ฉบับที่ 187 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหวเดือนกันยายน 2559 แอบอ้างโลโก้ สธ. หลอกขายเครื่องสำอางสื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นช่องทางหลักของบรรดาพ่อค้า-แม่ค้าในการลงโฆษณาขายสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารเสริม เครื่องสำอาง ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผ่านการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้บ่อยครั้งที่เราได้เห็นข่าวที่ผู้บริโภคหลงซื้อไปกินไปใช้เพราะเชื่อในสรรพคุณที่โฆษณา แต่สุดท้ายกับต้องเจอกับผลลัพธ์ที่น่าเศร้า เสียงทั้งเงิน เสียทั้งสุขภาพล่าสุดเจอกรณีที่น่าตกใจ เมื่อมีผู้ผลิตเครื่องสำอางเจ้าหนึ่ง เหิมเกริมถึงขั้นสร้างเพจเฟซบุ๊คแอบอ้างว่าเป็นเพจของ กระทรวงสาธารณสุข ใช้ภาพโลโก้ของกระทรวง พร้อมมีการใช้ข้อความที่ชวนให้เข้าใจผิดว่า กระทรวงสาธารณสุขเตรียมผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมความงาม พร้อมแนบลิงค์เชิญชวนให้คลิ๊กต่อเพื่อไปยังหน้าเว็บไซต์ขายผลิตภัณฑ์นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และโฆษก สธ. ออกมายืนยันแล้วว่าหน้าเพจเฟซบุ๊คดังกล่าวไม่ใช่ของกระทรวง เป็นการแอบอ้างของผู้ไม่หวังดีที่จงใจให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิด พร้อมยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุข ไม่มีนโยบายขายสินค้าทางสื่อออนไลน์ ซึ่งทางกระทรวงเตรียมเดินหน้าเอาผิดผู้ที่กระทำการดังกล่าวตามกฎหมาย และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวว่าผ่านการรับรองหรือไม่ ทั้งนี้ได้ฝากเตือนมายังผู้บริโภคอย่าลืมตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ ให้ชัดเจนถูกต้อง มีแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ ยิ่งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าปลอดภัย ได้รับการรับรองถูกต้องจาก อย. ชื่อ-ที่อยู่ผู้ผลิต-ผู้ขายถูกต้องตรวจสอบได้สมอ.ฟัน!!!เครื่องสำอางของเล่นเด็ก “BARBIE” ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายหลังจากที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคที่ได้ซื้อของเล่นเด็กที่มีลักษณะคล้ายเครื่องสำอางจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต โดยพบว่าของเล่นชิ้นดังกล่าวหมดอายุมากว่า 2 ปี ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้ทำหนังสือแจ้งไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง บริษัทนำเข้าสินค้า ห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้า และหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาล่าสุด ทาง สมอ. ได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า จากการตรวจสอบบริษัท โซลิด เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด บริษัทฯ ที่นำเข้าสินค้าดังกล่าว พบว่าบริษัทฯ ยังไม่ได้รับอนุญาตจาก สมอ.ให้นำเข้าผลิตภัณฑ์นั้น จึงได้อายัดผลิตภัณฑ์ไว้ และอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามกฎหมาย ทางด้าน อย. ได้แจ้งกลับมาว่าได้ตรวจสอบสถานที่นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเล่นดังกล่าวแล้ว ชี้ชัดว่าของเล่นดังกล่าวเข้าข่ายเป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอาง ซึ่งการไม่จดแจ้งถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ.2558ทางด้านบริษัทโซลิดฯ ส่งหนังสือใบอนุญาตมายังมูลนิธิฯ โดยแจ้งว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะนำเข้าสินค้าใดๆ ที่ไม่ตรงตามใบอนุญาต โดยบริษัทฯ ดำเนินการขอใบอนุญาตกับ สมอ.มาตลอด และมีใบอนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์หลายฉบับ พร้อมกับส่งตัวอย่างใบอนุญาตนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเข้ามาเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร แต่อย่างไรก็ดี เอกสารที่บริษัทฯ ส่งมาไม่มีใบอนุญาตของผลิตภัณฑ์ตัวที่เป็นข่าวแต่อย่างใดทั้งนี้ทางมูลนิธิฯ มีข้อเรียกร้องไปยังหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลในเรื่องนี้ ต้องเข้มงวดในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีผลต่อสุขภาพของผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้า ให้ถูกต้องตรงตามมาตรฐาน และผ่านการรับรองยืนยืนว่าปลอดภัยก่อนอนุญาตให้วางจำหน่าย และเอาผิดกับผู้ลักลอบไม่ปฏิบัติตามกฏหมายอย่างจริงจังผู้ประกันตนเฮ!!! สิทธิทำฟัน 900 บาท เต็มวงเงินไม่มีเงื่อนไขคณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เห็นชอบยกเลิกประกาศแนบท้าย สิทธิค่าบริการทันตกรรรมที่ปรับเพิ่มจาก 600 บาท เป็น 900 บาท โดยไม่มีเงื่อนไข จากเดิมที่มีการกำหนดเพดานเงินในการรักษาแต่ละประเภทเอาไว้ดังนี้ 1.ขูดหินปูนทั้งปาก อัตราค่าบริการ(เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน) 400 บาท 2. อุดฟันด้วยวัสดุอะมอลทัม (Amalgam) 1 ด้าน 300 บาทอุด 2 ด้าน 450 บาท 3.อุดฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน 1 ด้าน กรณีฟันหน้า 350 บาท กรณีฟันหลัง 400บาท อุด 2 ด้าน กรณีฟันหน้า 400 บาท กรณีฟันหลัง 500 บาท 4.ถอนฟันแท้ 250 บาท ถอนฟันที่ยาก 450 บาท และ 5.ผ่าฟันคุด 900 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากข้อเรียกร้องของกลุ่มภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็น  คณะทำงานการปฏิรูประบบประกันสังคม  เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) เครือข่าย ฟ.ฟันสร้างสุข และกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ที่ได้ทำหนังสือเรียกร้องไปยัง สปส. เพราะเห็นประกาศแนบท้ายฉบับดังกล่าวเป็นการกำจัดสิทธิในการรักษาทางทันตกรรมของผู้ประกันตน และอาจทำให้เกิดความสับสนในการใช้สิทธิทั้งนี้สิทธิด้านทันตกรรม ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิการรักษาได้โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ในวงเงินค่ารักษาไม่เกิน 900 บาท หากกรณีที่มีค่ารักษาสูงกว่า 900 บาท สถานพยาบาทต้องแจ้งให้ผู้ประกันตนทราบก่อนดำเนินการรักษาตรวจจับ ปรับจริง เต็นท์รถยนต์มือสองสคบ. เปิดตัวโครงการ "ตรวจจับ ปรับจริง เต็นท์รถยนต์มือสอง" เอาผิดกับผู้ประกอบการขายรถยนต์มือสองที่เอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมา สคบ.ได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหาจากการซื้อรถยนต์มือสองผ่านเต็นท์รถต่างๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ความยุ่งยากในการนำรถไปจดทะเบียนต่อ รถที่นำไปใช้เกิดการชำรุดง่าย โดยผู้ประกอบการไม่รับแก้ไข และปัญหาตกแต่งตัวเลขระยะทางการใช้รถ ซึ่งเหตุผลหนึ่งที่ปัญหาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก สคบ.ยอมรับว่ามาจากการบังคับใช้กฎหมายที่ขาดความเข้มงวด ทำให้ผู้ประกอบการไม่ยำเกรงโดยโครงการนี้เจ้าหน้าที่ของ สคบ.จะทำการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเต็นท์รถยนต์มือสอง โดยจะดูเรื่องการติดฉลากแจ้งข้อมูลของรถยนต์มือสองที่จำหน่าย และความถูกต้องเรื่องการทำสัญญาซื้อขาย เพราะปัจจุบันมีกฎหมายจำนวน 2 ฉบับ ที่ใช้ควบคุมการประกอบธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้ว ได้แก่ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 35(2556) เรื่อง ให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าควบคุมฉลาก กำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจต้องจัดทำฉลากสินค้า ระบุรายละเอียดสำคัญ คือ ชื่อ ประเภทหรือชนิดของสินค้า ชื่อและสถานที่ประกอบการของผู้ขาย ขนาดหรือน้ำหนัก สมุดคู่มือการบำรุงรักษารถ และข้อมูลการประสบภัย  อีกฉบับคือ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจขายรถยนต์ใช้แล้วเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ.2550 ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีหลักฐานการรับเงินให้กับผู้บริโภค โดยระบุรายละเอียดให้ครบถ้วนชัดเจนผู้บริโภคค้านโอนย้ายตรวจอาหารนำเข้าให้กระทรวงเกษตรฯ ห่วงอาหารไม่ปลอดภัยกลับสู่ตลาดอนุกรรมการด้านอาหารและยา องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คบอช.) ออกแถลงถึงความกังวลต่อการที่ อย. ออกประกาศถ่ายโอนย้ายหน้าที่ในเรื่องการตรวจสอบการนำเข้าสินค้าอาหารกลุ่มที่ยังไม่แปรรูป ไปให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแล หวั่นผู้บริโภคเสี่ยงต่อการได้รับอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในส่วนของอาหารที่ถูกตีกลับ ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯ ก็ดูแลในส่วนของการส่งออกอาหารอยู่แล้ว อนุกรรม คบอช. กังวลว่าจะใช้เรื่องการนำเข้าอาหารซึ่งต้องยึดเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลักสำคัญไปเป็นการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่ค้าน.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล อนุกรรมการด้านอาหารและยา คบอช. ตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปรกติของประกาศฉบับนี้ว่า เป็นประกาศ อย. ที่ไม่ได้อ้างอิงถึงอำนาจตามกฎหมาย แต่อ้างอิงนโยบายรัฐมนตรีและข้อเสนอคณะทำงานจัดทำแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ภายใต้คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีเพียงแค่ภาครัฐและนักธุรกิจ แต่ไม่มีตัวแทนผู้บริโภค นอกจากนี้การตรวจสอบสินค้าอาหาร อย.ไม่สามารถถ่ายโอนภารกิจให้กระทรวงเกษตรฯได้เพราะ พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ไม่ได้ให้อำนาจ อย.กระทำเช่นนั้น การถ่ายโอนภารกิจของ อย.ไปให้กระทรวงเกษตรฯ จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายน.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ อนุกรรมการด้านอาหารและยา คบอช. กล่าวว่าจากประกาศฉบับนี้ ส่งผลโดยตรงให้กระทรวงเกษตรฯ มีภาระหน้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ที่จะต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่ถ้าดูจากที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ เองก็เคยเจอปัญหาเรื่องที่มีการพบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานในผัก-ผลไม้ที่ได้รับมาตรฐาน Q และ Organic Thailand จากกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าการกำกับดูแลมาตรฐานสินค้าของกระทรวงเกษตรฯ ยังมีปัญหาอนุกรรมการด้านอาหารและยา คบอช. เสนอให้มีการทบทวนประกาศฉบับดังกล่าว พร้อมทั้งขอให้กระทรวงเกษตรฯ ชี้แจงอย่างละเอียดว่า มีกระบวนการตรวจสอบสินค้าตีกลับอย่างไร มีการควบคุมเรื่องความปลอดภัยและการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างไร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 181 รู้เท่าทันผลิตภัณฑ์เสริมพลังทางเพศ

ในเว็บไซต์ โทรทัศน์ เฟซบุ๊ค มีการโฆษณาเกี่ยวกับยา อาหารเสริมที่เสริมพลังทางเพศทั้งชายและหญิง (สำหรับประเทศไทยจะเน้นผู้ชายเป็นหลัก) จำนวนมาก  และมักเน้นว่า ยาและอาหารเสริมพลังทางเพศเหล่านี้ทำให้สามารถมีกิจกรรมทางเพศยาวนานขึ้น ถี่ขึ้น ทนทานดีขึ้น  อวัยวะเพศชายที่ไม่ค่อยแข็งสามารถแข็งตัวได้ดี  เรียกว่าครอบจักรวาลและทางช้างเผือกเลย  ทำให้มีผู้บริโภคจำนวนมากอยากทดลอง  เมื่อไม่ได้ผลก็ไม่กล้าออกมาร้องเรียนเพราะสังคมไทยถือว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ไม่น่ามาเปิดเผยสู่สาธารณะ  เรามารู้เท่าทันเรื่องเหล่านี้กันเถอะปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศการมีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศนั้นหมายถึง ความไม่พอใจหรือขาดความสุขของแต่ละบุคคลหรือคู่ครองในการมีกิจกรรมเพศสัมพันธ์ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง  ได้แก่ ความสุขทางกาย ความต้องการทางเพศ การสัมผัส การถึงจุดสุดยอดทางเพศ  นานอย่างน้อย 6 เดือน  จึงจะถือว่ามีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ   การมีปัญหาสมรรถภาพทางเพศอาจแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ความผิดปกติของ  ความต้องการทางเพศ  การปลุกเร้าอารมณ์  การถึงจุดสุดยอด  และการปวดจากการมีเพศสัมพันธ์ ความผิดปกติของความต้องการทางเพศ เกิดจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงและเทสโทสเตอโรนในผู้ชาย  นอกจากนี้อาจเกิดจากการสูงอายุ อ่อนล้า ตั้งครรภ์ ยา ปัญหาทางจิตเช่น การซึมเศร้า วิตกกังวล    อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว  เกิดจากทั้งทางกายและจิต  สาเหตุที่พบมากคือการบาดเจ็บหรือเสื่อมของเส้นประสาทที่บริเวณอวัยวะเพศชาย การหลั่งเร็วก่อนกำหนด  หมายถึงการหลั่งน้ำอสุจิภายใน 2 นาทีเมื่อสอดอวัยวะเพศชายเข้าในช่องคลอดผู้หญิง  ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากระบบประสาทที่กระตุ้นให้หลั่งเร็วกว่ากำหนด การไม่ถึงจุดสุดยอด  เป็นปัญหาใหญ่และเกิดขึ้นในคู่ครองจำนวนมาก บางรายงานให้มากถึงร้อยละ 75 ของคู่ครอง สาเหตุเกิดจากทาง กาย จิต หรือยาบางชนิด  ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนประมาณ 1 ใน 3 จะมีปัญหาเรื่องนี้ การปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์  ส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิง  อาจเกิดจากน้ำหล่อลื่นช่องคลอดน้อยลง ซึ่งเกิดจากการปลุกเร้าไม่นานพอหรือการหมดประจำเดือน  บางคนมีอาการปวดจากการบีบรัดของกล้ามเนื้อช่องคลอดทำให้การสอดของอวัยวะเพศชายลำบากและเจ็บปวด อาการที่เกิดหลังจากการมีจุดสุดยอด  บางคนมีอาการหลังจากการมีจุดสุดยอดไม่นาน  บางคนมีอาการโศกเศร้าและวิตกกังวลหลังมีเพศสัมพันธ์ซึ่งกินเวลานานถึง 2 ชั่วโมง  อาการปวดศีรษะจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง  ในผู้ชายอาจเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วทั้งตัวในระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิ อาจมีอาการนานถึงสัปดาห์ แนวทางการรักษาในปัจจุบัน    แนวทางการรักษาในปัจจุบันและได้ผลได้เปลี่ยนความคิดว่าเรื่องนี้เกิดจากพยาธิสภาพของจิต มาเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของคู่ครอง  การแก้ปัญหาต้องทำเป็นคู่เนื่องจากเพศสัมพันธ์เกิดจากกิจกรรมร่วมกันของคนสองคน  การพูดคุย สื่อสารทางเพศเป็นหัวใจสำคัญ    โดยสรุป  ปัญหาสมรรถภาพทางเพศนั้นมีสาเหตุทั้งทางกาย ทางจิต  ในแต่ละด้านนั้นก็ยังมีสาเหตุต่างๆ อีกมาก   การซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และยาเพื่อเพิ่มพลังทางเพศนั้นจึงเป็นการแก้ปัญหาโดยที่เราไม่รู้สาเหตุของปัญหาที่แท้จริง  และเชื่อว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะสามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่างเพียงแค่กินมันเข้าไป  การแก้ปัญหาสมรรถภาพทางเพศที่ได้ผล  คือการรักษาสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรง  ออกกำลังกาย  และการพูดคุยกันระหว่างคู่ครองเพื่อจะได้เข้าใจชีวิตทางเพศ และแก้ปัญหาร่วมกันได้ถูกทิศทาง                                    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 จับพิรุธ ผลิตภัณฑ์สาหร่ายบำรุงไต

“ยายเป็นโรคเบาหวานมาประมาณ 10 ปี ก่อนหน้านี้ทำแต่งานจนไม่มีเวลาไปรักษา จนเกิดอาการน็อค และมีโรคต่างๆ รุมเร้า เช่น ความดัน ไทรอยด์ และโรคไต และป่วยมาเรื่อยๆ จนเดินไม่ไหว ไปไหนมาไหนต้องนั่งรถเข็น น้ำหนักตัวลดลงเรื่อยๆ จาก 60 กว่า เหลือ 48 สุดท้ายเดินไม่ไหว ไม่มีแรง เพราะทานข้าวไม่ลง ต้องกินยาไม่ต่ำกว่าวันละ 30 เม็ด ล่าสุดเบาหวานขึ้น 600 ทำใจแล้วว่าไม่รอดแน่แล้ว เพราะหมอบอกว่าจะเสียชีวิตภายใน 1 เดือน กินยามานาน จนโรคไตเริ่มเป็นหนักขึ้น หมอบอกว่าจำเป็นจะต้องล้างไต เมื่อมีคนนำผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ มาให้ทานก็ยังไม่เชื่อว่ามันจะหาย เพราะได้ทานยาจากโรงพยาบาลมาเยอะแล้วแต่ก็ไม่หาย  แต่พอได้ลองทานแล้ว ปรากฎว่าตอนนี้เบาหวานลดเหลือ 118 สามารถทานอาหารได้เยอะขึ้น เดินไปไหนมาไหนได้ปกติแล้ว โรคไตก็ปกติแล้ว”ข้อความนี้ในเว็บไซต์หนึ่ง คงกระตุ้นให้ผู้ป่วยอีกหลายคนที่ป่วยเป็นโรคแบบนี้หันมาสนใจ  ยิ่งมีภาพและ เสียงของคุณยายประกอบข้อความ  ผู้ป่วยหลายคนคงหลงเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์สาหร่ายที่คุณยายพูดถึงเป็นสวรรค์ของผู้ป่วยโรคไต  ยิ่งข้อความที่ระบุเพิ่มเติมไปอีกว่า สกัดมาจากสาหร่ายฟูคอยแดน (Fucoidan) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ประกอบด้วย Encoded Polysaccacharides และ Acidic Sulfate Groups ซึ่งมีหน้าที่หลัก คือ 1) มีฤทธิ์ป้องกันการแข็งตัวของเลือด 2) กระตุ้นโปรตีน และ เอนไซม์ปกติ ให้เป็นภูมิต้านทาน 3) ติดสัญญาณให้เซลที่เสื่อม และอาจกลายพันธุ์ให้เซลเม็ดเลือดขาว และเซลพิฆาตของร่างกายไปทำลายได้ถูกต้อง 4). มีรายงานพบว่าสามารถกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิด(Stem Cell) ให้ออกมาจากไขกระดูกได้ นอกจากนี้ในเว็ปไซต์ ยังมีคลิปสัมภาษณ์บุคลากรทางการแพทย์ อธิบายถึงประโยชน์ของสารต่างๆมากกมาย รวมทั้งยังอ้างถึง นักวิชาการจากต่างประเทศเพิ่มเติมอีกด้วย ถึงตรงนี้แล้ว ผมขอเชิญชวน ผู้บริโภคที่รู้ทัน ลองมาจับพิรุธผลิตภัณฑ์นี้  ว่าจะพบพิรุธเหมือนผมหรือไม่1.    ผลิตภัณฑ์นี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร หมายความว่า “มันไม่ใช่ยา ไม่มีฤทธิ์ในการรักษา ป้องกันโรค”2.    แม้จะมีบุคลากรทางการแพทย์มาอธิบายถึงประโยชน์ของสารอาหาร แต่ไม่ได้หมายความว่า สารอาหารที่มีในผลิตภัณฑ์นี้จะมีผลในการรักษาได้จริง เพราะถ้ารักษาได้จริง ผลิตภัณฑ์นี้จะต้องขึ้นทะเบียนเป็นยา3.    เทคนิคสื่อสารให้เข้าใจไปเอง โดยบุคลากรทางการแพทย์ที่อธิบาย “จะไม่พูดถึงชื่อผลิตภัณฑ์” เพราะถ้าพูดออกมาจะเป็นหลักฐานว่า “ตนเองจะกระทำผิดกฎหมายทันที”4.    แม้โฆษณาก็ยังแอบปกป้องตนเองไม่ให้ผิดกฎหมาย โดยใช้ข้อความ  “ผลลัพธ์ในภาพและวีดิโอเป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคล… ผลลัพธ์การช่วยเรื่องสุขภาพของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน" และยังทำตัวสีเทาจางๆ  ซึ่งถ้าใครไม่สังเกตก็จะมองข้ามไปไม่ทันเห็นคงไม่ต้องอธิบายมากมากกว่าผลิตภัณฑ์นี้มันได้ผลจริงหรือไม่ แค่ข้อพิรุธที่สังเกตเห็น ผู้บริโภคที่รู้ทันก็จะตัดสินใจได้ทันทีเลยว่ามันได้ผลจริงหรือไม่ ยังไงก็ช่วยกันเตือนกันด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 180 เทรนด์ใหม่มาแรง..แย่งอาหารจิ้งหรีด

จำได้ว่าสมัยเด็กๆ  ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่บอกว่า ถ้าอยากเสียงดี ต้องไปกินน้ำค้างที่ยอดหญ้าเหมือนจิ้งหรีด ตอนนั้นยังขำๆ กับคำพูดนี้  จนปัจจุบัน ได้มาทำงานคุ้มครองผู้บริโภค  มิคาดว่าเรื่องเล่าขานตำนานน้ำค้าง มันจะกลายมาเป็นจริง เพราะเดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์จำหน่าย โดยแจ้งว่าเป็น น้ำค้างเพื่อสุขภาพ นี่เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ผลิตภัณฑ์ที่ผมกำลังพูดถึง มีการประกาศขาย โดยให้สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต ระบุว่าเป็น  “น้ำค้างบริสุทธิ์แท้” ที่รวบรวมน้ำค้างจากธรรมชาติ โดยใช้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อใช้จับน้ำค้างโดยเฉพาะ  ทำให้ได้น้ำค้างที่มีความบริสุทธิ์และมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับน้ำค้างที่เกาะบนใบหญ้า 100%  จึงอุดมไปด้วยออกซิเจนจากธรรมชาติ และมีโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็กที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ  เสมือนน้ำที่บริสุทธิ์ที่สุดในธรรมชาติ ไหนๆ ก็พร่ำพรรณนากระบวนการผลิตมาขนาดนี้แล้ว เรื่องสรรพคุณคงไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนแล้ว เพราะเล่นบรรยายจะเคลิบเคลิ้มไปเลย.. ขายเด่นๆ ที่อ้าง คือการเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับอวัยวะต่างๆ และเกิดผลได้อย่างมหัศจรรย์ เช่น  เพิ่มให้กับสมอง(ทำให้สมองปลอดโปร่ง คลายเครียด ความจำดี และมีสมาธิมากขึ้น บรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน และลดภาวะสมองขาดออกซิเจน) เพิ่มให้กับตับ (ทำให้ตับสามารถกำจัดสารพิษต่างๆ ในร่างกายได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันอันตรายต่อเซลล์ตับจากสารพิษต่างๆ จากอาหารเครื่องดื่มและยาที่ปนเปื้อนสารพิษ ชำระล้างของเสียที่สั่งสมมานานออกไปจากร่างกาย) เพิ่มให้กับผิวหนังและเนื้อเยื่อ(ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นสดใส เพิ่มการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเร็ว) เพิ่มปริมาณออกซิเจนธรรมชาติให้กับเลือด(ทำให้เม็ดเลือดและเกล็ดเลือดมีจำนวนมากขึ้น ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันป้องกันการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายจากภาวะขาดเลือด รักษาระดับความดันเลือดให้ปกติ) เพิ่มให้กับข้อต่อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ(ทำให้ข้อต่อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยเจือจางระดับของกรดยูริก บรรเทาอาการปวดเมื่อย และอาการข้อเสื่อม) เพิ่มให้กับปอด (ป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจ หอบหืด และภูมิแพ้) ส่วนเรื่องราคาจะขายถูกเหมือนน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วไปก็จะกระไรอยู่ น้ำค้างบริสุทธิ์นี้ ขวด 300 มิลลิลิตร ราคาขายประมาณ 120 – 144 บาท หวังว่าผู้บริโภคที่ฉลาดคงจะตัดสินใจได้นะครับว่า ผลิตภัณฑ์นี้มันมีสรรพคุณมหัศจรรย์พันลึกได้อย่างที่ว่าหรือเปล่า ยังไงก็ฝากเตือนๆ เพื่อนฝูงด้วยนะครับ “ การดื่มน้ำสะอาดเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าน้ำสะอาด แต่ดันโอ้อวดเกินจริง ถึงไม่ตาย ก็อาจเสียเงินเกินเหตุได้นะครับ”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 161 ผีดิบ.สก๊อย.นมแตก

หลังจากผลิตภัณฑ์กลูต้านานาชนิดได้ประกาศยึดอำนาจจู่โจมจิตใจสาวๆ ผู้อยากขาวแล้ว มันยังทำให้คำว่า “กลูต้า” กลายเป็นนิยามของความขาว ที่ติดหูผู้คนไปทั่ว เราจึงพบผลิตภัณฑ์กลูต้าผุดออกมาชุมนุมในโลกโซเชียลมีเดียมากมาย “กลูต้านมแตก กลูต้าสก๊อย กลูต้าผีดิบ” ผลิตภัณฑ์ชื่อชวนตะลึงเหล่านี้มีออกมาโฆษณาขายแล้ว ขายได้หรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ชื่อของมันจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างระทวยใจแน่นอน “กลูต้านมแตก ขาวอึ๋มเด้ง เสริมหน้าอกโดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาอกเล็กได้ ทำให้หน้าอกคุณกระชับ เต่งตึง มีขนาดใหญ่ ผิวขาวขึ้น หน้าไม่มัน ลดกลิ่นตัว ช่องคลอดกระชับ” … “กลูต้าสก๊อย ขาวที่สุดในสามโลก ใส่กางเกงขาสั้นลุยท้าแดดได้เลย ตัวใหม่ล่าสุด ประสิทธิภาพดีเยี่ยมเป็นหัวเชื้อกลูต้าจากประเทศสวิส ส่วนผสมครบเป๊ะ ขาวเร็วและแรง ขาวออร่าท้าแดด ทานตัวสก๊อยแล้วไม่ต้องกลัวดำอีกต่อไป มีสารต้านยูวี พิสูจน์แล้วว่ามาแรงแซงโค้ง และยังช่วยการเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว ช่วยลดระดับโคเรสเตอรอลในเลือด และช่วยลดความเสี่ยงสำหรับผู้มีปัญหาโรคหัวใจ ทานคู่กับ กลูต้าผีดิบ ขาวไว 2 เท่าแน่นอน” ... “กลูต้าผีดิบ เปลี่ยนผิวหมองคล้ำดูไร้ชีวิตชีวาขาวไวปรอทแตก ปรับปรุงประสิทธิภาพให้ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยโมเลกุลของยาที่เล็ก ไม่ต้องฉีดกลูต้าไม่ต้องเข้าสปา กลูต้าผีดิบทำงานได้แสดงผลให้ขาวใส ช่วยรักษาแผลและรอยแผลเป็น  ป้องกันริ้วรอยและความชรา รอยสิว จุดด่างดำ ดูจางลง ป้องกันการเกิดสิว”   ผมเหลือบไปเห็นส่วนประกอบที่แจ้งในโฆษณาก็เลยถึงบางอ้อ ตัวนมแตก อ้างว่ามีส่วนผสมของ ออร์โมนเอสโตรเจนจากกวาวเครือ มารวมกับกลูต้าไธโอน วิตามินซีและอี เลยเอามาเป็นจุดขายว่าทำให้อกอึ๋ม แต่ดันอวดอ้างจากอกไปถึงช่องคลอดอีกว่ากระชับ(เอาเข้าไป) ส่วนตัวสก๊อยที่ว่าขาวของสาวสก๊อย ก็อ้างว่ามีส่วนผสมของกลูต้าไธโอน รวมกับพวกวิตามินสองสามชนิด อันนี้กล้าหาญถึงขนาดมาบอกว่า ช่วยลดระดับโคเรสเตอรอล และช่วยลดความเสี่ยงสำหรับผู้มีปัญหาโรคหัวใจ สุดท้ายเจ้าตัวผีดิบที่ให้ทานคู่กัน อ้างว่ามีส่วนผสมของกลูต้าไธโอน รวมกับสารอีกหลายๆ ชนิด ทั้งยาแก้สิว กรดอ่อน และสารพัดสารที่อ้างมา เห็นแล้วเพลีย สรุปว่าถ้าเหล่ากลูต้าทั้งหลายมีส่วนผสมดังที่อ้างจริง เข้าข่ายยาแน่นอน และเมื่อเข้าข่ายยา ก็จำเป็นจะต้องมาขอขึ้นทะเบียนตำรับยาเพื่อพิสูจน์ว่ามีตัวยาและมีสรรพคุณจริงดังที่อ้างหรือไม่ และที่สำคัญต้องปลอดภัยต่อผู้ใช้ด้วย หากพิสูจน์ได้จริง อย. ถึงจะให้เลขทะเบียนตำรับยาเพื่อแสดงบนฉลากด้วย รวมทั้งการโฆษณาก็ต้องผ่านการตรวจสอบด้วย ดังนั้นถ้าเห็นผลิตภัณฑ์เหล่านี้วางขายโดยไม่มีทั้งฉลากและยังโฆษณาชวนเชื่อจนผิดปกติ ให้ฟันธงได้เลยว่าเป็นผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย ใครมีพยานหลักฐานอะไร แจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยครับ จะได้จับผีดิบไม่ให้ไปสูบเลือดผู้บริโภคอีกต่อไป   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 157 คู่มือนักร้อง (เรียน) ตอนที่ 2

ฉบับที่แล้ว ผู้เขียนได้นำเสนอ คู่มือนักร้อง (เรียน) ไปแล้วในขั้นตอนแรก โดยเสนอให้จัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมพรรค ซึ่งมีเคล็ดลับเพิ่มเติมง่ายๆ ดังนี้   เคล็ดลับ : การตรวจสอบเลขที่อนุญาตโฆษณา ยาที่ได้รับอนุญาตโฆษณา จะมีเลขที่โฆษณาระบุ   ฆท .../..... อาหารที่ได้รับอนุญาตโฆษณา จะมีเลขที่โฆษณาระบุ   ฆอ .../..... เครื่องมือแพทย์ที่ได้รับอนุญาตโฆษณา จะมีเลขที่โฆษณาระบุ   ฆพ .../..... เครื่องสำอางจะไม่มีเลขที่โฆษณา เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่าสามารถทำการโฆษณาได้โดยไม่ต้องขออนุญาต เคล็ดลับ : การตรวจสอบเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์ ยาแผนโบราณที่ผลิตในประเทศ จะมีเลขทะเบียน G .../..... ยาแผนปัจจุบันที่ผลิตในประเทศ จะมีเลขทะเบียน 1A .../..... หรือ 2A .../..... อาหาร จะมีเลขสารบบ 13 หลัก  เช่น xx-x-xxxxx-x-xxxx เครื่องสำอาง จะเลขที่จดแจ้ง 10 หลัก xx-x-xxxxxxx   2. หลักฐานครบถ้วน นอกจากข้อมูลที่ครบถ้วนแล้ว หากมีพยานหลักฐานชัดเจน จะทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้กระทำผิดไม่สามารถอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องได้ พยานหลักฐานเบื้องต้นที่เราควรรวบรวมให้ได้ เช่น พยานเอกสาร     ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณามีเอกสาร ใบปลิว แผ่นพับ ประกอบการโฆษณาด้วยหรือไม่ พยานบุคคล       นอกจากเราแล้ว มีบุคคลใดที่รับรู้หรือเห็นเหตุการณ์การโฆษณาที่ไม่ถูกต้องอีก พยานวัตถุ          ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สินค้าที่ทำการโฆษณา   3. เรื่องด่วนส่งทัน เราควรรีบส่งเรื่องร้องเรียนให้กับเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยเร็วที่สุด  แนะนำว่าไม่ควรเกิน  7  วัน ซึ่งเราสามารถส่งข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ถูกต้องไปยังหน่วยงานสาธารณสุขได้ในทุกระดับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ รพ.ชุมชน รพ.ทั่วไป  รพ.ศูนย์  สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา   4. ช่วยกันบอกต่อ นอกจากนี้ เราควรแจ้งให้คนในชุมชนทราบข้อมูลผลิตภัณฑ์อันตรายโดยด่วนที่สุด โดย ผ่านช่องทาง หรือวิธีการต่างๆ  แต่ถ้าเราไม่มั่นใจเราอาจสอบถามกับเจ้าหน้าที่ให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ปลอดภัยอย่างไรก่อนดำเนินงานแจ้งข่าว หรือหากเรากังวลว่าอาจถูกผู้กระทำผิดฟ้องกลับ หรือมีปัญหาในชุมชน ควรประสานงานให้เจ้าหน้าที่ เป็นผู้กระจายข่าวออกจากหน่วยงานราชการ ก็ได้   เคล็ดลับ ในการร้องเรียน หากเราไม่อยากเปิดเผยตัวเอง เราควรรวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐานให้ชัดเจนมากที่สุด เพื่อให้ข้อมูลที่เราร้องเรียนมีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ เพื่อกลั่นแกล้ง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 156 คู่มือนักร้อง (เรียน) ตอนที่ 1

คอลัมน์เรื่องเล่าเฝ้าระวัง ได้นำเสนอข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพมาหลายฉบับแล้ว และเป็นข่าวดีที่ผู้เขียนทราบว่า ผู้บริโภคที่ติดตามอ่านคอลัมน์นี้หลายท่าน ได้ลุกขึ้นมาเป็นหูเป็นตาในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยในท้องตลาด  โดยแจ้งข้อมูลผลิตภัณฑ์อันตรายที่ตนพบเห็นไปให้หน่วยงานราชการดำเนินการต่อ แต่เนื่องจากข้อมูลที่ส่งต่อบางชิ้นมีรายละเอียดไม่มากพอ เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถนำข้อมูลไปดำเนินการต่อได้ทันที ทำให้ต้องไปเริ่มต้นหาข้อมูลกันใหม่อีกรอบ เพื่อให้ประชาชน ผู้บริโภค และเครือข่ายต่างๆ สามารถรวบรวมข้อมูล หลักฐานต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ผู้เขียนขอนำเสนอวิธีง่ายๆ ในการดำเนินการรวบรวมข้อมูลก่อนส่งเรื่องร้องเรียน โดยมีคาถาง่ายๆ ที่ควรท่องให้ขึ้นใจดังนี้ ข้อมูลพร้อมพรรค -  หลักฐานครบถ้วน – เรื่องด่วนส่งทัน – ช่วยกันบอกต่อ  ก่อนที่เราสวมวิญญาณจะเป็นพลเมืองดี นำข้อมูลมาร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่นั้น  เราควรตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ที่เรามีว่าครบถ้วน สมบูรณ์หรือไม่ เพราะถ้าข้อมูลที่เราส่งต่อให้เจ้าหน้าที่นั้นครบถ้วนหรือเพียงพอ เจ้าหน้าที่ก็จะสามารถนำไปดำเนินการได้ทันที แต่ถ้าข้อมูลที่เราร้องเรียนไม่ครบถ้วน ขาดข้อมูลที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถนำไปดำเนินการได้ และจะทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาในการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม จนอาจทำให้เรื่องที่เราร้องเรียนล่าช้าไม่ทันเหตุการณ์ มี 4 ขั้นตอนง่ายๆ ให้เราตรวจสอบความพร้อมในการร้องเรียนดังนี้   1. ข้อมูลพร้อมพรรค ในขั้นตอนนี้ ขอให้เราตรวจสอบข้อมูลที่เราจะนำไปร้องเรียนว่าครบถ้วน หรือเพียงพอหรือไม่ จากประสบการณ์พบว่า ข้อมูลที่ครบถ้วนจะประกอบด้วยประเด็นหลักๆ ดังนี้ 1) ชื่อผู้ร้องเรียน หรือผู้บันทึกข้อมูล ตลอดจนที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดต่อได้ หากต้องการข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมในภายหลัง 2) ควรตรวจสอบหน่วยงานที่เราจะร้องเรียนให้ถูกต้อง  เช่น ร้องเรียนเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพ(อาหาร ยา เครื่องสำอาง ฯลฯ) ให้ร้องเรียนที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กรณีที่เป็นการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์และวิทยุสามารถร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ 3) ระบุสื่อที่พบการโฆษณาและข้อมูลเกี่ยวกับสื่อดังกล่าวให้ชัดเจนที่สุด เช่น วัน เวลาที่พบการโฆษณา พื้นที่ที่พบโฆษณา คลื่นความถี่/ช่องรายการ  ชื่อสถานี ชื่อรายการ  ชื่อผู้จัดรายการ 4) รายละเอียดข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่โฆษณา เช่น ชื่อผลิตภัณฑ์ และถ้าทราบว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นยา อาหาร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุอันตรายให้ระบุไปด้วย  นอกจากนี้ หากเป็นไปได้ให้ตรวจสอบด้วยว่าโฆษณานั้นมี เลขที่โฆษณาผลิตภัณฑ์ หรือไม่ ทั้งนี้ต้องไม่สับสนระหว่างเลขที่อนุญาตโฆษณา กับเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์ เช่น เลขทะเบียนตำรับยา หรือเลขทะเบียนตำรับอาหาร หรือเลขที่จดแจ้งเครื่องสำอาง 5) รายละเอียดวิธีการโฆษณา เช่น การจัดรายการ มีผู้เล่าประสบการณ์ สปอตโฆษณา หรืออื่น ๆ 6) ประเด็นที่เราสงสัยว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ปลอดภัย  เช่น การอวดอ้างสรรพคุณอย่างเกินจริง หรือมีการรับรองสรรพคุณอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เราสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้เองโดยเปรียบเทียบกับข้อกฎหมายในกฎหมายยา อาหาร หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง (ต่อฉบับหน้า)   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 151 ระวังสเต็มจะมาเซลล์จนหมดตัว

อมใต้ลิ้น ละลายทันที ซึมเข้าระบบ เข้าไปฟื้นฟูเซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายดีขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ข้อความนี้ไม่ใช่โฆษณายาอมแก้ไอมะแว้ง หรือยาโรคหัวใจแบบอมใต้ลิ้นที่หลายคนรู้จัก แต่มันคือข้อความโฆษณาผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่ง ใช้วิธีส่งมาทางอีเมล์ของหลายต่อหลายคน ผู้โฆษณาบอกว่าเขาเป็นเจ้าแรกที่นำ ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์ ชนิดรับประทานเข้ามาจำหน่าย โดยบรรยายสรรพคุณว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รางวัลชนะเลิศจากต่างประเทศ บรรดาคนดังของโลก ตลอดจนดาราภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดต่างก็รับประทาน เพราะเมื่อรับประทานไปแล้ว จะทำให้หน้าอ่อนลง 10 ปี หน้าใส รูปหน้ากระชับ เนียนเรียบตื้นทันใจภายใน 1 เดือน แถมยังคุยโวเกทับผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ ที่ผสมสารกลูต้าไธโอนหรือคอลลาเจนอีกว่า ผลิตภัณฑ์ของตนเห็นผลเร็วกว่า หลังจากนั้นก็พรั่งพรูด้วยสรรพคุณอวดอ้างสามัญประจำบ้านอีกมากมาย อาทิเช่น  เบาหวานหาย ความดันหาย ปวดเข่าหาย ผมร่วงหาย ปวดหัวหาย หลังจากอ่านสรรพคุณที่โอ้อวดจนเพลิน ผมก็สะดุดกับข้อความที่บอกว่า ผลิตภัณฑ์ของเขาคือ สเต็มเซลล์ของต้นแอปเปิ้ล และต้นองุ่น  อ้าวไปกันใหญ่แล้ว จู่ๆ เซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ ของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ในร่างกายไหงกลายเป็นสเต็มเซลล์ของพืชไปแล้ว มั่วได้ใจจริงๆ ยิ่งมาอวดอ้างว่ารับประทานโดยอมใต้ลิ้น ขอบอกให้โลกรู้เลยนะครับว่า เท่าที่ทราบมา ผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์ มันไม่มีแบบรับประทาน แล้วไอ้ที่อ้างว่าได้ผลต่างๆ น่ะ แค่ กลืนลงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะอาหารก็ฟัดซะย่อยยับแล้ว กำลังคิดว่าจะนำข้อมูลไปเตือนผู้บริโภคอย่างไร สายตาดันเหลือบไปเห็นข้อความในย่อหน้าต่อมาอีกว่า   บริษัทของเราเพิ่งนำเข้ามาเมื่อปลายปี 2555 และแนะนำข้อมูลของบริษัทและเลขทะเบียน สคบ.อีกด้วย ตามมาด้วยข้อความว่าการันตีคุณภาพว่า “ประกันภัยสูงถึง 30 ล้านบาท ถ้ากินแล้วอันตรายถึงแก่ชีวิต” ตรงนี้แหละที่เล่นเอาผมสะดุ้ง เพราะหากผู้บริโภคที่รู้ไม่เท่าทัน อ่านผ่านๆ อาจเข้าใจไปผิด ผมขออธิบายง่ายๆ แบบนี้ครับ ที่อ้างเลขทะเบียน สคบ.น่ะ ไม่ได้หมายถึงเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์นะครับ มันหมายถึงบริษัทนี้ไปจดทะเบียนทำธุรกิจขายตรงกับ สคบ. ตามที่ สคบ.เขากำหนดว่า ใครจะทำธุรกิจขายตรงต้องไปยื่นจดทะเบียนตามกฎหมายของเขา ส่วนประกันภัย 30 ล้านบาทน่ะ ดูให้ดีนะครับ มันประกันภัยบริษัทหรือประกันว่าหากรับประทานแล้วตายโหงกันแน่ กำลังคิดว่าจะอธิบายต่ออย่างไร ดันเหลือบไปเห็นย่อหน้าท้ายๆ โปรยข้อความชวนเชื่ออีกว่า ขนาดยังไม่เปิดเป็นทางการ ผู้สมัครกับบริษัทเรา ยังสามารถทำรายได้ 2.5 ล้าน 1 ท่าน ยังไม่พอครับ มีอีก 1 ท่านทำรายได้ 2.1 ล้าน และมีถึง 4 ท่านทำรายได้ 1 ล้านกว่าๆ แถมยังยกตัวอย่างตนเองด้วยว่า แค่ปลายปีตนได้รายได้จากการจำหน่ายถึง 150,000 บาท แม่เจ้าไม่กล้าโว๊ย! ถ้ามันกำไรขนาดนี้ ผมคงต้องไปกระซิบรัฐบาลให้เลิกโครงการต่างๆแล้วให้พลเมืองไทยทุกคนทำธุรกิจนี้ มิดีกว่าหรือ ยังไงช่วยกันเตือนสติคนรอบข้างอย่าได้หลงเชื่อนะครับ โฆษณาสรรพคุณอวดอ้างเกินจริงจนเคลิ้มยังไม่พอ ยังเอารายได้มหาศาลมาโน้มน้าวให้ผู้คนระทวยอีก ใครไม่มีสติพออาจโดนสเต็มเซลล์ มาเซลล์จนหมดตัวได้นะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 137 ยาหลอก ขายลวง

นายมี(นามสมมุติ) ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินมานานหลายปี ชะรอยไม่รู้ว่า ฟ้าโกรธหรือสวรรค์แกล้งกันแน่ วันหนึ่งจึงมีญาติมาแนะนำให้รู้จักพ่อค้ายาเร่คนหนึ่ง ซึ่งอวดอ้างตนเองว่าเป็นหมอ มียารักษาโรคได้ทุกชนิด (ฟังดูแล้วประหนึ่งดั่งหมอเทวดา) พอพ่อหมอเทวดารายนี้ทราบว่านายมีเป็นโรคสะเก็ดเงินก็บอกว่า “สบายมาก เอาอยู่ หายแน่นอน” นายมีได้ฟังก็ถึงกับเคลิบเคลิ้มเพราะตนก็ป่วยมาหลายปี แม้จะรับประทานยาแผนปัจจุบันมาแล้ว แต่มันก็แค่ควบคุมอาการได้เท่านั้น เมื่อมีคนมาบอกว่ารับรองหายขาดมีหรือจะไม่เคลิ้มอยากเอาอยู่ให้ได้ พ่อค้ายาเร่รายนี้ จึงขอให้นายมีจ่ายเงินสดมาก่อน 5,000 บาท เพื่อเป็นค่ายกครู แล้วได้มอบยาให้กับนายมีจำนวนหนึ่งชุดซึ่งในหนึ่งชุดประกอบไปด้วย ยา 4 ถุง (ถุงที่ 1 เป็นส่วนต่างๆ ของต้นไม้ ให้นายมีนำไปต้มกินเอง ถุงที่ 2 เป็นยาผงสีส้ม ถุงที่ 3 เป็นยาลูกกลอนสีดำ และยาเม็ดสีเหลือง ส่วนถุงที่ 4 เป็นยาลูกกลอนสีดำ ยาเม็ดสีแดง และยาเม็ดสีเขียว ฉลากมีข้อความระบุว่า “สถานที่ผลิตยาและจำหน่ายยาแผนไทย (ร้านทองอินทร์เภสัช) ระบุสถานที่อยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม พร้อมทั้งมีเบอร์ให้ติดต่อกลับ) ก่อนจากไป พ่อค้ายาเร่คนนี้บอกว่าจะกลับมาอีกครั้ง หากนายมีอาการดีขึ้น และจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม 5,000บาท เพื่อเป็นค่ายาชุดต่อไป   คล้อยหลังไปเพียง 2-3 วัน พ่อค้ายาเร่(ที่ทำท่าจะกลายเป็นพ่อค้ายาเล่ห์) ก็ได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมขอให้นายมีจ่ายเงินให้อีก 5,000บาท นายมี(ที่เริ่มจะเป็นนายไม่มี เพราะไม่มีเงินหลงเหลือแล้ว) จึงบอกว่ายาที่กินเข้าไปยังไม่ทันรู้ผล จะมาเร่งเอาเงินอะไรอีก และไม่ยอมให้เงินไป แต่กลับเอายามาให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจสอบ ซึ่งผลจากการตรวจสอบยาเหล่านี้ด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น พบว่ายาเม็ดสีดำในซองที่ 3 (ซองขวามือในรูป) และยาเม็ดสีแดง และเม็ดสีเขียวในซองที่ 4 (ซองซ้ายมือในรูป) ล้วนพบสารสเตียรอยด์ทั้งหมด ขณะนี้ไม่ทราบว่าพ่อค้ายาเล่ห์รายนี้ ได้เร่ไปขายยาแถวไหนบ้าง แต่ที่แน่ๆ เขาได้หายไปจากหน้านายมีเรียบร้อยแล้ว จึงขอฝากเตือนไปยังผู้บริโภคทั้งหลาย ให้ตั้งสติ แผ่เมตตาให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจาก ยาหลอกที่ขายลวงกันด้วยนะครับ และถ้าอยากได้บุญมากยิ่งขึ้น หากเจอก็ขอให้แจ้งตำรวจไปตรวจสอบได้เลย..สาธุ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 136 ผลิตภัณฑ์กินๆ พ่นๆ จนตัวขาว

ไม่รู้ว่าค่านิยมผิวขาวมันเริ่มทะลุทะลวงความรู้สึกของคนไทยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าเดี๋ยวนี้หันไปทางไหน ก็มีผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวขาวเต็มไปหมด มีชนิดกิน ชนิดทา ชนิดฉีด ทั้งๆ ที่กระทรวงสาธารณสุข ก็ออกมาเตือนกันปาวๆ ว่ามันไม่ได้ผลและยังเสี่ยงอันตรายด้วยซ้ำ แต่ก็พบว่ายังมีผู้บริโภคหลงเป็นเหยื่อเสียเงินซื้ออยู่เรื่อยๆ ทางราชการก็ได้แต่ตามจับ ตามยึดกันแทบไม่ทัน เพราะส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะลักลอบจำหน่ายหรือไม่ก็แอบขายตรงกันเป็นทอดๆ ล่าสุดมีผู้บริโภคแจ้งข่าวว่ามีผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวแบบพิสดารทันใจ อีก 2 ชนิด โฆษณาในอินเตอร์เน็ตแบบไม่เกรงกลัวกฎหมาย   ผลิตภัณฑ์ชนิดแรกเป็น “ผลิตภัณฑ์กินกันแดดชนิดรับประทาน” มีลักษณะเป็นแคปซูลบรรจุอยู่ในขวด ขวดละ 60 แคปซูล ราคา 1,450 บาท(ตกประมาณแคปซูลละ 24 บาท แพงไม่ใช่เล่น) อ้างว่าสกัดมาจากเฟิร์นสายพันธุ์พิเศษจากประเทศสเปน สามารถปกป้องรังสียูวี UVA/UVB จากแสงแดด ซึ่งเป็นสาเหตุของความหมองคล้ำ ฝ้า กระ และริ้วรอยก่อนวัย ได้ โดยสามารถปกป้องได้ทั่วทั้งร่างกาย ไปจนถึงเส้นผม หรือแม้กระทั่งเรติน่าที่ม่านตา(อะไรจะสุดยอดขนาดนั้น) วิธีใช้ก็สุดแสนจะพิสดาร เพราะให้รับประทานก่อนออกกลางแจ้ง 2 เม็ด และทานซ้ำ 1 เม็ดหลังจากทาน 2 เม็ดผ่านไปแล้ว 4 ชั่วโมง (ตำราไหนหว่า?) ยังไม่พอนะครับ ยังมีอีก “สเปรย์ผิวขาวทันใจใน 1 นาที” ราคาขวดละ 480 บาท อ้าง (อีกแล้ว) ว่ามีสารสกัดจากไข่มุกธรรมชาติ ที่ช่วยฟื้นฟูให้ผิวขาวกระจ่างใสได้เร็วขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และยังยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ผิวขาวสวยเนียนแบบธรรมชาติ ฯลฯ โดยให้ใช้สเปรย์ที่ผิวกายก่อนสวมเสื้อผ้าประมาณ 2-3 นาที เพื่อเพิ่มประกายวิ้งๆ ดูสวยเก๋แบบรวดเร็ว ในเว็ปไซต์ยังแนะนำว่าฉีดได้ทั้ง ขา ตัว แขน รักแร้ เพื่อปิดรอยไม่พึงประสงค์ หากมีแผลเป็นให้พ่นเน้นบริเวณแผลเป็นนะคะ จะช่วยปกปิดได้อีก ขอเรียนให้ผู้บริโภคทราบเลยครับว่า ผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิด ไม่มีการขึ้นทะเบียนหรือได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ดังนั้นจึงถือได้ว่ายังไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คุณสาวๆ ที่อยากขาวจึงไม่น่าจะเอาทั้งผิวและชีวิตตนเองไปเสี่ยงนะครับ ยังไงก็ช่วยกันสอดส่องดูแลและตักเตือน แนะนำเพื่อนฝูงอย่าหลงเป็นเหยื่อ “ผลิตภัณฑ์กินๆ พ่นๆ จนตัวขาว” เหล่านี้นะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 132 ผลิตภัณฑ์เพศพาณิชย์

  กระแสผลิตภัณฑ์สำหรับสตรี ให้สรีระฟูๆ ฟิตๆ กำลังดังระเบิด หน่วยงานควบคุม.ได้แต่กุมขมับเพราะหลังจากดำเนินคดีแล้ว กลับปรากฏว่ามีการขยายสาขาที่เปิดจำหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ประเด็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อหนึ่ง ที่โด่งดังอย่างกะทันหันในตลาดการขายตรง โดยยกเอากระแสปลุกความเป็นเพศหญิงให้ผงาดขึ้นมาอย่างโจ่งครึ่มไม่แคร์กฎหมาย แม้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้เคยบุกไปจับดำเนินคดีมาแล้ว แต่คล้อยหลังไม่นานเครือข่ายพี่ๆ น้องๆ ในแวดวงการคุ้มครองผู้บริโภคกลับแจ้งว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้กลับมาบุกตลาดได้อีก หลายจังหวัดมีการเปิดห้องแถวเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ ไม่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เท่านั้น ผมยังได้รับข่าวว่ามีตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีทะเบียนยาแต่แสดงฉลากว่า ยากระชับแหม่ม เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยท่านหนึ่งนำมาให้ที่แผนกช่วยตรวจสอบว่ามันคืออะไร ผมเองก็งงว่าแหม่มคือใคร? ทำไมต้องกระชับ?  แต่ก็ถึงบางอ้อ เมื่อเหลือบไปเห็นสรรพคุณที่ระบุบนฉลากว่า สรรพคุณกระชับช่องคลอด ตามด้วยการพรรณนาสรรพคุณเกี่ยวกับน้องแหม่มอีกมากมาย ต่อมาผมก็ได้รับข้อมูลจากน้องอีกท่านหนึ่งทางภาคเหนือ แจ้งว่าพบผลิตภัณฑ์แสดงฉลากว่า สมุนไพรเสน่ห์สาว ไม่มีทะเบียนยา ใช้สำหรับอวัยวะสำคัญของสตรี(ที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นแหม่ม) มีการระบุสรรพคุณในการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับมดลูก แถมบอกว่าถ้าใช้บ่อยๆ จะไม่มีลูก ถ้าต้องการมีลูกให้เลิกใช้ ตบท้ายด้วยสรรพคุณเพิ่มความฟิตอีก คล้อยไปอีกไม่กี่วันผมก็ได้รับแจ้งข้อมูลอีก คราวนี้เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย แสดงฉลากว่า Kamagra Oral Jelly น้องที่ส่งข่าวแจ้งว่า มีขายมากมายทางอินเตอร์เน็ต อ่านข้อความโฆษณาพบว่ามันคือตัวยาที่หลายคนรู้จักเพราะมักจะโฆษณาว่ารักษาอาการนกเขาไม่แข็ง แต่ไหงเป็นเจลลี่ใช้ทางปาก? แต่เมื่ออ่านข้อมูลก็หายงง เพราะเขาแนะนำให้ใช้โดยบีบเจลใส่ปากและอมไว้ใต้ลิ้นสักครู่ก่อนกลืน  แล้วยังอธิบายว่าจะทำให้ยาถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วตั้งแต่ที่อยู่ในปาก  จึงมีผลทำให้ยาชนิดนี้ออกฤทธิ์ได้เร็วกว่ายาแบบเม็ด ..ไม่มีทะเบียนยาตามเคยและดูเหมือนดวงผมจะสมพงษ์กับเรื่องนี้ เพราะต่อมาอีกไม่กี่วัน ผมก็ไปเจอผลิตภัณฑ์ที่เคยได้ยินชื่อมานาน แต่ไม่เคยได้สัมผัส ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้แสดงฉลากว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทาผิวมาราธอน ทีแรกก็งงว่ามันจะทาผิวอย่างไรเพราะในกล่องมีเพียงแคปซูลสีแดงฟ้า ถามคนขายถึงได้รู้ว่าเป็นครีมอยู่ในแคปซูล ส่วนทาผิวตรงไหนก็ต้องอ่านที่ฉลากเพราะอธิบายซะกระจ่างเลยว่าทาบริเวณไหนของอวัยวะคุณผู้ชาย แต่ที่น่าทึ่งคือบอกว่าเมื่อต้องการให้หมดฤทธิ์หมดเดชให้ดื่มน้ำ 1 แก้วใหญ่ เล่นเอางงว่ามีด้วยหรือการออกฤทธิ์แบบนี้ ..ไม่มีทะเบียนยาเช่นกัน ที่ผมนำมาถ่ายทอดให้ทราบนี้ ไม่ได้มีเจตนาส่งเสริมให้ผู้อ่านวิ่งไปซื้อมาใช้นะครับ เพราะดูจากข้อมูลที่เล่ามานี้ นักคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเราน่าจะรู้ได้ว่ามันมีความเสี่ยงต่ออันตรายมากเพียงใด ก็หวังให้พวกเรามาช่วยกันเฝ้าระวังและเตือนเพื่อนฝูงที่รู้จักให้มีสติกันด้วยนะครับ ส่วนพวกผมก็คงต้องตามตรวจสอบเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไปเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 โฆษณาเจ้าปัญหา..ใครควรจะถลามาจัดการ?

  ประมาณต้นเดือน มิถุนายน 2554 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ ตรวจพบ เอกสารเผยแพร่โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทเพรสซิเด็นท์ แกรน พรอดักซ์  จำนวน 3 รายการ ที่โฆษณาในลักษณะอวดอ้างสรรพคุณเป็นยา ได้แก่ VC-1 , ธัญพืชสกัด PG&P และ Nature Plants ชีวจิตไฮเทคพร้อมดื่ม จึงได้แจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาติดตามตรวจสอบ (คงคาดหวังให้ตรวจสอบที่แหล่งต้นตอไปเลย) จนกระทั่งวันที่ 31 สิงหาคม 2554 เจ้าหน้าที่สำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้ความว่า บริษัทยอมรับว่าเคยจัดทำเอกสารดังกล่าวจริง เมื่อปี 2550 โดยไม่ได้ขออนุญาตแต่อย่างใด และได้กระจายเอกสารนี้ไปยังสมาชิกอิสระ ดังนั้นการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ตรวจพบนั้น สมาชิกอิสระอาจนำเอกสารโฆษณาดังกล่าวมาเผยแพร่เอง  นอกจากนี้บริษัทยังได้เคยแจ้งข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาอาหารให้สมาชิกทราบ ในอดีตเมื่อ ปี 2552 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้เคยพิจารณาการกระทำดังกล่าวของบริษัทว่า มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร 2522 ใน 2 ประเด็น คือ ฐานโฆษณาอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนมาตรา 41 โทษตามมาตรา 71 (โทษปรับอายุความ 1 ปี) และฐานโฆษณาอาหารโดยหลอกลวงให้หลงเชื่อโดยไม่สมควร ฝ่าฝืนมาตรา 40 โทษตามมาตรา 72 (โทษจำ) และได้พิจารณา แจ้งระงับโฆษณาดังกล่าวไปแล้ว (ผิดขนาดนี้ ...ใจดีเกินไปหรือเปล่า?) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แจ้งว่าไม่พบข้อมูลการเผยแพร่แผ่นพับโฆษณาดังกล่าวแล้ว จึงได้แจ้งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ ตรวจสอบเพื่อดำเนินงานตามกฎหมายต่อไป ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าจะมีข้อสรุปของผลการดำเนินงานอย่างไร ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ คงต้องช่วยตัวเองก่อน  ถ้าเจอการกระทำผิดชัดเจนว่ามีใครโฆษณาแบบนี้ ขอให้รีบแจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดดำเนินการไปเลย อาจจะได้ผลรวดเร็วทันใจ “เอาอยู่” กว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 125 ไปรษณีย์ไม่ต้องมีขายก็ได้นะ

  ผมได้รับแผ่นพับโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพอีกแล้ว เปิดดูก็ไม่ต่างจากที่เคยได้รับจากผู้บริโภคที่เคยมาแจ้งข่าว เพราะในแผ่นพับมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีเลขสารบบอาหาร (เครื่องหมาย อย) ซึ่งแสดงว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้คืออาหาร แต่ลองดูข้อความสรรพคุณที่โฆษณาซิครับ ผิดกฎหมายชัดเจน เพราะแสดงสรรพคุณเป็นยา เพราะระบุว่า บำบัด บรรเทา รักษาโรคทั้งนั้น  สนนารายณ์ (นามสมมุติ) บรรเทาอาการปวดหลัง เอว ข้อเข่า เก๊า ชาตามมือ-เท้า เบาหวาน .. ขจัดไขมันที่อุดตันตามเส้นเลือด แถมยังระบุคุณสมบัติพิเศษให้ตะลึงอีกว่า “ท่านจะสังเกตได้ว่าอารมณ์ทางเพศของท่านมีความสมบูรณ์แข็งแรงมากขึ้น เพิ่มปริมาณน้ำเชื้อมากขึ้นหลังจากรับประทานติดต่อกัน 7-15 วัน...รู้สึกดีขึ้นด้วยตัวท่านเอง” (เฮ้อ! อ่านไปขนลุกไป) “ไม่มีส่วนผสมของกวาวเครือแดงและสารสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย”  เท็จนางพญา (นามสมมุติ) บรรเทาอาการปวดหลัง เอว ข้อเข่า เก๊า ชาตามมือ-เท้า เบาหวาน .. ขจัดไขมันที่อุดตันตามเส้นเลือด แถมยังระบุคุณสมบัติพิเศษให้ตะลึงอีกว่า “รับประทานติดต่อกัน 7-15 วันผ่านไป จะสังเกตว่าหน้าอกที่เคยหย่อนยาน จะรู้สึกว่าหน้าอกกระชับเต่งตึงและเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น ช่องคลอดฟิตกระชับขึ้น ไม่ต้องทำรีแพร์ ...ท่านจะรู้สึกได้ด้วยตัวท่านเอง” (อะไรจะมหัศจรรย์ศัลยกรรมได้ขนาดนั้น) มีข้อความยืนยันคล้ายๆ ผลิตภัณฑ์แรก “ไม่มีส่วนผสมของกวาวเครือขาวและสารสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย”  นารีงามละหน (นามสมมุติ) สกัดไขมันส่วนเกินไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย ละลายไขมันส่วนเกินที่หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ต้นแขน ให้กระชับและเต่งตึง ลดเส้นเลือดขอด ...ไม่เหี่ยวย่นหลังการลด ไม่ต้องอดอาหาร เห็นผลภายใน 2-4 สัปดาห์ แถมมีคำแนะนำเพิ่มเติม สำหรับสุภาพสตรีว่า สำหรับผู้ผ่านการมีบุตรแล้ว ขอแนะนำให้รับประทานคู่กับเท็จนางพญา จะช่วยให้หุ่นดี หน้าอกสวยกระชับเต่งตึง ....เห็นผลชัดเจนภายใน 30 วัน ส่วนคุณสุภาพบุรุษ ก็อย่าน้อยใจไปครับ เพราะเขามีคำแนะนำให้เช่นกัน “สำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ขอแนะนำให้รับประทานคู่กับ สนนารายณ์ (นามสมมุติ) เพื่อปรับความสมดุลและเพิ่มความกระฉับกระเฉง”   ที่น่าทึ่งคือ นอกจากในเอกสารจะแจ้งชื่อติดต่อแล้ว ยังระบุสถานที่จำหน่าย “ ณ ที่ทำการไปรษณีย์.........” เอาละซิครับ ไปรษณีย์ไทย ไหงเป็นแบบนี้ล่ะครับ ไหนๆ ก็จะทำ CSR ร่วมรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ช่วยตรวจสอบหน่อยนะครับว่าเป็นเหยื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกฎหมายมาแฝงจำหน่ายหรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจ เวลาพนักงานไปส่งจดหมายที่สำนักงานสาธารณสุข ให้แวะไปสอบถามข้อมูลได้นะครับ  ส่วนผู้อ่านถ้าพบเห็น เช่นเคยนะครับ แจ้ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ทันที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 116 ยานาโน โถ..หลอกแม้กระทั่งคนยากจน

ยุคนี้อะไรๆ ที่ใหม่ๆ ก็มักจะอ้างคำว่า “นาโน” ไปทั่ว อาจเพราะมันทำให้เพิ่มความมหัศจรรย์ทันสมัยมากยิ่งขึ้นกระมัง แต่คนหลอกลวงมันก็อาจอาศัยช่องทางเหล่านี้ทำมาหากินก็ได้ ผมมีโอกาสไปประชุมร่วมกับน้องเภสัชกร จากโรงพยาบาลชุมชนเขตภาคอีสาน น้องติ๊ก เภสัชกรสาวสวยคนหนึ่ง(เธอย้ำว่าให้เขียนประโยคนี้ด้วย) จากเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เล่าให้ฟังว่า มีผู้ป่วย 2 ราย ที่อยู่ในพื้นที่ของเธอ ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับและพาร์กินสัน ได้ฟังวิทยุที่ส่งคลื่นมาจากแถวๆ ยโสธร นักจัดรายการ ชื่อคุณน้อง(นามสมมุติ) ที่ตัวจริงอายุประมาณ 50 กว่าๆ แล้ว แนะนำผลิตภัณฑ์ ออกซิเจนนาโน บรรยายสรรพคุณว่า รักษาโรคได้สารพัด เช่น  มะเร็ง  เบาหวาน อัมพฤกษ์  ฯลฯ พร้อมทั้งให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ หากใครสนใจให้ติดต่อกลับ ครั้นเมื่อผู้ป่วยติดต่อกลับไป คุณน้องก็แล่นมาหาถึงบ้าน ดุจดังนางฟ้าผู้อารี แต่นางฟ้าคนนี้ไม่ได้มาพร้อมพรวิเศษสำหรับคนยากไร้นะครับ แต่เธอดันมาพร้อม ผลิตภัณฑ์ออกซิเจนนาโน   ผลิตภัณฑ์ ออกซิเจนนาโนนี้มีลักษณะเป็นของเหลวคล้ายๆJelly บรรจุในขวดพลาสติกคล้ายยาหยอดตา ขายในราคา 2 ขวด 2,960 บาท มีเอกสารแนะนำที่โปรยหัวเรื่องอย่างโดนใจ “คนจนยิ้มได้ คนไข้หัวเราะร่า คนป่วยหาย คนขายได้บุญ” ( ราคาขนาดนี้นะได้บุญ?) ในเอกสารได้บรรยายวิธีกินแบบมหัศจรรย์อีก เพราะให้รับประทานวันละ 4 เวลา โดยหยดผลิตภัณฑ์นี้ตามจำนวนวัน เช่น วันที่ 1 ใช้ 1 หยดผสมน้ำ 1 แก้ว , วันที่ 2 ใช้ 2 หยดผสมน้ำหนึ่งแก้ว เพิ่มเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 8 เป็นต้นไปใช้ 8 หยดผสมน้ำ 1 แก้ว และสำหรับผู้ที่ป่วยหนัก เช่น มะเร็ง ให้ใช้ได้ถึง 15 หยด , นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้ 3 หยดต่อน้ำ 1 ขวดพ่นทุกๆ 1 ชั่วโมง บริเวณที่เป็นแผลเรื้อรัง แผลเบาหวาน หรือใส่ตาที่พร่ามัว ตาต้อ (เอากะมันซิ) น้องติ๊กพยายามเพ่งที่ขวดว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์อะไร แต่ก็มองแทบไม่เห็น แต่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเป็นเลขสารบบอาหาร 40 (ไม่ค่อยชัดเจน) เห็นน้องๆ เขาบอกว่า คนแถวนั้นถูกหลอกให้ใช้กันมา จนเรียกกันติดปากว่ายานาโน น้องๆ เล่าให้ฟังว่าตอนนี้ไอ้พวกผลิตภัณฑ์หลอกลวงเหล่านี้มันบุกมาถึงหมู่บ้านแล้ว บางคนหลงเชื่อถึงขนาดขายวัว ขายควาย ซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาใช้กันเลย แต่ก็ยังโชคดีที่มีน้องๆ เภสัชกรเหล่านี้ที่ช่วยลงไปดูแลงานคุ้มครองผู้บริโภคในหน่วยบริการปฐมภูมิในชุมชน ช่วยสอดส่องดูแลให้ น้องๆ เลยพยายามช่วยกันเตือนผู้ป่วยมิให้ถูกหลอก ยังไงก็ขอแรงผู้อ่านช่วยกันเตือนๆ อย่าให้คนใกล้ตัวถูกหลอกนะครับและถ้าพบเห็นอะไรแปลกก็แจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาดำเนินการเลยนะครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 112-113 เจ้าหน้าที่ก็เจอดี

เรื่อง เล่าฉบับนี้ขอเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพนะครับ แต่ดันมาเกี่ยวข้องกับวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคแทนครับ เป็นเรื่องของน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์ สุขภาพของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแห่งหนึ่ง จากที่ผมได้รู้จักกับเธอยอมรับว่าเธอมีเลือดเนื้อรวมทั้งจิตวิญญาณของการ คุ้มครองผู้บริโภคเต็มเปี่ยมเพราะจังหวัดของเธอดำเนินคดีกับผู้ผลิตแบบกัด ไม่ปล่อยมาหลายรายแล้ว วัน หนึ่งเธอเดินทางไปเที่ยวที่อเมริกา และได้ซื้อบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศ Pin Phone เพื่อใช้ในยามติดต่อกลับประเทศ และเธอก็มีโอกาสได้ใช้มันจริงๆ โดยใช้โทรผ่านโทรศัพท์มือถือของเธอเครือข่ายหนึ่ง แต่ พอกลับมาเมืองไทย ยังไม่ทันจะได้ดื่มด่ำกับความสุขจากการเดินทาง เธอก็ได้รับบิลเรียกเก็บเงินค่าโทรศัพท์จากเครือข่ายนี้ 10,056.47 บาท โอ้...แม่เจ้า แต่ด้วยความที่เธอมีเลือดคุ้มครองผู้บริโภคอยู่เต็มตัว “ทีเรื่องคนอื่นเจ๊ยังดำเนินการเปรียบเทียบปรับมาหลายราย พอมาเจอกับตัวเอง เจ๊ทนไม่ด๊ายยย” (ฮา) เธอโทรไปที่บริษัทมือถือ สอบถามว่า เหตุอันใดจึงคิดค่าโทรซ้ำซ้อน เพราะเธอเข้าใจว่าเงินค่าโทรมันน่าจะหักจากบัตร Pin Phone แล้ว ทางบริษัท มือถือตอบเธอว่า จะลดค่าโทรให้ 1,941.10 บาท เล่นแบบนี้มีหรือที่เธอจะยอม ขอตรวจสอบเบอร์ที่โทรก่อนถึงจะยอมชำระเงิน(เพราะในบิลไม่ระบุเบอร์โทรนี่นา) แต่ทางบริษัทกลับตอบว่าไม่สามารถตรวจสอบเบอร์ได้เนื่องจากเป็นข้อตกลง ระหว่างประเทศที่ใช้บริการ แต่ในระหว่างนี้บริษัทได้เก็บเงินไปแล้ว โดยหักจากบัตรเครดิตของเธอไป 8,115.37 บาท (แหม..ทีเก็บเงินล่ะเร็ว...ฮา) เมื่อ สถานการณ์บังคับ เธอจึงร้องเรียนไปยัง สคบ. ซึ่ง สคบ.ก็ได้ทำหนังสือแจ้งไปถึงบริษัทมือถือให้พิจารณา และเมื่อได้ผลการพิจารณาจากบริษัท ก็ได้แจ้งกลับมาให้เธอทราบ สรุปผลการพิจารณาจากบริษัทแจ้งมาพร้อมข้อความรายละเอียดต่างๆ ที่คนทั่วไปอ่านแล้วคงงงๆ แต่พูดย่อๆ ง่ายๆ ว่า ไม่จ่ายคืน(จะทำไม?) ซึ่งเธอก็ได้ใช้สิทธิโต้แย้งกลับไป สุดท้าย เมื่อไม่ไหวจะเคลียร์ เธอเลยตัดสินใจสวมวิญญาณ จีจ้าราชินีหนังบู๊ ร้องเรียนไปยังศาลจังหวัด โดยยื่นคำขอฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ปาฏิหารย์ มีจริงครับ เพราะที่ผ่านมาบริษัทอ้างโน้นอ้างนี้ตามระเบียบและเหตุผลต่างๆ ที่เราคนธรรมดาอ่านแล้วยังงงๆ แต่ปรากฏว่าพอเป็นเรื่องฟ้องคดีเท่านั้นแหละ บริษัทวิ่งให้ทนายมาขอไกล่เกลี่ย โดยจะชำระเงินคืนให้ 7,000 บาท ซึ่งเป็นยอดที่บริษัทไม่สามารถบอกเบอร์ปลายทางได้ และเมื่อบริษัทโอนเงินกลับมาให้ เธอจึงได้ถอนฟ้อง แบบเรียบร้อยโรงเรียนจีน (ไม่ใช่ซิโรงเรียนผู้บริโภคมากกว่า) เธอ ฝากผมมาบอกท่านผู้อ่านว่า หากผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ อย่ายอม “เรายังมีทางเลือกที่เป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง ลุกขึ้นมาใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคได้เลย” เพราะมันช่วยได้จริงดังกรณีเธอเป็นตัวอย่าง ขอบคุณน้องท่านนี้ผ่านคอลัมน์ด้วยนะครับ อย่างน้อยก็คงทำให้ทั้งผู้อ่านและบริษัทได้บทเรียนไปด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 ครูจ๋า อย่าประมาท (2)

ฉบับที่แล้ว ผมได้เกริ่นว่าสถานการณ์ปัญหาการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่น่าไว้ใจ มันได้คืบคลานเข้าไปสู่สถานศึกษาแล้ว ล่าสุดผมได้รับแจ้งเรื่องจากอาจารย์ท่านหนึ่งพร้อมเอกสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ อาจารย์เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีบริษัทติดต่อมาทางโรงเรียน จะขอเข้ามาแนะนำความรู้ในโรงเรียน ทราบว่าตอนนี้ตระเวณเดินสายแบบคิวทองไปหลายต่อหลายโรงเรียนแล้ว ผมดูในเอกสารที่อาจารย์นำมาให้ปรากฏว่า เป็นจดหมายของบริษัท เรียน อาจารย์ใหญ่หรือผู้อำนวยการว่าจะขอเข้ามาแนะนำโครงการตรวจสุขภาพในโรงเรียน ชื่อโครงการ “รู้ก่อนเปื่อย” (ชื่อสมมุตินะครับ) แล้วก็อ้างว่าปัจจุบันนี้สังคมเต็มไปด้วยสารพิษสารเคมี ส่งผลให้ผู้คนเจ็บป่วย เสียชีวิตจากโรคร้ายแรงจำนวนมาก เช่น มะเร็ง หัวใจ แม้ว่าหน่วยงานจะมีสวัสดิการให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสุขภาพประจำปี ปีละ 1-2 ครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ดีพอ เนื่องจากเครื่องมือที่ตรวจสุขภาพโดยทั่วไปจะเป็นเครื่องมือเบื้องต้น หากต้องการรู้ลึกรู้จริงจะเสียค่าใช้จ่ายสูง (อูยยย...ตอนต่อไปเดาได้เลยครับว่าเขาจะต้องบอกว่า ของดีอยู่ที่บริษัทเขา...ฟันธง!) จริงดังคาดครับ เพราะเขาบอกต่ออีกว่า “แต่วันนี้เป็นข่าวดีของหน่วยงาน เพราะบริษัท (ระบุชื่อ) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชั้นนำจากต่างประเทศ สหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น ได้จัดทำโครงการ “รู้ก่อนเปื่อย” (นามสมมุติอีกครั้งนะครับ) เน้นการให้ความรู้และบริการตรวจสุขภาพแบบแพทย์ทางเลือก ด้วย เครื่องมือทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น โดยผู้รับบริการไม่ต้องเจาะเลือดและไม่ต้องอดอาหาร สามารถรู้ถึงความผิดปกติของระบบภายในร่างกายได้ถึง 12 จุด เช่น หัวใจ หลอดเลือด ม้าม ตับ ไต ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกและปริมาณไขมันในร่างกาย” ท้ายจดหมายยังระบุว่า “หากท่านมีความประสงค์จะรับบริการ กรุณากรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มและส่งกลับมายังชื่อในท้ายจดหมาย” (นั่นแน่...โยนให้คนอื่นรับผิดชอบนี่นา)  ผมพลิกไปดูแบบฟอร์มตอบรับ มันก็ช่างเย้ายวนเหลือเกิน เพราะนอกจากให้ผู้สนใจต้องแสดงความประสงค์เองแล้ว ยังบอกว่าโอกาสพิเศษครบรอบหลายปีของบริษัทจะลดค่าบริการการตรวจจาก 500 บาท หรือเพียง 100 บาทต่อท่าน แต่ที่แสบสันต์คือในแบบฟอร์มนี้เขาให้เราระบุด้วยว่า “ยินดีให้บริษํท นำเสนอสินค้าให้กับพนักงานเพื่อประโยชน์ในการดูแลสุขภาพ” เท่าที่ทราบบริษัทนี้ตระเวณไปหลายโรงเรียน ทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพ และอาจารย์ก็ยอมเสียเงินกันหลายคนแล้ว แต่ผมอยากให้สังเกตดีๆ เห็นมั้ยครับ แม้กระทั่งในแบบฟอร์ม ทางบริษัทเขาก็อุดช่องโหว่ที่จะเอาผิดเขาไว้ล่วงหน้าด้วย เพราะเล่นให้คุณครูกรอกแสดงความจำนงเอง หากมีปัญหาก็คงจะเข้ารูปทางที่ว่า “บริษัทเปล่าหนา ครูดันมาเอง” งานนี้อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เบ้อเริ่ม ขอเตือนสติครูอาจารย์ทั้งหลายนะครับ การกระทำแบบนี้มันไม่ค่อยชอบมาพากล หากเจอแบบนี้รีบแจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดของแต่ละจังหวัดทราบ เพื่อร่วมตรวจสอบโดยด่วนเลยครับ จะได้ไม่พลาดพลั้งเสียใจภายหลัง ครูจ๋า...อย่าประมาทนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 ครูจ๋า อย่าประมาท (1)

ที่แผนกของผมมักจะมีกิจกรรมอบรมเผยแพร่ความรู้กับกลุ่มคุณครูเสมอๆ เราเจอกันบ่อยจนแทบจะเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว อบรมทีไรก็มักจะได้สนุกสนานเฮฮากันทุกที เพราะลักษณะการอบรมของที่นี่จะไม่ใช้วิธีบรรยาย เนื่องจากพวกเราอยากให้คุณครูได้มีส่วนร่วมกับการอบรมมากที่สุด และยังอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้สถานการณ์ปัญหาด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ถูกต้องกับคุณครู รูปแบบที่เราใช้จึงมักเน้นการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน พวกเราให้ความรู้ ส่วนคุณครูก็ให้ข้อมูลสถานการณ์ปัญหาแก่เรา ปีนี้เราจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยจัดเป็นฐานความรู้ประมาณ 8-9 ฐาน โดยแบ่งคุณครูจำนวน 100 กว่าคนเป็นกลุ่มเท่ากับจำนวนฐาน หมุนเวียนกันเข้าแต่ละฐาน ส่วนพวกผมก็แบ่งทีมกันประจำฐาน กิจกรรมในฐานมีทั้งการจัดสถานการณ์จำลองเหตุการณ์ การสาธิตการตรวจสอบ เกมส์จับผิดโฆษณา รวมทั้งเอาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้องมาแสดงให้คุณครูเห็น และชะรอยทุกคนจะเห็นว่าผมมีพรสวรรค์ทางด้านการแหกปากร้องทุกข์กระมัง จึงสรุปให้ผมประจำฐาน “กล้าร้องทุกข์” โดยให้เหตุผลสนับสนุน (แต่ฟังคล้ายๆหลอกด่าชอบกล) ว่า การจะสอนให้คุณครูรู้เท่าทันของแย่ๆ ต้องใช้กลเม็ดเด็ดพรายผสมผสานความกะล่อนพอสมควร (ฮา) ผมจัดเตรียมฐาน โดยนำสินค้าที่ไม่ถูกต้อง (ส่วนใหญ่ก็เคยเขียนลงในคอลัมน์นี้แหละครับ) มาวางให้คุณครูเห็น พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ก่อนจะทิ้งท้ายว่าถ้าคุณครูเจอสินค้าหรือเหตุการณ์อย่างนี้ คุณครูจะแจ้งข่าวให้พวกผมทราบได้อย่างไร ทีนี้ก็สนุกละซิครับ คุณครูแต่ละท่านก็สวมวิญญาณเป็นคุณหมอพรทิพย์ หรือไม่ก็ คุณเชอร์ล๊อค โฮล์ม ช่วยกันระดมสมองกันใหญ่ สุดท้ายก็นำไปสู่การสรุปที่ว่า เมื่อเจอเหตุการณ์ทำนองนี้ สิ่งที่คุณครูจะต้องพยายามทำเพื่อให้การตามรอยของไม่ถูกต้องได้ผล ก็คือคุณครูต้องพยายามรวบรวมพยานต่างๆให้ได้ ทั้งพยานวัตถุ (ได้แก่ ของที่ไม่ถูกต้องทั้งหลาย) พยานเอกสาร (ได้แก่ เอกสารต่างๆ ที่มีผู้ขายนำมาประกอบการขาย เช่น แผ่นพับโฆษณาต่างๆ) พยานบุคลล (เช่น คนที่ทราบเหตุการณ์ หรือเหยื่อของการใช้สินค้านั้นๆ) ผลพวงของการเข้าฐานความรู้นี้ ทำให้ผมได้ทราบข้อมูลปัญหาต่างๆ จากคุณครูด้วย เช่น ผลิตภัณฑ์ที่นำมาแสดงทั้งหมดนี้ คุณครูหลายท่านก็เคยซื้อมารับประทาน บางท่านหมดเงินเป็นหมื่นไปซื้อยาน้ำโสมเกาหลีตะกุยทรัพย์ (นามสมมุติ) มารับประทานในราคาเป็นหมื่นบาท แม้กระทั่งน้ำมหาบำบัดของป้าคนดัง ก็ซื้อมาแล้ว (ทันสมัยไม่เบาซะด้วย) นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตรายในหมู่เด็กๆ อีกด้วย เช่น มีการวางขายเลนส์ตาโตแบกะดินตามตลาดนัดและมีเด็กๆ แอบไปซื้อมาใส่ มีเด็กๆ บางคนไปหาซื้อกลูตาไธโอนมากินในราคาเม็ดละ 5 บาท (ไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอม) เอาครีมทาหน้าขาวที่ไม่ถูกต้องไปทารักแร้เพื่อจะได้ขาวถาวรแบบหน้า (คิดได้ยังไงเนี้ยะ) ฟังแล้วก็ได้แต่ทึ่งกับสถานการณ์ที่ได้ยิน ฉบับหน้าผมจะมาเล่าต่อว่านอกจากนี้แล้วมันมีอะไรพิสดารล้ำลึกไปอีก แต่ก่อนจบก็ต้องรีบเตือนคุณครูทั้งหลายก่อนนะครับ ว่าภัยสุขภาพมันกระดืบกระดืบ เข้าไปใกล้สถานศึกษาเรื่อยๆแล้ว “ครูจ๋า..อย่าประมาทนะครับ”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 107 หัวหนู...เหาหนู

เหาสัตว์เล็กๆ ที่เป็นปัญหาใหญ่ๆ หากมันมาอยู่บนหัวสำนักงานของผม(หมายถึงตัวกระผมไม่ใช่ผมที่อยู่บนหัว) ได้รับแจ้งจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐมให้ไปตรวจสอบร้านชำที่จำหน่ายยากำจัดแมลง ที่มีผู้ซื้อและนำมาใช้ในนักเรียน โดยให้ข้อมูลว่ามีกระทาชายนายหนึ่ง(ไม่ได้ชื่อหนึ่งนะครับ) ได้ตระเวนไปรับจ้างกำจัดเหาให้นักเรียน ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในเขตจังหวัดนครปฐม คิดสนนราคาเป็นรายหัว หัวละ 5 บาท เรื่องของเรื่อง มัน(ดัน)เป็นเรื่องขึ้นมาเพราะคุณครูเห็นว่าผลิตภัณฑ์กำจัด “เหา” ที่มาใช้บน “หัว” ของหนูๆ ทั้งหลายนั้น บนฉลากมันไม่มีเลขที่อนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา , ไม่มีสถานที่ผลิต มันบอกแค่ว่า “กำจัดแมงและแมลงบนหนังศีรษะ กำจัด เห็บ หมัด ไร เรือด เหา (ป้องกันขี้เรื้อนสุนัข) 100% ของถูก ของฟรี ก็มีดีเหมือนกัน” แถมให้เบอร์โทรมือถือไว้อีก คุณครูจึงมาแจ้งยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐมเพื่อตรวจสอบ จึงได้ข้อมูลว่า ผู้ประกอบธุรกิจ กำจัดเหาบน “หัว” รายนี้ ได้ตระเวนดำเนินการให้บริการ “ถึงตัวถึงหัว” แบบนี้มาหลายโรงเรียนแล้วทั้งเขตราชบุรี นครปฐม และให้การว่าผลิตภัณฑ์นี้ซื้อมาจากร้านขายของชำบริเวณท่าเรือแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อได้รับเรื่องผมและทีมงาน จึงได้แกะรอยยากำจัดเห็บ เหา นี้ โดยตระเวนตรวจสอบ ร้านชำบริเวณท่าเรือหลายๆ ร้าน จนกระทั่งต้องเกาหัวกันแกรกๆ (ทั้งที่ไม่ได้เป็นเหา) เพราะไม่พบยาดังกล่าวไม่ทราบว่ามันได้เดินทางไปอยู่บนหัวของใครต่อใครอีกบ้างแล้ว จึงได้แต่บอกและขอความร่วมมือให้ทางร้านชำต่างๆ ช่วยกันเฝ้าระวัง โดยแนะนำว่าผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงก็เหมือนกับผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ ที่หากใครจะผลิตจำหน่ายก็จะต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง บนฉลากต้องแสดง เครื่องหมายอนุญาตจาก อย. , ส่วนประกอบ , สรรพคุณ , คำเตือน , สถานที่ผลิต ฯลฯ หากไม่มีรายละเอียดครบถ้วน ก็ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายและอาจจะมีอันตรายหากนำไปใช้ นอกจากนี้ร้านชำที่นำมาจำหน่าย(แม้จะไม่ได้เป็นผู้ผลิต) ก็ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายด้วย ใครต้องดูแลหรือเกี่ยวข้องกับหนูๆ ทั้งหลาย “ที่เปิดหัวเป็นสวนสัตว์เลี้ยงเหา” ก็จำให้ขึ้นใจนะครับ “เหาหนู หัวหนู ต้องควรคู่กับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น” จะได้ส่งเหาไปสวรรค์ ได้อย่างปลอดภัยสบายหัวนะตัวเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 105 ฮีโร่วัยเด็ก

ใช่จะมีแต่เจ้าหน้าที่และผู้ใหญ่ที่ช่วยกันสอดส่องดูแลผลิตภัณฑ์อันตรายรอบๆ ตัวเรานะครับ เดี๋ยวนี้เด็กไทยเขาพัฒนาแล้วครับ ล่าสุดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีเรื่องแตกตื่นกัน แต่ไม่ใช่แตกตื่นเพราะกรุแตกนะครับ แต่แตกตื่นเพราะมีของเล่นมหัศจรรย์แพร่ออกมา เด็กๆ ในจังหวัดนี้เขาไปซื้อหามาเล่นตามประสาน่ะครับ ของเล่นชนิดนี้เป็นชิ้นเล็กๆ รูปร่างต่างๆ เช่น กลม สี่เหลี่ยม ผัก ผลไม้ จิ้งจก จระเข้ เต่า กบ ฯลฯ แต่ที่เด็กๆ ชอบคือ พอนำมาแช่น้ำ ก็จะจองหองพองขน ขยายใหญ่โตขึ้นมาทันตาเห็น (ทำตัวอย่างกับนักการเมืองตอนได้ตำแหน่ง..ฮา) ไม่พองธรรมดานะครับ มันพองคับบ้านคับเมือง มากขึ้นหลายร้อยเท่า และเมื่อนำมาตากแห้งทิ้งไว้ ก็สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ งานนี้เด็กๆ นักเรียน อย.น้อยในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็เลยนำข้อมูลมาบอก เภสัชกร สันติ โฉมยงค์ เภสัชกรประจำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฯ ซึ่งเป็นเสมือน อย.ใหญ่(หมายถึงเภสัชกรที่เป็นผู้ใหญ่แต่ใจยังเด็ก..ฮา) เรื่องราวถึงได้ดังระเบิดระเบ้อ จนมีการออกข่าวเตือน และมีการกวดขันไม่ให้จำหน่ายในที่สุด ในส่วนของจังหวัดสมุทรสงครามก็มีเหตุการณ์แบบนี้ โดยผมได้รับแจ้งจาก พี่อัญชลี เจ้าหน้าที่ฝ่ายเวชกรรมสังคมของโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ซึ่งได้ข่าวมาจากพยาบาลที่ได้ข้อมูลมาจากลูกอีกทอดหนึ่ง รวมทั้งมีข่าวว่าเด็กเผลอกลืนเข้าไป จนนำไปสู่การเตือนผู้บริโภคในที่สุด ความจริงไอ้เจ้าตัวเขมือบน้ำชนิดนี้ มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น ตัวดูดน้ำ ตัวเลี้ยง ตัวกินน้ำ หรือน้ำตานางเงือก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากวัสดุโพลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำได้อย่างมหาศาล (Super Absorbent Polymer ; SAP) เช่น Polyacrylic acid , Sodium polyacrylate ฯลฯ วัสดุโพลิเมอร์เหล่านี้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เช่น ดินวิทยาศาสตร์ ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และผ้าอนามัย ฯลฯ สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดสำหรับของเล่นวิทยาศาสตร์ชนิดนี้ก็คือ อันตรายจากการกลืนกินเข้าไป เพราะจะทำให้เกิดการพองตัวกีดขวางทางเดินอาหาร หากไม่สามารถนำออกมาได้ อาจทำให้เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้สีที่ใช้ผสมในของเล่น ฯ ดังกล่าว ไม่ใช่สีผสมอาหาร เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีมาตรการในการควบคุมต่างๆ อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการนำมาจำหน่ายในลักษณะของเล่นของในกลุ่มเด็กเล็กๆ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่เด็กจะกลืนกินเข้าไป งานนี้ต้องยกให้เด็กเขาเป็นฮีโร่ล่ะครับ ถ้าเขาไม่นำเรื่องนี้มาบอกผู้ใหญ่ พวกเราคงไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 102 จะผอมสวย ก็ต้องพร้อมเสี่ยงกันเลยหรือ

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ความสวยความงามเป็นสุดยอดปรารถนาของผู้หญิงส่วนใหญ่ และก็ไม่รู้ใครไปดลใจ เป่าหูคุณผู้หญิงมาตลอดว่า ถ้าจะสวยแล้ว ผู้หญิงจะต้องผอม ทำให้กระแสสวยต้องผอมจึงอยู่ยั้งยืนยาวมาตลอด แต่ใดๆ ล้วนอนิจจัง เพราะขณะที่ “ใจอยากผอมแต่ปากอยากผาย” หันไปทางไหนก็ล้วนมีสิ่งล่อตาล่อใจให้อ้าปากเขมือบอยู่เรื่อยๆ จนแล้วจนรอดมันก็เลยไม่ผอมสักที ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์ประเภท “สนองปากอย่าง ใจอย่าง” จึงบังเกิดขึ้นและขายได้ดีมาโดยตลอด ล่าสุดนี้มีผลิตภัณฑ์ที่กำลังเป็นที่นิยมของชาวบ้าน มีวางขายตามที่ต่างๆ ผมได้ตัวอย่างมาจากน้องคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่าได้ผลิตภัณฑ์นี้จากร้านที่ขายยาประเภทขายส่ง แถวๆ บางประกอก ราคากระปุกละ 180 บาทมี60 เม็ด (ตกเม็ดละ 3 บาท) ตอนซื้อมา เธอเห็นฉลากมันโชว์รูปเอวคอดกิ่ว เย้ายวนว่าน่าจะผอม เธอเพ่งดูส่วนประกอบที่แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร (เช่น L-Carnitine , โครเมียม, ถั่วขาว , แคปซิคั่ม ,สัมแขก , CLA , มะข้ามป้อม , ตะบองเพชร) เธอก็คิด (เอาเองว่า) ไม่น่าจะเป็นอันตราย ฉลากเขาบอกว่าให้รับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ด ก่อนอาหารมื้อหนักประมาณ 10-20 นาที แถมมีคำเตือนด้วยว่า เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน ควรเก็บในที่ร่ม และให้พ้นแสงแดด แต่สังเกตดูแล้วฉลากไม่มีชื่อที่อยู่ผู้ผลิต ไม่มีเลข อย.   สรุปว่าเธอก็ไม่รู้ว่ามันคือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านอย.หรือไม่ ผลิตที่ไหนก็ไม่รู้ รู้ว่าแต่เป็นแคปซูลและกินไปแล้วเธอน่าจะผอมสวย เธอจึงตัดสินใจพร้อมเสี่ยง หวังว่าในไม่ช้าความผอมจะมาเยือน แต่....ชีวิตหาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใดไม่ พอเธอกินเข้าไปสักระยะหนึ่ง แม้น้ำหนักเธอจะลดลงบ้าง แต่เธอกลับมีอาการใจสั่นหวิว คอแห้ง ปากแห้ง(แม้ไม่อดอยาก) ท้องผูก ในที่สุดเธอกลัวว่างานนี้หากขืนดันทุรังพร้อมเสี่ยงกินต่อไปนอกจากน้ำหนักจะลดแล้ว บางที “อายุเธออาจจะลดสั้นลงไปด้วย” เธอจึงหยุดกินผลิตภัณฑ์ชนิดนี้แล้วนำมามอบให้ผมดู ผมดูลองเข้าไปค้นหาข้อมูลในเน็ต พบว่ามีประเด็นอีกว่า มีการปลอมผลิตภัณฑ์นี้ระบาดกันอีก (แสดงว่ามันฮิตจริงๆ) ในเว็ปที่เจอ เขาบอกว่า แอลคาร์นิทีน(L-Carnitine) เป็นชื่อกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ที่ตับ ทำหน้าที่ช่วยทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน แถมยังโฆษณาประโยชน์ที่ได้รับจากสาร L-carnitine มากมาย เช่น เร่งการเผาผลาญไขมัน ลดความอ้วน ลดไขมันส่วนเกิน ดักจับไขมันสัตว์ คาร์โบไฮเดรต และแป้ง ฯลฯ สรุปง่ายๆ ว่ามีประโยชน์มากมาย แต่ไหงประโยชน์ที่ผู้ผลิตกลับไม่ยอมทำให้ถูกต้องตามกฎหมายคือ มายื่นขออนุญาตให้ถูกต้องล่ะครับ หรือมายื่นแล้วเขาไม่อนุญาตก็ไม่รู้ ยังไงใครเจอวางขายที่ไหน แจ้ง อย. หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ให้ไปตรวจเช็ค จัดระเบียบให้ถูกต้องตามกฎหมายเลยนะครับ สาวๆ ที่น่าทะนุถนอมจะได้ไม่ต้อง “ผอมสวยแบบพร้อมเสี่ยง” กันอีกต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >