบื้องลึกระหว่างบรรทัดของละครแนวกุ๊กกิ๊กคอมเมดี้ หาใช่เป็นอันใดที่ “ไร้สาระ” ไม่ หากแต่คลุกเคล้าไว้ด้วยการตั้งคำถามต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมไว้อย่างแยบยล ด้วยเหตุฉะนี้ คู่ขนานไปกับบทพิสูจน์ความรักและความมุ่งมั่นของ “นายทองเอก” ที่จะเป็น “หมอทองเอก” ก็คือการเผยให้เห็นโลกทัศน์ที่เรามีต่อสิ่งที่เรียกว่า การสั่งสมและใช้ “ความรู้” ของคนในสังคม        เพื่อให้สอดรับกับสังคมที่ก้าวเข้าสู่ความเป็น “สังคมแห่งความรู้” หรือ “knowledge-based society” ในปัจจุบัน ในขณะที่ละครได้อาศัยการสร้างฉากและองค์ประกอบศิลป์ให้ดูเป็นแบบพีเรียดย้อนยุค แต่อากัปกิริยา คำพูดศัพท์แสง และบทสนทนาของตัวละคร กลับล้วนแล้วแต่เป็นแบบที่ผู้คนในยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ต่างพูดๆ กันอยู่ในชีวิตประจำวัน        ด้วยภาพที่ดูร่วมสมัยแต่ย้อนแย้งอยู่ในความเป็นอดีตนี้เอง ละครได้ตั้งคำถามกับคนในสังคมว่า เมื่อหมอยาคือบุคคลที่สังคมยอมรับในแง่ของการเป็นผู้ถือครองวิชาความรู้ที่สั่งสมสืบทอดกันมา ดังนั้น ผู้รู้ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้มีความรู้ก็อาจจะ “รู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว” แต่ที่สำคัญต้องเป็นผู้ “เชี่ยวชาญ” ในเรื่องจริงๆ จึงจะ “บังเกิดเป็นมรรคผล”        ฉากที่เพื่อนๆ ทดสอบทองเอกด้วยการปิดตาและให้ดมกลิ่นหรือลิ้มรสสมุนไพรแต่ละชนิด พร้อมระบุสรรพคุณของตัวยาเหล่านั้น ย่อมบอกได้ชัดเจนว่า ถ้าจะเอาดีด้านหมอยา ความรู้เรื่องสมุนไพรและธาตุยาที่ถือครองไว้ก็ต้องผนวกผสานเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตใจของผู้รู้คนนั้นๆ        ในขณะเดียวกัน เพราะ “ความรู้เป็นอำนาจ” และ “อำนาจเป็นเหรียญสองด้าน” ที่มีทั้งด้านให้คุณและให้โทษ ดังนั้น ในขณะที่แม่หมอผีมั่นเลือกใช้ความรู้หมอยาเพื่อครอบงำและเป็นมิจฉาทิฐิทำลายผู้อื่น แต่ทองเอกกลับยืนยันว่า ความรู้ต้องใช้เพื่อปลดปล่อยและเป็นสัมมาทิฐิเพื่อจรรโลงสังคมโดยไม่เลือกปฏิบัติว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู แบบที่เขาได้ใช้ความรู้หมอยารักษาแม่หมอผีมั่นจากโรคในตอนท้ายเรื่องนั่นเอง         นอกจากนี้ อีกบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ของหมอทองเอกในฐานะผู้ถือครองความรู้ก็คือ ความรู้หนึ่งๆ ไม่ใช่ยาครอบจักรวาลที่จะรักษาได้สำเร็จเสมอไป เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว “หมอไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะรักษาใครให้หายได้ทุกคน” เหมือนกับที่ตัวละครหลวงพ่อได้พูดให้เราสำเหนียกว่า “ไม่มีหมอคนไหนอยากให้ผู้ไข้ตายหรอก...คนจะตายมันก็ตายอยู่ดี”         เพราะฉะนั้น แม้ความรู้จะทำให้ผู้รู้นั้นดูองอาจหรือมีอำนาจ แต่ผู้รู้ก็ต้องถ่อมตนและยอมรับว่า ความรู้ทุกชนิดมีข้อจำกัดและมีขอบเขตในการนำไปใช้เสมอ แบบที่ “หนึ่งสมองกับสองมือ” ของหมอทองเอกก็ไม่สามารถรักษาคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคระบาดในท่าโฉลงได้ครบทุกคน หรือแม้แต่ไม่อาจเหนี่ยวรั้งชีวิตของปู่ทองอินซึ่งถูกยาสั่งของแม่หมอผีมั่นเอาไว้ได้ในตอนกลางเรื่อง         คำโบราณกล่าวไว้ถูกต้องว่า “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา” และ “มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร” แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่ความรู้ได้กลายเป็นทุนและแหล่งที่มาของอำนาจในสังคมทุกวันนี้แล้ว บางทีเสียงหัวเราะขำๆ และความรู้สึกกุ๊กกิ๊กที่เรามีให้กับหมอทองเอกและตัวละครต่างๆ รอบตัว คงบอกเป็นนัยได้ว่า มีความรู้อย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ต้องเข้าใจและปฏิบัติต่อความรู้อย่างสร้างสรรค์จริงๆก่อนจะเสียชีวิตลง ประโยคที่ปู่ทองอินพูดกับทองเอกที่จะเป็นทายาทสืบต่อในฐานะผู้รู้หมอยาของท่าโฉลง จึงแยบคายเป็นอย่างยิ่งว่า “ข้าไม่กลัวความตาย ตลอดชีวิตของข้า ข้าทำความดีอย่างสุดความสามารถแล้ว ถึงข้าตาย ข้าก็สบายใจ”                                                                             

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 Search Engine ผลการทดสอบเปรียบเทียบ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

Search Engine ผลการทดสอบเปรียบเทียบ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ขออนุญาตนำเสนอผลการทดสอบ search engine ที่ทำการทดสอบโดย  องค์กรทดสอบและเปรียบเทียบสินค้าและบริการ ของเยอรมนี (วารสาร Test ฉบับ เดือนเมษายนที่ผ่านมา)  โดยมีผลการทดสอบตามตารางและข้อสรุป ดังต่อไปนี้ ตารางแสดงผลการทดสอบ Search EngineสรุปผลการทดสอบStartpage.com ได้รับคะแนนสูงสุดจากการทดสอบครั้งนี้ เนื่องจากสามารถคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้ดีมาก  search engine ของบริษัทนี้ตั้งอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ก็ใช้เทคโนโลยีของกูเกิลด้วย ไม่มี option สำหรับการค้นหาแยกระหว่าง News- Search แต่มีคุณภาพดีสำหรับการค้นหาข้อมูลทั่วไป         Google เป็น search Engine ที่ได้คะแนนสูงสุดในเรื่องคุณภาพการค้นหาข้อมูล ได้คะแนนสูงสุดในประเด็นการทดสอบเรื่องความสะดวกในการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ มีโฆษณาน้อยมาก ไม่รบกวนการใช้งานของผู้บริโภค แต่ได้รับคะแนนน้อยมากในประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และยังมีประเด็นในเรื่องข้อบกพร่องในการแจ้งเรื่อง (สัญญา) การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกับผู้ใช้งาน นอกจากนี้กูเกิลยังรวบรวมและเก็บข้อมูลการใช้งานผ่าน App อื่นๆ ในเครือ         Ecosia เป็น search engine สัญชาติเยอรมัน ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยบริจาครายได้บางส่วนคืนสู่สังคม ซึ่งเงินที่บริจาคคืนสู่สังคมนี้สามารถนำไปปลูกต้นไม้ได้มากถึง 50 ล้านต้นในทวีปอัฟริกาและอเมริกาใต้ ใช้เทคโนโลยีของ search engine เดียวกันกับ Bing (Microsoft) มีโฆษณารบกวนน้อย แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลยังมีประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากมีการเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานของผู้บริโภคจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือ         Web.de  เป็น search engine สัญชาติเยอรมัน ที่ไม่มี option ในการค้นหาไฟล์วิดิทัศน์ และไม่สามารถกำหนดช่วงเวลาของการค้นหาข้อมูลได้ มีโฆษณารบกวนมาก และไม่มี App เฉพาะสำหรับการใช้งานในสมาร์ตโฟน ได้รับคะแนนน้อยกว่า Google และ Ecosia แต่ได้รับคะแนนสูงกว่าในประเด็นเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล         Qwant เป็น search engine สัญชาติฝรั่งเศส ที่มีโฆษณารบกวนน้อย ใช้เทคโนโลยี ของ search engine เดียวกันกับ Bing (Microsoft) และเป็น search engine เดียวของยุโรปที่มีข้อบกพร่องในการชี้แจงเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลBing เป็น search engine ของ ไมโครซอฟท์ สัญชาติอเมริกัน ใช้งานได้สะดวก มีข้อบกพร่องในเรื่องการชี้แจงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมาก         Yahoo! เป็น search engine ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับ Bing มีโฆษณารบกวนมาก และไม่แยกโฆษณากับผลการค้นหาออกจากกัน สะดวกในการใช้งาน มีข้อบกพร่องในเรื่องการชี้แจงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมากเนื่องจาก search engine นี้จะส่งข้อมูลส่วนบุคคลไปยังบริษัทอื่นๆ ที่สามารถระบุตัวตนของผู้ใช้สมาร์ตโฟนได้         t-online.de สัญชาติเยอรมัน มีข้อจำกัดในการค้นหารูปภาพ  และไฟล์วิดิทัศน์ ใช้เทคโนโลยีเดียวกับกูเกิล มีโฆษณารบกวนมาก และไม่มี App เฉพาะสำหรับการใช้งานในสมาร์ตโฟน         DuckDuckGo สัญชาติอเมริกัน โฆษณาว่ามีนโยบายความเป็นส่วนตัว และไม่เก็บข้อมูลของผู้ใช้งานที่ไม่จำเป็น แต่การชี้แจงเรื่องนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่มีภาษาเยอรมัน ซึ่งผิดกฎหมายเยอรมัน และไม่เป็นมิตรกับผู้บริโภค มีโฆษณารบกวนน้อย และใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับ Bing         Metager เป็น search engine เดียวที่พัฒนาภายใต้สมาคมเพื่อสาธารณะประโยชน์ เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ไม่มี option ในการค้นหาไฟล์รูปภาพและวิดิทัศน์ อย่างไรก็ตาม มีนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีต่อยอดเพิ่มขึ้นมาก  มีโฆษณารบกวนมาก         สำหรับเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย จำเป็นที่จะต้องให้ความรู้และข้อมูลพื้นฐานกับประชาชนและผู้บริโภคของประเทศไทยว่ามีความสำคัญอย่างไร ซึ่งในงานวันคุ้มครองผู้บริโภคสากลที่จัดโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและภาคเครือข่ายได้เริ่มรณรงค์และให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมีคณะทำงานรณรงค์และให้ความรู้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลเป็นทรัพย์สินของประชาชนและผู้บริโภคนั่นเอง         สำหรับกระบวนการการทดสอบ search engine นั้น สามารถดูรายละเอียดวิธีการทดสอบได้จาก www.test.de/suchmaschinen/methodik        (แหล่งข้อมูล วารสาร Test 4/2019)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 ซักผ้ายุค 4.0

        พอกล่าวถึงคำว่า 4.0 ในการซักผ้า หลายท่านคงคิดว่าผู้เขียนคงจะเขียนเรื่องเครื่องซักผ้าที่ควบคุมการสั่งงานทางไกลด้วยระบบโทรศัพท์มือถือผ่าน IOT (internet of things ซึ่งถ้าจะให้ประสิทธิภาพดีต้องเป็น 5.0 ซึ่งกำลังมา) ดังที่หลายๆ คนคลั่งไคล้กัน  แต่ในความจริงนั้นไม่ใช่ เพราะผู้เขียนใช้คำว่า 4.0 เพียงเพื่อต้องการให้เห็นว่ามันเป็นไปตามยุคสมัยที่หลายๆ อย่างเกิดขึ้นทั้งที่ไม่จำเป็นต้องเกิด เพราะมีการขายสินค้าที่ช่วยในการซักผ้าแบบใหม่คือ ก้อนโลหะแมกนีเซียมในถุงตาข่ายใยสังเคราะห์            ก่อนกล่าวถึงการใช้โลหะแมกนีเซียมในการซักผ้านั้น ขอคุยเรื่องเกี่ยวกับองค์ประกอบหลักของการซักผ้าทั่วไปก่อนคือ ผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้า มีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ สารซักฟอก อาจมีการผสมสาร เช่น สารฟอกขาว ที่ทำให้ผ้าดูสดใส สารฟลูออเรสเซนต์ เพื่อดูดซับแสงอัลตราไวโอเลตแล้วสะท้อนกลับเป็นแสงสีฟ้าทำผ้าดูขาวสะอาดขึ้น  สารให้กลิ่นหอม ซึ่งบางคนอาจบอกว่าไม่หอมก็ได้ แล้วอาจมีการเติม เอ็นซัมหลายชนิดเพื่อช่วยกำจัดโปรตีน แป้งและไขมันที่ติดเสื้อผ้า ซึ่งอาจได้ผลหรือไม่ได้ผลตามคำโฆษณา โดยไม่มีองค์กรที่น่าเชื่อถือใดพิสูจน์รับรอง พร้อมลูกเล่น (gimmick) อื่น ๆ ที่ผู้ผลิตใส่เข้าไปเพื่อดึงดูดใจหรือทำให้ผู้บริโภคงง        สมัยโบราณนั้น สบู่ผลิตขึ้นจากวัตถุดิบที่หาได้ไม่ยากคือ ไขมัน ซึ่งมีกรดไขมันจากพืชหรือสัตว์ และด่างแก่ คือ โซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโปตัสเซียมไฮดรอกไซด์ ดังนั้นเมื่อกรดไขมันทำปฏิกิริยากับด่าง โดยมีความร้อนเป็นตัวช่วย สิ่งที่ได้จึงเป็นโมเลกุลเกลือที่ละลายน้ำ พร้อมอีกส่วนที่เป็นไขมัน ซึ่งมีความสามารถจับไขมันได้ ทำให้สบู่สามารถดึงเอาไขมันออกมาจากเสื้อผ้าให้มาละลายอยู่ในน้ำ หลักการดังกล่าวนี้ใช้อธิบายประสิทธิภาพของสารซักฟอกในปัจจุบันได้        สิ่งสกปรกที่มักอยู่บนเสื้อผ้าที่ถูกสวมใส่นั้น โดยทั่วไปคือ เหงื่อ ซึ่งเป็นของเหลวที่ร่างกายขับออกมาทางผิวหนังหรือตามซอกหลืบต่างๆ ของร่างกาย มีรสเค็มเพราะมีเกลือเป็นส่วนประกอบ การออกกำลังกาย ความเครียด ความหวาดกลัวหรือเวลาอากาศร้อน ทำให้มีเหงื่อ ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นน้ำร้อยละ 99 ส่วนอีกร้อยละ 1 นั้นประกอบด้วย ยูเรีย น้ำตาล ไขมัน ซึ่งมาจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง โซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก เป็นต้น ตัวปัญหาที่ทำให้เสื้อผ้าที่ถูกใส่แล้วมีกลิ่นเหม็นคือ ไขมันซึ่งเมื่อทิ้งไว้บนเสื้อผ้าเป็นเวลานานจะถูกแบคทีเรียย่อยให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวในไขมันจากเหงื่อนั้นเปลี่ยนไปเป็น สารกลุ่มอัลดีไฮด์ ที่ให้กลิ่นไม่พึงประสงค์ ดังนั้นผงซักฟอกบางสูตรจึงมีการเติมสารที่ฆ่าแบคทีเรียได้ดีเช่น สารที่ให้อนุมูลธาตุเงิน ซึ่งมักใช้คำว่า ซิลเวอร์นาโน          เมื่อมาถึงยุค 4.0 ผู้เขียนพบว่ามีคนใช้เฟซบุ๊คโฆษณาขายสินค้าที่ดูเผินๆ นึกว่าเป็นฟองน้ำล้างจาน แต่เมื่อพิจารณาอีกทีปรากฏว่า ไม่ใช่ เพราะในถุงตาข่ายนั้นแทนที่จะเป็นฟองน้ำสังเคราะห์กลับเป็น เม็ดโลหะค่อนข้างกลมดูคล้ายตะกั่วถ่วงแหจับปลา และมีการโฆษณาว่า ถุงนั้นเป็นอุปกรณ์ที่มาแทนผงซักฟอก โดยนำเอาถุงนั้นใส่ลงในเครื่องซักผ้าพร้อมผ้าที่ต้องการซัก หลังเปิดเครื่องให้ทำงานแล้วสามารถนั่งรอเวลาเครื่องปิดเมื่อครบรอบการซัก หรือจะไปทำอะไรอย่างมีความสุขกับคนในครอบครัว โดยเสื้อผ้าที่ซักแล้วปราศจากคราบสกปรก มีความสะอาดเอี่ยมจนดมกลิ่นแห่งความสะอาดได้ ไม่ทำให้ระคายผิวทั้งเด็กและผู้ใหญ่         สินค้านี้มีโฆษณาหลายคลิปใน YouTube เมื่อดูแล้วพอสรุปข้อมูลได้ว่า โลหะที่ช่วยในการซักผ้านั้นคือ แมกนีเซียม เป็นสินค้าจากผู้ผลิต ซึ่งเดิมใช้แมกนีเซียมในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ แต่สังเกตพบว่าแมกนีเซียมซึ่งเป็นโลหะที่เบามากนั้นเวลาขึ้นรูปเป็นชิ้นส่วนของรถยนต์จะมีฝุ่นฟุ้งกระจาย เมื่อกวาดมารวมกันปรากฏว่าเกิดเป็นประกายไฟขึ้นได้จึงมีคำถามว่าประกายไฟที่เกิดนั้นมาจากไหน         ในทางเคมีนั้นแมกนีเซียมเป็นโลหะกลุ่มอัลคาไลน์เอิร์ธ ชนิดที่สามารถติดไฟได้เองในอากาศที่ชื้นมากๆ (คล้ายกับโลหะโซเดียมซึ่งไวไฟมากจนต้องเก็บในน้ำมันเพื่อไม่ให้สัมผัสน้ำจากอากาศ) คำอธิบายถึงการติดไฟได้นั้นน่าจะเป็นว่า เมื่อแมกนีเซียมเจอน้ำแล้วเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ด่างแก่คือ แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Mg(OH)2) พร้อมได้กาซไฮโดรเจน (H2) ซึ่งติดไฟได้ด้วย         ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่าสิ่งที่ต้องตาเจ้าของโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์คือ น้ำที่ได้จากการเอาโลหะแมกนีเซียมใส่ลงไปนั้นมีความลื่นเพราะเป็นด่าง ปรากฏการณ์นี้อาจกระตุ้นให้เจ้าของโรงงานย้อนคิดไปถึงอดีตครั้งเป็นเด็กที่เคยซักผ้าด้วยน้ำด่างขี้เถ้า จึงปิ๊งไอเดียว่าแมกนีเซียมน่าจะทำเงินให้เขาได้ในรูปของวัสดุช่วยในการซักผ้าที่ไม่น่าทำอันตรายสิ่งแวดล้อม...มากนัก         หลักการที่น้ำด่างทำให้เสื้อผ้าสะอาดได้นั้น มีฝรั่งคนหนึ่งอธิบายในอินเทอร์เน็ตว่า ปรกติแล้วการใช้สบู่ซักผ้านั้น สบู่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ยึดระหว่างไขมันที่หลุดออกจากเสื้อผ้าให้ละลายน้ำ แต่ในการใช้แมกนีเซียมนั้นเป็นการตัดขั้นตอนการใช้สบู่ โดยให้อนุมูลแมกนีเซียม (Mg++) พร้อมกับอนุมูลไฮดรอกซิล (OH- ซึ่งเป็นตัวทำให้สภาวะแวดล้อมมีความเป็นด่าง) ที่เกิดขึ้นเมื่อใส่โลหะแมกนีเซียมลงน้ำนั้น เข้าจับตัวกับไขมันที่เกาะในเนื้อผ้าได้เป็นสบู่โดยตรง จากนั้นสบู่จับเหงื่อไคลก็ละลายน้ำออกมา        อย่างไรก็ดีมีประเด็นที่ผู้เขียนขอตั้งไว้สำหรับผู้ประสงค์จะทันสมัยแบบ 4.0 ในการซักผ้าโดยไม่ใช้ผงซักฟอกคือ โฆษณาสินค้านี้ในหลายๆ คลิปนั้น ไม่มีส่วนไหนที่แสดงวิธีการใช้สินค้าชิ้นนี้อย่างละเอียดเลย มีแค่การใส่ถุงบรรจุโลหะแมกนีเซีมลงไปกับผ้าที่จะซัก แล้วก็ตัดภาพไปช่วงที่ผ้าซักเสร็จ ทำให้สงสัยว่า ถุงใส่โลหะแมกนีเซียมนั้นอยู่ในถังตลอดวงรอบของการซักเลยหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่า น้ำด่างที่เกิดบางส่วนคงเหลือติดผ้าในช่วงการปั่นครั้งสุดท้ายด้วย ทั้งที่โดยปรกติแล้วถ้าเราใช้น้ำยาซักผ้าแบบเดิม น้ำยานั้นจะถูกทิ้งในน้ำแรก จากนั้นจะมีการล้างผ้าเอาน้ำยาออกอีกราว 1-2 ครั้ง เพื่อให้มีน้ำยาซักผ้าเหลือติดผ้าน้อยที่สุดเพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว ส่วนในกรณีของการใช้โลหะแมกนีเซียมซักผ้านั้นแม้ว่าไม่มีการผสมสารอื่นลงไปด้วย แต่ความเป็นด่างของน้ำ ซึ่งมีคำอธิบายในคลิปหนึ่งว่า ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ที่ประมาณ 10 ซึ่ง (อาจ) ติดผ้าถือว่าไม่น่าจะปลอดภัยต่อผิวผู้สวมใส่เสื้อผ้า (โดยเฉพาะเด็กแล้วน่าจะไม่ดี) แต่ในโฆษณานั้นกล่าวว่า ไม่เป็นอันตรายต่อผิวเด็ก ประเด็นนี้จึงน่าจะยังรอการพิสูจน์จากหน่วยงานที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนต่อสินค้านี้        สิ่งที่ผู้เขียนสนใจอีกประเด็นหนึ่งคือ ราคาของถุงโลหะแมกนีเซียมนั้นคือเท่าไร เมื่อเข้าไปในเว็บซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ขนาดใหญ่ก็พบว่า 1 ถุงนั้นมีราคาเกือบ US.$ 50 เมื่อคำนวณเป็นเงินบาทที่ประมาณ 31 บาทต่อ US.$ 1 คงประมาณกว่า 1,500 บาท และในโฆษณาการขายนั้นบอกว่า แร่ 1 ถุงนั้นใช้ได้ 365 วัน เมื่อซักวันละ 1 ครั้ง ซึ่งหมายความว่าค่าใช้จ่ายตกแค่ 4 บาทกว่าเล็กน้อย เรื่องค่าใช้จ่ายจึงไม่น่าเป็นปัญหาอะไร...แต่         ยังมีคำถามหนึ่งที่เมื่อนึกถึงหลักการทางเคมีว่า ปริมาณการเกิดปฏิกิริยาได้น้ำด่างจากโลหะนั้นคงเส้นคงวาทุกครั้งที่ซักตลอด 1 ปี หรือไม่ เพราะในหลักการแล้ว ทุกครั้งที่ถุงโลหะถูกใช้งาน ปริมาณเนื้อโลหะแมกนีเซียมย่อมลดลงทุกครั้ง ดังนั้นการพิสูจน์ว่าปริมาณด่างที่เกิดในการใช้ครั้งที่ 1 นั้นต่างจากการใช้ในครั้งที่ 365 หรือไม่นั้นจำเป็นนัก เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคที่แท้จริง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 กระแสต่างแดน

มากกว่าเรียกคืน        กระทรวงการขนส่งไต้หวันเตรียมดำเนินการตามกฎหมายหากบริษัทมาสด้าไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบความปลอดภัยของรถยนต์สองรุ่นที่ถูกร้องเรียนโดยผู้ใช้ 36 ราย          หลังการร้องเรียน บริษัทประกาศเรียกคืนรถดีเซลรุ่น Mazda CX5 และ Mazda 6 Skyactive ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมด้วยปัญหามีน้ำดันออกจากหม้อน้ำ         นอกจากนั้นผู้ใช้รถทั้งสองรุ่นยังพบปัญหาอื่นๆ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปผสมกับน้ำมันเครื่อง รวมถึงเซ็นเซอร์ท่อไอเสียไม่ทำงาน ศูนย์รับรองความปลอดภัยยานยนต์ จึงได้ขอให้มาสด้าส่งรายงานการตรวจสอบปัญหาสองเรื่องนี้ด้วย         รายงานที่บริษัทส่งมาเพียงชี้แจงว่า ปัญหาเรื่องน้ำมันเกิดจากความผิดพลาดในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง โดยอ้างอิงจากการตรวจสอบสองสามกรณีเท่านั้น และไม่ได้ชี้แจงเรื่องเซ็นเซอร์ว่ามันส่งผลอย่างไรต่อการทำงานของเครื่องยนต์        การหลีกเลี่ยง ขัดขวาง หรือปฏิเสธการตรวจสอบโดยกระทรวงฯ ถือเป็นความผิดตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ที่มีโทษปรับ 30,000 ถึง 300,000 เหรียญไต้หวัน ละเลยความปลอดภัย        ครอบครัวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายซ่อมบำรุงของบริษัทรถไฟไต้ดินสเปนฟ้องศาลแรงงานเพื่อเรียกค่าเสียหาย 400,000 ยูโร จากบริษัท โทษฐานที่รับรู้อันตรายของแร่ใยหินตั้งแต่ปี 1991 แต่ไม่ได้กระทำการใดๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้พนักงาน        พนักงานคนดังกล่าวเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อเดือนตุลาคม 2018 ขณะมีอายุ 60 ปี เขาทำงานให้กับ “มาดริดเมโทร” มานานกว่า 30 ปี ญาติของผู้ตายระบุว่า เขาล้มป่วยเนื่องจากได้รับแร่ใยหินมากเกินไป         แร่ใยหินมีประโยชน์ในการเป็นฉนวนกันเสียง ความร้อนและกระแสไฟฟ้า แต่การหายใจเอาฝุ่นแร่ใยหินเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบของปอดและพัฒนาไปสู่มะเร็งได้ โดยอาจใช้เวลา 20 ปีกว่าจะแสดงอาการ อันตรายจากแร่ใยหินเป็นที่รู้กันตั้งแต่ช่วงปี 1990 และทำให้เกิดการประกาศห้ามใช้ทั่วยุโรป สเปนก็ประกาศห้ามใช้แร่ใยหินในปี 2002         ปัจจุบันยังมีแร่ใยหินหลงเหลืออยู่ในระบบรถไฟไต้ดินของสเปน มาดริดเมโทรสัญญาว่าจะใช้งบประมาณ 140 ล้านยูโรเพื่อกำจัดแร่ใยหินออกจากระบบภายในปี 2025ยาต้องไม่ปนเปื้อน        สเปนเป็นอีกประเทศที่มีผู้ป่วยหันมาใช้กัญชาในการรักษาโรคมากขึ้น แต่การปลูกและการจำหน่ายกัญชายังถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คนจึงหันไปพึ่งกัญชาที่ลักลอบนำเข้ามาในประเทศ        การตรวจสอบทางนิติเวชโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Complutense พบว่าร้อยละ 88.3 ของตัวอย่างกัญชาที่ลักลอบขายกันตามท้องถนนทั้งหมด 90 ตัวอย่าง ไม่เหมาะที่จะใช้บริโภค เพราะมีการปนเปื้อนของแบคทีเรียชนิดที่อยู่ในอุจจาระคน        ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคนที่ลักลอบนำเข้ากัญชาจะใช้วิธีม้วนใบกัญชาเป็นก้อนกลมๆ ห่อด้วยพลาสติก แล้วกลืนลงท้องไป เมื่อเดินทางข้ามแดนมาถึงสเปนก็จะกินยาถ่ายขับออกมาเพื่อนำไปขาย        ผู้ที่ได้รับแบคทีเรียอีโคไลชนิดที่เป็นพิษอาจจะอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นร้อยละ 10 ของตัวอย่างยังมีเชื้อรา aspergillus ซึ่งอันตรายมากหากผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันค่อนข้างต่ำสูดหายใจเอาสปอร์ของมันเข้าไป  ผลไม้แปลงสัญชาติ        คนฝรั่งเศสชอบทานกีวี่ แม้จะมีราคาแพงแต่ผู้คนก็กัดฟันควักกระเป๋าเพราะรู้ดีว่ากีวี่ที่ปลูกในประเทศนั้นมีต้นทุนค่อนข้างสูง เนื่องจากรัฐบาลประกาศห้ามใช้สารเคมีอันตรายในการฆ่าเชื้อราเพื่อยืดอายุผลไม้ เกษตรกรจึงต้องลงทุนสูงขึ้นเพื่อสร้างห้องเย็น         ความต้องการบริโภคกีวี่มีมากถึง 80,000 ตันต่อปี แต่เกษตรกรประมาณ 1,100 ราย ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ สามารถผลิตได้ปีละ 55,000 ตันเท่านั้น จึงต้องมีการนำเข้ากีวี่จากนิวซีแลนด์ ชิลี และอิตาลี เป็นต้น เนื่องจากอิตาลียังไม่แบนสารเคมีดังกล่าว ต้นทุนการผลิตกีวี่ที่นั่นจึงค่อนข้างต่ำ         หน่วยงานต่อต้านการคอรัปชั่นของฝรั่งเศสออกมาเปิดโปงว่า สามปีที่ผ่านมีกีวี่จากอิตาลีได้รับการ “แปลงสัญชาติ” เป็นกีวี่ที่ปลูกในฝรั่งเศส” ไปทั้งหมด 15,000 ตัน         บริษัทที่นำเข้าผลไม้ดังกล่าวกำลังจะถูกดำเนินคดี แต่ก็ได้กำไรไปแล้วกว่า 6,000,000 ยูโร  แอปแอบแชร์        ทีมวิจัยจากออสเตรเลียที่ทำการสำรวจแอปยอดนิยมในสมาร์ตโฟนสำหรับอาการซึมเศร้าและการเลิกบุหรี่จำนวน 36 แอปทั้งในแอนดรอยด์และ iOS พบว่า ร้อยละ 90 ของแอปดังกล่าวมีการแชร์ข้อมูลของผู้ใช้ไปยังบุคคลที่สาม         มีเพียงสองในสามเท่านั้นที่แจ้งให้ผู้ใช้ทราบในนโยบายความเป็นส่วนตัว แต่นโยบายเหล่านี้ก็ไม่ได้บอกชัดว่าข้อมูลที่เก็บไปจะถูกนำไปใช้อย่างไร โดยใคร         เฉลยตรงนี้ว่ามีถึง 29 แอปที่แชร์ข้อมูลผู้ใช้ให้กับเฟซบุ้คและกูเกิ้ลโดยเฉพาะ         นักวิจัยพบว่าในบรรดา 33 แอปที่ส่งข้อมูลให้บุคคลที่สามนั้น มีทั้งที่ส่งข้อมูลชื่อบัญชีผู้ใช้หรือการระบุสมาร์ตโฟนเครื่องที่ใช้ บ้างก็ส่งข้อมูลรวมๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อประโยชน์ในการทำโฆษณา ยิ่งกว่านั้นบางแอปยังส่งข้อมูลที่ผู้ใช้บันทึกไว้ เช่น ไดอารี่สุขภาพหรือยาที่กินด้วย         สรุปว่าถ้าแอปรู้ โลกก็รู้...   

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 โรตีสายไหม ผลทดสอบวัตถุกันเสียและสีผสมอาหารสังเคราะห์ (ภาค 2)

        โรตีสายไหม ยังคงเป็นของฝากยอดนิยมสำหรับผู้ที่มาท่องเที่ยวหรือผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะเนื้อแป้งที่เหนียวนุ่มและเส้นสายไหมที่หวานหอม ชวนให้กินแล้วอยากกินอีก โดยเฉพาะแป้งโรตีที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ จะมีความหอมนุ่มเป็นพิเศษ         โรตีสายไหมมีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วน คือ แผ่นแป้ง และน้ำตาลสายไหม ส่วนที่แป้งนั้นอาจบูดง่าย หากจะเก็บไว้ได้นาน ผู้ผลิตอาจต้องใช้สารกันเสียเพื่อยืดอายุการเก็บ ส่วนเส้นสายไหมที่มีสีสันสวยงามมาจากน้ำตาล น้ำมันมะพร้าว แป้งสาลี และสีผสมอาหารสังเคราะห์ ที่มากเกินไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพ         ถ้าจำกันได้ เมื่อเดือนมีนาคม 2561 โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ และฉลาดซื้อเคยสุ่มเก็บตัวอย่างโรตีสายไหมจำนวน 10 ตัวอย่าง จากร้านค้าในจังหวัดอยุธยา มาทดสอบหาวัตถุกันเสียและสีผสมอาหารสังเคราะห์ โดยพบว่ามี 4 ตัวอย่าง ที่ปริมาณกรดเบนโซอิกเกินมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งต่อมาในภายหลังการแถลงข่าวทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็ได้เข้าไปเร่งจัดการปัญหา         อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการตรวจสอบซ้ำว่า ผู้ประกอบการได้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์และใช้วัตถุเจือปนอาหารอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ ฉลาดซื้อในโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จึงสุ่มเก็บตัวอย่างโรตีสายไหม จำนวน 13 แห่ง ในเดือนเมษายน 2562 จากร้านค้าในอยุธยาอีกครั้ง จากผู้ประกอบการรายเดิมจำนวน 10 ตัวอย่าง และเจ้าใหม่อีก 3 ตัวอย่าง โดยนำตัวอย่างโรตีสายไหมส่งห้องปฏิบัติการมาตรฐานตรวจวิเคราะห์ปริมาณวัตถุกันเสีย จำนวน 2 ชนิด ในแป้งโรตี ได้แก่ กรดซอร์บิก (Sorbic Acid) และ กรดเบนโซอิก (Benzoic Acid) รวมทั้งตรวจสอบปริมาณสีผสมอาหารสังเคราะห์ในเส้นสายไหม ซึ่งผลทดสอบแสดงดังตารางที่ 1 สรุปผลการทดสอบโรตีสายไหมโรตีสายไหมที่นำมาทดสอบ จำนวน 13 ตัวอย่าง ได้จากการสุ่มซื้อโดยเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคกลาง ซึ่งสนับสนุนโดย โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จากร้านโรตีสายไหม 13 แห่ง ใน จ.พระนครศรีอยุธยา          ในส่วนของแผ่นแป้งโรตี ฉลาดซื้อเลือกทดสอบวัตถุกันเสีย จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ กรดซอร์บิก และ กรดเบนโซอิก รวมทั้งทดสอบหาสีสังเคราะห์ในแผ่นแป้งด้วย ส่วนเส้นสายไหมเลือกทดสอบเฉพาะสีสังเคราะห์1. สรุปผลทดสอบแผ่นแป้งโรตี          1.1 ผลการทดสอบสีผสมอาหารสังเคราะห์ในแผ่นแป้งโรตี          จากผลทดสอบพบว่า มีแผ่นแป้งโรตีจากร้านค้าจำนวน 2 แห่ง ตรวจพบปริมาณสีสังเคราะห์ในกลุ่มสีเหลือง คือ ตาร์ตราซีน (Tartrazine) เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดให้ใช้ ได้แก่          1) ร้านวรรณพร            ตรวจพบปริมาณสีสังเคราะห์  ตาร์ตราซีน 59.76 มก./กก.           2) ร้านประวีร์วัณณ์       ตรวจพบปริมาณสีสังเคราะห์  ตาร์ตราซีน 57.41 มก./กก.        ซึ่งตามข้อกำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381) พ.ศ. 2559 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 4) อนุญาตให้ใช้ ตาร์ตราซีน (Tartrazine) INS 102 ได้สูงสุดไม่เกิน 50 มก./กก. สำหรับหมวดอาหารกลุ่มขนมหวานที่มีธัญชาติและสตาร์ชเป็นส่วนประกอบหลัก                 1.2 ผลการทดสอบวัตถุกันเสียในแผ่นแป้งโรตี          จากผลทดสอบพบว่า แผ่นแป้งโรตีทั้ง 13 ตัวอย่าง ตรวจไม่พบกรดซอร์บิก (Sorbic acid) เลยทุกตัวอย่าง แต่ตรวจพบกรดเบนโซอิก (Benzoic acid) ทุกตัวอย่างในปริมาณที่ต่างกัน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิกไม่เกินมาตรฐาน ( ไม่เกิน 1,000 มก./กก.) จำนวน 7 ตัวอย่าง ได้แก่          1) ร้านอาบีดีน + ประนอม แสงอรุณ                  ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       19.87 มก./กก.           2) ร้านวรรณพร                                                ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       526.67 มก./กก.           3) ร้านจ๊ะโอ๋                                                   ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       574.58 มก./กก.           4) ร้านเอกชัย (B.AEK)                                   ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       575.34 มก./กก.           5) ร้านประวีร์วัณณ์                                          ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       620.87 มก./กก.           6) ร้านศิลัคข บังอารีย์ แสงอรุณ เจ้าเก่า            ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       751.19 มก./กก          7) ร้านแกรนด์ โรตีสายไหม (โรตี ล้อเล็ก)         ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       867.70 มก./กก          ทั้งนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า สารกันบูดที่ตรวจพบในปริมาณเล็กน้อยไม่เกิน 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (ร้านอาบีดีน + ประนอม แสงอรุณ) อาจมาจากวัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบ เช่น แป้งสาลี ที่ใช้เป็นส่วนผสมหลัก ไม่ได้มาจากร้านโรตีสายไหม เพราะวัตถุกันเสียปริมาณเล็กน้อย ไม่สามารถใช้ยืดอายุอาหารได้          ส่วนกลุ่มที่ตรวจพบกรดเบนโซอิกเกินมาตรฐาน มีจำนวน 6 ตัวอย่าง ได้แก่          1) ร้านเรือนไทย                                             ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       1024.60 มก./กก.           2) ร้านไคโร น้องชายบังอิมรอน                        ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       1114.79 มก./กก.           3) ร้านบังหมัด                                               ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       1251.81 มก./กก.           4) ร้านวริศรา โรตีสายไหม                              ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       1442.81 มก./กก.           5) ร้านบังเปีย อามีนะห์ แสงอรุณ                     ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       1590.67 มก./กก.           6) ร้านแม่ชูศรี                                                ตรวจพบปริมาณกรดเบนโซอิก       3281.56 มก./กก                  ทั้งนี้เมื่อเทียบปริมาณกรดเบนโซอิกในครั้งนี้ กับการสุ่มตรวจโรตีสายไหมครั้งแรก เมื่อเดือนมีนาคม 2561 (ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 205) จะแสดงผลดังตารางต่อไปนี้         จากตารางที่ 2 พบว่า เมื่อเปรียบเทียบผลการสุ่มตรวจทั้งสองครั้ง มีร้านค้าจำนวน 5 แห่ง ที่ตรวจพบปริมาณการใช้กรดเบนโซอิกลดลงจากเดิมและไม่เกินมาตรฐาน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ           - กลุ่มที่ไม่เกินมาตรฐานทั้งสองครั้ง จำนวน 3 ร้าน ได้แก่                                         ร้านอาบีดี + ประนอม แสงอรุณ, ร้านจ๊ะโอ๋ และ ร้านประวีร์วัณณ์           - กลุ่มที่เกินมาตรฐานครั้งแรก แต่ไม่เกินมาตรฐานในครั้งที่สอง จำนวน 2 ร้าน ได้แก่                                         ร้านเอกชัย (B.AEK) และ ร้านศิลัคข บังอารีย์ แสงอรุณ เจ้าเก่า          และเมื่อดูจากตารางที่ 2 พบว่า มีร้านค้าที่ใช้กันวัตถุกันเสียเกินมาตรฐานทั้งสองครั้ง ได้แก่                     ร้านเรือนไทยและร้านแม่ชูศรี ส่วนอีก 1 ร้านผ่านมาตรฐานในครั้งแรก แต่ตกมาตรฐานในการสุ่มตรวจครั้งที่ 2 ได้แก่ ร้านไคโร น้องชายบังอิมรอน 2. สรุปผลทดสอบสีสังเคราะห์ในสายไหม           จากตารางที่ 1 พบว่า มีร้านค้า 2 แห่ง ที่ไม่พบการใช้สีผสมอาหารสังเคราะห์เลยในเส้นสายไหม ได้แก่ 1) ร้านศิลัคข บังอารีย์ แสงอรุณ เจ้าเก่า  และ  2) ร้านบังหมัด          โดยร้านค้าที่เหลือตรวจพบสีผสมอาหารสังเคราะห์ ตาร์ตราซีน (Tartrazine) INS 102 และ บริลเลียนท์ บลู เอฟซีเอฟ (Brilliant Blue FCF) INS 133 เป็นส่วนใหญ่ แต่ปริมาณที่ตรวจพบไม่เกินมาตรฐาน ตามข้อกำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381) พ.ศ. 2559 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 4) ที่อนุญาตให้ใช้สีสังเคราะห์ ในกลุ่มสีเหลือง ตาร์ตราซีน (Tartrazine) INS 102 และ ในกลุ่มสีน้ำเงิน บริลเลียนท์ บลู เอฟซีเอฟ (Brilliant Blue FCF) INS 133 ได้ในปริมาณไม่เกิน 300 มก./กก. ในสายไหม ซึ่งเทียบได้ในหมวดอาหารกลุ่มลูกกวาด นูกัตและมาร์ซิแพน          ข้อแนะนำในการบริโภค        สำหรับผู้ที่ชื่นชอบโรตีสายไหม หากเป็นไปได้ให้เลือกซื้อโรตีสายไหมที่เป็นสีธรรมชาติ หรือสังเกตสีของแป้งโรตีและสายไหมที่สีไม่จัด และควรเลือกบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายได้รับการสะสมจากสารกันบูดและสีสังเคราะห์มากเกินไป เพราะในแต่ละวัน เราอาจได้รับสารกันบูดจากอาหารสำเร็จรูปมื้ออื่นๆ ซึ่งนอกจากสารกันบูดและสีสังเคราะห์แล้ว สิ่งที่ควรคำนึงถึงอีกอย่างหนึ่ง คือ ปริมาณพลังงานและน้ำตาล

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 แว่นกันแดดสำหรับเด็ก

        ฉลาดซื้อรับร้อนด้วยผลทดสอบแว่นกันแดดที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT โดยสมาคมผู้บริโภคออสเตรีย (VKI) เป็นเจ้าภาพทำไว้ เขาทดสอบแว่นกันแดดสำหรับเด็กที่เป็นที่นิยมในยุโรป (แต่ผลิตในจีนหรือไต้หวันเป็นส่วนใหญ่) ไว้ทั้งหมด 30 รุ่นการทดสอบครั้งนี้ใช้ต้นทุนไม่มากเมื่อเทียบกับการทดสอบเรื่องอื่นๆ แต่ก็ได้ผลทดสอบที่ยืนยันว่าราคาอาจไม่บ่งบอกคุณภาพ แว่นสองรุ่นที่ได้คะแนนเต็ม 100 ได้แก่ Primetta และ Marvel Ultimate Spider-Man นั้นราคาไม่เกิน 300 บาท แต่แว่นราคาเกือบ 900 บาทกลับได้คะแนนไปแค่ 48 คะแนนการทดสอบแบ่งออกเป็น 7 ด้าน ได้แก่ ระดับการป้องกันยูวี ความทนทานต่อการตกหล่น (สำรวจความเสียหายหลังปล่อยแว่นจากความสูง 1.5 เมตร ทั้งหมด 5 ครั้ง) ความทนทานต่อการแตกหัก (หลังถูกอาสาสมัครน้ำหนัก 75 กิโลกรัม นั่งทับบนเก้าอี้ 5 ครั้ง) การทนต่อรอยขีดข่วน (โดยใช้ปากกาทดสอบ Erichsen Hardness รุ่น 318S) การป้องกันแสงจากด้านข้างดวงตา (จากการสัมภาษณ์เด็กอายุระหว่าง 3 ถึง 6 ขวบจำนวน 4 คนที่ทดลองสวม) การเช็ดทำความสะอาดเลนส์ (โดยดูว่าเลนส์หลุดออกจากกรอบหรือไม่ขณะเช็ดทำความสะอาด) และการเลือกใช้วัสดุที่ปลอดโลหะหนัก เช่น โครเมียม นิกเกิ้ล สารหนู และสารเคมีอันตรายเช่น พทาเลทและ PAH หรือโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 น้ำยาทำความสะอาดมือ

        น้ำยาทำความสะอาดมือ(Hand Anticeptic) เป็นสารที่ใช้เพิ่มเติมเป็นทางเลือกของการทำความความสะอาดมือ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีน้ำ ปัจจุบันมีทั้งรูปแบบเจล โฟมและสารละลายเหลว เมื่อฉบับที่แล้วฉลาดซื้อได้สุ่มสำรวจผลิตภัณฑ์สบู่เหลวล้างมือไป ฉบับนี้จึงขอต่อเนื่องมาที่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือ แบบที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำกันบ้าง ซึ่งได้รับความนิยมมากพอสมควรมีหลายผลิตภัณฑ์ให้เลือกซื้อหา ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่พบมีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้ดี เหมาะสำหรับการฆ่าเชื้อบนผิวหนัง นอกจากนั้นก็จะมีการผสมสารประเภทที่ให้ความชุ่มชื้น ครีมบำรุงและสารประเภทน้ำหอมเพิ่มเติม ซึ่งไม่มีประโยชน์ในงานทำความสะอาดแต่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ โดยลดความกังวลเรื่องที่มืออาจแห้งกร้านเนื่องจากการสัมผัสแอลกอฮอล์            จากการสุ่มตัวอย่างพบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือแบบไม่ใช่น้ำ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ มีส่วนผสมหลักดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่มีอยู่สองตัวที่มีส่วนผสมของ ไตรโคลซาน ซึ่งฉลาดซื้อเคยนำเสนอไปว่า เป็นสารที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสารที่มีอันตรายสูง ทำให้มีปัญหากับระบบนิเวศดังนั้นควรหลีกเลี่ยง         น้ำยาทำความสะอาดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ดีควรเป็นอย่างไร            1.ควรมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ระหว่าง 60-85 % เพื่อให้เพียงพอสำหรับการฆ่าเชื้อ            2.มีฉลากระบุวันผลิตและวันสิ้นอายุที่ชัดเจน(ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุ)  รวมทั้งคำเตือนที่จำเป็น เช่น ห้ามใช้หรือวางใกล้เปลวไฟ            3.มีเลขจดแจ้งที่ชัดเจน น้ำยาทำความสะอาดมือจัดเป็นเครื่องสำอาง ดังนั้นต้องมีเลขที่จดแจ้งตามกฎหมายเครื่องสำอาง  ความสะอาดมือบ่อยๆ        การล้างมือเป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันการติดเชื้อที่ดี โดยทั่วไปหากมือสกปรกควรล้างด้วยน้ำและสบู่ เพื่อชะล้างคราบสกปรกออกไป แต่หากเป็นกรณีที่มือไม่มีคราบสกปรกแต่อาจสัมผัสกับจุดเสี่ยง เช่น การสัมผัสกับสิ่งของสาธารณะ สัตว์เลี้ยง การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือแบบไม่ต้องใช้น้ำ ก็ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่ถูกต้อง         เจลล้างมือควรใช้ในปริมาณ 3-5 ซีซี หรือปริมาณเท่าขนาดเล็บหัวแม่มือของผู้ใช้ ถูให้ทั่วฝ่ามือและซอกเล็บ ถูจนเจลระเหยหมดภายในครึ่งนาที (หากเจลระเหยอย่างรวดเร็วก่อน 15 วินาที อาจหมายถึงใช้เจลในปริมาณน้อยไป ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการกำจัดเชื้อโรค) ระวัง!เจลล้างมือติดไฟได้ หากถูกสะเก็ดไฟ         เจลล้างมือมีส่วนผสมสำคัญคือแอลกอฮอล์ ที่นอกจากมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค และยังสามารถติดไฟได้ง่าย ดังนั้นเจลล้างมือจึงติดไฟได้ง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะในผู้สูบบุหรี่ ผู้ที่ใช้เจลล้างมือหลังชโลมเปียกทั่วมือแล้วจึงควรรอให้แห้งก่อน ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งนาที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 สารเร่งเนื้อแดง

สารเร่งเนื้อแดง        ผมมีเพื่อนทำฟาร์มเลี้ยงหมูอยู่นครปฐม เขาเล่าให้ฟังว่าปัจจุบันผู้เลี้ยงหมูจำนวนมากกลับมาใช้สารเร่งเนื้อแดงผสมในอาหารสัตว์เหมือนเมื่อก่อน เพราะคนจับหมูชอบและให้ราคาดีรวมถึงเป็นความต้องการของเขียงขายเนื้อหมูด้วย ผมจึงสงสัยว่ากฎหมายที่ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้นำมาปฏิบัติกันอย่างจริงจังเพียงใดหรือเป็นเพียงช่องทางให้เจ้าหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์จากเจ้าของฟาร์มเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงสารตกค้างที่มีผลกระทบต่อผู้บริโภคเนื้อหมูเลย ผมจึงอยากร้องเรียนมายังท่านในฐานะองค์กรผู้บริโภค ช่วยตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องว่าปล่อยปละละเลยหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคทุกคน ผมหวังว่าท่านคงเห็นถึงอันตรายของสารดังกล่าว                                                ครอบครัวผู้บริโภคเนื้อหมู ตอบ        ขอบคุณ​ สำหรับข้อมูล ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นดีๆ​ ที่เป็นประโยชน์ กับงานคุ้มครองผู้บริโภคนะคะ​ เรื่องสารเร่งเนื้อแดง​เป็นเรื่องหนึ่งในหลายเรื่องที่เป็นปัญหา​ของบ้านเรา​ นิตยสารฉลาดซื้อ​เองก็จับตามองปัญหานี้อยู่เช่นกัน ทั้งการแก้ไขปัญหาและการเตือนภัยผู้บริโภค เราจะทำงานไปด้วยพร้อมกันค่ะ ท่านผู้อ่านท่านอื่นสามารถบอกเล่าข้อมูล หรือเสนอความคิดเห็น​ รวมทั้งเสนอเรื่องที่ท่านสนใจ​ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์​ด้านสุขภาพ​ อาหาร​ และนโยบาย​ ทางเราหาข้อมูล สำรวจ หรือทดสอบ ทางเรายินดีจะนำเรื่องเหล่านี้มาขยายความเป็นข้อมูลดีๆ​ คืนกลับให้แก่ท่านผู้อ่านต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 217 โลกดิจิทัลที่ดีกว่า #Better Digital World

        ซื้อบัตรโดยสารรถไฟฟ้าแรบบิทของบีทีเอส จองตั๋วเครื่องบิน เปิดบัญชีธนาคาร ทำประกันชีวิต โหลดโปรแกรมแอปพลิเคชันฟรี ดูข้อมูลแนะนำเส้นทางในการเดินทาง ไปเจรจาไกล่เกลี่ยที่ศาลในการฟ้องคดี ต่างต้องการข้อมูลหมายเลข 13 หลักทั้งหมด การเพิ่มขึ้นของข้อมูลดิจิทัลในทุกด้านของชีวิตประจำวันของผู้บริโภค         การคุ้มครองผู้บริโภคควรขยายไปสู่บริการดิจิทัลทั้งหมดโดยไม่คำนึงว่า ผู้บริโภคจ่ายเงินในการใช้บริการหรือให้ข้อมูลเพื่อเข้าถึงบริการเหล่านั้นหรือไม่ การพัฒนาเทคโนโลยีและการตลาดในปัจจุบัน ทำให้การคุ้มครองผู้บริโภคล้าสมัยไปแล้ว กติกาเฉพาะด้านที่มีขึ้นมาใหม่ทับซ้อนกับกติกาในอดีต และกติกาใหม่ๆ ไม่ฉลาดพอ ไม่ครอบคลุม และไม่คำนึงถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น การซื้อสินค้าผ่านการตลาดทางสังคมออนไลน์ แกร็บแทกซี่ ที่พักบีเอ็นบี(Airbnb) หรือแม้แต่กรณีล่าสุดในการถ่ายทอดสดการกราดยิงผู้คนที่กำลังสวดมนต์ในสุเหร่าของนิวซีแลนด์ที่ใช้เวลานานกว่า FB จะสามารถจัดการได้         ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้ทางดิจิทัลของผู้บริโภคควรขยายการคุ้มครองผู้บริโภคไปยังบริการดิจิทัลทั้งหมดไม่ว่าผู้บริโภคจะชำระค่าบริการหรือไม่ ควรพิจารณาวิธีการทางเลือกอื่นๆ เช่น การกำกับกันเอง การกำกับร่วมกันระหว่างธุรกิจและผู้บริโภคในการพัฒนาวิธีแก้ปัญหาในอนาคต เช่น ในสหภาพยุโรป ที่มีกฎ กติกาเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภคที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคจริง หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคต้องสามารถกำหนดกติกาในอนาคตได้ และสำรวจข้อดีและข้อเสียของกฎการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล         ย้อนกลับมามองกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพิ่งผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ในมาตรา 4 ก็จะพบว่า การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ครอบคลุมไปถึงข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิต และสมาชิกตามกฎหมาย ว่าด้วยการประกอบธุรกิจ ข้อมูลเครดิต ซึ่งทำให้สถาบันการเงินทั้งหมดอันได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บรษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทประกันชีวิต นิติบุคคลที่ให้บริการบัตรเครดิต นิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการทางการเงิน นิติบุคคลอื่นที่ประกอบกิจการให้สินเชื่อเป็นทางการค้าปกติ ตามที่คณะกรรมการประกอบธุรกิตข้อมูลเครดิตกำหนด        นอกจากนี้ยังไม่คุ้มครองในกรณี การดำเนินการของหน่วยงานรัฐ บุคคลหรือนิติบุคคลที่ทำการรวบรวมไว้เฉพาะเพื่อกิจการสื่อมวลชน สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา รวมถึงคณะกรรมาธิการที่แต่งตั้งโดยสภาดังกล่าว การพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ที่ไม่ต้องถูกใช้บังคับและไม่ต้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล น่าเป็นห่วงว่า การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะใช้บังคับกับใครเพราะดูจะยกเว้นไปทั้งหมด        หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคจะสามารถกำหนดมาตรการลงโทษเมื่อจำเป็นได้อย่างไร หรือการคุ้มครองผู้บริโภคโดยการออกแบบไว้ล่วงหน้า สำหรับคอมพิวเตอร์จะทำได้อย่างไร แต่ท่ามกลางความไม่เท่าเทียมของกติกาในประเทศต่างๆ แต่ขณะที่การซื้อขายข้ามโลกเช่นนี้ อาจจะทำให้หลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแบบสากลบังคับใช้ก็ได้ เพราะในยุโรปหากเกิดความเสียหายอาจจะไม่คุ้มกับค่าปรับที่สูงมากถึง 20 ล้านยูโร(800 ล้านบาท) หรือไม่เกิน 4% ของรายได้รวมทั่วโลก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 216 จดหมายถึงบอกอ

เคยอ่านเจอในเพจของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและที่อื่นๆ ว่า ทิชชูเปียกไม่สามารถย่อยสลายได้จริงหรือไม่คะ จะรอบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้นะคะ ตุ๊กตา  ตอบ            ขอบคุณท่านสมาชิกที่ติดตามอ่านฉลาดซื้อนะคะ เรื่องทิชชูเปียกเป็นปัญหาที่น่าหนักใจ เราควรเลือกใช้เท่าที่จำเป็น หากจำเป็นต้องใช้จริงๆ ควรเก็บใส่ถุงพลาสติกเล็กๆ  แล้วนำกลับมาฝังกลบที่บ้านหากสามารถทำได้นะคะ  เพราะทิชชูเปียกไม่ใช่วัสดุที่จะย่อยสลายอย่างรวดเร็ว เพราะมันมีส่วนประกอบของเส้นใยพลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้ เมื่อมันถูกทิ้งลงก้นทะเล มันจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สัตว์ทะเลเลือกกินและเป็นอันตรายไม่ต่างจากถุงพลาสติก        จากการศึกษาของวอเตอร์ ยูเค (Water UK) องค์การที่ทำงานเกี่ยวกับน้ำและน้ำเสียในอังกฤษ พบว่า ทิชชูเปียก เป็นสาเหตุหลักถึงร้อยละ 93 ที่ทำให้ท่อน้ำในอังกฤษอุดตัน ซึ่งปัญหาท่ออุดตันนี้ทำให้อังกฤษต้องใช้จ่ายงบประมาณราวปีละ 100 ล้านปอนด์ หรือ 4,355 ล้านบาท โดยเมื่อเดือนเมษายนปี 2561 ที่ผ่านมา ทางการอังกฤษพบทิชชูเปียก 5,453 แผ่นในพื้นที่ 116 ตารางเมตรของแม่น้ำเทมส์ คาดการณ์ว่า ในปี 2564 ทิชชูเปียกทุกประเภททั่วโลก จะมียอดขายสูงถึง 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 641,000 ล้านบาท ปัญหาเรื่องขยะพลาสติกยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ ฉลาดซื้อจะนำมาฝากต่อไปค่ะ 

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 218 รู้เท่าทัน โรคตายคาเบาะหมอนวดไทย ตอนที่ 2

                ในเมื่อการนวดไทยตามมาตรฐานวิชาชีพมีความปลอดภัย มีข้อห้าม ข้อควรระวังในการนวดแล้ว ทำไมถึงยังมีผู้ป่วยเสียชีวิตคาเบาะหมอนวดไทย เรามารู้เท่าทันต่อกันเถอะ การเสียชีวิตกะทันหัน        การเสียชีวิตกะทันหันไม่ได้เกิดกับหมอนวดไทยเท่านั้น ความจริงในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เกิดกรณีฟ้องร้อง เข้าใจผิดของญาติผู้ป่วยอยู่เสมอ เพราะคนไข้ก็ดูปกติ ไม่เจ็บป่วยรุนแรง หรือกรณีแม่ก่อนคลอด ระหว่างนอนรอคลอดแล้วเสียชีวิต ญาติอาจเข้าใจว่า โรงพยาบาลปล่อยให้คนไข้ตกเตียงเสียชีวิต ตกเลือดจนตาย หรือไม่ดูแลคนไข้          นอกจากนี้ ยังมีการเสียชีวิตกะทันหันในระหว่างการใช้ชีวิตตามปกติ หรือการออกกำลังกาย โดยที่ไม่มีอาการเตือนมาก่อนอยู่เสมอ สาเหตุของการเสียชีวิตกะทันหัน        การแพทย์ฉุกเฉินพบว่า สาเหตุการตายกะทันหันของคนนั้นเกิดจาก 5 สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวายเฉียบพลัน เส้นเลือดในสมองแตก ลิ่มเลือดอุดกั้นในหลอดเลือดปอด และหลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด              ผู้เสียชีวิตกะทันหันร้อยละ 80 เสียชีวิตจากสาเหตุของหัวใจ        ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ  เป็นภาวะที่หัวใจเต้นผิดจังหวะจนหัวใจหยุดทำงาน ผู้ป่วยจำนวนมากจะไม่มีอาการผิดปกตินำมาก่อน บางรายอาจมีประวัติปวดหน้าอก หายใจไม่ออก หัวใจเต้นรัว ง่วงเหงาหาวนอน เป็นลม หัวใจเต้นผิดจังหวะที่รุนแรงเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของการเสียชีวิตกะทันหัน การรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้         หัวใจวายเฉียบพลัน  เป็นสาเหตุการเสียชีวิตกะทันหันที่พบบ่อยเช่นเดียวกัน แผ่นคราบในหลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้น อาจหลุดไปอุดตันหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดแดงที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง เกิดอาการปวดที่หน้าอก  เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาก ทำให้เสียชีวิตกะทันหันได้         เส้นเลือดในสมองแตก  เส้นเลือดในสมองแตกหรือฉีกขาดเป็นสาเหตุการตายกะทันหันที่มักจะถูกมองข้าม สมองจะทนการขาดออกซิเจนได้ไม่นานเหมือนเนื้อเยื่ออื่นๆ ของร่างกาย ถ้าเลือดในสมองออกจำนวนมาก ผู้ป่วยจะเสียชีวิตรวดเร็วก่อนมาถึงโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกตินำมาก่อน แต่อาจมีอาการปวดศีรษะที่เลวลง ซึมลง ผู้ป่วยมักจะมีความดันโลหิตสูงมาก่อน         ลิ่มเลือดอุดกั้นในหลอดเลือดปอด  พบบ่อยในผู้ป่วยที่สูงอายุ มะเร็ง ผู้ป่วยที่เพิ่งรับการผ่าตัด ผู้ที่รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ผู้นอนติดเตียง และผู้ที่มีหลอดเลือดดำอุดตัน  ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดปอดเป็นสาเหตุการตายกะทันหันร้อยละ 15  ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจไม่ออก ปวดหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว เป็นลม ความดันเลือดต่ำ กระวนกระวาย มือเล็บเขียว  การปฐมพยาบาลและการส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ทันท่วงที         หลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด  การฉีกขาด การแตกของหลอดเลือดแดงใหญ่ทำให้เสียชีวิตกะทันหัน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ผิดปกติอาจก่อให้เกิดการโป่งของผนังหลอดเลือดแดง เมื่อโป่งพองช้าๆ เป็นเวลาหลายปี มีความเสี่ยงในการแตกของหลอดเลือดแดงได้             ดังนั้น การเสียชีวิตกะทันหันเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ในทุกขณะ โดยไม่เกี่ยวกับการนวดหรือการรักษาใดๆ ไม่ใช่โรคที่เกิดจากหมอทำ ไม่ว่าจะเป็นหมอนวดหรือหมอแผนปัจจุบัน                                        

อ่านเพิ่มเติม >