ฉบับที่ 234 ทำไมต้องคัดค้านการนำเข้าขยะพลาสติก

        คนไทยทุกภาคส่วนทำงานหนักเพื่อลดการใช้พลาสติก และรณรงค์ให้ใช้พลาสติกให้น้อยที่สุด ไม่รับถุงพลาสติกในร้านสะดวกซื้อ หรือห้างสรรพสินค้าทั้งหลาย หรือแม้แต่การใช้แก้วน้ำส่วนตัวแทนแก้วพลาสติก         การจัดการหรือการกำจัดขยะพลาสติกทำได้ยาก ทำให้ประเทศพัฒนาแล้ว ทำการแยกขยะพลาสติกอย่างละเอียดลออ เพราะการกำจัดขยะพลาสติกมีปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ส่งผลต่อสุขภาพของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่ออาชีพของกลุ่มซาเล้ง ประมาณ 1.5 ล้านคน และร้านรับซื้อของเก่าทั้งประเทศที่จดทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยอีกไม่น้อยกว่า 3 หมื่นร้านค้า        ปัจจุบันประเทศไทยยังอนุญาตให้นำเข้าขยะพลาสติก โดยที่คนไทยรับรู้เรื่องนี้น้อยมาก ภาพคอนเทนเนอร์ใส่ขยะจำนวนมาก ที่ไม่สามารถกดดันให้คืนกลับสู่ประเทศต้นทาง ทำให้ต้องแบกรับภาระในการจัดการขยะพลาสติกเหล่านั้น เนื่องจากการนำเข้าขยะพลาสติกรัฐยังผ่อนผันให้สามารถนำเข้าได้ 2 ปี โดยกำหนดปริมาณให้นำเข้าในปริมาณที่ลดลง เช่น ในปี 2562 กำหนดเป้าหมายไม่เกินจำนวน 7 หมื่นล้านตัน แต่พบว่า มีการนำเข้าจริงสูงถึง 3 แสนล้านตัน หรือแม้แต่ในปี 2563 ได้รับการผ่อนผันเพียง 4 หมื่นล้านตัน แต่กลับพบว่านำเข้าในระดับแสนล้านเช่นเดียวกันความล้มเหลวในการควบคุมการกำกับดูแลปริมาณการนำเข้าทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งจัดการขยะพลาสติกอันตราย ต้นเดือนกันยายนหลายภาคส่วนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการนำเข้าขยะพลาสติกทันที ไม่มีการผ่อนผันอีกต่อไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเหมือนกับที่กระทรวงพานิชย์ มีมาตรการห้ามนำเข้าขยะอิเลคโทรนิกส์ไปเมื่อ 15 กันยายนที่ผ่านมา และต้องกำหนดให้ประเทศไทยยกเลิกการนำเข้าขยะหรือเศษพลาสติกและซากอิเล็กทรอนิกส์ 100% ภายในปี 2563ให้ได้ไม่ใช่ผ่อนผันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด         ขยะพลาสติกเหล่านี้มาจากไหนขยะเหล่านี้มาจากการยุติการห้ามนำเข้าขยะของประเทศจีน ส่งผลให้ขยะพลาสติกทะลักมาสู่กลุ่มประเทศอาเซียน เนื่องจากจีนประสบปัญหาการลักลอบนำเข้าเข้าสารอันตรายที่ปะปนมากับขยะพลาสติกและขยะอื่นหลายชนิดที่นำมาเป็นวัตถุดิบเพื่อรีไซเคิลและผลิตสิ่งของในประเทศ จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐบาลจีนจึงออกประกาศห้ามนำเข้าขยะจากต่างประเทศเป็นการเร่งด่วน รวมทั้งสิ้น 32 รายการมาตรการนี้ส่งผลให้ขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมหาศาลไหลทะลักสู่ประเทศอื่นในอาเซียนรวมถึงประเทศไทย เช่น พบว่า ในปี พ.ศ.2561 มีการนำเข้าเศษพลาสติกสูงถึง552,912 ตัน เทียบกับปีพ.ศ. 2559ก่อนประเทศจีนประกาศห้าม มีการนำเข้ามาเพียง 69,500 ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า         นโยบายที่ขัดแย้งกันเองของรัฐบาล จะทำอย่างไรที่จะช่วยกันแก้ปัญหาต้นน้ำ ซึ่งคงหนีไม่พ้นการห้ามนำเข้าขยะพลาสติก เพราะนอกจากเป็นปัญหากับซาเล้ง ส่งผลต่อสุขภาพสิ่งแวดล้อม ยังเกิดปัญหาการแย่งน้ำของชุมชุนในการทำโรงไฟฟ้าชุมชนจากขยะพลาสติก ตลอดจนความไม่เป็นธรรมในโครงสร้างราคาพลังงาน ที่โรงงานพลาสติกขายไฟฟ้าได้ 5.5 บาทต่อหน่วย ขณะที่ ไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์มีรับซื้อเพียง 1.68 บาทเท่านั้น เร่งจัดการปัญหาขยะพลาสติกในประเทศเราเถิด ไม่ควรมีตำแหน่งรับกำจัดขยะพลาสติกทั่วโลก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 235 ผลทดสอบเครื่องทำกาแฟ

        ฉลาดซื้อมีผลทดสอบเครื่องทำกาแฟมาฝากคุณอีกครั้ง มีทั้งแบบแมนนวล แบบอัตโนมัติ และแบบแคปซูล รอบนี้เราคัดมา 20 รุ่นจากที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศได้ทดสอบไว้ในปีนี้ สนนราคาตั้งแต่ 1,530 ถึง 43,900 บาท เครื่องทำกาแฟที่ได้คะแนนสูงสุดสามอันดับแรกในการทดสอบรอบนี้ (84 -82 คะแนน) เป็นเครื่องทำกาแฟแบบแคปซูล (Jolie ของ Lavazza / Nespresso ของ Krups / Creatista ของ Sage) และที่เข้ามาเป็นอันดับแรกของเครื่องแบบอัตโนมัติคือ Jura E6 Piano (80 คะแนน) ในขณะที่รุ่นแมนนวลที่ได้คะแนนสูงที่สุดคือ ECF01 ของ Smeg (76 คะแนน)           คะแนนเต็ม 100 ประกอบด้วย        คุณภาพ/รสชาติของกาแฟ ร้อยละ 50        ประสิทธิภาพการทำงาน             ร้อยละ 25        ความสะดวกในการใช้งาน ร้อยละ 20        และการประหยัดพลังงาน   ร้อยละ 5          ใครเล็งเครื่องแบบไหนไว้ ไปดูกันเลย นี่เป็นครั้งที่เจ็ดแล้วที่ฉลาดซื้อนำเสนอผลทดสอบเครื่องทำกาแฟหรือบางคนเรียกว่าเครื่องทำเอสเปรสโซ สมาชิกสามารถค้นหาผลการทดสอบรุ่นที่เราเคยทำไว้ก่อนหน้านี้ได้ในฉบับที่ 114/141/195/206/207 และ 221         หมายเหตุ ราคาที่แสดงเป็นราคาจากอินเทอร์เน็ต โปรดตรวจสอบราคาและโปรโมชันอีกครั้งก่อนตัดสินใจ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 235 ผลทดสอบการตกค้างของสารเคมีทางการเกษตร ในปลาสลิดตากแห้ง

ปลาสลิด หรือ ปลาใบไม้ เป็นปลาน้ำจืดที่เป็นปลาเศรษฐกิจสำคัญชนิดหนึ่งของไทย ปลาชนิดนี้นิยมนำมาแปรรูปเป็นปลาสลิดตากแห้ง (ปลาสลิดแดดเดียว) โดยแหล่งผลิตและแปรรูปปลาสลิดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีคือ ปลาสลิดบางบ่อ (อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ) ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความหอมมันของเนื้อปลา          ปลาสลิดแดดเดียวนับเป็นอาหารแปรรูปแบบแห้งที่ผู้บริโภคนิยมรับประทานไม่แพ้อาหารทะเลตากแห้งจำพวกปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้ง เพราะปลาสลิดมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื้อปลามีความมัน สามารถนำไปทอด แกงส้ม ผัดกะเพรา ทำข้าวผัดปลาสลิด ยำปลาสลิด ผัดพริกขิงปลาสลิดกรอบ ผัดคะน้าปลาสลิด แล้วแต่จะรังสรรค์เมนูต่างๆ นานา ก็ล้วนอร่อยแทบทั้งนั้น แต่ผู้บริโภคเคยสังเกตหรือไม่ว่า ร้านอาหารทะเลหรือเนื้อสัตว์ตากแห้งในตลาดสด ปกติแล้วจะเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแมลงวัน ซึ่งแน่นอนว่าหากร้านไหนมีแมลงวันมาตอมอาหาร ก็จะดูไม่สะอาดและไม่ถูกหลักอนามัย หากเป็นช่วงก่อนนี้ แม่ค้าก็จะใช้ถุงน้ำแขวนไว้ หรือ ใช้ไม้พันปลายด้วยพู่เชือกฟางปัดๆ เอา บางร้านอาจใช้มอร์เตอร์ติดก้านไม้ปัดแมลงที่หมุนได้อัตโนมัติเพื่อไล่แมลงเหล่านี้ไม่ให้มายุ่งกับอาหารหากไปเจอร้านที่ไม่มีอุปกรณ์ไล่แมลงเลย แต่กลับไม่มีแมลงตอมสักตัว อันนี้ผู้บริโภคก็อย่าได้วางใจ อาจตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าแม่ค้าใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่นหรือไม่ ดังที่เป็นข่าวเมื่อต้นปี 2560 ที่มีการตรวจพบจากหน่วยงานว่า แม่ค้าบางร้านใช้ยาฆ่าแมลง “ดีดีที” (DDT) หรือ ไดคลอโรไดฟีนิลไตรคลอโรอีเทน (Dichloro-diphenyl-trichloroethane) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายทางการเกษตร ฉีดพ่นปลาสลิดแห้งที่วางจำหน่าย เพื่อไม่ให้มีแมลงวันมาตอม          ดังนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวังการตกค้างของสารเคมีในอาหารอย่างสม่ำเสมอ นิตยสารฉลาดซื้อและโครงการสนับสนุนการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ได้สุ่มเก็บตัวอย่างปลาสลิดตากแห้ง (ปลาสลิดแดดเดียว) จำนวน 19 ตัวอย่าง ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จากร้านค้าในตลาดสด ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้าทั่วไป และร้านค้าออนไลน์ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด โดยส่งตรวจวิเคราะห์การตกค้างของยาฆ่าแมลงในกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต (Pesticides Organophosphorus) และในกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pesticides Pyrethroid) โดยผลการตรวจวิเคราะห์แสดงดังตารางต่อไปนี้ สรุปผลการทดสอบ          จากผลการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ปลาสลิดตากแห้ง (แดดเดียว) ทั้งหมด 19 ตัวอย่าง พบว่า ผลิตภัณฑ์ปลาสลิดตากแห้ง (แดดเดียว) ทุกตัวอย่าง ตรวจไม่พบการตกค้างของสารเคมีทางการเกษตรในกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต และ ในกลุ่มไพรีทรอยด์ ข้อสังเกตอื่นๆ          จากตารางข้างต้น หากเปรียบเทียบราคาต่อกิโลกรัมของผลิตภัณฑ์ปลาสลิดตากแห้ง ทั้ง 19 ตัวอย่างนั้น พบว่า          - ตัวอย่างปลาสลิดตากแห้ง (แดดเดียว) ที่มีราคาต่อกิโลกรัม ต่ำที่สุด คือ 180 บาท/กก.              ได้แก่ ร้านตี๋ใหญ่ ตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่ และ ล้านมัจฉาอาบแดด ร้านป้าแจ๋ว วัดป่าเลไลย์ /จ.สุพรรณบุรี    และ   ตัวอย่างปลาสลิดตากแห้ง (แดดเดียว) ที่มีราคาต่อกิโลกรัม สูงที่สุด คือ 442.86 บาท/กก.            ได้แก่ โลตัส Express สาขาเซ็นเตอร์วัน            ทั้งนี้ หากลองเฉลี่ยราคาต่อกิโลกรัมของตัวอย่างผลิตภัณฑ์ปลาสลิดตากแห้ง (แดดเดียว) ทั้งหมด 19 ตัวอย่าง จะได้ราคาเฉลี่ยเท่ากับ 277.76 บาท/กก. ข้อแนะนำผู้บริโภค          การเลือกซื้อปลาสลิดแดดเดียว ควรเลือกซื้อปลาที่มีกลิ่นหอม (แต่ไม่ใช่กลิ่นสาบดินโคลน) เนื้อปลาไม่แห้งจนเกินไป สังเกตที่บริเวณท้องควรมีความมันเลื่อมอยู่บ้าง ใช้นิ้วกดดูที่เนื้อบริเวณด้านหลังจะดีดตัวกลับ และสังเกตว่าปลาสลิดตากแห้งนั้นมีแมลงมาตอมบ้างหรือไม่ หากไม่มีเลยอาจดูผิดแปลกธรรมชาติ ก็อย่าได้วางใจเมื่อซื้อมาแล้วก่อนนำมาปรุงอาหารรับประทาน ควรล้างให้สะอาด ซับน้ำให้แห้ง ใช้มีดบั้งปลาก่อนนำลงทอดให้กรอบ หรือหากต้องการเก็บปลาสลิดเอาไว้ในตู้เย็น ควรล้างปลาสลิดให้สะอาดแล้วซับน้ำให้แห้งเสียก่อน จึงมัดใส่ถุงพลาสติกให้สนิท หรือ อาจเก็บไว้ในถุงสุญญากาศ นำเข้าแช่เย็น หรือช่องแช่แข็ง ก็จะเก็บได้นานขึ้น ข้อมูลอ้างอิง        - การเลี้ยงปลาสลิด, กรมประมง (https://www.fisheries.go.th/sf-naratiwas/salid.html)         - https://th.wikipedia.org/wiki/ปลาสลิด         - Pesticides / วัตถุอันตรายทางการเกษตร               (http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1230/pesticides-วัตถุอันตรายทางการเกษตร)         - วัตถุอันตรายทางการเกษตร : ยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต          (http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/2187/)         - สารกำจัดแมลงและศัตรูพืชกลุ่มไพรีทรัม และสารสังเคราะห์ไพรีทรอยด์          (http://www.nfi.or.th/foodsafety/upload/damage/pdf/pyrethrum_and_pyrethroides_2.pdf)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉลาดซื้อเปิดเผยผลทดสอบโลหะหนักจากปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ ปลอดภัยไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข

ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ โดยโครงการสนับสนุนระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ได้สุ่มเก็บตัวอย่างปลากระป๋องชนิดปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ ที่วางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าทั่วไป โดยเก็บตัวอย่างเดือนกรกฎาคม 2563 จำนวน 14 ตัวอย่าง ส่งตรวจวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของโลหะหนัก 3 ชนิด ได้แก่ ปรอท, ตะกั่ว และแคดเมียม และสังเกตปริมาณโซเดียมบนฉลากนางสาวสารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการบริหารนิตยสารฉลาดซื้อ กล่าวสรุปผลการทดสอบว่า พบผลิตภัณฑ์ปลากระป๋องชนิดปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศจำนวน 14 ตัวอย่าง มีปริมาณการปนเปื้อนของโลหะหนักประเภทปรอท ตะกั่ว หรือ แคดเมียม ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขโดยการปนเปื้อนโลหะหนักประเภทปรอทและตะกั่ว ประเทศไทยกำหนดให้อาหารในภาชนะบรรจุที่เป็นโลหะ สามารถตรวจพบปริมาณปรอทได้ไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม สำหรับอาหารทะเล และมีปริมาณตะกั่วได้ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 355) พ.ศ. 2556 เรื่องอาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท*          ส่วนการปนเปื้อนโลหะหนักประเภทแคดเมียม ประเทศไทยกำหนดให้ตรวจพบปริมาณสูงสุดของแคดเมียมในอาหารประเภทปลาได้ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 98 ) พ.ศ. 2529 เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อน          *ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ปรับปรุงประกาศฉบับเดิมคือ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 355 เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อนโลหะหนักประเภทแคดเมียม ตะกั่ว และปรอท ให้เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 414 โดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้หลังครบ 180 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา            โดยประกาศฯ ฉบับนี้กำหนดให้ตรวจพบปริมาณสูงสุดของแคดเมียมในอาหารประเภทปลาได้ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตะกั่วในอาหารประเภทปลาได้ไม่เกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และปรอทในอาหารประเภทปลาทูน่า โดยอยู่ในรูปเมธิลเมอร์คิวรี (methyl mercury) ได้ไม่เกิน 1.2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม  ซึ่งผลตรวจวิเคราะห์ปริมาณการปนเปื้อนของโลหะหนักประเภทแคดเมียม ตะกั่ว และปรอท ในผลิตภัณฑ์ปลากระป๋องทั้ง 14 ตัวอย่าง ก็ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานของประกาศฯ ฉบับใหม่นี้เช่นกัน          ส่วนข้อสังเกตปริมาณโซเดียมนั้น จากการสำรวจปริมาณโซเดียมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคที่แนะนำบนฉลากโภชนาการ พบว่า ตัวอย่างมีปริมาณโซเดียมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคที่แนะนำน้อยที่สุด คือ ยี่ห้อ สามแม่ครัว ปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ มีปริมาณโซเดียม เท่ากับ 230 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคที่แนะนำ ½ กระป๋อง (77 กรัม) และ ตัวอย่างที่มีปริมาณโซเดียมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคที่แนะนำมากที่สุด คือ ยี่ห้อ ซูมาโก ซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ มีปริมาณโซเดียมเท่ากับ 660 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคที่แนะนำ 1 กระป๋อง (125 กรัม)          ทั้งนี้ในแต่ละยี่ห้อมีปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคที่แนะนำแตกต่างกันไป ตั้งแต่ ½ กระป๋อง (ประมาณ 77 กรัม) ถึง 1 กระป๋อง (ประมาณ 125 กรัม) ดังนั้นการพิจารณาปริมาณโซเดียมที่ได้รับจากการบริโภค จึงต้องเปรียบเทียบหนึ่งหน่วยบริโภคที่แนะนำประกอบกันไปด้วย และ โดยทั่วไปปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคอ้างอิงของอาหารในกลุ่มอาหารบรรจุกระป๋อง ขวดแก้วที่ปิดสนิท หรือในซองอะลูมิเนียมฟอยล์ จำพวกเนื้อสัตว์ ปลา หอย ในซอส เช่น ปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศอยู่ที่ 85 กรัม แม้ว่าปลากระป๋องจะมีคุณค่าทางอาหารโดยเฉพาะให้โปรตีนสูง แต่เนื่องจากมีการปนเปื้อนของโลหะหนัก อยู่บ้างจากการสะสมในธรรมชาติ ซึ่งแม้ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน แต่หากรับประทานบ่อยครั้งจนเกินไป ก็อาจเกิดการสะสมของโลหะหนักในร่างกายได้ จึงควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ สลับกับการบริโภคอาหารประเภทอื่น          ข้อควรระวังอีกอย่างก็คือความเสี่ยงจากสารอันตรายที่เรียกว่า "ฮีสตามีน" ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียที่ย่อยกรดอะมิโนในตัวปลา ในระหว่างการขนส่งและจัดเก็บปลาทะเลที่ควบคุมความเย็นได้ไม่มากพอ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีอาการแพ้ฮีสตามีนได้ นอกจากนี้ ปลากระป๋องยังมีโซเดียมในปริมาณสูงเช่นกัน หากบริโภคมากจนเกินไปก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตหรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้อ่านข้อมูลและผลทดสอบได้ที่ นิตยสารฉลาดซื้อ https://chaladsue.com/article/3499

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 236 เมื่อระบบความปลอดภัยของรถยนต์มีปัญหา Accord Generation 9

เมื่อประมาณเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กฤษณะ น้ำดอกไม้ เจ้าของเพจ ‘Accord G9 หนึ่งในตัวแทนกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ฮอนด้า รุ่น Accord Generation 9 เดินทางมาร้องเรียนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เขาเล่าถึงปัญหาปั๊ม ABS’ ว่า มีผู้ใช้รถยนต์ฮอนด้า รุ่น Accord Generation 9 ที่ผลิตในปี 2013 - 2018 จำนวนมากที่พบปัญหาเกี่ยวกับระบบควบคุมความปลอดภัยในการขับขี่รถ จึงได้ร้องเรียนไปที่ศูนย์บริการแต่ละสาขา และร้องเรียนผ่านทางเจ้าหน้าที่ของบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้ผลิตและประกอบรถยนต์รุ่นดังกล่าว แต่มีการแก้ไขปัญหาให้กับเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ยังมีผู้ใช้บริการที่ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างเป็นธรรมอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้นแนวปฏิบัติที่ไม่ชัดเจนของแต่ละศูนย์บริการและการชี้แจงถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่มีปรากฎต่อสาธารณะ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนอะไร  วางแผนจะทำอย่างไร         จริงๆ กลุ่มที่รวมตัวกันปีกว่ามันเกิดจากที่เราไปเจรจากับบริษัทฯ และเราได้เงื่อนไขมา ทีนี้เรามองว่าเราได้การชดเชยตามเงื่อนไข ถ้าเกิดเรารับจบไปตอนนั้นเลยคันอื่นก็จะไม่ได้ เราก็คิดว่ามันก็จะมีคนที่ถูกทิ้งอยู่ คนที่เกิน (ไม่เข้า) เงื่อนไข เราเลยคิดว่าเราควรต้องแยกสองประเด็น ประเด็นแรกอะไหล่มันมีคุณภาพพอหรือเปล่า อีกอันหนึ่งคือความรับผิดชอบของค่ายรถยนต์         Page สร้างมาเพื่อที่จะประชาสัมพันธ์ให้ ผู้ใช้ทุกคัน ทราบสิทธิว่ามีเคลมฟรีและเขาควรใช้สิทธิเคลมฟรี หรืออย่างน้อยได้รับการพิจารณาให้ส่วนลดนะครับ เราจึงมาปรึกษาทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่า เราจะทำอย่างไรให้มันเป็นระบบ จะร้องเรียนอย่างไรให้เป็นระบบเพราะว่าผมเคยไปที่ สคบ.เขาบอกว่าผมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ซึ่งผมก็พยายามบอกว่าผมก็คือผู้ใช้คันหนึ่งที่มีความกังวลแล้วเราก็รวมตัวกันมา ตอนนั้นประมาณ 70 กว่าคันที่มีเสียหาย แต่ทาง สคบ.เขาก็บอกว่าไม่ได้ คุณต้องไปเอาผู้ใช้ที่มีปัญหามา ให้ผู้เสียหายมาร้องเรียนใครที่ไม่ใช่ก็ร้องเรียนไม่ได้ และเขาก็บอกว่ารถมันหมดประกันไปแล้วจะไปให้เขาทำอะไร เขาก็พูดในลักษณะของแง่กฎหมาย ตอนนั้นก็เลยมาหามูลนิธิฯ ทางมูลนิธิฯ มองว่ามันมีเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันในการดูแล ตอนนี้ก็คือทางมูลนิธิก็ช่วยจัดการเรื่องแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนให้เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้ท่านอื่นๆ อีกประมาณ 40,000 กว่าคันที่เขาเป็นเจ้าของรุ่นนี้ทราบสิทธิ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563         หลังออกสื่อก็มีผู้ใช้จำนวนมากเพิ่งทราบข่าว เขาก็มาติดต่อผม บอกว่าเขาจ่ายไปแล้วสี่หมื่นกว่า บางคนก็ได้ส่วนลดบ้างแต่น้อยมาก ซึ่งตรงนี้เองเราก็ตั้งใจไว้อย่างนี้ว่าคือถ้าเกิดสื่อหลักให้พื้นที่ข่าวมันก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้ เพราะว่าผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายหมื่นคันที่ยังไม่รู้เรื่องเลย คนที่มีปัญหาแบบนี้จะเข้ามาร่วมอย่างไร ท่าทีของบริษัทเป็นอย่างไร         จริงๆ อยู่ที่บริษัทฯ นะ เขามีข้อมูลผู้ใช้ทุกอย่าง  ทำอย่างไรจะให้บริษัทแจ้งผู้ใช้ทุกคนที่เขาใช้รถรุ่นนี้ เราไม่มีทางอยู่แล้วที่เราจะแจ้งทุกคนให้ทราบได้นะครับ เราไม่มีรายชื่อผู้ขับขี่ ชื่อเจ้าของรถ บริษัทเขารู้ดีเพราะสามารถโทรไปแจ้งว่าต้องมาเช็คระยะตามกำหนดนะ มีฐานข้อมูลตรงนี้ แต่ความที่เราต้องการช่วยเหลือให้ได้มากที่สุดเราเลยพยายามประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีที่เราพอจะทำได้  ทุกวันนี้ผมบอกเลยนะมีคนติดต่อมาทุกวัน   เดือนล่าสุด (ตุลาคม) นี่ห้าสิบหกสิบคัน มันไม่ใช่น้อยๆ นะ ตัวเลขมันสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายคันที่เขาไม่ทราบแล้วเขาก็ไปซ่อมเอง ถ้าเขาทราบว่ามีกลุ่มที่เราทำขึ้นมา เขาได้ฟรี        “บางคนไม่รู้ไปซ่อมเองจ่ายสี่หมื่นกว่า บางคนไปซ่อมข้างนอกไม่จบก็มี และมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยไง หลายๆ คนเอาไปซ่อมเขาก็บอกเลยว่าเขาไม่สบายใจ” ล่าสุดบริษัทฮอนด้าก็ยังไม่มีอะไรเป็นทางการ มีก็แค่การชี้แจงผ่านรายการโทรทัศน์บ้าง แต่ยังไม่มีอะไรเลยที่เขาจะยอมรับ (อย่างเป็นทางการ) เลยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเขาจะนำไปพิจารณาแล้วจะกำหนดอะไรต่างๆ ให้มันชัดเจน ความยากของเรื่องนี้คืออะไร         คือกลุ่มของผมลักษณะผู้ใช้รถคือ คนวัยทำงานและก็อายุค่อนข้างเยอะ พอหลายคนเห็นว่ามันมีขั้นตอนเยอะ เช่น ต้องรวมตัวต้องออกตัวอะไรอย่างนี้ หลายคนไม่สะดวกอันนี้ยอมรับเลยนะครับว่า ไม่สะดวก เพราะว่าหนึ่ง เขาไม่มั่นใจในเรื่องหน่วยงานของรัฐที่จะช่วยเหลือเขา เพราะว่ามีคนเคยติดต่อไปทางหน่วยงาน หน่วยงานก็เงียบกลายเป็นว่าแนะนำให้ไปรับข้อเสนอฮอนด้าเถอะ บอกว่าไม่มีกฎหมายที่จะไปเอาผิดบริษัทฯ เขา คนที่ได้รับคำแนะนำแบบนี้เขาก็พูดต่อๆ กัน กลายเป็นว่าเขาก็เอาไปซ่อมเองข้างนอก จบๆ กันไป หลายคันก็ขายทิ้งเพราะว่ารถมันอายุเยอะแล้ว         อย่างที่ผมบอกความช่วยเหลือของฮอนด้า (อย่างเป็นทางการ) นั่นคือประเด็นหนึ่ง แต่อีกอย่างหนึ่งก็คือแนวทางของเราเอง ของผู้บริโภคคือทำอย่างไรจึงจะกดดันให้บริษัทเขายอมรับว่า อะไหล่ชิ้นนี้มันมีปัญหาจริง ซึ่งจากเอกสารแม้แต่ตัวผมเองผมก็รู้ว่ามันมีปัญหาต้องจัดการอย่างไร การเสียหายแบบนี้มันเกิดจากไหน  เรารู้ ฮอนด้าก็รู้ ทุกคนก็รู้ แต่บริษัทฯ เขาไม่รับว่าเป็นความผิดพลาด บริษัทฯ จึงควรแสดงความรับผิดชอบ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของผู้บริโภค มันเป็นหน้าที่ที่บริษัทฯ ต้องดำเนินการ ชี้แจงสิ รับผิดชอบสิ เหนื่อยไหมกับการออกมาใช้สิทธิ         ผมว่าเวลาเราร้องเรียนอะไรเราต้องออกตัว ออกตัวมากหรือมีขั้นตอนมากต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนในการร้องเรียน ซึ่งบางทีมูลค่าของความเสียหายมันไม่เยอะ พอมันไม่เยอะหรือมันสามารถแลกกับการที่จ่ายๆ ไปเพื่อซื้อเวลา ซื้อการตัดจบปัญหาอย่างนี้ จะเป็นสิ่งที่คนที่เกิดความเสียหายคิด เพราะอย่างนั้น เลยกลายเป็นว่าพลังของผู้บริโภค มันก็จะค่อยๆ แผ่วไป มันก็จะเหลือคนที่ยืนหยัดจริงๆ ว่าสิ่งตรงนี้มันไม่ถูกต้องอยู่แค่หยิบมือหนึ่ง พอเป็นอย่างนี้ผู้ประกอบการมั่นใจว่ามูลค่าเท่านี้ (ไม่มาก) ผู้บริโภคคงไม่มาเรียกร้องอะไรมากมายเจรจาเป็นรายๆ ไปก็จบ  แต่มันไม่ใช่นะผมคิด         คืออย่างผมนี่แม้กระทั่งค่ายมือถือเขาหักเงินผมไป 30 บาท ด้วยเหตุผลว่าอยู่ ๆ ผมไปสมัครอะไรก็ไม่รู้ ผมยอมโทรศัพท์คุยกับเขาเสียเงินห้าสิบหกสิบบาทเพื่อให้เขายอมรับให้ได้ว่าตรงนี้คุณผิด แต่กลับกันในประเทศ เราหลายคนจะรู้สึกว่ารัฐไม่ช่วยหรอก กฎหมายไม่ช่วยหรอก ตัวอย่างก็มีอะไรอย่างนี้ ไปฟ้องศาลเป็นปีสองปีสามปีอะไรอย่างนี้ เหนื่อยก็เหนื่อย เอาเวลาไปทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่าตัดจบไป มันก็เลยกลายเป็นว่าเรื่องนี้มันก็ส่งต่อไปรุ่นต่อรุ่นไปเรื่อยๆ ทำให้พลังผู้บริโภคอ่อนแอ         อย่างกรณีกฎหมาย LEMON LOW ถ้าเกิดออกมาผมว่า ต้องไปดูเรื่องของกระบวนการด้วยว่ามันจะเอื้อผู้บริโภคให้เขากล้าออกมาหรือเปล่า มีค่าเสียเวลา มีอะไรที่เขารู้สึกว่าหรือว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะมีหน่วยงานหรืออาจจะเป็น หน่วยงานพิเศษ หน่วยงานเร็ว ที่เข้ามาตรวจสอบอะไรอย่างนี้ คือทุกวันนี้เรามีสมาคม มีหน่วยงานเยอะมาก สมาคมยานยนต์ ซึ่งจุดประสงค์เขาก็มีอยู่แล้วเรื่องคุณภาพการผลิตอะไรอย่างนี้แต่ทุกวันนี้เขาก็เงียบ สมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ก็เงียบ กรณีรถยนต์นี้อุปสรรคของผู้บริโภคอย่างหนึ่งคือ ค่ายรถยนต์ใหญ่มันมีผลประโยชน์เรื่องของการโฆษณาอยู่ เชื่อไหมว่า สื่อใหญ่รายการดังผมติดต่อไปหมดแล้วทั้งเมล์ ทั้งแชท ทั้งทุกช่องทางโทรไปก็เงียบ มีนักข่าวจากบางช่องมาติดต่อถามช่วงแรกๆ แล้วจากนั้น เขาก็เงียบ คือทุกอย่างเงียบหมด   ผมเลยมองว่าในเมื่อค่ายรถยนต์มันมีผลประโยชน์หรือผู้ประกอบการมีผลประโยชน์ในสื่อโฆษณากับทางสถานีโทรทัศน์ ที่ควรทำหน้าที่บอกความจริงทางใดทางหนึ่งให้กับประชาชน กลายเป็นว่าเขามีผลประโยชน์เอื้อกันตรงนี้มันก็ยิ่งทำให้ผู้บริโภคยากไปใหญ่         เพราะว่าการรวมตัวกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ การที่เราจะบอกให้คนมารวมตัวกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่การรวมกลุ่มผู้เสียหาย มีประโยชน์มันไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อโจมตีบริษัทฯ เลยนะแต่มันคือการสร้างพลังในการสื่อสาร ทำให้เราแจ้งข้อมูลจำเป็นต่างๆ ได้ อย่างน้อยผู้เสียหายควรรู้สิทธิว่า เขาคือผู้ใช้รถรุ่นนี้ เมื่อเขามีปัญหาเขาควรที่จะไปเข้าศูนย์เพื่อให้ศูนย์ตรวจสอบ   เมื่อคันหนึ่งได้เคลมฟรี คนที่เข้าข่ายเงื่อนไขเดียวกันก็ควรเคลมฟรีด้วย ไม่ใช่ว่าเขาแค่ไม่รู้ข่าวเลยต้องจ่ายเต็มทุกอย่าง อันนี้มันก็เป็นความไม่เท่าเทียมกันแล้วมันก็สะท้อนให้เห็นว่ามาตรฐานในการให้บริการตามที่เขากล่าวอ้างหรือโฆษณาว่ามาตรฐานฮอนด้าทุกศูนย์เท่าเทียมกันหมดไม่จริง ต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นได้บทเรียนอะไรบ้าง         หนึ่งคือเราไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของรถไงครับ เราไม่รู้ว่าใครประสบปัญหาอย่างเราบ้าง เราได้แต่ปากต่อปากเราคอยมองตามหน้า Page ว่า ณ วันนี้มีคนแจ้งมาไหมว่ามีปัญหา มีคนมาปรึกษาไหมว่าทำอย่างไรดีครับมันเสีย เราต้องตามเก็บพวกนี้ทุกวันๆ เราจึงเกิดพลังขึ้น แค่ว่าผมไม่เข้า Page แล้ววันนั้นนะมีคนบอกพี่ครับรถผมเสีย สิ่งที่คนนั้นเขาจะได้ข้อมูลกลับไปคือเอาไปซ่อมข้างนอกเลยครับ 5,000 บาทจบ อู่จะมาพิมพ์ติดต่อผมได้เลยครับรับซ่อม คราวนี้โพสต์นั้นก็ไหลลงไหลลง เราก็ไม่ได้ไปตามเห็นอีก เราก็เสียผู้บริโภคที่เขากำลังเดือดร้อนไปอีกหนึ่งคน แต่กลับกันถ้าเกิดผมเจอเขาก่อน ลองเข้ามาอ่าน Page ร้องเรียนครับ ถ้าเกิดเห็นด้วยกับแนวทางมาร่วมลงชื่อนะครับ ผมจะยินดีแนะนำแนวทางให้         สิ่งง่ายๆ คือเราไม่รู้ว่าเราจะประชาสัมพันธ์ช่องทางไหนได้ ถ้าเกิดสื่อหลักเขาไม่เล่น อย่าง Thai PBS วันเดียวมีคนแจ้งผมมาสิบกว่า รายบอกว่าพี่ผมเพิ่งเห็นผมไม่รู้ผมจ่ายเงินไปแล้ว ทุกวันนี้ก็มีคนแจ้งมาว่าผมจ่ายเงินไปแล้ว นี่แค่ ThaiPBS นะ แต่สื่ออื่นค่อนข้างเงียบ แต่ถ้าเกิดสื่อหลักอย่างรายการดังๆ ที่เรารู้ ถ้าเกิดเขาเชิญไป เราต้องการไปบอกนะว่า เขามีนโยบายเคลมฟรีแค่นั้นเอง         เรื่องเดือดร้อนขนาดนี้มูลค่าความเสียหายก็เยอะ มันเป็นเรื่องความปลอดภัย ที่ต่างประเทศถึงขั้นมันอยู่ๆ รถก็เบรคเองกลางถนน บ้านเราโชคดียังไม่มีเหตุการณ์นี้ มีแต่เพียงว่าพวงมาลัยมันหนัก หนักขึ้นจากปกติ มีเคสเฉี่ยวชนแล้ว แต่อันนั้นผมคิดว่าบริษัทเขาก็รู้ ผมก็เคยโพสต์แล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะว่าหนึ่งคือ เหมือนกับเขาคงรอว่าให้มีคนเสียชีวิตก่อนให้เป็นข่าวดังก่อน แล้วถามว่าใครอยากจะเป็นศพแรกถูกไหมครับ คือในต่างประเทศผมบอกเลยนะเขา Recall แม้ยังไม่มีการเฉี่ยวชนเลยนะ มันเป็นคดีความในต่างประเทศ แต่รถนี้ผลิตในประเทศ ขายในประเทศ คุณจะไปรอให้ต่างประเทศมีคดีความทำไม ในเมื่อทั้งหมดทั้งมวลมันคืออยู่ในประเทศไทยแล้ว คุณจะบอกว่าต้องรอให้ต่างประเทศเขามีเรื่องมีคดีความก่อนถึงจะเรียกคือ มันคือไม่ใช่นะ 

อ่านเพิ่มเติม >



ฉบับที่ 236 ห้างค้าปลีกใส่ใจคุณแค่ไหน

        ฉลาดซื้อเคยนำเสนอผลการประเมินนโยบายด้าน “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ในการจัดซื้ออาหารสด ของห้างค้าปลีกขนาดกลางและขนาดใหญ่ 8 แบรนด์ (Big C, CP Fresh Mart, Foodland, Gourmet Market, Siam Makro, Tesco Lotus, Tops, และ Villa Market) มาแล้ว และพบว่าโดยรวมแล้วห้างในบ้านเรายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนักคราวนี้เรามาเจาะลึกดูเรื่องความรับผิดชอบต่อ “สวัสดิการของผู้บริโภค” กันบ้าง ตัวชี้วัดที่จะให้คะแนนคราวนี้ได้แก่ข้อมูลในเรื่องต่อไปนี้ที่บริษัทเปิดเผยต่อสาธารณะ ณ วันที่ 30 เมษายน 2563  1.   ความปลอดภัยของอาหารในร้าน: บริษัทมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของอาหารที่ได้มาตรฐานและโปร่งใสหรือไม่2.   ส่วนประกอบและที่มาของอาหาร: บริษัทกำหนดให้คู่ค้าเปิดเผยส่วนประกอบและแหล่งที่มาของอาหารหรือไม่3.   ภาวะโภชนาการ: บริษัทให้ความรู้แก่ผู้บริโภคในประเด็นภาวะโภชนาการหรือไม่ อย่างไร4.   กลไกรับเรื่องร้องเรียน: บริษัทมีกลไกรับเรื่องร้องเรียนที่มีประสิทธิผลและโปร่งใสหรือไม่5.   กลไกเยียวยา: บริษัทมีกลไกเยียวยาที่มีประสิทธิผลและโปร่งใสหรือไม่6.   การมีส่วนร่วมของผู้บริโภค: บริษัทเปิดให้ผู้บริโภคและองค์กรตัวแทนผู้บริโภค มีส่วนร่วมในประเด็นความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมหรือไม่7.   การให้การศึกษาแก่ผู้บริโภค (consumer education): บริษัทให้การศึกษาแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับประเด็นความยั่งยืนของอาหารมากน้อยเพียงใด8.   ความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ: บริษัทให้ความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ มากน้อยเพียงใดในประเด็นสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย  แต่ละตัวชี้วัดจะมีสามข้อย่อย ซึ่งหากผู้วิจัยพบว่ามีข้อมูลในข้อนั้นก็จะให้หนึ่งคะแนน รวมทั้งหมดจึงเป็น 24 คะแนน ในภาพรวมเราพบว่าสิ่งที่ห้างค้าปลีกทำคะแนนได้มากที่สุดสามอันดับแรกคือ การให้การศึกษาแก่ผู้บริโภค การให้ความรู้ประเด็นภาวะโภชนาการ และการมีกลไกรับเรื่องร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ · หมายเหตุ บทความนี้อ้างอิงข้อมูลจากรายงานความก้าวหน้าเรื่อง ผลการประเมินความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและสวัสดิการผู้บริโภค ในธุรกิจอาหารและการจัดซื้ออาหารของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งจัดทำโดยทีมวิจัยป่าสาละ   ใครได้คะแนนสูงที่สุด Siam Makro ได้คะแนนสูงสุดในหมวดความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค (5 คะแนน จาก 24 คะแนน หรือร้อยละ 20.83)[JM1]  บริษัทกำหนดให้คู่ค้าเปิดเผยส่วนประกอบและแหล่งที่มาของอาหารบนฉลากอย่างชัดเจน รวมถึงสัดส่วน GMO ด้วย ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคในประเด็นภาวะโภชนาการผ่านป้ายรณรงค์ในร้านและช่องทางสาธารณะ ประกาศนโยบาย/กลยุทธิ์เพื่อความยั่งยืนในห่วงโซ่อาหารอย่างชัดเจน มีโครงการด้านสวัสดิการผู้บริโภคหรือสิ่งแวดล้อมของอาหาร ร่วมกับองค์กรภาคประชาชน ที่ใช้กลไกการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย และมีบทบาทในการพัฒนามาตรฐานความยั่งยืนในระดับอุตสาหกรรม  อันดับสองได้แก่ Tops ได้ไป 4 คะแนน (ร้อยละ 16.67) บริษัทให้ความรู้เรื่องโภชนาการแก่ผู้บริโภค ผ่านป้ายรณรงค์ในร้านและช่องทางสาธารณะต่างๆ รวมถึงรณรงค์และให้ข้อมูลเรื่องความปลอดภัยของอาหารแก่ผู้บริโภคทั้งในร้านและช่องทางสาธารณะต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย มีกลไก/แนวปฏิบัติในการรับเรื่องร้องเรียนที่ชัดเจน บริษัทประกาศนโยบายความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอาหาร และกลยุทธ์ความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอาหารที่ชัดเจน  อันดับสามคือ CP Fresh Mart ได้ 3 คะแนน (ร้อยละ 12.50) บริษัทประกาศนโยบายและกลยุทธ์ความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอาหารที่ชัดเจน มีการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด และมีการรายงานความคืบหน้ารายปี มีกลไกการรับเรื่องร้องเรียนที่ชัดเจนและมีแนวปฏิบัติรวมถึงกำหนดระยะเวลาที่ผู้บริโภคจะได้รับการตอบรับเรื่องร้องเรียนส่วนที่เหลือ (Big C, Foodland, Gourmet Market, Tesco Lotus, และ Villa Market) ไม่มีคะแนน  ในภาพรวมห้างค้าปลีกในบ้านเรายังต้องมีการปรับปรุงในเรื่องนี้อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของกลไกเยียวยา และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค เช่นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคและองค์กรตัวแทนผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมในประเด็นด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม  ระหว่างนี้มาดูตัวอย่างแนวปฏิบัติหรือนโยบายที่น่าสนใจของสามห้างที่ได้คะแนนอันดับต้นๆ กันไปก่อน ·ความปลอดภัยของอาหารแอปพลิเคชัน Scan Me ของ Tops  ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งผลิตและสถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์และซีฟู้ด (ปลา) ณ จุดขายใน 24 สาขาทั่วกรุงเทพฯ เพื่อให้ได้สินค้าที่สด สะอาด ปลอดภัย ·ส่วนประกอบ/ที่มาของอาหารSiam Makro ส่งเสริมการแสดงฉลากสําหรับถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ข้าวโพดและผลิตภัณฑ์จากข้าวโพด ที่ได้จากเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรม (Genetic modification) หรือพันธุวิศวกรรม (Genetic engineering) ประกอบด้วย 22ชนิด ·ความรู้เรื่องภาวะโภชนาการSiam Makro จัดทําฉลากแสดงค่าพลังงาน ปริมาณนํ้าตาล ไขมัน และโซเดียม (Guideline Daily Amount –GDA) ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการลดความหวาน มัน หรือเค็มได้ ในขณะที่ Tops ให้ความรู้ผู้บริโภคในเรื่องวิธีหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ·กลไกรับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคCP Fresh Mart มีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสินค้า/บริการของซีพีเฟรชมาร์ท โดยกําหนดรูปแบบการจัดการข้อร้องเรียนไว้ 3 ระดับตามความความรุนแรงของปัญหา และทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและติดตามผลการตรวจสอบจนปัญหาของลูกค้าได้รับการแก้ไข ข้อร้องเรียนด้านคุณภาพ (เช่น สี กลิ่น รส ฯลฯ) ใช้เวลาจัดการภายใน 5 วัน ข้อร้องเรียนด้านความปลอดภัย (เช่น สิ่งแปลกปลอม) ภายใน 3 วัน และข้อร้องเรียนด้านวิกฤต (เช่น ผู้บริโภคเจ็บป่วย) ภายใน 24 ชั่วโมง ·การให้การศึกษาแก่ผู้บริโภคเรื่องความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานอาหารTops ประกาศนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน “เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการพัฒนา คัดสรรสินค้าที่นํามาจําหน่ายอย่างรับผิดชอบ ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัย แหล่งที่มาของสินค้าสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ อีกทั้งยังเชื่อมโยงการผลิตสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น มีกระบวนการจัดซื้อเป็นธรรมและโปร่งใส ผลักดันผู้ร่วมค้าให้พัฒนาและยกระดับศักยภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องภายใต้ระบบการประกันคุณภาพที่สามารถมั่นใจได้ว่าสินค้าที่ผลิตมีความปลอดภัย” Siam Makro กำหนดเป้าหมายว่าภายในปี 2563 คู่ค้าธุรกิจหลักทั้งหมดต้องได้รับการตรวจประเมินด้านความยั่งยืน และมีแนวทางการจัดหาอย่างยั่งยืน ครอบคลุมผลิตภัณฑ์กลุ่มเสี่ยง ในขณะเดียวกันวัตถุดิบหลักทั้งหมดก็ต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ มีการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยอาหารตลอดห่วงโซ่คุณค่า CP Fresh Mart กำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 5 ปี ระหว่างปี 2559-2563 ไว้ดังนี้ การยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยตลอดกระบวนการ การส่งเสริมการเข้าถึงอาหาร การพัฒนาคู่ค้าธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกัน การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน การบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีการระบุเป้าประสงค์ที่ชัดเจน และจัดทํารายงานความยั่งยืนประจําปีมาตั้งแต่ปี 2554   ·ความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นSiam Makro ร่วมมือกับกรีนพีซ (Greenpeace) เพื่อยกระดับกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับในกระบวนการผลิตทูน่าชนิดก้อนในน้ําเกลือ ตราเอโร่ (aro) ให้มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้อย่างถูกต้อง แม่นยํา มีข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ทูน่าที่ใช้ แหล่งที่มา เช่น มหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อผู้บริโภคสแกน QR Code ที่สินค้าก็จะทราบว่าปลาทูน่าถูกจับด้วยวิธีการใช้อวนล้อม ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม  บทความนี้นำเสนอเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินในสามด้านได้แก่ 1) สิ่งแวดล้อม-ห้างค้าปลีก 2) สิ่งแวดล้อมคู่ค้า-ความปลอดภัย และ 3) ผู้บริโภค โดยแต่ละหมวดประกอบด้วย 8 ตัวชี้วัด หมวดละ 24 คะแนน (คะแนนรวมทั้งหมดจึงเท่ากับ 72 คะแนน)  จากผลคะแนนโดยรวมทั้งสามด้าน เราจะเห็นว่า Siam Makro, Tops, และ CP Fresh Mart ได้คะแนนสูงสุด (9 จาก 72 คะแนน หรือร้อยละ 13.89) ตามด้วย Tesco Lotus ที่ได้คะแนน 3 แต้ม หรือร้อยละ 4.63 ในขณะที่ Gourmet Market ได้ไป 2 แต้ม โดยได้คะแนนจากมิติด้านสิ่งแวดล้อม-ห้างค้าปลีกห้างที่ไม่ได้คะแนนด้านใดเลยตามเกณฑ์ของงานวิจัยชิ้นนี้ได้แก่ Big C  Villa Market และ Foodland ------สำหรับนโยบายเรื่องการลดถุงพลาสติก (สำหรับผู้บริโภค) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหนึ่งในหมวดสิ่งแวดล้อม-ห้างค้าปลีก ทีมวิจัยให้ Gourmet Market  Tesco Lotus และ Tops ห้างละ 2 คะแนน  Gourmet Market มีโครงการ เดอะมอลล์ กรุ๊ป โก กรีน (THE MALL GROUP GO GREEN) GREEN EVERYDAY งดบริการถุงพลาสติกทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม เป็นต้นมา  Tesco Lotus มีนโยบายลดใช้ถุงพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จําเป็น โดยเริ่มใช้มาตรการงดใช้ถุงพลาสติกสําหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้า 1-2 ชิ้น ในสาขาเอ็กซ์เพรสและตลาดทั่วประเทศ รวมประมาณ 1,800 สาขา ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2562 Tops มีมาตรการงดใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อลดขยะตั้งแต่ต้นทาง เช่น งดใช้กล่องโฟมในโซนฟู้ดพาร์ค และโซนซื้ออาหารกลับบ้านในศูนย์อาหารทุกแห่งที่บริหารงาน โดย “CPN ร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัลในการงดใช้ถุงพลาสติกทุกวันที่ 4 ของเดือนในTopsห้างสรรพสินค้าและเซ็นทรัลฟู้ดฮอลล์”  ในขณะที่ CP Fresh Mart และ Siam Makro ได้ไปห้างละ 1 คะแนน CP Fresh Mart งดให้บริการถุงพลาสติกทุกวันพุธตลอดปี 2562 มีแคมเปญรักษ์โลก ‘ชวนช้อป! พกกระเป๋า ไม่เอาถุง’ ตั้งเป้าลดถุงพลาสติกปีละ 3 ล้านใบ และจะเป็นร้านปลอดถุงพลาสติกในปี 2565   Siam Makro ไม่มีการแจกถุงพลาสติกมาตลอด 29 ปีของการดําเนินธุรกิจ ถึงปัจจุบันลดถุงพลาสติกไปแล้วกว่า 5,400 ล้านใบ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 รับมือกับปัญหาสิว

        สิวเกิดขึ้นเพราะผิวหนังมีการอุดตันอยู่ใต้รูขุมขน เมื่อต่อมไขมันผลิตไขมันมากและระบายออกไม่ดีจะเกิดการอุดกลั้นทางเดินของไขมันทำให้เป็นสิว ซึ่งแบ่งได้สองลักษณะใหญ่ คือ ยังไม่อักเสบจะแค่เป็นสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำ แต่ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดการอักเสบของสิวกลายเป็นสิวอักเสบและสิวที่เป็นหนอง         สิวมักเป็นปัญหาใหญ่ของวัยรุ่น แต่ผู้ใหญ่ก็เป็นได้เนื่องจากสิวเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย สิวจะว่าเป็นปัญหาเล็กหรือใหญ่ก็ได้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา โดยเฉพาะปัญหารอยแดงหรือรอยแผล(หลุมยุบ)จากสิว ส่วนใหญ่เป็นแล้วหายอยาก บางคนดูแลไม่ดีกลายเป็นเรื่องให้เคืองใจกันตลอดชีวิต ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาต้องรักษาสิวให้ถูกวิธีตั้งแต่แรก  การรักษาสิว         วิธีที่ได้ผลดีและถูกต้องคือการใช้ยา ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องใช้ยาหลายตัวประกอบกันมีทั้งแบบรับประทานและยาทา ดังนั้นควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ผิวหนัง เพื่อวินิจฉัยสาเหตุหรือต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิว และเพื่อป้องกันอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์         อย่างไรก็ตามบางคนมีสิวแค่เม็ดสองเม็ดจะไปหาหมอก็ดูยุ่งยากเกินไป ปัจจุบันจึงมียาแต้มสิวออกมาเป็นผู้ช่วยสำหรับการรักษาเพื่อให้สิวยุบตัวอย่างรวดเร็ว การเลือกใช้ยาหรือเจลแต้มสิว ต้องเลือกให้ถูกกับชนิดของสิวที่เป็น ธรรมดาสิวแบบไม่อักเสบ (กดไม่เจ็บ) จะรักษาง่ายกว่าสิวอักเสบ เพราะเพียงกำจัดความมัน(ส่วนเกิน) และเลือกยาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ไวขึ้น เช่น Benzoyl Peroxide (เบนโซอิล เปอร์ออกไซด์) หรือยาในกลุ่มวิตามินเอ สิวก็ไม่กลับมากวนใจอีกเพียงแต่ต้องดูแลในภายหลังให้ถูกวิธี        ส่วนสิวที่รักษายากคือสิวอักเสบ ที่เกิดเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สิวมักจะมีลักษณะบวม แดง มือกดแล้วเจ็บ การรักษาทำได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาภายนอกจะช่วยรักษาสิวอักเสบโดยเฉพาะ ที่นิยมคือ ตัวยา Clindamycin (คลินดามัยซิน)         เวลาจะทายาสิวควรทาเฉพาะจุดที่มีปัญหาสิวเท่านั้น ป้องกันการแพ้ยา และอ่านคู่มือการใช้ยาให้ละเอียดก่อนการใช้ ยาแต้มสิวประเภทยาปฏิชีวนะควรทาขณะผิวชื้น(หลังอาบน้ำหรือล้างหน้าทันที) เพราะจะช่วยให้ยาสามารถซึมถึงจุดที่อักเสบได้ดีที่สุด         กรณีรักษาสิวอักเสบ เมื่อใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาผู้ใช้ต้องคงระยะเวลาการใช้ยาให้ต่อเนื่องแม้สิวยุบแล้วเพื่อป้องกันการดื้อยาในอนาคต และอีกเรื่องหนึ่งคืออย่าใจร้อน บางครั้งการรักษาด้วยยาตัวแรกได้ผลไม่ทันใจ ก็รีบร้อนเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่น แบบนี้จะสร้างปัญหามากกว่าการแก้ไขปัญหาเพราะเสี่ยงทำให้เกิดการดื้อยาและเกิดอาการแพ้ยาได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 รู้เท่าทันการดูดไขมัน

        เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2563 มีข่าวดังว่า สาวไปดูดไขมัน เสริมหน้าอกที่คลินิกแห่งหนึ่งในย่านพระราม 3 หลังทำไม่กี่วันก็เสียชีวิต โดยโรงพยาบาลที่รับรักษาแจ้งว่าเกิดจากการติดเชื้อในเลือด อันเป็นผลข้างเคียงจากการดูดไขมัน การดูดไขมันคืออะไร ปลอดภัยหรืออันตรายมากน้อยแค่ไหน เรามารู้เท่าทันกันเถอะ การดูดไขมันคืออะไร         การดูดไขมันเป็นการทำศัลยกรรมเพื่อความงามอย่างหนึ่งเพื่อเอาไขมันที่เป็นส่วนเกินและไม่สามารถกำจัดออกด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย         แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งมักจะดูดไขมันตรงบริเวณสะโพก พุง ต้นขา หลัง แขน เหนียงใต้คาง หรือใบหน้าเพื่อให้รูปทรงดูดีขึ้น การดูดไขมันสามารถทำร่วมกับการทำศัลยกรรมตกแต่งอื่นๆ เช่น การดึงหน้า การผ่าตัดหนังส่วนเกินที่หน้าท้อง เป็นต้น การดูดไขมันมีความเสี่ยงหรือไม่         การดูดไขมันเป็นการผ่าตัดอย่างหนึ่ง จึงมีความเสี่ยง ผู้ที่จะทำต้องมีสุขภาพดีก่อนทำ อย่างน้อยต้องมีผิวหนังที่ยืดหยุ่นดีพอ ไม่สูบบุหรี่ ไม่มีปัญหาเรื่องการไหลเวียนเลือด เบาหวาน และระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง         ทั่วไป อาจทำการดูดไขมันที่คลินิกและผู้ที่รับการดูดไขมันสามารถกลับบ้านได้เลยหลังจากทำเสร็จ จึงควรมีคนมารับกลับบ้าน ยกเว้นถ้ามีการดูดไขมันจำนวนมาก ควรทำในโรงพยาบาลและพักในโรงพยาบาลอย่างน้อยหนึ่งคืน วิธีการดูดไขมัน         ทั่วไปจะใช้ท่อเล็กๆ ต่อกับเครื่องดูดสุญญากาศ และดูดไขมันออกจากร่างกาย         วิธีการที่นิยมใช้ แพทย์จะฉีดสารละลายน้ำเกลือซึ่งประกอบด้วยยาชาและอะดรีนาลีนเข้าไปในเนื้อเยื่อไขมันที่ต้องการกำจัดออก แล้วใช้มีดเจาะรอยเล็กๆ ใช้ท่อดูดไขมันสอดเข้าไปในรอยผ่าแล้วทำการดูดไขมันออก         นอกจากนี้ ยังมีการการใช้เลเซอร์สลายไขมันก่อนแล้วจึงดูดไขมันออก หรือใช้อัลตร้าซาวด์สลายผนังเซลล์ของไขมันก่อนแล้วจึงดูดออกมา         ล่าสุด วิธีกำจัดไขมันด้วยความเย็นจัด (cryolipolysis) ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ ความเย็นในระดับติดลบ มีผลต่อการไหลเวียนของเลือดที่มีผลต่อเซลล์ไขมัน เซลล์ไขมันจะเริ่มค่อยๆ ตายไป  แต่ต้องใช้เวลา 3-6 เดือนจึงจะเห็นผล และสามารถลดไขมันได้ประมาณร้อยละ 20  ความเสี่ยงจากการดูดไขมัน         ความเสี่ยงจากการดูดไขมัน ได้แก่ เลือดออก การแพ้ยาชา ช็อกจากการขาดน้ำระหว่างการดูดไขมันซึ่งกินเวลา 1-2 ชั่วโมง การติดเชื้อ ภาวะลิ่มไขมันอุดกั้น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการเกิดลิ่มเลือดอุดกั้นในหลอดเลือดดำได้อีกด้วย ทางการแพทย์รับรองประสิทธิผลและความปลอดภัยของการดูดไขมันหรือไม่        เมื่อทบทวนการดูดไขมันใน Pubmed พบว่า การดูดไขมันเป็นที่ยอมรับเรื่องประสิทธิผลและความปลอดภัย แต่กุญแจความสำเร็จ 2 ประการสำคัญคือ การคัดเลือกผู้ป่วยที่ดีและความคาดหวังที่เป็นจริง        ผู้ป่วยต้องมีผิวหนังที่มีสุขภาพดีโดยต้องดูจากอายุทางสรีรวิทยาที่แท้จริงของผิวหนัง ไม่ใช่อายุเกิดของผู้ป่วย        ตำแหน่งที่ทำการดูดไขมันได้ผลดี คือ หน้า คาง คอ รักแร้ เต้านม ท้อง พุง สะโพก ต้นขา เข่า และข้อเท้า ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีค่อนข้างน้อย และประสิทธิผลค่อนข้างดี         ในระยะยาว ถ้าไม่มีการคุมเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย ไขมันก็กลับมาสะสมใหม่ได้อีก         สรุป  การดูดไขมันให้ผลดีในการลดไขมันส่วนเกินและมีความปลอดภัยแต่ต้องทำโดยแพทย์และวิธีการที่ได้มาตรฐาน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 ข้อมูลพันธุกรรมมีค่าเป็นเงิน ตอนที่ 1

        ร้อยปีที่แล้วเป็นศตวรรษของอะตอมเพราะมีการศึกษารู้ว่า อะตอมในโมเลกุลมีอะไรบ้างเป็นองค์ประกอบ ตลอดจนสามารถปลดปล่อยพลังงานของอะตอมออกมาเป็น Atomic bomb จากนั้นเมื่อถึงศตวรรษ 21 นี้นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเป็น ศตวรรษของยีน เพราะนักวิทยาศาสตร์สามารถรู้ว่า รหัสพันธุกรรมบนโครโมโซมภายในเซลล์ของมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร อีกทั้งได้มีการศึกษาถึงความหมายของรหัสพันธุกรรมที่อยู่บนยีนแต่ละยีนว่า เกี่ยวข้องอย่างไรกับการดำรงชีวิต ซึ่งสามารถแปลต่อไปว่า รหัสพันธุกรรมแบบไหนที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตที่เป็นสุขไร้โรคหรือทุกข์อมโรคได้         ความแตกต่างของลำดับนิวคลีโอไทด์ ที่เป็นองค์ประกอบของแต่ละยีนนั้นส่งผลต่อการทำงานของยีนทั้งในด้านบวกหรือลบ ความแตกต่างกันเพียงตำแหน่งเดียวของลำดับพันธุกรรมของแต่ละยีนซึ่งเรียกว่า single nucleotide polymorphism หรือ SNP (นักวิทยาศาสตร์บางคนใช้คำว่า SNiP เพื่อให้จำง่าย) อาจส่งผลถึงการเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ ตัวอย่างเช่น sickle cell anemia คือการที่เม็ดเลือดแดงบางส่วนของผู้ป่วยมีลักษณะผิดปรกติมีสัณฐานคล้ายเคียวเกี่ยวข้าว ความผิดปรกตินี้ทำให้เม็ดเลือดนั้นไม่สามารถนำออกซิเจนได้เหมือนเม็ดเลือดปรกติที่มีสัณฐานกลมเป็นแอ่งเว้าตรงกลาง สาเหตุที่ก่อความผิดปรกติคือ เกิดการกลายพันธุ์ของนิวคลีโอไทด์ 1 หน่วยของยีนที่สร้างโปรตีนฮีมในเม็ดเลือดแดงชื่อ hemoglobin-beta gene อย่างไรก็ดียีนสร้างโปรตีนฮีมของเม็ดเลือดแดงมีหลายยีน เพราะคนที่เป็น sickle cell anemia นั้นยังมีเม็ดเลือดแดงที่ปรกติบ้าง จึงยังมีชีวิตอยู่ได้แบบค่อนข้างลำบาก         มีการศึกษาพบว่า ความแตกต่างกันขององค์ประกอบที่เป็นหน่วยพันธุกรรมหรือ SNP ของยีนแต่ละยีนนั้นมักส่งผลถึงการเป็นโรคที่ไม่ติดต่อ (ซึ่งถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม) ที่เกี่ยวเนื่องกับการตอบสนองต่อสารอาหารบางชนิดต่างไปจากคนปรกติทั่วไป ด้วยอิทธิพลของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า nutrigenomic ซึ่งใช้อธิบายว่า คนหลายคนที่มีรูปแบบชีวิตเหมือนกันโดยเฉพาะการกินอาหารนั้น กลับมีการแสดงออกทางร่างกาย (phenotype) ต่างกันในด้านน้ำหนัก ความแข็งแรง ความอดทน และอื่น ๆ         ข้อมูลที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นที่มาของธุรกิจให้บริการตรวจความแปรเปลี่ยนขององค์ประกอบทางพันธุกรรมของแต่ละยีน (SNP) ที่มีผลต่อสุขภาพเนื่องจากการกินอาหารตลอดไปจนถึงพฤติกรรมความเป็นอยู่ ในธุรกิจนี้ผู้รับบริการจะได้รับอุปกรณ์คือ cotton bud สำหรับกวาดกระพุ้งแก้มเพื่อเก็บเซลล์พร้อมน้ำลายที่มีเซลล์ที่หลุดออกมาแล้วใส่ลงในภาชนะที่มีน้ำยาสำหรับคงสภาพของเซลล์ แล้วส่งทางไปรษณีย์กลับไปยังห้องปฏิบัติการของบริษัทเพื่อทำการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมทั้งหมดบนโครโมโซมที่ได้จากเซลล์ เพื่อหาว่ามีลักษณะของพันธุกรรมที่เป็น SNP ของยีนที่มีการตอบสนองต่อการใช้สารอาหารแต่ละชนิดที่กินจากอาหารแต่ละมื้อต่างไปจากคนปรกติส่วนใหญ่หรือไม่         จากนั้นบริษัทจะแปลผลออกมาโดยนักวิชาการที่รู้ดีในศาสตร์นี้ว่า ลูกค้าผู้นั้นควรกินอาหารที่มีองค์ประกอบอย่างไร เพราะถ้าลูกค้ามี SNP ที่ส่อจะเกิดโรคไม่ติดต่อบางโรค เช่น กระดูกพรุน เบาหวานประเภทที่ 1 มะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ  การเลี่ยงสารอาหารบางอย่างหรือเพิ่มสารอาหารบางอย่างอาจช่วยให้ชีวิตดำเนินได้เป็นสุขขึ้น และมักมีการเพิ่มคำแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมด้านความเป็นอยู่ เช่น การออกกำลังกาย (โดยอาศัยข้อมูลจากแบบสอบถามที่ส่งไปพร้อมกับน้ำลาย)         ประเด็นคือ กระบวนการของบริษัทเหล่านี้เชื่อได้แค่ไหน คำตอบคือ แล้วแต่บุญและกรรมที่อาจทำกันมาแต่ชาติปางก่อนว่าบริษัทนั้น กลวงแบบบริษัทขายไม้ล้างป่าช้าตรวจวัตถุระเบิดหรือไม่         ในสหรัฐอเมริกามีหน่วยงานชื่อ The U.S. Government Accountability Office หรือ US. GAO ซึ่งทำหน้าที่สำคัญให้วุฒิสภา (ที่มาจากการเลือกตั้ง) ในการตรวจสอบความโปร่งใสของสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศทั้งหมด (โปรดอย่าสับสนว่าเหมือน ป.ป.ช ของไทย) แม้การทุจริตของประธานาธิบดีก็ไม่มีการเว้น ดังนั้นเมื่อมีการหลอกลวงในการขายสินค้าหรือบริการสำคัญๆ ที่มีผลกระทบถึงผู้บริโภค เช่น กรณีของการตรวจหน่วยพันธุกรรมเพื่อดูว่ามีความสัมพันธ์กับโรคเนื่องจากการบริโภค หน่วยงาน US. GAO จึงเข้าทำการตรวจสอบและได้เผยแพร่เอกสารอิเล็คโทรนิคอย่างน้อย 2 เรื่องคือ NUTRIGENETIC TESTING: Tests Purchased from Four Web Sites Mislead Consumers และ DIRECT-TO-CONSUMER GENETIC TESTS: Misleading Test Results Are Further Complicated by Deceptive Marketing and Other Questionable Practices         ใจความสำคัญของเอกสารทั้งสองชิ้นนั้นระบุว่า การให้บริการตรวจสอบองค์ประกอบทางพันธุกรรมเพื่อทำนายผลหรือการแนะนำพฤติกรรมการกินเพื่อหลีกเลี่ยงโรคไม่ติดต่อต่างๆ ของบางบริษัทนั้นดูจะเชื่อไม่ได้ โดยทางสำนักงานได้ทดลองส่งตัวอย่างที่ได้จากการกวาดกระพุ้งแก้มของสตรีนางหนึ่งไปยัง 4 บริษัทที่มีการโฆษณาบริการบนอินเทอร์เน็ต ผลปรากฏว่า การแปลผลและคำแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินอาหารนั้นไปคนละทิศละทาง ซึ่งผู้ทำรายงานเข้าใจว่า ความแตกต่างนั้นเกิดเนื่องจากข้อมูลที่ตอบไปในแบบสอบถามซึ่งต่างกัน นั่นเป็นการแสดงว่าคำแนะนำนั้นแทบไม่ได้ขึ้นกับการวิเคราะห์หน่วยพันธุกรรมแต่ขึ้นกับคำตอบในแบบสอบถามมากกว่า         ทางสำนักงาน US. GAO ได้ทำการทดลองอีกครั้งหนึ่ง โดยส่งตัวอย่างของหนึ่งชายไปยัง 2 บริษัท ซึ่งผลของคำแนะนำที่ได้นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงโดยขึ้นกับข้อมูลที่กรอกไปในแบบสอบถาม (เช่นกัน) และเมื่อส่งตัวอย่างของหนึ่งหญิงไปยัง 9 บริษัท พร้อมกับการตอบแบบสอบถามซึ่งให้ข้อมูลที่ต่างกัน แถมข้อมูลที่ส่งไปบางบริษัทนั้นได้หลอกว่าเป็นตัวอย่างจากเพศชาย ผลคำแนะนำที่ได้กลับมาจึงไม่น่าประหลาดใจว่า คำแนะนำจาก 9 บริษัทแก่ผู้หญิงคนเดียวกันจึงต่างกันไปโดยสิ้นเชิง         เรื่องของการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรม โดยเฉพาะของมนุษย์เพื่อหาเงินนั้นมีข่าวหนึ่งทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่ระบุว่า นักการเมืองไทยคนหนึ่งได้ลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับการบริการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมเพื่อแปลผลไปสู่การเลือกกินอาหารที่เหมาะสมต่อร่างกายตามหลักการที่เรียกว่า nutrigenomic เพื่อแก้หรือป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการกิน บริษัทที่ให้บริการนี้ชื่อ DNAnudge        ประเด็นที่น่าสนใจคือ บริการนี้อาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์อะไร และการบริการนี้เป็นจริงตามที่โฆษณาไว้ที่ว่า ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกอาหารที่ทำให้ร่างกายได้สารอาหารที่เหมาะสมกับรหัสพันธุกรรมที่แต่ละคนมี...หรือไม่         คำว่า Nudge นั้นมีความหมายว่า การสะกิดให้ใครสักคนเปลี่ยนพฤติกรรมที่กระทำอยู่ไปในแนวใหม่ที่ควรจะดีขึ้นกว่าเดิม ในที่นี้ DNAnudge มีความหมายโดยรวมว่า เป็นการบริการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของลูกค้าเพื่อแปลเป็นข้อมูลที่ใช้แนะนำให้ลูกค้าปรับพฤติกรรมการกินอาหารที่ (ควรจะ) ดีขึ้นต่อสุขภาพของลูกค้า         สิ่งที่ลูกค้าต้องทำคือ (บ้วนปากให้สะอาดแล้ว) กวาดกระพุ้งแก้มด้วย cotton bud เพื่อให้ได้เซลล์ออกมาใส่ลงไปในภาชนะที่เรียกว่า DnaCartridge แล้วเจ้าหน้าที่ของบริษัทจะนำไปต่อเชื่อมกับเครื่องมือที่เรียกว่า NudgeBox ซึ่งน่าจะเป็นอุปกรณ์วิเคราะห์รหัสพันธุกรรม (ขนาดย่อที่เล็กมากแต่มีประสิทธภาพสูง) ที่เริ่มจากการปล่อยน้ำยาเฉพาะเข้าสู่ DnaCartridge เพื่อสกัด DNA ออกมาจากตัวอย่างเซลล์กระพุ้งแก้ม แล้วส่ง DNA ที่สกัดได้เข้าสู่ส่วนของ NudgeBox เพื่อวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของลูกค้า (รายละเอียดในหลักการทางวิศวกรรมสามารถเข้าไปดูได้จากเว็บเกี่ยวกับสิทธิบัตรที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา         การวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมนั้นผู้ให้บริการกล่าวในเว็บว่า เป็นการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมทั้ง 3 พันล้านตำแหน่งของ DNA ภายในเวลาสั้นราว 60 นาที เพื่อให้ทราบส่วนที่เรียกว่า SNP ของยีน ที่ตอบสนองต่อสารอาหารเฉพาะ เช่น ไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัว แป้ง เกลือ หรืออื่นๆ ในการก่อให้เกิดโรคที่ไม่ติดต่อ เช่น เบาหวานประเภทที่ 1 ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือแม้แต่มะเร็ง (ถ้าเชื่อว่าเป็นไปได้) เป็นต้น         ข้อมูลจากการวิเคราะห์จาก NudgeBox อยู่ในลักษณะที่เป็นสัญญาน Digital จะถูกส่งเข้าสู่ส่วนที่เรียกว่า capsule ซึ่งภายในมี Chip ของวงจรอิเล็คทรอนิคที่เป็นส่วนหนึ่งของสายรัดข้อมือที่ถูกถอดไปประกอบติดกับ NudgeBox ขณะมีการวิเคราะห์ดีเอ็นเอและเมื่อ capsule ได้ข้อมูลที่เป็นรหัสพันธุกรรมของลูกค้าแล้ว capsule นั้นจะถูกนำกลับไปประกอบกับสายรัดข้อมือของลูกค้าซึ่งจะส่งต่อข้อมูลรหัสพันธุกรรมไปยัง Application ของ DNAnudge ที่ลงไว้ใน Smartphone ของลูกค้าเพื่อใช้เป็นฐานเมื่อต้องการวิเคราะห์ว่า อาหารใดเหมาะกับลูกค้าหรือไม่ โดยเว็บของบริษัทผู้ให้บริการกล่าวว่า ข้อมูลใน capsule จะถูกทำลายทิ้งเพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกค้า การทำงานต่อไปขอให้ติดตามในตอนที่ 2 ของ ข้อมูลพันธุกรรมมีค่าเป็นเงิน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 เหตุสลดซ้ำซ้อนจากอุบัติเหตุที่ตายครั้งละมากๆ

        ตุลาคมปีนี้ไม่ได้มีแค่เม็ดฝนและลมหนาว เพราะนับแต่ย่างก้าวเข้าเดือนตุลาคมเพียงสองสัปดาห์ ประเทศไทยมีอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดกับระบบขนส่งมวลชนติดต่อกันมากถึง 7 ครั้ง บาดเจ็บรวมมากกว่า 70 ราย เสียชีวิต 20 ราย โดย 1 ใน 20 ของผู้เสียชีวิตเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม 3 ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถรับส่งนักเรียน (อีกแล้ว)         ขณะที่เหตุสะเทือนขวัญรถไฟพุ่งชนรถบัสคณะกฐิน เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา บนทางรถไฟบริเวณจุดตัดทางข้าม (จุดลักผ่าน) สถานีรถไฟคลองแขวงกลั่น จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ไม่มีอุปกรณ์เครื่องกั้นข้ามรางรถไฟ ถือเป็นความรุนแรงอีกครั้งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 18 ราย บาดเจ็บอีกจำนวนมากเกือบ 40 ราย และเช่นเดียวกันที่อุบัติเหตุบนทางรถไฟในลักษณะนี้กลับไม่เคยอยู่ในแผนการแก้ไขปัญหาของรัฐ ทั้งที่เป็นเรื่องเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดมาก่อนแล้วหลายครั้งก็ตามที         ที่สำคัญสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่มีปัจจัยจากพฤติกรรมเสี่ยงของคนและระบบการจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ เช่น คนขับรถโดยสารไม่คุ้นเส้นทาง บรรทุกผู้โดยสารเกิน เปิดเพลงบนรถเสียงดัง ไม่ได้ยินเสียงหวูดรถไฟ หรือกายภาพของพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยงอันตราย ทางข้ามรางรถไฟเป็นเนินลาดชัน เป็นทางลักผ่านที่ประชาชนใช้จนเคยชิน ต้นไม้ขึ้นปกคลุมบดบังทัศนวิสัยการมองเห็น ขาดระบบป้องกันและจัดการความปลอดภัยในพื้นที่ ไม่มีอุปกรณ์ไม้กั้นหรือมีแต่ไม่ได้เปิดใช้งาน เป็นต้น         เรื่องที่กล่าวถึงข้างต้นล้วนเป็นบทบาทของรัฐที่ต้องกำกับดูแลคุณภาพบริการและมาตรฐานความปลอดภัย เมื่อเกิดเหตุบ่อยครั้งเข้าก็สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างการจัดการและการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกันที่ขาดประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นกรมการขนส่งทางราง การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมการขนส่งทางบก และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีจุดตัดทางข้ามหรือทางลักผ่านในพื้นที่  ตลอดจนปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นปัญหาต่อการพัฒนา ล้าหลังไม่ทันสมัยต่อสภาพการณ์ในปัจจุบัน เช่น พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 และพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494           และจากเหตุการณ์ครั้งนี้ยังพบปัญหาการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียชีวิตที่ไม่เป็นธรรมอีกด้วย เพราะแม้ว่ารถโดยสารไม่ประจำทางคันเกิดเหตุจะทำ พ.ร.บ.รถ หรือประกันภัยภาคบังคับและประกันภัยภาคสมัครใจที่มีวงเงินคุ้มครองของทั้งสองกรมธรรม์ กรณีผู้เสียชีวิตไว้กรมธรรม์ละ 500,000 บาทต่อราย (ตามคำสั่งนายทะเบียน คปภ. ที่ 10/2563 มีผลบังคับใช้เมื่อ 1 เมษายน 2563) แต่เมื่อถึงเวลาจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับทายาทผู้เสียชีวิตประกันภัยกลับจ่ายให้เพียง 673,103.44 บาท เท่านั้น โดยเป็นเงินที่ได้รับจากประกันภัยภาคบังคับ  311,551.72 บาท และประกันภัยภาคสมัครใจอีก 361,551.72 บาท ซึ่งตามหลักแล้วผู้เสียชีวิตจะต้องได้รับการชดเชยอย่างน้อยเป็นเงิน 1 ล้านบาทต่อราย         ข้ออ้างที่ บ.ประกันภัยอ้างเหตุจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียชีวิตได้เต็มวงเงินความคุ้มครองกรมธรรม์ละ 500,000 บาทต่อรายไม่ได้นั้น เพราะว่าอุบัติเหตุครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หากต้องจ่ายเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตทุกคนให้ได้เต็มวงเงินประกันภัยจะทำให้มีเงินไม่เหลือพอจ่ายค่าเสียหายในส่วนอื่น ซึ่งกฎหมายกำหนดให้มีค่าเสียหายรวมได้ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อครั้ง จึงต้องเฉลี่ยแบ่งจ่ายให้ทายาทผู้เสียชีวิตแต่ละรายแทน         ซึ่งการที่ บ.ประกันภัยไม่สามารถจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิตให้ได้เต็มวงเงินความคุ้มครองประกันภัย ด้วยเหตุเพราะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในครั้งเดียว  และกฎหมายกำหนดให้จ่ายค่าเสียหายรวมต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยต้องไม่เกิน 10 ล้านบาทนั้น เป็นปัญหาและข้อจำกัดทางกฎหมายที่สะท้อนถึงระบบการชดเชยเยียวยาความเสียหายที่ไม่เป็นธรรมและกลายเป็นเรื่องละเมิดสิทธิซ้ำเติมให้กับผู้เสียชีวิตทันที โดยเฉพาะความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 (ประกันภัยภาคบังคับ) ที่เป็นความคุ้มครองตามกฎหมาย ยิ่งไม่ควรต้องถูกจำกัดสิทธิด้วยเกณฑ์ขั้นต่ำค่าเสียหายรวมที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อครั้ง  และควรที่จะต้องจ่ายชดเชยกรณีเสียชีวิตให้เต็มความคุ้มครองที่กำหนดไว้ทุกคน         ดังนั้น คปภ. ในฐานะนายทะเบียนจึงควรต้องออกประกาศแก้ไขความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ที่กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำค่าเสียหายรวมต่อครั้งจาก 10  ล้านบาท เป็น 30 ล้านบาท และควรหาทางออกร่วมกับกรมการขนส่งทางบกในการกำหนดมาตรการความปลอดภัยร่วมกับกลุ่มรถโดยสารขนาดใหญ่ทั้งประจำทางและไม่ประจำทาง เช่น รถมาตรฐาน 1 และมาตรฐาน 4 ที่มีผู้โดยสารจำนวนมากในแต่ละครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการจ่ายเงินชดเชยในปัจจุบันที่มีเกณฑ์จ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิตรายละ 500,000 บาท ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจ ในการคุ้มครองและชดเชยเยียวยาความเสียหาย โดยไม่ต้องถูกละเมิดสิทธิซ้ำซ้อนจากการถูกเฉลี่ยค่าสินไหมทดแทนที่ไม่เป็นธรรม อย่าลืมว่าผู้โดยสารที่เสียชีวิตเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายและไม่ได้มีส่วนกระทำความผิด จึงสมควรต้องได้รับการชดเชยเยียวยาเต็มวงเงินเป็นลำดับแรกโดยไม่ต้องมีเกณฑ์ขั้นต่ำกำหนดไว้เหมือนเช่นในปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 เมียอาชีพ : อย่าลืมกรอกใบสมัครก่อนเข้างานด้วยนะ

                       เพียงเห็นแค่ชื่อเรื่องของละครโทรทัศน์ “เมียอาชีพ” ก็รู้สึกสนเท่ห์ใจขึ้นโดยพลันว่า บทบาทความเป็น “เมีย” ในยุคสมัยนี้ ได้เขยิบจากพื้นที่ของครัวเรือน กลายมาเป็น “งานอาชีพ” อีกแขนงหนึ่งของบรรดาคุณผู้หญิงทั้งหลายไปเสียแล้วเหรอ ???        เมื่อพูดถึงคำว่า “งาน” แล้ว สังคมไทยค่อนข้างกำหนดนิยามความหมายของ “งาน” เอาไว้กลางๆ และกว้างๆ ตั้งแต่ความเป็นงานที่ดูจริงจังและเป็นความจำเป็นในชีวิต ดังเช่นบรรดาภาระงานหรือหน้าที่การงานต่างๆ ไปจนถึงความเป็นงานที่ดูไม่ขึงขังไม่จริงจัง หากแต่บันเทิงเริงรมย์กันอีกต่างหาก อย่างงานอดิเรก งานปาร์ตี้ หรืองานเทศกาลเฉลิมฉลอง         แต่หากกล่าวจำเพาะมาที่ “งานอาชีพ” ด้วยแล้ว ก็น่าจะหมายถึงภาระงานที่ผู้คนประกอบขึ้นเป็นสัมมาอาชีวะ เช่น งานทำไร่ทำนา งานราชการ งานอาชีพค้าขาย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่นำมาซึ่งผลตอบแทนเชิงเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของรายรับ รายได้ หรือเงินเดือน         ดังนั้น เมื่อตัวละครอย่าง “ชลลดา” หรือ “ดาว” ได้ก้าวย่างจากความเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มาสวมบทบาทเป็น “เมีย” และยังต้องเป็น “เมียแบบมืออาชีพ” ด้วยแล้ว บทบาทที่ทับซ้อนในความเป็น “เมียอาชีพ” ของดาว จึงก่อให้เกิดภาพความหมายที่ทั้งเหมือนและผิดแผกไปจากภาพของเมียในแบบที่ผู้คนคุ้นเคยหรือรับรู้กันมาก่อน        ชะตากรรมของดาวเริ่มต้นจากที่เธอเป็นพริตตี้รับงานอีเวนท์โน่นนี่เพื่อเลี้ยงชีพ แต่เมื่อ “สมบัติ” ผู้เป็นบิดา เกิดป่วยหนัก และต้องใช้เงินเป็นแสนเพื่อรักษา ดาวจึงตัดสินใจไปกู้หนี้จาก “มิสเตอร์โรเบิร์ต” โดยมีเงื่อนไขว่า เธอต้องเซ็นสัญญากู้ยืมกับบริษัทเดอะแพลนของเขา        ทว่า เงื่อนไขดังกล่าวกลับทำให้ดาวต้องตกอยู่ในหนี้สัญญาทาสที่ผูกมัดเธอให้ทำในสิ่งที่ไม่ปรารถนา คือการกลายมาเป็นสินค้าในโครงการ “Perfect Wife” ของเดอะแพลน ที่จัดหาสินค้าภรรยาผู้สมบูรณ์แบบให้กับลูกค้าระดับซูเปอร์วีไอพี ตามสโลแกน “perfect match, perfect wife”        จนกระทั่งวันหนึ่ง พระเอกหนุ่มหล่อ “กษิดิศ” ไฮโซเศรษฐีทายาทผู้บริหารบริษัทโลจิสติกส์ Way Ex ได้มาพบปะเจอะเจอกับดาวโดยบังเอิญ แล้วกลายเป็นตกหลุมรักเมื่อแรกเห็น เขาจึงเชื้อเชิญให้ดาวมาทำงานเป็นเลขานุการส่วนตัว โดยในช่วงแรกกษิดิศหารู้ไม่ว่า เขาเองก็คือเป้าหมายหลักของเดอะแพลนที่ส่งดาวมาลวงล่อให้เขารับเธอเป็น “เมียอาชีพ” เพื่อผลประโยชน์ในเม็ดเงินมหาศาลของบริษัทเดอะแพลน         เพราะด้วยชีวิตที่ “ปากก็ต้องกัด ตีนก็ต้องถีบ” แม้ดาวจะไม่ได้ปลื้มปริ่มกับการที่ต้องมาหลอกลวงกษิดิศให้ตกหลุมพรางของมิสเตอร์โรเบิร์ต แต่ตามสูตรสำเร็จของเรื่องเล่าแนวนี้ ยิ่งรู้สึกผิดเธอก็ยิ่งตกหลุมรักเขาจริงๆ เพราะฉะนั้น ด้านหนึ่งเมื่อต้องทำเพื่อเงิน แต่ความเป็น “เมียอาชีพ” ก็ทำให้ดาวต้องสวมบทบาทในวิชาชีพแห่งความเป็นเมียที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดเช่นกัน         แม้ในภายหลัง กษิดิศที่ล่วงรู้ถึงความลับ และยินยอมจ่ายค่าตัวของดาวให้กับมิสเตอร์โรเบิร์ต แต่ด้วยความเป็น “เมียรับจ้าง” ที่เป็น “มืออาชีพ” ดาวก็ต้องบริหารจัดการควบคู่กันไปทั้ง “งานหลวงที่ต้องมิให้ตกขาด” และ “งานราษฎร์ที่ต้องมิให้บกพร่อง” เพราะนับจากวันที่เขาเสียเงินแลกซื้ออิสรภาพให้กับ “เมียอาชีพ” นั้น ดาวก็ต้องทำหน้าที่ภรรยาให้สมกับที่กษิดิศได้กล่าวว่า “ผมซื้อคุณแล้ว คุณก็เป็นของผม”        ในส่วนของ “งานหลวง” ที่เป็นภาระงานนอกบ้านนั้น ดาวก็ต้องเผชิญหน้ากับ “เมตตา” เลขานุการคนเก่าที่วันๆ ก็ต้องคอยเขม่นหาเรื่องดาวที่จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงาน หรือแม้แต่ต้องปะทะต่อกรกับ “จารุณี” อาสะใภ้ของกษิดิศ ที่เบื้องลึกก็หวังจะฮุบกิจการของ Way Ex มาไว้ในมือของเธอ         และเมื่อจารุณีสืบความจริงได้ว่า สถานะของดาวเป็นเพียง “เมียอาชีพรับจ้าง” ของกษิดิศ เธอก็คอยตามรังควานหยามเหยียดฐานะที่ต่ำกว่าของดาว แต่เพราะมนุษย์ก็มีสองมือไม่ต่างกัน ครั้งหนึ่งเมื่อถูกจารุณีตบหน้า และดูถูกว่าเธอเป็น “ผู้หญิงชั้นต่ำ” ดาวก็ตบหน้าอาสะใภ้ของสามีกลับ พร้อมกับพูดให้บทเรียนที่แสบสันว่า “จะสูงจะต่ำ ถูกตบมันก็เจ็บเหมือนกัน”        จนถึงตอนท้ายของเรื่อง ความเป็น “มืออาชีพ” ของดาวได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้เธอจะเป็นเลขานุการมือใหม่ แต่ความสามารถที่เท่าทันเกมก็ทำให้เธอสืบจนพบว่า จารุณีวางแผนโกงบริษัท Way Ex ของกษิดิศ พร้อมๆ กับช่วยกอบกู้เครดิตภาพลักษณ์ที่ตกต่ำของลงบริษัทให้กลับมาดูดีในสายตาของบอร์ดบริหารทุกคน        ส่วนพันธกิจ “งานราษฎร์” ของความเป็นภรรยานั้น “เมียอาชีพ” อย่างดาวก็สามารถดูแลภาระหน้าที่ตามบรรทัดฐานแห่งความเป็นเมียได้อย่างเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ        ถึงแม้จะเป็นเพียง “เมียรับจ้าง” แต่ในความเป็นเมียนั้น ดาวก็มี job description ที่ต้องปรนนิบัติพัดวีคุณสามี เธอเริ่มลงมือไปเข้าคอร์สเรียนทำอาหารทำขนมเพื่อเสริมเสน่ห์ปลายจวัก ทุกเช้าต้องดูแลเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก่อนที่เขาจะไปทำงาน รวมไปถึงการดูแลเรื่องบนเตียงมิให้ขาดตกบกพร่อง แบบที่ละครเองก็เลือกฉายภาพฉากฟินๆ ของคู่พระนางให้ผู้ชมได้รื่นรมย์ชมชื่นอยู่เป็นระยะๆ        แม้ในชีวิตคู่จะมีบททดสอบจากทั้ง “แอนนา” ศัตรูหัวใจของดาวที่แอบหลงรักกษิดิศนานมาแล้ว หรือจะมีผู้ชายดีๆ อย่าง “มหานที” เจ้าของบริษัทคู่แข่งของกษิดิศ เข้ามาเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในชีวิตของดาว แต่บรรทัดฐานที่ “เมียอาชีพ” พึงยึดถือก็ต้องรักเดียวใจเดียว เคียงข้างและซื่อสัตย์กับสามีผู้แม้จะมีอีกสถานะที่เป็นนายจ้างของเธอก็ตาม         ถึงที่สุดแล้ว แม้ตัวละครอย่างดาวจะทำให้เราเห็นว่า บทบาทของความเป็นเมียได้เขยิบปริมณฑลจากพื้นที่ของครัว มาเป็นเมียที่กรอกใบสมัครเข้าทำงานเป็นอาชีพ แถมมีรายได้รายรับพ่วงติดมาด้วยเฉกเช่นแวดวงอาชีพอื่นๆ ก็ตาม แต่เพราะความเป็น “เมียอาชีพ” นั่นเอง เธอก็ต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่มากไปกว่า “เมียสมัครเล่น” ที่รับรู้กันโดยทั่วไป        เมื่อดูละครจบลง คำถามที่ชวนฉงนใจยิ่งก็อยู่ที่ว่า แม้จะก้าวเข้าสู่สถานะของ “เมียอาชีพ” กันแล้ว นอกจากผู้หญิงพึงต้องรู้จักบริหาร “ความเป็นเมีย” ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามภาระงานที่ระบุไว้ แต่ในอีกฟากหนึ่ง การดำรงไว้ซึ่งจริยธรรมแห่งภรรยาที่ซื่อสัตย์แสนดีโดยไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมๆ ก็ยังเป็นคำตอบให้ผู้หญิงคนหนึ่งใช้ก้าวข้ามจาก “เมียสมัครเล่น” เป็น “เมียอาชีพ” ก่อนจะกลายเป็น “เมียที่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” ตามจารีตปฏิบัติที่สังคมยึดถือและต้องการ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 อ้าว! ทำไมราคาพัดลม ไม่ตรงป้าย

        ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคท่านหนึ่ง ที่ได้ไปซื้อสินค้าแล้วมาพบตอนที่จะชำระเงินว่า ราคาสินค้าไม่ตรงกับป้ายที่แสดงไว้ โดยเรื่องมีอยู่ว่า..        บ่ายวันหนึ่ง คุณอรอุมาได้แวะเข้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดพะเยา เพื่อเลือกซื้อพัดลมตั้งโต๊ะตัวใหม่ เมื่อเดินสำรวจพัดลมแต่ละยี่ห้อ ก็พบว่าเป็นช่วงที่ห้างฯ จัดโปรโมชันลดราคาสินค้าอยู่พอดี เมื่อเลือกได้พัดลมตัวที่ถูกใจ ที่ป้ายติดราคา 379 บาท คุณอรอุมาก็หิ้วกล่องพัดลมไปชำระค่าสินค้าที่แคชเชียร์ แต่เมื่อคิดราคาแล้วปรากฏว่า ราคาพัดลมกลายเป็น 399 บาท ซึ่งแพงกว่าป้ายราคาที่ติดไว้ 20 บาท         คุณอรอุมารู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกอีกครั้งแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ราคาสินค้าไม่ตรงป้าย คุณอรอุมาจึงร้องเรียนมายังศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดพะเยาเพื่อขอความเป็นธรรม         แนวทางการแก้ไขปัญหา        เมื่อเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดพะเยาได้รับเรื่องร้องเรียนจากคุณอรอุมา จึงดำเนินการทำหนังสือส่งเรื่องรายงานไปถึงสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ซึ่งทางหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับห้างฯ ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย        ข้อแนะนำผู้บริโภค         หากผู้บริโภคพบเจอว่า สินค้าที่ซื้อมีราคาไม่ตรงกับป้ายแสดงราคา ก็ให้ถ่ายภาพสินค้าและป้ายราคา เก็บใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐาน ร้องเรียนไปยังกรมการค้าภายใน สายด่วน 1569 หรือ สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ซึ่งตาม ข้อ 11 ของประกาศคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 50 พ.ศ. 2562 เรื่อง การแสดงสินค้าและค่าบริการ กำหนดให้ผู้จำหน่ายต้องแสดงราคาจำหน่ายปลีกสินค้าหรือบริการให้ตรงกับราคาที่จำหน่ายหรือค่าบริการที่ให้บริการ เว้นแต่จำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าราคาที่แสดงไว้         ทั้งนี้ ผู้จำหน่ายต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและบริการให้ชัดเจน กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้าหรือบริการ หรือแสดงไว้ไม่ตรงกับราคาที่จำหน่าย เป็นความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 แค่เผลอกดลิงก์ SMS ก็โดนหักค่าบริการ

        ผู้บริโภคหลายคนคงเคยได้รับข้อความสั้น หรือ SMS ในโทรศัพท์มือถือ ที่มักส่งข้อมูลโปรโมชันสินค้าหรือนำเสนอเชิญชวนให้สมัครบริการต่างๆ เช่น ข่าว ดูดวง เล่นเกมส์ หรือ การพนันออนไลน์ เช่นเดียวกับคุณสกลที่วันหนึ่งก็ได้รับข้อความ SMS ที่มีลิงก์เชิญชวนเกี่ยวกับบริการเพลงคาราโอเกะเข้ามายังโทรศัพท์มือถือ         ด้วยความที่คุณสกลเป็นคนที่ชอบร้องเพลงคาราโอเกะมาก จึงได้กดลิงก์เข้าไปเพื่อที่จะดูว่าบริการดังกล่าวมีรายละเอียดอย่างไร แต่เพียงกดลิงก์เข้าไป ก็กลายเป็นสมัครบริการโดยอัตโนมัติไปเสียแล้ว หลังจากวันนั้น คุณสกลก็ถูกหักค่าบริการวันละ 10 บาทมาเรื่อย ๆ แม้จะพยายามลองกด *137 เพื่อยุติบริการ แต่ก็ไม่สามารถยกเลิกได้ แนวทางแก้ไขปัญหา         หากผู้บริโภคพบเจอปัญหาเช่นเดียวกับคุณสกล ก็ให้กด *137 เพื่อยกเลิก SMS กวนใจที่เผลอกดสมัครไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หากยังไม่สามารถยกเลิกได้ ให้รีบโทรไปที่คอลเซ็นเตอร์เครือข่ายมือถือที่ใช้บริการอยู่ ขอให้พนักงานยกเลิกบริการดังกล่าว และขอเงินที่ถูกหักไปคืนมา เนื่องจากผู้บริโภคไม่ได้มีเจตนาที่จะสมัครใช้บริการโดยสมัครใจแต่แรก แม้ว่าอาจโดนหักค่าบริการไม่กี่สิบบาท แต่หากรวมมูลค่าความเสียหายจากผู้บริโภคหลายรายที่ไม่ได้ตั้งใจสมัครใช้บริการแล้ว อาจเป็นเงินจำนวนไม่น้อย ดังนั้นการใช้สิทธิขอคืนเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริโภคควรช่วยกันรักษาสิทธิ         ข้อเตือนใจ เมื่อได้รับข้อความ SMS ที่เป็นลิงก์ใด ๆ ผู้บริโภคอาจหลีกเลี่ยงที่จะไม่กด หากไม่มั่นใจแหล่งที่มาของลิงก์ เพราะนอกจากอาจเป็นการสมัครใช้บริการโดยไม่ตั้งใจแล้ว ยังอาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่หลอกเอาข้อมูลของเราไปทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์อีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 เรื่องต้องระวังการค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์

        หลายคนคงเคยค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์ให้กับญาติพี่น้อง ถ้าญาติเราส่งค่างวดครบ เราก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเขาขาดส่งหรือไม่จ่ายค่างวดเลย เราให้ฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องถูกทวงให้ชำระหนี้แทน ถ้าตามเขามาจ่ายได้เราก็รอด แต่ถ้าตามไม่ได้จนต้องถูกฟ้องเราจะต้องทำอย่างไร ผู้ค้ำประกันหลายคนเข้าใจผิดว่า เราไม่ใช่คนซื้อไม่เกี่ยวกันถ้าจะทวงหนี้ต้องไปทวงกับคนซื้อ ถูกฟ้องร้องขึ้นมาก็ไม่ไปศาล ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ เราต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่ว่า คนซื้อกับคนค้ำประกันนั้นถือว่าเป็นผู้ที่ถูกฟ้องได้ทั้งคู่         ลูกชายของคุณสุทธิต้องการซื้อรถยนต์กระบะมือสอง ราคา 690,000 บาท จึงขอร้องให้พ่อและญาติอีกหนึ่งคนช่วยเป็นผู้ค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กระบะกับธนาคารแห่งหนึ่ง เขาก็รักลูกจึงช่วยค้ำให้พร้อมวานให้ญาติช่วยค้ำให้ด้วย หลังจากถอยรถออกมาและผ่อนส่งได้ประมาณ 3 งวด ลูกชาย (ตัวดี) ของเขาก็หยุดส่งค่างวดรถ โดยเขาไม่ทราบเหตุนี้เลย จนผ่านไป 3 ปี ลูกชายของเขาถูกฟ้องดำเนินคดีจากผิดสัญญาเช่าซื้อเป็นจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้เช่าซื้อ เขาและญาติ เป็นจำเลยที่ 2 และ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกัน         ธนาคารได้ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังลูกชายของคุณสุทธิแล้วและได้เข้ายึดรถยนต์ดังกล่าว ไปขายได้เงิน 360,000 บาท ยังขาดอยู่อีกจำนวน 230,000 บาท จึงมาฟ้องเรียกส่วนต่างเป็นจำนวน 320,000 บาท และรวมค่ายึดรถ 6,000 บาท ค่าขาดประโชน์จากการใช้รถคิด 3 เดือน 15,000 บาท เป็นยอดหนี้ทั้งสิ้น 341,000 บาท พอเห็นจำนวนเงินตั้งหลายแสน คุณสุทธิลมแทบจับเขาไม่มีเงินจ่ายหนี้ก้อนนี้แน่นอนและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรด้วย จึงปรึกษามายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค         แนวทางการแก้ไขปัญหา         ศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ แนะนำว่า ผู้ร้องคือคุณสุทธิต้องทำคำให้การต่อสู้คดีไปยื่นต่อศาลในวันนัดครั้งแรก ห้ามละเลยไม่ไปศาล ทั้งนี้ศูนย์พิทักษ์ฯ ช่วยผู้ร้องทำคำให้การโดยมีประเด็นต่อสู้ ดังนี้        1.    ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ แต่ธนาคารไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวมายังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่ลูกหนี้ผิดนัด ทำให้ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดชอบดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากพ้น 60 วัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 686        2.    ลูกหนี้ได้คืนรถยนต์สภาพสมบูรณ์ ตามสภาพรถยนต์มือสอง        3.    ราคารถยนต์ท้องตลาดขณะธนาคารขายอยู่ที่ 460,000 บาทขึ้นไป ธนาคารขายถูกกว่าราคาตลาดเอง ซึ่งถ้าขายราคาสูงกว่านี้ ส่วนต่างของราคารรถยนต์ก็น้อยลง        4.    การคิดราคาขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ เป็นการอ้างลอยๆ ไม่มีหลักฐาน         ดังนั้นถึงแม้ต้องจ่ายหนี้ แต่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ชำระเงินส่วนต่างราคารถยนต์เพียง 150,000 บาท ค่ายึดรถ 3,000  บาท และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ 9,000 บาท แต่ให้ผู้ค้ำประกันคือคุณสุทธิและญาติชำระเงินค่ายึดรถ 2,000  บาท และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถไม่เกิน 6,000 บาท เพราะธนาคารไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวถึงผู้ค้ำประกันภายใน 60 นับจากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ จึงไม่ต้องรับผิดชอบดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนต่างๆ หลังจาก 60 วันไปแล้ว         การที่ผู้บริโภครายนี้ไปศาลและต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงก็ทำให้หนี้ที่เขาถูกฟ้องมาลดลง การไปศาลจึงสำคัญเพราะว่าผู้พิพากษาจะได้รู้ข้อเท็จจริง ถ้าไม่ไปผู้พิพากษาท่านจะทราบเฉพาะข้อความที่เจ้าหนี้ฟ้องไป เมื่อถูกฟ้องคดี เราจึงควรไปศาลเพื่อเล่าความจริงให้ผู้พิพากษาฟัง ซึ่งจะมีประโยชน์ในการลดยอดหนี้ของเรา เพราะว่าส่วนมากเจ้าหนี้จะเรียกค่าเสียหายมาเกินจริงกันทั้งนั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 ธนาคารหักเงินในบัญชีเพื่อชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุด

        หลายคนเคยเป็นหนี้บัตรเครดิต การชำระคืนอาจจะจ่ายขั้นต่ำบ้าง จ่ายมากกว่าขั้นต่ำบ้าง จ่ายเต็มจำนวนบ้างซึ่งแล้วแต่สถานการณ์การเงินช่วงนั้น แต่กรณีไม่จ่ายเต็มแน่นอนว่าต้องเสียดอกเบี้ยไปตามระยะเวลาและเงื่อนไขของบัตรเครดิต อย่างไรก็ตามบางครั้งเกิดกรณีรู้สึกว่า ทำไมธนาคารเอาเปรียบเราแบบไม่มีเหตุผล การขัดขืนและใช้สิทธิเพื่อต่อสู้ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ         ภูผา นำสมุดบัญชีธนาคารของตนเองไปปรับยอดบัญชีทุกเดือน แต่ล่าสุดเมื่อเขานำสมุดไปปรับยอดแล้วพบว่าเงินหายจากบัญชีไปประมาณ 4,000 บาท เขาจึงรีบไปสอบถามธนาคารว่า เงินเขาหายไปไหน 4,000 บาท ทั้งที่เขาไม่ได้เบิกเงิน ธนาคารบอกว่า เขาเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่ประมาณ 40,000 บาท ธนาคารจึงหักเงินฝากของเขาชำระหนี้ของธนาคาร เขาไม่แน่ใจว่าธนาคารสามารถหักเงินในบัญชีของเขาได้จริงเหรอ จึงมาปรึกษามูลนิธิเพื่อขอคำแนะนำ แนวทางการแก้ไขปัญหา        กรณีของคุณภูผา เมื่อทางศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนะนำให้เขาทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรสอบถามไปยังธนาคารว่าเงินในบัญชีหายไปไหน เมื่อธนาคารตอบกลับมาเป็นหนังสือจึงทำให้ทราบว่า ปัจจุบันหนี้ของคุณภูผาถึงกำหนดชำระแล้ว ธนาคารจึงอาศัยอำนาจตามกฎหมายและข้อตกลงเงื่อนไขการใช้บัตรเพื่อใช้หักกลบลบหนี้กับบัญชีเงินฝากของเขา จำนวนเงิน 4,000 บาท (สงสัยกันใช่ไหมว่า ข้อตกลงเงื่อนไขการใช้บัตรเพื่อใช้หักกลบลบหนี้กับบัญชีเงินฝาก เราไปตกลงกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องที่หลายคนอาจไม่รู้คือ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเราได้เซ็นเอกสารการขอใช้บริการบัตรเครดิต ข้อตกลงพวกนี้จะแทรกอยู่ในเอกสารต่างๆ ที่ธนาคารส่งให้เราเซ็นลายมือชื่อ)         คุณภูผาให้ข้อมูลว่า เขาเป็นหนี้บัตรเครดิตประมาณ 40,000 บาทจริง แต่เป็นปัญหาที่ยังค้างคากันในชั้นศาล เนื่องจากตอนที่เขาใช้บัตรเครดิตนั้น เขาจ่ายเงินชำระหนี้แบบมากกว่าขั้นต่ำแต่ไม่เต็มจำนวน และในช่วงเวลาที่บัตรเครดิตของเขาใกล้หมดอายุ ธนาคารไม่ได้ส่งบัตรใหม่มาให้ แต่มีพนักงานธนาคารโทรศัพท์มาบอกให้ชำระหนี้ทั้งหมดแทน  เขารู้สึกเหมือนว่าธนาคารไม่ไว้ใจให้เขาใช้บัตรเครดิตของธนาคารอีกหรือไม่ จึงไม่ส่งบัตรใหม่ให้และเรียกให้คืนเงินทั้งหมด เมื่อลองเจรจาว่าขอผ่อนชำระอย่างเดิมได้ไหม พนักงานบอกเขาว่าไม่สามารถผ่อนได้ต้องชำระเต็มจำนวนเท่านั้น เขาจึงกลายเป็นลูกหนี้ของธนาคาร ทั้งที่เขาก็สามารถผ่อนจ่ายบัตรเครดิตตรงงวดมาโดยตลอดไม่ใช่ว่าไม่เคยจ่ายจนเสียเครดิต  ตรงนี้เขาก็ไม่เข้าใจธนาคารเหมือนกันว่า ทำไมถึงทำกับเขาแบบนี้        จากนั้นเมื่อเขาได้สอบถามถึงเรื่องคะแนนสะสมในบัตรเครดิต ซึ่งบัตรนี้มีคะแนนอยู่ในบัตร 10,000 กว่าคะแนน ธนาคารตัดบัตรเขาอย่างนี้แล้วคะแนนในบัตรที่เขาสะสมไว้จะทำอย่างไร ส่วนนี้ธนาคารไม่มีคำตอบให้กับเขา เขาจึงไม่ต้องการจ่ายเงินให้ธนาคารจนกว่าจะได้คำตอบ เมื่อธนาคารทวงถามหนี้อยู่เรื่อยๆ และยืนยันว่าต้องชำระเต็มจำนวนไม่เช่นนั้นธนาคารจะฟ้องร้องดำเนินคดี เขาก็ตัดสินใจว่าคงต้องใช้วิธีสู้กันในศาล สุดท้ายจึงเป็นคดีกันในท้ายที่สุด         ณ เวลานั้น คุณภูผาไปขึ้นศาลต่อสู้คดีตามกฎหมาย ในชั้นศาล ทนายของธนาคารซึ่งเป็นทั้งทนายและผู้รับมอบอำนาจช่วงของธนาคาร ได้เจรจาและทำข้อตกลงกับคุณภูผาว่า ให้เขาชำระหนี้จำนวน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยภายในเดือนนี้(เดือนที่มีการเจรจากันในชั้นศาล) ถ้าชำระเรียบร้อยนัดหน้าทนายจะมาถอนฟ้อง ซึ่งศาลก็บันทึกในรายการกระบวนพิจารณาคดีพร้อมลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายและนัดหมายครั้งถัดไป หลังกลับจากศาลเขาก็นำเงินไปชำระกับธนาคารตามข้อตกลงแต่พนักงานธนาคารบอกว่า เขาไม่สามารถชำระได้ต้องชำระยอดเต็มเท่านั้น(ยอดเต็มคือ 40,000 บาท) เขาพยายามอธิบายว่าเขาได้ไปขึ้นศาลและตกลงกับผู้รับมอบอำนาจของธนาคารแล้ว แต่ธนาคารก็ยืนยันว่ารับชำระหนี้ยอด 20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ตามที่ตกลงกับผู้รับมอบอำนาจไม่ได้ ต้องชำระตามยอดเต็มตามฟ้องเท่านั้น         คุณภูผาได้รับคำแนะนำจากนักกฎหมายว่า ให้นำเงินที่ต้องชำระ(ตามข้อตกลง) จำนวน 21,000 บาทไปทำเรื่องขอวางเงินไว้ที่ศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร ต่อมาเมื่อถึงวันที่ศาลนัดหมาย คุณภูผาถามทนายซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากธนาคารว่า เขาไปชำระหนี้ตามที่ตกลงกันแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้ ทนายความกลับบอกเขาว่า ผมไม่มีอำนาจตัดสินใจ จะขอนำเรื่องลดยอดหนี้ไปปรึกษากับธนาคารว่าจะลดให้เขาได้มากน้อยเพียงใด เขาก็สงสัยว่าในเมื่อทนายความเป็นผู้รับมอบอำนาจก็ต้องถือว่าเป็นตัวแทนของธนาคารแล้ว เมื่อผู้รับมอบอำนาจทำข้อตกลงก็ต้องผูกพันถึงธนาคารด้วยในฐานะตัวแทน ทำไมมาให้เหตุผลย้อนแย้งอีก หลังจากนั้นก็มีการนัดมาศาลอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะทนายความยืนยันให้เขาชำระเงินตามยอดที่ฟ้องมาให้ได้ สุดท้ายศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ภูผาชำระหนี้จำนวน 40,000 กว่าบาท ตามที่ธนาคารฟ้องมา คุณภูผาก็งงไปว่า การตกลงของเขากับทนายความที่รับมอบอำนาจและศาลก็บันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาคดี ซึ่งทั้งเขาและทนายก็เซ็นชื่อยอมรับข้อตกลงนี้ด้วยแล้ว ทำไมศาลถึงพิพากษาให้เขาต้องชำระหนี้จำนวนเต็มตามที่ฟ้องอีก         เมื่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นออกมาแบบนั้น คุณภูผาก็ขอสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์เพื่อให้คลายสงสัยว่า ข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับและลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานไม่สามารถใช้บังคับได้จริงหรือ        แต่ในขณะที่รอคำตัดสินในชั้นศาลอุทธรณ์ธนาคารกลับมาหักเงินจากบัญชีของเขาไปก่อน ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ จึงทำหนังสือให้ธนาคารยุติการหักเงินและคืนเงินให้แก่คุณภูผาก่อน เพราะถือว่าคดีความยังไม่สิ้นสุด         ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คุณภูผาชำระหนี้เพียง 21,000 บาท ตามข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณา เพราะถือว่าข้อตกลงในรายการกระบวนพิจารณาเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันตามกฎหมาย         ดังนั้นแล้ว ธนาคารจะใช้สิทธิในการหักเงินจากบัญชีธนาคารเพื่อนำเงินไปใช้หนี้จำนวน 40,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยไม่ได้ ธนาคารต้องรับยอดหนี้ที่คุณภูผาฝากไว้ที่ศาล 21,000 บาทไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ต่อมาทางศูนย์พิทักษ์สิทธิทราบว่า ธนาคารได้จัดการคืนเงินที่หักจากบัญชีธนาคารคืนกลับให้แก่คุณภูผาแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 เบาะกันกระแทก (1)

        ประเทศไทยมีสวัสดิการสุขภาพที่ครอบคลุมประชากรเกือบทั้งหมด ไล่ตั้งแต่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ โดยเฉพาะหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ        แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ การไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ตามสวัสดิการที่มีแต่ละครั้งอาจหมายถึงต้นทุนการเสียโอกาสในการทำมาหากินของวันนั้นไปทั้งวัน คนจำนวนหนึ่งที่พอมีกำลังจับจ่ายจึงเลือกใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน        ถึงกระนั้น การพบแพทย์หรือต้องนอนโรงพยาบาลจากการเจ็บป่วยกับอุบัติเหตุก็มีความแตกต่างกันไม่น้อย เพราะการเจ็บป่วยสามารถป้องกันได้ ค่อยๆ รักษาได้ ยกเว้นอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือการเจ็บป่วยเรื้อรังที่ส่งผลต่อการประกอบอาชีพซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่กับอุบัติเหตุไม่ใช่         ยิ่งถ้าเป็นอุบัติเหตุรุนแรง บางครอบครัวถึงขั้นยากจนเฉียบพลันจากการรักษาพยาบาล แม้จะมี พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 ผนวกเข้ามาแล้วก็ตาม หากผู้ได้รับอุบัติเหตุเป็นคนหลักในการหารายได้เข้าบ้านด้วยแล้ว เรื่องจะยิ่งเศร้าขึ้นไปอีก         การทำประกันอุบัติเหตุจึงช่วยอุดช่องว่างส่วนนี้ได้ ไอเดียก็คล้ายกับเรื่องเงินฉุกเฉินที่เคยเขียนไปแล้วนั่นแหละ เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยมอบให้บริษัทประกันเป็นผู้รับความเสี่ยง         ประกันอุบัติเหตุคืออะไร?         สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้ความหมายไว้ว่า         ‘เป็นการประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองต่อผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย ประสบอุบัติเหตุได้รับความบาดเจ็บทางร่างกาย และหากผลของการบาดเจ็บนั้นส่งผลให้ผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล หรือรุนแรงถึงขั้นทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิต บริษัทประกันภัยจะเข้ามารับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจาก การรักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย หรือจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยหากผู้เอาประกันภัยต้องสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต’         พื้นที่สัมปทานใกล้หมด คราวหน้าจะมาต่อเรื่องนี้กันอีก         ก่อนจบ ยังขอยืนยันซ้ำๆ ว่าสวัสดิการรัฐที่ดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดจนตายต้องเกิดขึ้น เท่าเทียม ทั่วถึง และคำนึงถึงต้นทุนต่างๆ ในชีวิตผู้คน เพราะใช่ว่าคนทุกคนจะสามารถซื้อประกันอุบัติเหตุได้         ดังนั้น เรามาช่วยกันทำให้เกิดรัฐสวัสดิการกันเถอะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 สะดวกซื้อ สะดวกร้อง?

        บทเรียนการเรียนรู้จากผู้บริโภคที่มาปรึกษาเหตุการณ์การซื้อสินค้าจากร้านค้าและร้านสะดวกซื้อหลายราย        รายแรก ผู้บริโภคซื้อนมสดชนิดบรรจุถุงจากร้านสะดวกซื้อไปให้ลูกชายรับประทาน เมื่อลูกชายรับประทานบอกว่านมมีรสเปรี้ยว ตนเองจึงลองชิมดูบ้าง ปรากฏว่ารสเปรี้ยวจริงๆ นมน่าจะบูด ตนจึงเช็ควันหมดอายุที่ข้างถุง ก็ยังไม่เลยวันหมดอายุ จึงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไร        รายที่สอง ผู้บริโภคซื้อเกี๊ยวกุ้งจากร้านสะดวกซื้อ จะนำมาอุ่นรับประทานที่บ้าน พอตัดถุงจะนำไปอุ่นในไมโครเวฟ พบว่ามีเกี๊ยวหนึ่งชิ้นที่ไม่มีไส้บรรจุอยู่ ผู้บริโภครายนี้จึงอุ่นรับประทานไปหมด แล้วมาปรึกษาเจ้าหน้าที่ว่าจะดำเนินการกับผู้ผลิตได้อย่างไรบ้าง         รายที่สาม ผู้บริโภคซื้อแกงกะทิบรรจุในถุงจากแม่ค้าขายข้าวแกงในตลาด โดยแกงนี้จะถูกตักไว้เป็นถุงๆ วางไว้ที่โต๊ะข้างหม้อแกงที่แม่ค้าตักขาย เมื่อใครจะซื้อก็หยิบให้เลยเพื่อความสะดวก ผู้ร้องซื้อแกงกะทิตั้งแต่เช้าแล้ววางตั้งไว้ในครัว โดยไม่ได้แช่ไว้ในตู้เย็น เมื่อกลับจากทำงานถึงบ้านตอนค่ำ จะนำมารับประทานปรากฎว่าแกงกะทิบูด         การดำเนินการในสามกรณีข้างต้น จะเห็นว่ามีรายละเอียดที่ต้องพิสูจน์ และค่อนข้างจะสรุปได้ยาก เพราะอาจเกิดการโต้แย้งจากอีกฝ่ายหนึ่งได้ กรณีแรกอาจง่ายหน่อยตรงที่ผลิตภัณฑ์นมยังไม่หมดอายุ แต่ดันมีรสเปรี้ยว และผู้ร้องเพิ่งรับประทานจึงมีหลักฐานอยู่ ส่วนกรณีที่สองจะพิสูจน์ได้ยาก เนื่องจากเกี๊ยวกุ้งถูกรับประทานไปจนหมด ข้อกล่าวหาจึงเป็นคำพูดลอยๆ ของผู้ร้องเท่านั้น  ส่วนกรณีที่สามแม้แกงกะทิจะบูดจริง แต่ก็พิสูจน์ได้ยากว่า มันบูดตั้งแต่ตอนตักใส่ถุง หรือบูดเพราะผู้ซื้อไม่ได้นำไปเก็บในที่ที่เหมาะสม         เจ้าหน้าที่จึงแนะนำว่า หากเกิดกรณีแบบนี้ ให้ผู้บริโภครีบนำสินค้ากลับไปหาผู้ขายโดยเร็วที่สุด หากเป็นร้านสะดวกซื้อให้นำใบเสร็จรับเงินที่ได้รับไปเป็นหลักฐานด้วย (กรณีซื้อสินค้าที่มีใบเสร็จรับเงิน ไม่ควรรีบทิ้งใบเสร็จรับเงิน เราควรแนบติดกับสินค้าไว้ก่อน เผื่ออาจจะจำเป็นต้องใช้กรณีฉุกเฉินดังกล่าว) เท่าที่มีประสบการณ์ ร้านสะดวกซื้อหลายแห่งมักจะรับเรื่องและชดเชยสินค้าให้ด้วย บางรายเขาจะชดเชยให้กรณีที่เสียเวลามาด้วยซ้ำ ส่วนกรณีแกงถุงจากแม่ค้า จากประสบการณ์ส่วนใหญ่ถ้าคุยกันดีๆ มักจะได้ชดเชยให้ฟรีๆ ด้วยเช่นกัน         รายที่สี่ ผู้บริโภคซื้อยาแผนโบราณมาจากคนรู้จัก เป็นผงสีน้ำตาลอ่อนบรรจุในซองซิบใส ไม่มีฉลากใดๆ คนรู้จักที่นำมาขายบอกว่าแก้ปวดเส้นและแก้โรคเก๊าท์ ตนเองกินแล้วได้ผลดี กินไปหลายซองแล้ว สงสัยว่ายานี้มีสารอะไรบ้างจึงนำยามาให้เจ้าหน้าที่ตรวจ         เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามว่ายานี้ซื้อมาจากใคร หรือพอทราบแหล่งที่ส่งต่อยามาขายหรือไม่ ผู้ร้องก็บอกว่าไม่กล้าบอก เป็นห่วงคนที่ขาย เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งว่าที่สอบถามก็เพื่อจะติดตามไปยังแหล่งต้นทางที่ผลิต ขอให้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อจะได้เกิดประโยชน์ในการติดตาม และจะได้ช่วยคนอื่นๆ ด้วย ผู้ร้องก็ไม่ยอมบอกและขอนำยากลับคืนไป        ในทีสุดเจ้าหน้าที่จึงได้แต่แนะนำว่า ยาที่ผลิตเพื่อใช้รักษาโรคจะต้องขออนุญาตขึ้นทะเบียนตำรับยาก่อน เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบว่ายาตำรับนี้มีความปลอดภัยหรือไม่ ถ้าปลอดภัยถึงจะอนุญาตให้ผลิตได้ ยาผงที่นำมาให้ตรวจสอบไม่มีรายละเอียดใดๆ เลย แสดงว่าไม่ได้มาขอขึ้นทะเบียนตำรับและยังไม่แสดงชื่อที่อยู่ผู้ผลิตอีก แสดงว่าผู้ผลิตมีเจตนาหลบเลี่ยงกฎหมาย ไม่แนะนำให้รับประทาน เพราะไม่รู้ว่าในยานี้มีสารอันตรายหรือไม่และยิ่งกินแล้วได้ผลดีอย่างรวดเร็ว ยิ่งน่าสงสัยว่าจะมีการปลอมปนสารเคมีอันตราย เช่น สเตียรอยด์ด้วยซ้ำ

อ่านเพิ่มเติม >