ฉบับที่ 128 กระแสต่างแดน

  เยอรมนีไม่ชอบ ปุ่ม Like อย่างที่รู้ๆ กัน เยอรมันชนเขาถือมากในเรื่องของการละเมิดความเป็นส่วนตัว คงยังจำกันได้ว่าเยอรมนีคือประเทศที่บังคับให้กูเกิ้ล สตรีทวิวทำเบลอหน้าของผู้คนที่ปรากฏในเว็บของตน จนหลายคนที่ใช้บริการเว็บแผนที่ดังกล่าวแอบเรียกประเทศนี้ว่า “เบลอมันนี”  และวันนี้งานก็มาเข้าเครือข่ายออนไลน์ยอดนิยมอย่างเฟสบุ๊ค เจ้าของปุ่ม Like ที่เรารู้จักกันดีนี่แหละ  รัฐเชลสวิก-โฮลสไตน์ ทางตอนเหนือของเยอรมนี ประกาศว่าการทำงานของปุ่ม Like นั้นผิดกฎหมายว่าด้วยความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทั้งในระดับรัฐและระดับประเทศ และต่อไปนี้บริษัทใดก็ตามที่ยังคงใช้ปุ่ม Like เป็นเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ของตนเองหลังสิ้นเดือนตุลาคมนี้ จะถูกปรับ 50,000 ยูโร (ประมาณ 2 ล้านบาท)  กฎหมายของสหภาพยุโรประบุว่า ผู้ที่จะถูกเก็บข้อมูลจะต้องให้ความยินยอมอย่างชัดแจ้งและโดยสมัครใจหลังจากที่ได้รับการแจ้งโดยผู้ประกอบการ แต่สำหรับกฎหมายเยอรมนีนั้นระบุให้ต้องแจ้งจุดประสงค์ในการเก็บและแจ้งด้วยว่าข้อมูลดังกล่าวจะถูกส่งไปให้ใครบ้าง  เฟสบุ๊คออกมาบอกว่าปุ่ม Like ที่ว่านี้มีมาปีกว่าแล้ว แถมใครๆ ก็ชื่นชอบ และข้อมูลที่เก็บก็แค่เป็นการนับจำนวนจากหมายเลขเครื่องคอมพิวเตอร์ (IP address) ที่มีการกดปุ่ม Like เท่านั้น  ในขณะที่หลายผ่ายออกมายืนยันว่าเฟสบุ๊คเก็บข้อมูลมากกว่านั้น แถมยังเก็บข้อมูลทุกคนที่เข้าใช้เว็บดังกล่าว ไม่ว่าจะกดปุ่ม Like หรือไม่ และจะถูกติดตามเก็บข้อมูลไปอีก 2 ปีด้วย   เมื่อความอ้วนเป็นวาระแห่งโลกปัญหาที่ทุกประเทศมีเหมือนๆ กันขณะนี้ คือการมีจำนวนประชากรที่เป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นทุกปี และดูเหมือนสถานการณ์จะย่ำแย่ไปได้อีก  นักวิจัยคาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2030 อังกฤษ ซึ่งปัจจุบันมีคนเป็นโรคอ้วนอยู่ร้อยละ 25 จะมีคนอ้วนถึงร้อยละ 40 โดยที่ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคดังกล่าวก็จะเพิ่มขึ้นปีละ 2 ล้านปอนด์ด้วย ส่วนในอเมริกาจะมีถึงร้อยละ 50 ของประชากรเป็นโรคอ้วนในปีดังกล่าว (ขณะนี้ประชากร 1 ใน 3 ของอเมริกาก็เป็นโรคอ้วนแล้ว)  เลยมีการตั้งคำถามว่าเราน่าจะสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อลดความอ้วนกันดีหรือไม่  นักวิจัยฟันธงว่า ที่ปัญหาโรคอ้วนลุกลามใหญ่โตได้ขนาดนี้ก็เพราะรัฐบาลแต่ละประเทศเฉื่อยชาเกินไปและไม่ตระหนักว่า ทุกวันนี้สิ่งที่ทำให้ประชากรอ้วนขึ้น คือสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้การสร้างสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็น ทั้งๆ ที่ผลลัพธ์ของมันคือภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของรัฐนั่นเอง  ว่าแล้วก็มีข้อเสนอไปยังองค์การสหประชาชาติ ที่มีการประชุมสูงสุดด้านสุขภาพในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ให้กดดันรัฐบาลของประเทศต่างๆ ให้ลงมือ “ลดความอ้วน” ในระดับนโยบาย เช่น เก็บภาษีจากอาหารที่เป็นโทษต่อร่างกาย จำกัดจำนวนโฆษณาอาหารทางสื่อต่างๆ บังคับใช้ฉลากอาหารแบบสัญญาณไฟจราจร หรือจัดโครงการอาหารกลางวันเพื่อสุขภาพในโรงเรียนของรัฐ เป็นต้น  ถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริงก็น่าจะดีไม่น้อย เพราะการสร้าง “สภาพแวดล้อม” เพื่อการลดความอ้วน น่าจะได้ผลดีกว่าการปล่อยให้ประชาชนต้องหันไปพึ่งพาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่อ้างว่าช่วยลดความอ้วนได้ไม่น้อย ที่สำคัญประหยัดเงินในกระเป๋าเราด้วย   ข้าวจีเอ็มโออีกสองปีข้างหน้าฟิลิปปินส์จะมีข้าวพันธุ์โกลเด้นไรซ์ ภาคสอง(Golden Rice 2) ออกสู่ตลาด ว่ากันว่าถ้ารับประทาน “ข้าวสีทอง” ฉบับปรับปรุงนี้วันละ 1 ถ้วย (8 ออนซ์) ร่างกายเราจะสามารถสร้างวิตามิน A ได้ถึงครึ่งหนึ่งของความต้องการต่อวันเลยทีเดียว แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่มีการพิสูจน์  เพราะ “ข้าวสีทอง” ที่ว่านั้นมันเกิดมาเพื่อช่วยลดปัญหาการขาดวิตามินเอในเด็กโดยเฉพาะ จึงถูกดัดแปรพันธุกรรมให้มีเบตาแคโรทีนมากเป็นพิเศษ แต่ขอบอกว่าตัวแรกที่ทำออกมา (Golden Rice 1) โดยบริษัท ซินเจนต้านั้นไม่น่าประทับใจเท่าไร นักวิทยาศาสตร์อาวุโส จากสหภาพผู้บริโภคของอเมริกา (Consumer Union) ได้ทำการวิเคราะห์สารที่มีอยู่ในข้าวที่ว่านั้นและพบว่ามันก็ช่วยได้จริงๆ ถ้าเด็กกินข้าวที่ว่าวันละ ... 10 กิโลกรัม เครือข่ายต่อต้านการเกษตรแบบใช้สารเคมีในฟิลิปปินส์จึงออกมาแสดงความวิตกเรื่องที่จะมีข้าวชนิดใหม่ออกสู่ตลาดโดยที่ผู้บริโภคยังไม่ได้รับความมั่นใจว่าข้าวชนิดใหม่นั้นดีอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ คุ้มค่าแค่ไหนที่จะเสี่ยงกับการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการจำกัดสิทธิของเกษตรกร ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าแต่ละปีมีเด็ก 250,000 – 500,000 คนในประเทศโลกที่สาม ต้องสูญเสียการมองเห็นเพราะขาดวิตามินเอ และนอกจากนี้มีร้อยละ 40 ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จึงทำให้มีคนคิดหาทางออกด้วยข้าวชนิดใหม่ แต่เดี๋ยวก่อน เราไม่ได้กินแค่ข้าวอย่างเดียว และข้าวที่ไม่ขัดสีก็มีวิตามินอยู่แล้ว ไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องพึ่งพา “ข้าวสีทอง” นี่เลย ได้เวลาขาย “รถคันแรก”ช่วงนี้ตลาดรถมือสองที่พม่าคึกคักมากๆ ตรงข้ามกับบ้านเราที่ใครๆ ก็พากันมองหาซื้อรถใหม่ป้ายแดง เพราะรัฐบาลพม่ามีนโยบายโละรถเก่าออกจากท้องถนน โดยให้เหตุผลว่ามันสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทำให้จราจรติดขัด และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุด้วย ปัจจุบันในพม่ามีรถที่อายุเกิน 40 ปีอยู่ ประมาณ 10,000 คัน และรถที่อายุระหว่าง 30 – 40 ปี อีกประมาณ 8,000 คัน (ที่นี่เขามีรถไม่มากเพราะคนที่จะเป็นเจ้าของรถได้ก็มีแต่ทหารหรือคนใกล้ชิดเท่านั้น)  เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลออกประกาศเชิญชวนให้เจ้าของนำรถยนต์ที่มีอายุเกิน 40 ปี พร้อมกับทะเบียนรถไปมอบให้กับกรมขนส่งทางบกเพื่อแลกกับใบอนุญาตซื้อรถใหม่ (กว่าเดิม) ที่นำเข้าจากไทย ญี่ปุ่น เกาหลี จีน อินเดีย มาเลเซีย โดยเขากำหนดว่ารถเหล่านี้จะต้องเป็นรถที่ผลิตหลังปี พ.ศ. 2538 และราคาไม่เกิน 3,500 เหรียญ (ประมาณ 108,000 บาท)  โครงการดังกล่าวทำให้ราคารถเก่าถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะมีคนไม่น้อยอยากจะมาซื้อเพื่อเอาไปแลกกับใบอนุญาต ซึ่งมีราคาแพงลิบลิ่ว ข่าวบอกว่าใบอนุญาตสำหรับรถเอนกประสงค์ (เช่น โตโยต้า แลนด์ครูสเซอร์) ก็คันละ 150 ล้านจ๊าด ถ้าเป็นรถบัสก็ 30 ล้านจ๊าด รถบรรทุกก็ถูกลงมาเหลือ 20 ล้านจ๊าด และเมื่อได้รถใหม่มาแล้วก็สามารถเอามาขายทำกำไรได้มากขึ้นนั่นเอง แผนขั้นต่อไปของกระทรวงอุตสาหกรรมพม่าคือการขายรถมินิซาลูน ที่ร่วมกันผลิตกับบริษัทรถแห่งหนึ่งในจีน ที่ราคา 5.5 ล้านจ๊าด (สองแสนกว่าบาท) ด้วย 100 ปีผ่านไป ยังไม่สายใช้สิทธิ ชาวบ้านจาก 13 หมู่บ้าน 350 ครอบครัวรวมตัวกันฟ้องรัฐบาลอินเดีย โทษฐานที่ไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับบรรพบุรุษของพวกเขา หลังจากยึดพื้นที่ทำมาหากินของพวกเขาไปสร้างเมืองใหม่ เมื่อ 100 ปีก่อน  ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นที่ตั้งของอาคารสำคัญๆ อย่างรัฐสภา ศาลสูง บ้านประธานาธิบดี หรือแม้แต่ประตูชัยอินเดียที่เราเห็นรูปกันอยู่บ่อยๆ  ในขณะที่ลูกหลานของคนกลุ่มดังกล่าวต้องอาศัยอยู่อย่างแร้นแค้นในหมู่บ้านที่ห่างออกไป 40 กิโลเมตรจากกรุงเดลลี  ความจริงแล้วคนที่เข้ามาไล่ที่ในสมัยนั้น คือบรรดาขุนนางอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม แต่ที่ฟ้องรัฐบาลอินเดียเพราะถือว่ามารับช่วงต่อตั้งแต่การประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1947 ทั้งนี้เขาบอกว่าถ้ายังไม่ได้เรื่องก็จะเดินหน้าฟ้องรัฐบาลอังกฤษเป็นรายต่อไป  ความจริงแล้วอังกฤษได้จ่ายค่าชดเชยให้กับบางครอบครัวด้วยการฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารไว้ แต่ว่าคนสมัยนั้นไม่รู้ถึงสิทธิของตนเองและไม่ได้รับข่าวสาร จึงไม่ได้ไปถอนออกมา  ชาวบ้านกลุ่มนี้บอกว่า การฟ้องร้องครั้งนี้ก็เพื่อเรียกคืนศักดิ์ศรีของ “ชาวเดลลี” และเรียกร้องค่าชดเชยตามที่พวกเขาสมควรได้ (แต่ทั้งนี้เขาขอให้จ่ายเป็นอัตราปัจจุบันนะ)  กฎหมายเวนคืนที่ดินของอินเดียนั้นมีใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1894  และยังถูกนำมาใช้อยู่ เมื่อรัฐบาลต้องการเวนคืนพื้นที่มาทำโครงการสาธารณะ เช่น ถนนหรือโรงไฟฟ้า ซึ่งก็มีมากขึ้นทุกวันตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย ซึ่งปีนี้รัฐบาลก็กำลังถูกกดดันให้เพิ่มค่าชดเชยให้กับชาวบ้านด้วย  อังกฤษตัดสินใจย้ายเมืองหลวงของจากกัลกัตตามาที่เดลลี เพื่อหนีปัญหาความไม่สงบทางการเมือง โดยพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้ประกาศตั้งเดลลีเป็นเมืองหลวงใหม่ของอินเดียในปี ค.ศ. 1911  ลดระดับความโปร่งใสสหรัฐฯ มีหน่วยงาน HRSA (Health Resources and Services Administration) ที่เก็บข้อมูลความผิดพลาดของแพทย์ในการรักษาพยาบาล เอาไว้ในธนาคารข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ หรือ National Practitioners Data Bank คนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ทางอินเตอร์เน็ท ในส่วนที่เรียกว่า Public Use File ซึ่งข้อมูลที่นำมาลงนั้นจะถูกตัดข้อมูลบางอย่างออกไปเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของแพทย์ ส่วนข้อมูลเต็มๆ นั้น กฎหมายถือเป็นความลับและจะเปิดเผยต่อโรงพยาบาล หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และหน่วยงานด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่อยู่มาวันหนึ่งมีนักข่าวของหนังสือพิมพ์ Kansas City Star นำเอาข้อมูลที่ตัวเองสืบค้น มารวมกับข้อมูลของแพทย์ทางประสาทวิทยาคนหนึ่งที่เขาได้จากฐานข้อมูลข้างต้น แล้วก็เขียนบทความเปิดโปงเรื่องราวการถูกฟ้องร้องจากการรักษาพยาบาลที่ผิดพลาดของหมอคนดังกล่าวโดยเปิดเผยชื่อ เรื่องนี้ทำให้ HRSA ประกาศลดระดับการเข้าถึงข้อมูลเรื่องดังกล่าวโดยคนทั่วไป ส่งผลให้สมาคมผู้สื่อข่าวสาธารณสุขและองค์กรผู้บริโภค Consumer Union ออกมาตั้งคำถามกับรัฐบาลว่า นี่หรือคือนโยบายเรื่อง “ความโปร่งใส” ที่นายบารัค โอบามา พูดถึง และการช่วยรักษาความลับให้กับแพทย์ มันสำคัญกว่าการรักษาประโยชน์ของสาธารณะอย่างนั้นหรือ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 127 กระแสต่างแดน

  เมดไม่อยู่ คุณหนูต้องออกเที่ยว เทศกาลวันหยุดหลังการถือศีลอดของชาวมุสลิมที่อินโดนีเซีย เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผู้คนก็พากันกลับต่างจังหวัด คล้ายๆ กับเทศกาลสงกรานต์บ้านเรา  และเมื่อสาวใช้ในบ้านพากันลากลับบ้านไปใช้เงินโบนัสให้สาสมใจนั้น บรรดาคนมีเงินที่นั่นเขาก็ต้องหาที่ไปเหมือนกันเพราะไม่ถนัดจะอยู่บ้านโดยไม่มีแม่บ้านคอยดูแลจัดการทุกอย่างให้สะอาดเข้าที่เข้าทาง  บ้างก็นิยมไปเที่ยวเมืองนอก เรื่องนี้สมาคมท่องเที่ยวของอินโดนีเซียเขายืนยันมา ว่าแพ็คเกจทัวร์ไป  ประเทศยอดฮิตของคนที่นั่นซึ่งได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน และฮ่องกง ขายหมดไปแล้วตั้งแต่สองสามเดือนก่อน แอร์เอเชียก็ยืนยันมาว่าขนาดเพิ่มเที่ยวบินเป็น 8 เที่ยวต่อวัน ก็ยังมีตั๋วไม่พอขาย บ้างก็ไม่อยากข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลเพราะเป็นห่วงบ้าน เลยใช้วิธียกครอบครัวไปพักที่โรงแรมแทน สมาคมโรงแรมเขาก็ยืนยันว่าอัตราการจองห้องพักของคนอินโดนีเซียในช่วงวันหยุดดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 85  อีกปรากฏการณ์ที่หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ เขารายงานไว้คือ ช่วงเทศกาลดังกล่าวเป็นช่วงที่โรงรับจำนำจะมีลูกค้าหนาแน่นเป็นพิเศษ แต่ไม่ใช่เพราะผู้คนพากันเอาของมีค่ามาจำนำหรอกนะ เขาบอกว่าร้อยละ 70 ของลูกค้าที่เดินเข้ามา จะมาไถ่เครื่องประดับออกมาไว้ใส่ไปอวดใครต่อใครตอนกลับไปเยี่ยมบ้านนี่แหละ หลายคนบอกว่าตอนนี้ทองราคาขึ้น เอาออกมาไว้กับตัวดีกว่า เผื่อจะได้ขายทำเงิน   ได้เวลา … ภาษีลดความอ้วนฮังการี ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีหนี้มากที่สุดในยุโรปตะวันออก ประกาศนโยบายหารายได้เข้ารัฐด้วยการเรียกเก็บภาษีจากผลิตภัณฑ์อาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน หรือเกลือสูงเกินไป ว่ากันว่านี่คือนโยบายเก็บภาษีจากอาหารขยะแบบเข้มที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งนี้ก็แอบหวังเล็กๆ ว่า “ภาษีลดความอ้วน” ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา จะเป็นการช่วยปรับนิสัยการกินของคนฮังกาเรียน ที่หันมาเป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น และนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบเป็นจำนวนไม่น้อย  พูดง่ายๆ ใครเลือกที่จะกินผลิตภัณฑ์อาหารเจ้าปัญหาเหล่านี้ จะต้องเสียเงินเพิ่มจากเดิมประมาณ 1.50 บาทต่อชิ้น/ซอง ส่วนนักดื่ม (น้ำอัดลม) ก็จะต้องจ่ายในราคาที่เพิ่มจากเดิมร้อยละ 10 เป็นต้น ทางการเขาบอกมาว่ามาตรการนี้จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 100 ล้านเหรียญ (ประมาณ 3,000 ล้านบาท)  ด้านอุตสาหกรรมอาหารก็คัดค้านเป็นธรรมดา เขาอ้างว่าวิธีนี้ปรับปรุงนิสัยการกินไม่ได้หรอก เพราะขนาดประเทศเดนมาร์กที่เก็บ “ภาษีลูกกวาด” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2465 ก็ยังมีอัตราการเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอยู่ดี แถมยังบอกว่ามาตรการนี้เป็นการเลือกปฏิบัติและจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้มีรายได้น้อยอีกด้วย  ว่าแต่ผู้บริโภคก็มีทางเลือกที่จะไม่ซื้อขนม(ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ) ในราคาที่แพงขึ้น และรัฐบาลเขาก็ไม่ได้ประกาศห้ามอุตสาหกรรมผลิตขนมที่ดีต่อสุขภาพออกมาขายนี่นา  สถิติบอกว่าคนฮังกาเรียน ใช้เงินประมาณร้อยละ 17 ของรายได้ครอบครัวในการซื้ออาหาร (มากกว่าคนอเมริกันถึงสองเท่า) ทั้งนี้เพราะอาหารและเครื่องดื่มที่นั่นมีภาษีร้อยละ 25 ยกเว้นผลิตภัณฑ์จากนมและผลิตภัณฑ์ขนมปังที่มีภาษีร้อยละ 12  อิสราเอล กด Like “ไม่ซื้อเนยแพง”ผู้คนจำนวนหลายแสนคนที่รวมตัวกันทางเครือข่ายสังคม Facebook ได้ช่วยกันบอยคอตเนยคอทเทจยี่ห้อ Tnuva ที่พวกเขาเห็นว่าราคาแพงขึ้นจนรับไม่ได้   นับตั้งแต่รัฐบาลประกาศเลิกควบคุมราคา คอทเทจชีสยี่ห้อนี้ก็แพงขึ้นกว่าเดิมถึงร้อยละ 25  เริ่มจากมีผู้บริโภคคนหนึ่งโพสต์กระทู้ลงในเฟสบุ๊ค ชักชวนเพื่อร่วมเครือข่ายให้หยุดซื้อเนยคอทเทจจาก Tnuva ซึ่งเป็นผู้ผลิตเจ้าใหญ่ที่สุดในอิสราเอล ปรากฏว่าเพียงไม่กี่วันมีคนมาร่วมแจมเป็นแสนคน และจำนวนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะคอทเทจชีสนั้นถือเป็นอาหารสามัญประจำโต๊ะกับข้าวของคนที่นั่น  ผลก็คือในที่สุด Tnuva ซึ่งเจ้าของตัวจริงได้แก่ Apax Investment Fund ของอังกฤษ ถึงแม้จะไม่ยอมลดราคากลับมาเท่าเดิม แต่ก็ต้องยอมเพิ่มปริมาณเนยเข้าไปอีกร้อยละ 10  นี่คือผลของการรวมตัวกัน “ไม่ซื้อ” ของผู้บริโภคกว่า 450,000 คน(ซึ่งนับว่าไม่น้อยเลยสำหรับประเทศที่มีประชากรทั้งหมด 7 ล้านคน) คนกลุ่มนี้มีการศึกษา มีงานทำ และทำงานด้วยความทุ่มเท แต่กลับมีรายได้แทบไม่พอกับการใช้จ่ายพื้นฐานในครัวเรือน พวกเขาจึงรู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างแล้ว  สถิติบอกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เงินเดือนของคนอิสราเอลนั้นเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.6 ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคนั้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25  และพลังผู้บริโภคยังไม่หยุดแค่นั้น การบอยคอตที่ว่ายังขยายไปยังสินค้าจำเป็นอื่นๆ อีกด้วย สมาชิกเครือข่ายนี้จะร่วมกันเสนอชื่อสินค้าที่พวกเขาเห็นว่าตั้งราคาอย่างไม่เป็นธรรม และทุกคนก็จะร่วมมือกันไม่ซื้อสินค้าดังกล่าว  ยอดเยี่ยมจริงๆ ฉลาดซื้อ ขอกด Like ด้วยคน   เอาชีวิตรอดบนถนนในเมืองหลวงการขับรถบนถนนในเมือง มอสโก (เมืองหลวงเก่า) ของรัสเซีย คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเขาถึงกับต้องมีการเปิดสอนคอร์ส “การเอาตัวรอดบนถนนมอสโก” กันเลยทีเดียว   สภาพถนนส่วนใหญ่ในรัสเซียนั้นเขาว่ากันว่าแย่มากๆ แถมยังไม่ค่อยมีป้ายสัญญาณ และแทบจะไม่มีการวางแผนจราจรด้วย หนำซ้ำอุบัติเหตุส่วนใหญ่ยังเกิดจากการฝ่าฝืนกฎจราจรโดยผู้ใช้รถใช้ถนนนี่แหละ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของรัสเซียบอกว่า ปัญหาหลักอยู่ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าตนเองสามารถทำผิดกฎหมายโดยไม่มีใครทำอะไรได้  เลยต้องเกิดสภาพตัวใครตัวมันขึ้นมาอย่างที่เป็นอยู่ สิบปีก่อน เซอเก้ โมเซเยฟ เป็นเซลส์แมนที่ต้องพบกับประสบการณ์ขนหัวลุกทั้งวันที่เขาต้องขับรถไปหาลูกค้า เขาเลยไปลงเรียนคอร์สดังกล่าว เซอเก้บอกว่าเป็นการตัดสินใจที่นอกจากจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้แล้ว ยังช่วยประหยัดเงินและเวลาที่จะต้องไปทำเรื่องที่สถานีตำรวจอย่างน้อย 3 วัน และค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกร้อยละ 10 กรณีที่เขาเป็นฝ่ายผิดอีกด้วย  พูดง่ายๆ ว่า แม้แต่การเฉี่ยวชนเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ต้องเสียโอกาสทำเงินไปไม่ต่ำกว่า 30,000 บาท  แล้วเซอเก้ก็ตัดสินใจเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการสมัครเป็นครูที่สถาบันแห่งนั้นเสียเลย    เพราะธุรกิจนี้ดูท่าจะรุ่งเพราะบรรดาบริษัทต่างๆ นิยมส่งพนักงานมาเรียนเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องทันท่วงที ในสถานการณ์คับขันบนท้องถนน แม้แต่พวกที่ซื้อใบขับขี่ในตลาดมืด ก็ยังต้องมาลงเรียนคอร์สนี้  พฤติกรรมแย่ๆ ในการขับรถระบาดมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ข่าวบอกว่าพักหลังนี่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันโดยมีรถตำรวจเข้าไปเป็นคู่ความบ่อยครั้ง จนกระทรวงมหาดไทยของรัสเซียต้องประกาศให้นายตำรวจทุกคนที่ใช้รถลาดตระเวน มาสอบขับรถกันใหม่ ภายใน 1 เดือนนับจากวันออกประกาศ  รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถิติการตายบนท้องถนนมากที่สุดในโลก ปีที่แล้วมีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าวถึง 26,000 คน ซึ่งถือว่าดีขึ้นมากจากเมื่อ 6 ปีก่อนที่ตัวเลขสูงกว่านี้เกือบร้อยละ 4  ข่าวบอกว่ามาตรการปราบปรามพวก “เมาไม่ขับ” ของที่นั่นก็ประสบความสำเร็จดีเกินคาด แต่หนังสือพิมพ์เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งอ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อระบุว่า ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมาตรการเข้มงวดที่ว่านั้นทำให้ “สินบน” ที่ต้องจ่ายให้ตำรวจนั้นถีบตัวขึ้นไปสูงถึง 300,000 บาททีเดียว  จริงเท็จอย่างไร เราพิสูจน์ไม่ได้ เพราะเขาไม่มีใบเสร็จรับรอง 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 กระแสต่างแดน

  โชคดีที่ไม่ร้อนเงินเขาว่ากันว่าหน้าร้อนที่สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ (ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน) อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 40 ถึง 50 องศาเซลเซียส ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่แปลกสำหรับประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบตะวันออกกลาง  แต่ที่เป็นประเด็นก็เพราะผู้คนที่นี่เขาออกจะมีฐานะล่ำซำกันอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่อาศัยอยู่ในศูนย์กลางการค้าอย่างเมืองดูไบ ซึ่งประชากรประมาณ 2 ล้านคนของเขาไม่ยี่หระกับบิลค่าไฟฟ้าที่แพงลิบลิ่ว  คนส่วนใหญ่ในเมืองนี้นิยมเปิดเครื่องปรับอากาศที่บ้านไว้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ว่าตัวเองจะออกไปทำงานหรือไปทำธุระที่อื่น รวมๆ แล้วค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานต่อหัวของคนที่ประเทศนี้เลยสูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก สูงกว่าการบริโภคไฟฟ้าต่อหัวของสเปนซึ่งมีประชากรถึง 47 ล้านคน ถึง 3 เท่า และสถิติการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวก็สูงกว่าคนอเมริกัน 2 เท่า เรียกว่า ร้อยละ 70 ของจากพลังงานที่ผลิตได้ถูกใช้ไปกับการทำความเย็นนี่เอง และเมื่อมีการบริโภคไฟฟ้าในเมืองดูไบสูงขนาดนั้น ไฟฟ้าในเขตอื่นๆ ของประเทศจึงอยู่ในภาวะติดๆ ดับๆ รัฐบาลเขาจึงออกมารณรงค์ให้เลิกพฤติกรรมดังกล่าว แต่ข่าวบอกว่ายังไม่ประสบผล คงจำกันได้ว่าตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่างตึกเบิร์จ คาลิฟะห์ หรือที่เราเรียกกันว่าตึกดูไบเบิร์จ ก็อยู่ที่เมืองดูไบด้วย ตึกนี้ตึกเดียวก็ใช้ไฟฟ้าประมาณ 1 ใน 10 ของกำลังผลิตของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว นอกจากร้านรวงหรือสำนักงานต่างๆ แล้ว ในตัวตึกยังมีเนินสำหรับเล่นสกี ที่มีพื้นที่รวมกันทั้งหมดเท่ากับ 3 สนามฟุตบอล และต้องทำอุณหภูมิที่ – 8 องศาเซลเซียสตลอดเวลา เพื่อทำให้เกิดหิมะ นอกจากนี้ยังมีลานสเก็ตขนาดมาตรฐานโอลิมปิกที่ต้องทำความเย็นไว้รองรับผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนวันละกว่า 150,000 คนด้วย ปัจจุบัน ร้อยละ 85 ของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศนี้มาจากก๊าซธรรมชาติ (ที่เหลือมาจากน้ำมัน) แต่เขากำลังมีแผนจะสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์กำลังผลิต 1,400 เมกะวัตต์ ทั้งหมด 4 เตา บนชายฝั่งของเมืองอาบูดาบีซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ และคาดว่าเตาแรกจะเริ่มใช้งานได้ในอีก 6 ปีข้างหน้า   ลุ้นโชครับลุคใหม่เกิดกระแสฮือฮากันไปทั่วในหมู่นักท่องราตรีเมืองผู้ดี เมื่อคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งประกาศจัดงานลุ้นรับบริการศัลยกรรมความงามมูลค่า 4,000 ปอนด์ (ประมาณ 200,000 บาท) ฟรี   งานที่ว่า ใช้ชื่องานว่า “My Big Fat Plastic Surgery” นี้เขาวางแผนจะจัดเดือนละครั้ง หมุนเวียนไปตามไนต์คลับในเมืองต่างๆ ทั่วสหราชอาณาจักร โดยเริ่มจากลอนดอนเป็นเมืองแรกแล้วก็ได้รับเสียงตอบรับท่วมท้น  แต่เมื่อข่าวนี้รู้ไปถึงหูของสมาคมศัลยกรรมเพื่อความงามของอังกฤษเข้า ทางสมาคมฯ ก็รีบออกมาสกัดดาวรุ่งว่าการจัดงานอย่างนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะการพึ่งมีดหมอเพื่อความงามนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะผ่านการวางแผนไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วน ไม่สมควรนำมาเป็นของรางวัลจากการจับฉลากลุ้นผู้โชคดี เพราะคนที่ได้รางวัลอาจจะไม่ได้มี “จุดบกพร่อง” อย่างแท้จริง อาจเพียงแค่ต้องการจะรักษาสิทธิก็ได้ ไหนๆ ก็ฟรีแล้ว   เพราะเพียงแค่เสียค่าบัตรผ่านประตูเข้าไนต์คลับ (ราคา 25 ปอนด์หรือประมาณ 1,200 บาท) คุณจะได้รับสิทธิร่วมลุ้นรับศัลยกรรมความงามฟรีโดยอัตโนมัติ และผู้โชคดีจะต้องปรากฏตัวขึ้นรับรางวัลทันที แต่ผู้จัดเขาบอกว่าไม่ได้เร่งรัดนะ แค่ให้ขึ้นไปรับรางวัลและถ่ายรูปเป็นหลักฐานเอาไว้ก่อน จากนั้นผู้โชคดีคนดังกล่าวก็จะมีเวลาไปขบคิดอีก 2 อาทิตย์ว่าจะให้หมอลงมีดอัพลุคตนเองที่ส่วนไหนดี ลาภจะได้ไม่กลายเป็นทุกขลาภไป  เรื่องนี้คงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้อีกพักใหญ่ เพราะข่าวบอกมาว่าการลุ้นรับโชคทำศัลยกรรมความงามฟรีนั้นกำลังเป็นที่นิยมมากในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นในนิตยสาร ในอินเตอร์เน็ตก็นิยมให้คนมาร่วมสนุกด้วยวิธีนี้ หรือแม้แต่ “ล็อตเตอรี่ความงาม” ก็มีให้ซื้อกันแล้ว   โซฟา โซเฟคถ้าเราจะลงทุนซื้อของแบรนด์เนมทั้งที เราคงเลือกซื้อจากร้านที่ดูหรูหราน่าเชื่อถือกันหน่อย เพราะทางร้านเขาคงจะกลัวเสียชื่อจึงต้องคัดมาเฉพาะของแท้เท่านั้น …แต่มันจริงหรือ? ถ้าไปถามโทรทัศน์ CCTV ของประเทศจีนตอนนี้เขาคงจะตอบว่าไม่ เพราะเขาเพิ่งจะออกมาเปิดโปงร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไฮโซแห่งหนึ่งว่า ในร้านนั้นมีทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่นำเข้าจากอิตาลี และเฟอร์นิเจอร์ประทับตรา “นำเข้าจากอิตาลี” ที่ผลิตมาจากโรงงานแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของจีนนี่เอง  ร้านที่ว่านั้นมีชื่อว่า ดาวินชี่ ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่สิงคโปร์ เป็นร้านที่เศรษฐีชาวจีนแผ่นดินใหญ่นิยมไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์แบรนด์หรู อย่างเวอซาเช่ หรือเฟนดิ ไปประดับบ้าน สนนราคาของสินค้าที่นี่เขาก็ไม่ธรรมดา ถ้าอยากได้เฟอร์นิเจอร์ชุดห้องนอนก็ต้องพกเงินไปประมาณ 100,000 เหรียญ (หรือประมาณ 3 ล้านบาท) ทีเดียว  มาดามดอริส พัว ซีอีโอของบริษัท ดาวินชี่ รีบออกมาแถลงข่าวทันที ว่าบริษัทถูกใส่ร้ายชัดๆ พูดไปก็ร้องไห้ไปน่าเห็นใจอย่างยิ่ง แต่วันเดียวกันนั้นเอง สถานีโทรทัศน์ CCTV ก็ออกข่าวการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ที่มีหลักฐานยืนยันว่าดาวินชี่ ไปเช่าโกดังเก็บเฟอร์นิเจอร์ไว้ในเขตการค้าเสรีไว่เกาเฉียว ในเซี่ยงไฮ้เอาไว้  ถ้าเก็บของที่ส่งเข้ามาจากต่างประเทศก็ไม่มีปัญหา แต่ที่เก็บอยู่นั้นมันเป็นเฟอร์นิเจอร์ “เมดอินไชน่า” ที่ถูกส่งมาพักเพื่อเปลี่ยนสถานภาพนั่นเอง  ในทางเทคนิคแล้ว สินค้าที่ถูกส่งไปเก็บในคลังที่เขตการค้าเสรีไว่เกาเฉียวนั้น ถ้ามันถูกเก็บไว้เกินหนึ่งวัน มันจะสามารถกลับออกมาพร้อมกับตราประทับว่าเป็นสินค้า “นำเข้า” ได้   กรุณางดกินตับอาหารเหลาเลื่องชื่อที่หลายคนใฝ่ฝันอยากลิ้มรสอย่าง ฟัวกราส์ ได้กลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนีเข้าแล้ว เมื่อผู้จัดงานเทศกาลอาหารอานูกา ที่จะจัดขึ้นที่เมืองโคโลจน์ ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนีในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ประกาศว่าปีนี้จะไม่มีการเสิร์ฟฟัวกราส์ (ที่เราเรียกกันว่า “ตับห่าน”) ในงานเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพิทักษ์สัตว์ที่ไม่เห็นด้วยกับการได้มาซึ่ง “ตับ” ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 10 เท่า ด้วยกรรมวิธีที่ออกจะโหดร้ายไปหน่อย บรรดาเป็ดหรือห่านอับโชคพวกนี้จะถูกขังในกรงแคบๆ จนไม่สามารถขยับปีกได้ แล้วก็จะถูกบังคับ  ป้อนอาหารตลอดเวลา ผ่านทางหลอดให้อาหารที่สอดผ่านจงอยปากของพวกมันเข้าไปโดยตรงเพื่อให้ ตับของพวกมันโตไวๆ  แต่กระทรวงเกษตรของฝรั่งเศสเขารับไม่ได้ งานใหญ่ขนาดนี้จะไม่ให้นำเสนอตำรับอาหารเลื่องชื่อของตนเองได้อย่างไร ว่าแล้วรัฐมนตรีเกษตรของเขาจึงทำจดหมายไปขอร้องให้เยอรมนีทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง มิเช่นนั้นจะเขาจะบอยคอตด้วยการไม่เข้าร่วมพิธีเปิด แต่ทางรัฐบาลเยอรมนีตอบกลับไปว่าเรื่องนี้มันต้องแล้วแต่ผู้จัดงานเขา รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้  ความจริงแล้วปีนี้สหภาพยุโรปเริ่มใช้กฎเกณฑ์ในเรื่องการเลี้ยงเป็ดหรือห่านเพื่อเป็นวัตถุดิบของฟัวกราส์แล้ว แต่องค์กรพิทักษ์สัตว์เขาบอกว่ามีเพียงร้อยละ 15 ของฟาร์มในฝรั่งเศส (ซึ่งเป็นผู้ผลิตร้อยละ 75 ของฟัวกราส์ทั้งหมดในโลก) เท่านั้นที่เลี้ยงตามเกณฑ์ดังกล่าว หมายเหตุ ที่เรียกกันว่า “ตับห่าน” นั้นคงจะไม่ตรงความจริงเท่าไรนัก เพราะสถิตระบุว่าในการผลิตฟัวกราส์ ของฝรั่งเศสในแต่ละปีเขาจะใช้เป็ดประมาณ 37 ล้านตัว ในขณะที่ใช้ห่านเพียง 7 แสนตัวเท่านั้น  น้ำมันปาล์มต้อง (โปร่ง) ใสปาล์มน้ำมันก็เป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง ที่กลุ่มนักอนุรักษ์กำลังจับตาดูเป็นพิเศษ   คนออสเตรเลียกำลังลุ้นว่าร่างกฎหมายที่กำหนดให้มีการระบุลงว่าส่วนผสมในอาหารที่เรียกว่า “น้ำมันพืช” นั้นจริงๆ แล้วเป็นน้ำมันจากพืชชนิดใด จะผ่านการยอมรับโดยสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่  ผู้ที่รณรงค์ให้เกิดกฎหมายนี้บอกว่า คนออสซี่นั้นบริโภคน้ำมันปาล์มเฉลี่ยคนละ 10 กิโลกรัมในแต่ละปี โดยที่ตนเองไม่รู้เรื่องเลย เพราะในฉลากอาหารของออสเตรเลียขณะนี้ มีเพียงคำว่า “น้ำมันพืช” ทำให้ผู้บริโภคไม่มีข้อมูลในการเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำมันปาล์มเพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  ออสเตรเลียนำเข้าน้ำมันปาล์มปีละ 130,000 ตันจากมาเลเซียและอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตร้อยละ 85 ของน้ำมันปาล์มที่ใช้กันทั่วโลก (อันดับสามคือประเทศไทยเรานี่เอง) สองประเทศนี้จึงเป็นที่จับตามองของบรรดานักเคลื่อนไหวจากกรีนพีซ WWF (World Wildlife Fund) และแม้แต่องค์การสวนสัตว์วิคตอเรีย ในออสเตรเลีย เป็นพิเศษ  ทั้งนี้เพราะการเคลียร์พื้นที่เพื่อทำสวนปาล์มในอินโดนีเซียและมาเลเซียนั้นส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่าและสัตว์ป่าไม่น้อย  รายงานของสหประชาชาติเมื่อสี่ปีที่แล้วระบุว่า ร้อยละ 98 ของป่าฝนในมาเลเซียและอินโดนีเซีย จะหายไปภายในปี ค.ศ. 2022 โดยปัจจัยสำคัญได้แก่การผลิตน้ำมันปาล์ม ที่ทำให้พื้นที่ป่าขนาดประมาณ 300 สนามฟุตบอลหายไปทุกๆ หนึ่งชั่วโมง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 125 กระแสต่างแดน

  ทองนี้ได้แต่ใดมา ร้านทองไฮโซในอังกฤษให้ข้อมูลที่ไม่ค่อยจะตรงกับความเป็นจริงนัก เวลาที่ถูกถามเรื่องแหล่งที่มาหรือกระบวนการในการสรรหาวัตถุดิบเพื่อนำมาทำเป็นเครื่องประดับ  คนที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวได้แก่รายการทีวีแนวสืบสวนสอบสวน Dispatches ที่ใช้วิธีซ่อนกล้องเข้าไปเก็บข้อมูลในประเด็นที่สังคมกำลังสนใจ   คราวนี้เขาส่งทีมงานเข้าไปทำทีเป็นจะซื้อเครื่องประดับทองในร้านหรูอย่าง ร้าน Argos ร้าน Goldsmiths ร้านH. Samuel ร้าน Ernest Jones และ Leslie Davis แต่ก่อนจะซื้อก็ลองยิงคำถามกับพนักงานในร้านว่าทองที่นำมาผลิตเป็นเครื่องประดับแบรนด์ของร้านนั้นมีที่มาอย่างไร   แล้วก็พบว่าพนักงานที่พูดคุยด้วยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องกระบวนการผลิตสินค้าที่ตนเองขายอยู่สักเท่าไร บางคนไม่รู้ว่าร้านของตัวเองสั่งซื้อทองมาจากที่ไหน แต่ก็ยังตอบแบบมึนๆ ว่ามันก็เป็นทองที่ได้มาอย่างถูกจริยธรรมนั่นแหละ (โดยไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ ให้) แต่ทั้งนี้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามาจากไหนอยู่ดี บางรายถึงกับบอกลูกค้าว่าไม่มีทางที่ลูกค้าจะรู้ได้ ถึงแม้จะมีการอ้างว่าได้รับการรับรองจากสถาบันอะไรก็ตาม   สรุปว่าแม้ลูกค้าเมืองผู้ดีจะทุ่มเทซื้อทองจากร้านใหญ่ๆ ก็ยังไม่สามารถจะมั่นใจได้อยู่ดีว่าทางเลือกของตนเองนั้นไปสนับสนุนการใช้แรงงานเด็ก การทำให้ชุมชนใกล้เหมืองทองเต็มไปด้วยสารพิษ หรือการทำลายสภาวะแวดล้อมโดยรวมหรือไม่   เอารูปจาก Clip นี้ได้ป่าวhttp://www.channel4.com/programmes/dispatches/articles/the-real-price-of-gold-video-clip -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------  กาแฟกับภัยแล้ง คุณรู้หรือไม่ ว่าการปลูกต้นกาแฟเพื่อนำมาชงเป็นกาแฟใน 1 แก้วขนาด 125 มิลลิลิตร นั้นจะต้องใช้น้ำถึง 140 ลิตร หรืออีกนัยหนึ่ง องค์กร Water Footprint Network เขากำลังจะบอกเราว่า อัตราส่วนระหว่างกาแฟกับน้ำที่ใช้นั้น เท่ากับ 1:1100  ขณะนี้ได้เกิดภาวะแห้งแล้งอันสืบเนื่องมาจากการปลูกกาแฟขึ้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบราซิลและโคลัมเบียซึ่งเป็นสองประเทศในกลุ่มผู้ผลิตกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นแล้วคอกาแฟทั้งหลายโปรดรับทราบว่าต่อไปนี้ราคาเมล็ดกาแฟจะต้องแพงขึ้นอย่างแน่นอน  นอกจากนี้ เกษตรกรที่หมู่บ้านฮามา ทางตอนใต้ของกรุงแอดดิส อบาบา เมืองหลวงของเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพเลิศนั้นกำลังประสบปัญหาหนี้ เพราะผลผลิตกาแฟที่ได้นั้นลดลงกว่าเดิม  ทางออกสุดท้ายที่ต้องหาให้ได้ร่วมกัน คือการกำหนดให้บริษัทที่รับซื้อเมล็ดกาแฟ เลือกซื้อจากแหล่งที่มีการจัดการน้ำในการเพาะปลูกที่ดีเท่านั้น  ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากบรรดาผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปและร้านกาแฟพอสมควรทีเดียว คราฟท์ฟูดส์ ผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อแม็กซเวลล์ เฮ้าส์ ได้ให้คำมั่นว่าจะรับซื้อกาแฟจากแหล่งที่ได้รับการรับรองโดย Rainforest Alliance (องค์กรที่ทำหน้าที่คล้ายๆ Fair Trade ที่เรารู้จักกัน แต่เน้นหนักที่ประเด็นสิ่งแวดล้อม) เท่านั้น  หรือเนสท์เล่ ที่อังกฤษ ก็ประกาศให้เงินสนับสนุนการปลูกกาแฟด้วยวิธีที่ยั่งยืน ในประเทศเอธิโอเปีย  สตาร์บัคส์ก็ประกาศลดการใช้น้ำในร้านลงให้ได้ร้อยละ 25 ภายในอีก 4 ปีข้างหน้า ขณะนี้แต่ละสาขาสามารถลดการใช้น้ำลงได้วันละ 100 แกลลอน เท่ากับว่าโดยรวมแล้วสามารถลดการใช้น้ำลงไปได้ร้อยละ 22 แล้ว   กาแฟเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุด ด้วยยอดขายทั่วโลกกว่า 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป แม้แต่ประชากรในประเทศที่ดื่มชาเป็นหลักอย่างญี่ปุ่นหรือเกาหลีก็ยังหันมาบริโภคกาแฟกันตามยุคสมัย-------------------------------------------------------------------------------------------------- แบคทีเรียอาละวาด วิกฤตใหม่ในยุโรป นอกจากปัญหาเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจที่เราได้รับรู้กันอยู่ทุกวันแล้ว ยุโรปยังมีอีกหนึ่งปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเช่นกัน  ถึงวันนี้ผู้คนกว่า 25,000 คน ในยุโรปได้เสียชีวิตลงด้วยเชื้อจอมดื้อยาอย่างแบคทีเรีย MRSA ซึ่งเชื้อตัวเดียวกันนี้ทำให้สหรัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาไปกว่า 21,000 ล้านเหรียญเช่นกัน คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมบริษัทยาถึงไม่คิดจะผลิตยาปฏิชีวนะ(หรือที่เราถนัดเรียกว่ายาแก้อักเสบหรือยาฆ่าเชื้อ) ตัวใหม่ๆ ออกมาขายกันบ้าง ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่ามีการดื้อยาเกิดขึ้นมากมาย   นี่เป็นเรื่องที่สหภาพยุโรปกำลังขบคิดหาทางออก   สาเหตุที่บริษัทยาขาดแรงจูงใจในการลงทุนคิดค้นยาตัวใหม่ๆ ออกมาก็เพราะรายได้ที่เกิดจากยาประเภทนี้มีไม่มากนัก เรารับประทานประมาณ 2 – 3 วันก็หาย แถมยังเป็นยาที่เสี่ยงต่อการ “ดื้อ” มากกว่ายาชนิดอื่นๆ นอกจากนั้น ยาฆ่าเชื้อนั้นถือเป็นยาสำคัญที่ต้องทำให้ทุกคนไม่ว่าจะจนหรือรวยสามารถเข้าถึงได้ ยาเหล่านี้จึงถูกกดดันให้มีราคาถูกด้วย  จึงทำให้บริษัทเหล่านี้ทำการตลาดโดยเน้นที่การทำยอดขายปริมาณมาก และนั่นทำให้เกิดการสั่งและการใช้ยาดังกล่าวเกินความจำเป็น ที่นำไปสู่การดื้อยาในที่สุด  สหพันธ์สมาคมยาและอุตสาหกรรมยาแห่งยุโรปหรือ EFPIA มีข้อเสนอให้สร้าง “แรงจูงใจ” ใหม่ๆ ให้กับบริษัทผู้ผลิตยา เช่น การได้รับลดหย่อนภาษีถ้ามีการทำวิจัยยาดังกล่าว การได้รับรางวัล “ยาดีมีประสิทธิภาพ” หรือการขยายเวลาครอบครองสิทธิบัตร เป็นต้น   โอเวอร์โดส โรคระบาดอเมริกันชน ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดตามข่าวคนดังในฮอลลิวูด คุณคงจะคุ้นเคยกับสาเหตุการตายยอดฮิตของบรรดาผู้มีอันจะกินเหล่านั้นว่าหนีไม่พ้นการใช้ยาเกินขนาด หรือที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า โอดี (หรือ Overdosed) นั่นเอง   มีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่าอาการโอดีนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับหมู่เซเลบริตี้อเมริกันเท่านั้น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา “การใช้ยาในทางที่ผิด” ได้กลายเป็น “โรคระบาด” ในสังคมอเมริกันไปแล้ว ปัจจุบันนี้มีจำนวนคนอเมริกันที่เสียชีวิตเพราะการใช้ยาในทางที่ผิดมากกว่าจำนวนคนที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ด้วยซ้ำ สาเหตุการตายโดยเฉียบพลันอันดับหนึ่งในกว่าร้อยละ 50 ของรัฐในอเมริกา คือการใช้ยาในทางที่ผิดนั่นเอง ปีที่แล้ว มีคนอเมริกันเกือบ 30,000 คน เสียชีวิตเพราะการใช้ยาเกินขนาด และในฟลอริด้าเพียงรัฐเดียวก็มีผู้เสียชีวิตด้วยสาเหตุดังกล่าวกว่า 3,000 คน  คนอเมริกันนั้นนิยมพึ่งพายาแก้ปวดกันไม่น้อย และคนกลุ่มนี้นี่เองที่บริโภคร้อยละ 80 ของยาแก้ปวดที่มีฝิ่นเป็นส่วนประกอบที่ผลิตได้ทั้งหมดในโลก  คนอเมริกันแต่ละคนใช้ยาประมาณ 74 – 369 มิลลิกรัม เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า จากช่วงปี ค.ศ. 1997 ถึง ค.ศ. 2007    ทิ้งของสูง   ปีนี้โครงการ Save Everest สามารถเก็บขยะลงมาจากเอเวอเรสต์ได้กว่า 8 ตัน(มากกว่าปีที่แล้ว 3 ตัน) นี่ขนาดเก็บตามเส้นทางระหว่างสนามบินลุคลากับเมืองนัมเชเท่านั้นนะ   ข่าวบอกว่าเส้นทางดังกล่าวเต็มไปด้วยกระป๋องออกซิเจน กระป๋องอาหาร ขวดน้ำดื่ม ซองยา ถุงพลาสติก รวมไปถึงของเสียจากมนุษย์ หรือแม้แต่ซากศพของคนที่เสียชีวิตในระหว่างการเดินทาง   3,210 กิโลกรัมของขยะทั้งหมดที่เก็บมาได้ จะถูกกำจัดที่เมืองนัมเช ซึ่งขณะนี้มีแผนที่จะสร้างโรงกำจัดขยะเพิ่มเป็น 15 แห่ง ขยะที่เหลือนั้นจะถูกนำไปยังเมืองกาฐมาณฑุ เพื่อเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพและนำกลับมาใช้ใหม่ต่อไป   ผู้รับผิดชอบโครงการเก็บขยะที่ว่านี้ได้แก่ สมาคมผู้ปีนเขาเอเวอเรสต์และการท่องเที่ยวแห่งเนปาล ด้วยทุนในการทำงาน 780,000 เหรียญสหรัฐ หวังว่าจะพอใช้สำหรับเก็บและจัดการขยะที่ยังหลงเหลืออยู่บนภูเขาอีกประมาณ 20 ตัน   แต่ถ้านักท่องเที่ยวกว่า 35,000 คน รวมกับลูกหาบและไกด์อีกประมาณ 80,000 คนที่มาผจญภัยที่เอเวอเรสต์ในแต่ละปีจะช่วยกันแบกขยะของตัวเองกลับลงมาด้วยก็คงจะดีไม่น้อย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 124 กระแสต่างแดน

  อย่างนี้มันต้องถอน(ให้หมด) สมาคมบัตร เอทีเอ็มประเทศเวียดนาม  เรียกร้องให้เพิ่มค่าธรรมเนียมถอนเงินสดจากเครื่องเอทีเอ็ม(ATM) ของต่างธนาคารจาก 3, 300 เป็น 5, 500 ด่องเวียดนาม ในแต่ละครั้งที่มีการถอนเงิน พร้อมขออนุญาตให้สามารถเก็บค่าธรรมเนียมการถอนเงินจากตู้ ATM จากธนาคารเจ้าของบัตรในครั้งที่ 4 ซึ่งก่อนหน้านี้การถอนเงินสามครั้งถูกหน่วยงานปฏิเสธไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียม   สมาคมอ้างว่า การเพิ่มค่าธรรมเนียมถอนเงินสดของต่างธนาคารจะช่วยลดภาระการขาดทุนในการลงทุนตู้ ATM และเพื่อหลักประกันและความปลอดภัยของตู้ รวมทั้งจากเดิมที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บค่าธรรมเนียมการถอนเงินสดสำหรับลูกค้าจากตู้ ATM ธนาคารของตนเอง รวมทั้งปัญหาของลูกค้าที่ลูกค้ามักจะถอนเงินทั้งหมดจากบัตรเพื่อฝากในบัญชีออมทรัพย์และได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ในขณะที่ธนาคารไม่ได้ประโยชน์จากการเก็บเงินไว้ในตู้ ATM ขณะที่นักวิชาการเวียดนาม ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของสมาคมธนาคาร “ปัญหาสำคัญคือคุณภาพบริการที่ไม่เหมาะสมกับการขึ้นราคา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาตู้ATM ที่มักจะยึดบัตร ตู้ใช้การไม่ได้ หรือถอนเงินแล้วไม่มีเงินออกมาแต่ถูกหักบัญชีไป หรือแม้แต่ปัจจุบันที่ธนาคารส่วนใหญ่บังคับให้มีเงินขั้นต่ำไว้ ถึงแม้จะน้อยแต่ก็เป็นเงินให้ธนาคารหาประโยชน์โดยไม่มีต้นทุนใด ๆ และที่สำคัญธนาคารไม่ควรลงทุนในการขยายเครือข่าย ATM ให้มากเพราะในอนาคตแนวโน้มการชำระเงินที่ไม่ใช้เงินสดจะถูกพัฒนามากขึ้น   อยากมีทางด่วนแบบนี้บ้าง ประเทศอาเจนตินา มีกติกาที่น่าสนใจเรื่องการใช้ทางด่วน โดยเขาได้ออกเป็นกฎกระทรวงสำหรับให้ผู้ใช้ทางด่วนแห่งชาติ โดยมีการระบุรายละเอียดเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ใช้ทาง ทั้งเรื่องระยะเวลาในการรอชำระค่าผ่านทาง และจำนวนยานพาหนะในการรอจ่ายเงินในแต่ละช่องทาง   โดยกำหนดให้การรอจ่ายเงินไม่เกินสามนาทีสำหรับเส้นทางพิเศษของรถประเภทเดียวกัน หรือห้านาที สำหรับเส้นทางการจราจรที่มีรถหลายประเภท  หรือจำนวนรถสูงสุดไม่เกิน 20 คัน ของรถที่รอชำระเงินค่าผ่านทางในแถวเดียวกัน และเมื่อไหร่ที่เข้าเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ทางพิเศษต้องเปิดทางให้กับรถทุกคัน นั่นหมายความว่า ไม่สามารถเก็บเงินจากลูกค้าได้เลย   ใครไปประเทศนี้ไม่ต้องแปลกใจหากได้ยินเสียงแตรเมื่ออยู่บนทางด่วนเพราะเป็นสัญญาณให้ไม้กั้นทางด่วนยกขึ้นและใช้ทางด่วนได้ฟรี เพราะไม่ทางด่วนไม่สามารถประกันเรื่องระยะเวลาที่รอหรือจำนวนรถที่มากเกิน 20 คันตามที่กำหนดไว้เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค ------------------------------------------------------------------------------- มหาวิทยาลัยสตรีใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าโลกมุสลิมจะเคร่งครัดในประเพณีปฏิบัติเรื่องสิทธิ หญิง ชาย ทำให้หญิงมุสลิมจำนวนมากขาดโอกาสทางการศึกษา แต่ที่ซาอุดิอาระเบียที่นี่กลับก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เพราะเขาเพิ่งเปิดมหาวิทยาลัยสตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก กษัตริย์ อับดุลลาห์ แห่งซาอุดิอาระเบีย ได้ทำพิธีเปิดมหาวิทยาลัยปรินเซสโนรา บินท อับดุลารามัน (Princess Nora bint Abdulrahman University – PNU) อย่างเป็นทางการ ด้วยศักยภาพในการรองรับนักศึกษาถึง 50,000 คน ทำให้ มหาวิทยาลัยปรินเซสโนราฯ นี้ เป็นศูนย์การเรียนรู้ระดับสูงและมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสำหรับผู้หญิงเพียงอย่างเดียวที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ใช้งบประมาณในการสร้างถึง 200 ล้านเหรียญ ริยาลซาอุ  นาย อิบราฮิม อัล อัสแซบ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของซาอุฯ กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงระบบการศึกษาสำหรับผู้หญิงและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศนี้ของผู้หญิง”  นอกจากศักยภาพในการรองรับจำนวนมาก และการเปิดสอนในภาควิชาที่ผู้หญิงหาเรียนได้ยากในบางมหาวิทยาลัยที่เข้มงวดในเรื่องการแบ่งเพศชายและหญิงในชั้นเรียนแล้ว ม.ปรินเซส โนรา ยังมีสิ่งปลูกสร้างพร้อมอุปกรณ์การเรียน เครื่องไม้เครื่องมือเพื่อการศึกษาต่างๆ ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์เพื่อการศึกษาทางการแพทย์ ศูนย์วิจัย และห้องสมุดที่มีหนังสือและบทความต่างๆ กว่าห้าล้านเล่ม สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษของมหาวิทยาลัยนี้คือ ศูนย์กีฬาขนาดใหญ่สำหรับผู้หญิง และพื้นที่พักอาศัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับนักศึกษาได้ถึง 12,000 คน นาย อับอัสแซบ กล่าวเสริม มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถูกออกแบบให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซล่าที่มีความกว้าง 40000 ต.ร.เมตร ซึ่งพลังงานที่ได้นั้น 16% ใช้ไปกับการผลิตความร้อน และ 18% ในการทำความเย็นภายในมหาวิทยาลัย อีกหนึ่งความสะดวกและทันสมัยที่ต้องกล่าวถึงของมหาวิทยาลัยปรินเซส โนราคือ ระบบขนส่งภายในที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีรถไฟของมหาวิทยาลัยซึ่งเชื่อมต่อกับทุกอาคารและศูนย์ฯ ต่างๆ ให้บริการนักศึกษาตลอด 24 ชม. และไม่ใช่เพียงสาธารณูปโภคที่ทันสมัยเท่านั้น มหาวิทยาลัย ปรินเซสโนรา ยังมี โรงกำจัดขยะ โรงบำบัดน้ำเสีย โกดังเก็บของ และศูนย์ซ่อมบำรุง เพื่อการตอบสนองและการดูแลมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างครบวงจรอีกด้วย งานนี้เรียกว่าใหญ่ครบวงจรจริงๆ ------------------------------------------------------------------------------- ห้องฉุกเฉิน มีก็เหมือนไม่มี ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่เพิ่งออกกฎหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับปัญหาห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในเขตคนจนที่อาศัยอยู่ในเมือง  จากการศึกษาซึ่งตีพิมพ์เป็นบทความของสมาคมการแพทย์อเมริกา พบว่าจำนวนห้องฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยในเขตเมืองในสหรัฐอเมริกาช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีอัตราลดลงจาก 2,440 ห้อง ในปี 1990 เหลือ 1,779 ห้องในปี 2009 ถึงแม้ว่าอัตราจำนวนห้องฉุกเฉินจะมีเพิ่มขึ้นประมาณ 35% ทั่วประเทศก็ตาม  โรงพยาบาลส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ต่างพากันปิดแผนกฉุกเฉิน โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ดำเนินการเน้นในเชิงธุรกิจ เนื่องจากห้องฉุกเฉินไม่ทำกำไรให้กับโรงพยาบาล ในรายงานการศึกษาพบว่า เกือบสองเท่าของห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลที่ดำเนินการเชิงธุรกิจและโรงพยาบาลที่ได้ผลกำไรต่ำมักปิดแผนกฉุกเฉินลง เนื่องจาก 40% เป็นการให้บริการแก่ผู้ป่วยยากจน  สำหรับผู้ป่วย “บางคนคิดว่า ตราบเท่าที่ยังมีห้องฉุกเฉินอยู่ พวกเขาก็ยังรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้อง” ดร.ฮะเซีย นักวิจัยซึ่งได้รับทุนจากมูลนิธิโรเบิร์ต วูด จอห์นสัน กล่าว แต่ถึงแม้ว่าจะยังมีห้องฉุกเฉินใกล้บ้านให้อุ่นใจ พวกเขาก็ยังได้รับผลกระทบจากการมีห้องฉุกเฉินเพียงไม่กี่ห้องอยู่ดี เพราะจำนวนห้องที่มีน้อยทำให้ผู้ป่วยต้องรอนานขึ้น ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพในการรักษา  สถานการณ์การมีห้องฉุกเฉินน้อยอาจจะยิ่งเลวร้ายกว่านี้ เนื่องจากกฎหมายการดูแลสุขภาพฉบับใหม่ จะมีผลต่อแผนการดูแลสุขภาพสำหรับประชาชนยากจน เพราะบ่อยครั้งที่มีผลประโยชน์เกิดขึ้นจากห้องฉุกเฉินเนื่องจากหมอไม่ยอมรักษาผู้ป่วยภายใต้โครงการประกันสุขภาพของรัฐ  ดร.แซนดร้า เอ็ม ชไนเดอร์ ประธาน วิทยาลัยแพทย์ฉุกเฉินแห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ตามกฎหมายแล้ว ห้องฉุกเฉินต้องให้การรักษา โดยต้องไม่คำนึงถึงความสามารถในการจ่ายค่ารักษาของผู้ป่วย แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ต่อไปอาจจะไม่มีห้องฉุกเฉินที่ไหนให้พวกเขาไปรักษาก็ได้” -------------------------------------------------------------------------------   ฉลากขนมแบบไฟจราจรทำไมจะทำไม่ได้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหารสุขภาพและอาหารเช้าซีเรียลของประเทศนิวซีแลนด์นามแซนิทาเรียม หัวก้าวหน้าสุดๆ ไม่กังวลว่าผู้บริโภคจะกลัวและไม่กล้าบริโภคผลิตภัณฑ์ หากติดสัญญาณ เขียว เหลือง แดง บนฉลากอาหาร เดินหน้าประกาศใช้ระบบฉลากโภชนาการแบบสัญญาณไฟจราจรของตนเอง เรียกว่า “ระบบการกินเพื่อสุขภาพ” ฉลากของบริษัทนี้ก้าวไปไกลกว่าฉลากโภชนาการแบบสัญญาณไฟจราจรแบบทั่วไป ตรงที่ไม่เพียงแค่มีข้อมูลด้านลบที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ได้แก่ ปริมาณไขมัน ไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และเกลือ แต่ในอาหารบางผลิตภัณฑ์ยังแสดงข้อมูลอาหารด้านบวกที่ดีต่อสุขภาพ ได้แก่ ปริมาณโปรตีน ใยอาหาร (ไฟเบอร์) และอาหารกลุ่มให้กากใย ได้แก่ ผัก ผลไม้ และ ธัญพืช  ที่ใจถึงสุดๆ คือ บริษัทกล้าระบุคำแนะนำความถี่ในการบริโภค โดยแบ่งคำแนะนำออกเป็น 3 ชนิด คือ กินได้บ่อย ๆ กินบ้างบางครั้งบางคราว และ กินเมื่อจำเป็น   ท้ายสุด ยังใจกว้างเป็นแม่น้ำ ด้วยการเปิดรับทุกเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้ระบบฉลากโภชนาการสำหรับการกินเพื่อสุขภาพนี้ของบริษัท และยืนยันจะไม่จดลิขสิทธิ์ทางปัญญาใด ๆ กับระบบฉลากโภชนาการนี้ หากผู้ประกอบการรายใดหรือประเทศใดก็ตามสนใจรูปแบบฉลากนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้ทันที   ผู้ประกอบการคนไทย อายเขาไหมล่ะ ตัวอย่างฉลากโภชนาการของบริษัทแซนิทาเรียม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 123 กระแสต่างแดน

  ค่าเทอมสุดโหดที่อังกฤษ รัฐบาลอังกฤษประกาศตัดงบอุดหนุนที่เคยให้กับมหาวิทยาลัย จึงทำให้สถาบันเหล่านี้ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดด้วยการขึ้นค่าเล่าเรียน เพดานเดิมที่เคยเก็บสูงสุดปีละ 3,290 ปอนด์ (ประมาณ 160,000 บาท) นั้นไม่เพียงพอแล้ว   รัฐบาลก็รับลูกด้วยการอนุญาตให้มหาวิทยาลัยเก็บค่าเล่าเรียนได้สูงสุดถึงปีละ 6,000 ปอนด์ (ประมาณ 294,000 บาท) ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีโควตารับนักเรียนจากครอบครัวที่รายได้ยากจนตามจำนวนที่รัฐกำหนด ใครผิดเงื่อนไขจะปรับถึง 500,000 ปอนด์ (24.5 ล้านบาท) กันทีเดียว  นอกจากนี้มหาวิทยาลัยจะต้องเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อการศึกษา National Scholarship Programme ที่จะให้เงินช่วยเหลือแก่นักศึกษาจากครอบครัวที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 25,000 ปอนด์ (1.2 ล้านบาท) ปีละ 3,000 ปอนด์ (147,000 บาท) ด้วย มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้คัดค้านเงื่อนไขเหล่านี้ เพียงแต่ออกมาตอบโต้ว่าตัวการที่ทำให้ต้องขึ้นค่าเล่าเรียนที่แท้จริงคือรัฐบาล ซึ่งกำลังพยายามบิดเบือนให้ดูเหมือนเป็นความผิดของมหาวิทยาลัย ส่วนเรื่องการให้โควต้าหรือการให้ทุนนั้น มหาวิทยาลัยเขาก็ทำกันอยู่แล้วโดยไม่ต้องมีการบังคับจากรัฐด้วยซ้ำ อังกฤษก็มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างเด็กรวยกับเด็กยากจนเช่นกัน ปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 7 ของเด็กในอังกฤษที่เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชน(ซึ่งแปลความได้ว่าเป็นเด็กจากครอบครัวฐานะดี) แต่เด็กกลุ่มนี้กลับมีสัดส่วนถึงร้อยละ 50 ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษอย่าง     อ็อกซฟอร์ด หรือเคมบริดจ์  วิบากกรรมของนักศึกษาที่นั่นยังไม่จบ เพราะข่าวบอกว่าปีหน้าค่าเล่าเรียนอาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 9,000 ปอนด์ (ประมาณ 440,000 บาท) เล่นเอาหลายคนอยากไปเกิดใหม่ในสก๊อตแลนด์ เพื่อจะได้สิทธิ์เรียนฟรีกันเลยทีเดียว   รู้มั้ย พ่อกูเป็นใคร? ถ้าใครเจอคำถามนี้เข้าไปก็ไม่ต้องงงอีกแล้ว เพราะวันนี้คุณสามารถหาซื้อชุดทดสอบ “ความเป็นพ่อ” ได้ตามร้านบูทส์ทั่วอังกฤษในสนนราคาชุดละ 30 ปอนด์ (1,500 บาท) ตามด้วยค่าธรรมเนียมห้องแล็บอีก 129 ปอนด์ (6,400 บาท) ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่การเปิดตัวของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้สร้างกระแสในสังคมขึ้นไม่น้อย  ทางผู้ผลิตบอกว่าเหตุที่ต้องมีบริการนี้ออกมาก็เพราะมีงานวิจัยที่ระบุว่า มี “คุณพ่อ” ในอังกฤษและอเมริกาอย่างน้อยร้อยละ 4 ไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของ “ลูก” ตนเอง แถมยังบอกว่าในสหรัฐฯ นั้น ร้อยละ 31 ของผู้ชายที่ใช้บริการตรวจดังกล่าว พบว่าตนเองไม่ใช่พ่อของเด็กอีกด้วย  ในการใช้บริการดังกล่าวนั้น ทั้งพ่อ แม่ และเด็กที่อายุ 16 ปีขึ้นไป จะต้องเซ็นสัญญาให้ความยินยอมก่อน หรือมารดาเป็นฝ่ายเซ็นแทนในกรณีของเด็กเล็ก (ตามกฎหมายอังกฤษแล้ว การนำดีเอ็นเอของผู้ใดไปใช้ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้นั้นก่อน)  X  ห้องแล็บที่ให้บริการดังกล่าว ระบุว่าแต่ละปีเขาทำการทดสอบไม่ต่ำกว่า 3000 ครั้ง และยืนยันว่าการทดสอบดังกล่าวมีระดับความถูกต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 99.9 เขายืนยันว่าผลทดสอบของเขาช่วยให้ครอบครัวที่มีปัญหา สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างเป็นปกติสุข (แต่ไม่ได้บอกว่าร้อยละเท่าไร)  แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่าผลิตภัณฑ์และบริการดังกล่าวอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการตอบโต้กันระหว่างผู้ใหญ่ และทำให้เกิดผลกระทบทางอารมณ์ที่รุนแรงเกินกว่าเด็กจะรับได้ด้วย  ในอังกฤษ แต่ละปีมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 50,000 คน ที่ไม่ชื่อของบิดาบันทึกในสูติบัตร   มั่งคั่งแต่ไม่มั่นคง รัฐบาลจีนเขากำหนดเป้าหมายของแผน 5 ปี ฉบับที่ 12 ว่า จีนจะเปลี่ยนเป้าหมายทางเศรษฐกิจจากที่เคยเน้นเรื่องการเพิ่มผลผลิตหรือเพิ่มรายได้ต่อหัว มาเป็นการเพิ่มความสุขให้กับประชากรแทน   ว่าแล้วสถาบันสังคมศาสตร์ของจีนได้ทำการสำรวจระดับความสุขของผู้คนในเมืองต่างๆ ทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน  ผลปรากฏว่าเมืองที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูงสุดถึง 6 ปีซ้อนอย่างฮ่องกง กลับมีระดับความสุขลดลงมา 73 อันดับ จนปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 271 จากเมืองที่ทำการสำรวจทั้งหมด 294 เมือง  เมืองที่อยู่แล้วมีความสุขที่สุดตามข่าวนี้ได้แก่เมืองหลวงของมณฑลเหอเป่ย ชื่อเมืองสือเจียจวง ซึ่งตกเป็นข่าวไปทั่วโลกเมื่อ 4 ปีก่อน เพราะเป็นที่ตั้งของบริษัทที่ผลิตนมผสมเมลามีน ที่ทำให้เด็กทารกป่วยถึง 360,000 รายมาแล้ว   การจัดอันดับดังกล่าวนั้นดูจากปัจจัย 4 ประการคือ ความรู้สึกมั่นใจในอนาคตของตนเอง สภาพความเป็นอยู่ ภาวะการจ้างงาน และสวัสดิการสังคม  กุ้ยหลิน หางโจว และซูโจว หรือ “สวรรค์บนดิน” ที่คนไทยนิยมไปเที่ยวกันก็พากันรั้งอยู่ท้ายๆ ที่ อันดับ 291 289 และ 276 ตามลำดับ  ไม่แน่ใจว่านักท่องเที่ยวไทยเราเป็นปัจจัยฉุดระดับความสุขของเขาหรือเปล่า เพราะดูๆเหมือนว่าที่ไหนที่เราชอบไป ระดับความสุขของเขาจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ    ภาพประกอบ การ์ตูนจากหนังสือพิมพ์ South China Morning Post ฉบับวันที่ 7 พฤษภาคม 2554   อิสระบนโลกออนไลน์นี่ก็เป็นอีกผลสำรวจที่นำมาฝากกัน องค์กรพัฒนาเอกชน Freedom House ได้จัดอันดับอิสรภาพทางอินเตอร์เน็ตของ 37 ประเทศทั่วโลก จากข้อมูลเรื่องการจำกัดการปล่อยสัญญาณ การบล็อก การเซ็นเซอร์ การเฝ้าระวัง หรือการดำเนินคดีกับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในแต่ละประเทศ เอสโตเนีย ประเทศที่มีประชากร 1,300,000 คน คว้าตำแหน่งประเทศที่ให้อิสระบนโลกออนไลน์สูงสุด ทั้งนี้เพราะรัฐบาลของประเทศที่เคยอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียตแห่งนี้ เขามีการใช้อินเตอร์เน็ตให้การบริการกับประชากรอย่างทั่วถึงและสร้างสรรค์ ประชากรส่วนใหญ่ของเขาสามารถเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ และยังสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ได้โดยสะดวก โดยแทบจะไม่มีการแทรกแซงจากรัฐเลย  สหรัฐอเมริกา เข้ามาเป็นอันดับสอง เพราะแม้ว่าจะมีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตสูงมากแต่ก็เสียคะแนนตรงที่ยังมีการเข้าแทรกแซงการพื้นที่บนอินเตอร์เน็ต ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและการรับมือกับการก่อการร้าย  ตามด้วยเยอรมนี ที่ยังรัฐบาลยังต้องเข้าแทรกแซงเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มนาซีใหม่บน โลกออนไลน์ประเทศที่รั้งดันดับท้ายสุดในการสำรวจครั้งนี้ได้แก่ อิหร่าน ตามด้วยเมียนม่า คิวบา และจีน ส่วนไทยเรานั้นรั้งอันดับที่ 27  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 122 กระแสต่างแดน

  นิวเคลียร์เริ่มไม่เคลียองค์กรผู้บริโภคของญี่ปุ่น Consumers Union of Japan ได้ทำจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คาน เรียกร้องให้ญี่ปุ่นจัดหาแหล่งพลังงานใหม่โดยด่วน เพราะเป็นที่ประจักษ์กันแล้วว่าพลังงานนิวเคลียร์นั้นไม่ใช่ทางเลือกพลังงานที่สะอาด หรือปลอดภัยหายห่วงอีกต่อไป  องค์กรผู้บริโภค CUJ ซึ่งคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาตลอดด้วยเหตุผลว่าสิ่งมีชีวิตและกัมมันตรังสีไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ ยังได้ทำจดหมายไปถึงคณะกรรมการด้านความปลอดภัยของอาหารเรียกร้องของให้คำนึงถึงประเด็นต่อไปนี้ในการพิจารณากฎหมายว่าด้วยระดับความปลอดภัยของกัมมันตรังสีในอาหารด้วย  เช่น ให้ถือว่ากัมมันตรังสีซีเซียมและไอโอดีน เป็นสารก่อมะเร็ง ให้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวต่ออวัยวะภายใน และให้ใช้แนวปฏิบัติขององค์การอนามัยโลกที่ว่าด้วยภัยพิบัติและสุขภาพ มาประกอบการพิจารณาด้วย ที่สำคัญ CUJ ยังเรียกร้องให้คณะกรรมการดังกล่าวออกมาชี้แจงต่อประชาชนด้วยว่า เหตุใดก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นจึงไม่มีกฎหมายเรื่องนี้มาก่อน (น่านสิ) อีกอย่างที่ยังไม่มีในขณะนี้คือ มาตรฐานความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ที่ทั่วโลกใช้ร่วมกัน เรียกว่าใครใคร่จะทำด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูง (หรือต่ำ) แค่ไหนก็ทำกันไป เหตุการณ์เตาปฏิกรณ์ที่ผ่านมาตรฐานยูเครนแต่ไม่ผ่านมาตรฐานของประเทศตะวันตก ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอโนบิล ระเบิดเมื่อปี 2529 ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการกำหนดมาตรฐานร่วมกันขึ้นมาแต่อย่างใด  แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฟุกุชิมะ ไดอิจิ ที่ญี่ปุ่นได้สะท้อนให้เห็นอีกครั้งว่า เราทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ต่างก็มีสิทธิลุ้นรับผลกระทบจากสารกัมมันตรังสีได้โดยทั่วกัน   ข่าวล่าสุดบอกว่า นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส นิโคลา ซาโกซี เสนอให้มีการคุยกันเรื่องนี้เสียที ในการประชุม G20 ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ แต่ยังไม่ข่าวต่อว่าผู้นำประเทศอื่นๆ คิดเห็นอย่างไร  ขณะนี้ ร้อยละ 90 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่ในประเทศจีน เกาหลี อินเดีย และรัสเซีย   ข่าวลือกลายเป็นข่าวร้าย (ของคนปล่อย)เฉินเป็นหนุ่มมือไว เลยต้องนอนคุก 10 วันแถมโดนปรับอีก 500 หยวน(ประมาณ 2,300 บาท)  เหตุเพราะแกไปโพสต์ข้อความที่บอกว่าขณะนี้กัมมันตรังสีที่รั่วไหลมากจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ไดอิจิ ได้ลุกลามมาถึงชายฝั่งทางทิศตะวันออกของเมืองชานตุงแล้วนั่นเอง  เท่านั้นยังไม่พอ แกยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเหล่าสาวกออนไลน์อีกว่า ให้รีบออกไปซื้อเกลือหรือสาหร่ายทะเลชนิดที่มีไอโอดีนสูงมากินกันให้ไว และอย่าลืมซื้อตุนไว้ด้วย แถมยังแนะนำให้งดกินอาหารทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี  ข่าวนี้ได้รับการกระจายออกไปอย่างรวดเร็วตามสปีดของอินเตอร์เน็ท และทำให้ผู้คนเมืองนั้นเกิดความตื่นตระหนก จนทำให้เกิดภาวะเกลือขาดตลาดกันในซีเจียง กวางตุ้ง เจียงสี และเสฉวนกันเลยทีเดียว  แต่ไม่นานหลังจากนั้น ผู้บริโภคก็ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องว่าเกลือไอโอดีนไม่ได้สามารถช่วยต้านกัมมันตรังสีได้อย่างที่ลือกัน ว่าแล้วก็พากันเอาเกลือกลับไปที่ร้านและขอเงินคืนกันเป็นการใหญ่  นายเฉินแกก็ยอมสารภาพว่าข้อมูลที่แกได้มานั้นก็ไม่ได้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้แต่อย่างใด นักวิชาการของจีน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ความจริงเรื่องนี้รัฐบาลต้องรับผิดชอบ โทษฐานที่ให้ข้อมูลกับประชาชนช้าเกินไปในยามที่เกิดภัยพิบัติ ชาวบ้านร้านตลาดอย่างที่ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้มาก่อนจึงเกิดความตื่นตระหนกเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนในวัยกลางคน และผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะเชื่อข่าวลือมากกว่าคนวัยอื่นๆ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าก่อนปักใจเชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์ อย่าลืมตรวจสอบข้อมูลกับผู้รู้จริง ที่มีตัวตนจริงก่อน   เมื่อ App. ถูกโหวตออก เมื่อ App. Store ของบริษัท Apple วางจำหน่ายโปรแกรมที่อ้างว่าสามารถ “เปลี่ยนผู้ใช้ให้เป็นอดีตเกย์” ได้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ปลุกกระแสต่อต้านจากกลุ่มผู้พิทักษ์สิทธิคนรักเพศเดียวกันไม่น้อยทีเดียว App. ดังกล่าวจัดมาโดยองค์กรทางศาสนาที่ชื่อว่า Exodus International ที่อ้างว่าต้องการช่วยให้มนุษย์ทักผู้ทุกนามหลุดพ้นจากการรักชอบเพศเดียวกันมาเป็นการรักชอบเพศตรงข้ามได้ ด้วยพลังของพระเยซู  สาวๆ ฟังแล้วอาจจะแอบดีใจ แต่เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างนั้น สิ่งที่กลุ่มคนรักร่วมเพศรับไม่ได้คือการที่องค์กรนี้ รวมถึงร้าน Apple ที่นำ Gay Cure App. ไปวางขาย กำลังสื่อสารให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่าการรักเพศเดียวกันนั้นเป็น “บาปที่เกาะกินหัวใจ” ไม่ใช่แค่เรื่องของรสนิยมทางเพศ  กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับการละเมิดสิทธิครั้งนี้จึงทำจดหมายไปยังคุณ สตีฟ จ็อบส์ พร้อมกับลายเซ็นของผู้คัดค้านการจำหน่าย App. ดังกล่าว กว่า 146,000 คน  ผลคือทางร้านยกเลิกการขาย App. ดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา แปลกดีที่ Apple ยังไม่เข็ดจากการถูกเรียกร้องให้ถอน App. คล้ายๆ กันนี้ที่ชื่อว่า Manhattan Declaration ไปเมื่อปีที่แล้ว   เช้านี้ คุณอาบน้ำหรือยัง เรามาดูสถิติการอาบน้ำของคนฝรั่งเศส ที่ลือกัน(โดยคนที่อื่น) ว่าไม่ถูกกับการอาบน้ำเป็นที่สุด ถึงขั้นที่บางคนยังเข้าใจไปว่าผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายนั้นเป็นสินค้าผิดกฎหมายในฝรั่งเศสด้วยซ้ำ ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ The Guardian ของอังกฤษ ระบุว่าการสำรวจเมื่อปี 19   98 พบว่าร้อยละ 47 ของคนฝรั่งเศสอาบน้ำทุกวัน ในขณะที่ในเนเธอร์แลนด์หรือเดนมาร์กนั้นมีคนอาบน้ำทุกวันถึงร้อยละ 80  องค์กรด้านสุขอนามัยของฝรั่งเศสเขาบอกว่า ถ้าร้อยละ 47 ที่ว่านั้นพูดจริงไม่สร้างภาพ ตัวเลขการบริโภคผลิตภัณฑ์อาบน้ำก็ควรจะอยู่ที่ 1 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แต่ความจริงแล้วมีการบริโภคผลิตภัณฑ์ดังกล่าว 0.58 กิโลกรัมต่อคนต่อปีเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ต่อมาในปี 2002 มีการสำรวจที่พบว่า คนฝรั่งเศสเป็นกลุ่มที่มีการบริโภคสินค้าประเภท เจลอาบน้ำ แชมพู และโรลออน มากที่สุดในยุโรป และร้อยละ 90 ของผู้หญิงฝรั่งเศส ยังใช้น้ำหอมทุกวันอีกด้วย เอาเป็นว่า ถึงจะไม่อาบน้ำ แต่เขาก็ไม่เหม็นหรอกน่า   คนมาเลย์ก็หนี้ท่วมคนมาเลย์ก็เจอปัญหาหนี้ไม่แพ้บ้านเราเหมือนกัน หลักๆ แล้วคนส่วนใหญ่ที่นั่นแล้วจะมีหนี้เป็นสองเท่าของรายได้ตนเองสถิติเขายังระบุอีกว่า ระหว่างปี 2005 ถึง 2010 มีคนมาเลย์มากกว่า 80,000 คน เป็นบุคคลล้มละลาย ด้วยสาเหตุหลักๆ เพราะหนี้จากการเช่าซื้อ(ร้อยละ 24) หนี้จากเงินกู้ส่วนบุคคล(ร้อยละ 12) หนี้จากเงินกู้เพื่อทำธุรกิจ(ร้อยละ 11) หนี้จากการกู้ซื้อบ้าน(ร้อยละ 8) และอีกร้อยละ 5 เป็นหนี้จากบัตรเครดิต แม้หนี้จากบัตรเครดิตจะไม่มากเมื่อเทียบกับหนื้อื่นๆ แต่น่าสนใจตรงที่ร้อยละ 50 ของคนที่ล้มละลายเพราะหนี้บัตรเครดิตนั้น อายุยังไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำ  แต่ใช่ว่าสูงวัยแล้วจะปลอดภัยจากหนี้  องค์กรผู้บริโภคของมาเลเซียบอกว่า ร้อยละ 72 ของผู้สูงอายุจะใช้เงินสะสมที่ได้รับเมื่อเกษียณจากงานประจำ หมดไปภายใน 3 ปี ทั้งนี้เขาประมาณการไว้ว่าแต่ละคนจะใช้เงินประมาณ 1,300 ริงกิต (13,000) ต่อเดือน ซึ่งในจำนวนนี้ 500 ริงกิต (5,000 บาท) เป็นค่าอาหารล้วนๆ เขาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความรู้ทางเรื่องการเงินกับผู้คนแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่ระดับโรงเรียน และขอให้รัฐบาลมีกฎหมายแบบเดียวกับของอังกฤษที่ควบคุมดูแลบริการทางการเงินทุกประเภทไว้ภายใต้กฎหมาย Consumer Credit Act ฉบับเดียว  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 121 กระแสต่างแดน

โวดาโฟน VS โวดาเฟล โวดาโฟน (Vodafone) ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่อันดับสามของออสเตรเลีย ได้พบกับคู่ปรับรายใหม่ซึ่งได้แก่เว็บไซต์โวดาเฟลดอทคอม (www.vodafail.com) เข้าแล้ว  เว็บไซต์ที่ว่านั้นเป็นฝีมือของผู้บริโภครายหนึ่งที่สุดจะทนกับบริการอันยอดแย่ของบริษัทโวดาโฟนนั่นเอง  ปลายปีที่แล้ว อดัม บรีโม บัณฑิตหมาดๆ ด้านวิศวกรรมซอฟท์แวร์ จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ได้เซ็นสัญญาเป็นลูกค้าบริการ 3จี ของบริษัทโวดาโฟนเป็นเวลา 2 ปี แต่หลังจากใช้บริการไปได้เพียง 6 สัปดาห์ก็ต้องเซ็งจิตเพราะสัญญาณขาดๆ หาย เมื่อโทรไปร้องเรียนก็ได้รับคำตอบที่ไม่น่าประทับใจอีกด้วย  อดัมรู้สึกว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง ว่าแล้วก็ลงมือทำเว็บไซต์หนึ่งขึ้นมา และตั้งชื่อว่าโวดาเฟล (www.vodafail.com) เพื่อแอบประณามบริการที่ล้มเหลว (fail) ของโวดาโฟน และเขาก็พบว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่เดือดร้อน ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา มีผู้เข้าไปดูเว็บดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 150,000 คน และมีไม่น้อยที่ร่วมบันทึกข้อมูลความเดือดร้อนของตนเองจากการโทรเข้าไปยังศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของโวดาโฟน เช่นวัน เวลา ที่โทรเข้า ระยะเวลาที่ต้องถือสายรอ ลงในหน้าเว็บดังกล่าวด้วย ผู้บริโภคมักถูกทิ้งให้รอสายนานมากเมื่อโทรเข้าไปร้องเรียนเรื่องบริการ 3 จี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสัญญาณขาดหาย การได้รับข้อความหรือวอยส์เมล์ล่าช้า ที่สำคัญผู้บริโภคมักได้รับข้อมูลว่าเป็นปัญหาที่ตัวเครื่องมือถือหรือไม่ก็ซิมการ์ด และแนะนำให้ปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่หรือเปลี่ยนซิมการ์ด (ซึ่งทำแล้วก็ไม่ได้ผล) ที่สำคัญรายงานนี้มีข้อมูลโดยละเอียดที่ระบุว่า บริษัทเพิกเฉยต่อข้อร้องเรียนจากลูกค้า และไม่มีการจัดการที่ดีพอ  ข้อมูลเหล่านี้ถูกจัดการและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ผลที่ได้คือรายงานสรุปกรณีปัญหาความเดือดร้อนของผู้ใช้บริการ 3 จีของโวดาโฟนทั้งหมด 12,000 กรณี ที่นำเสนอต่อองค์กรที่ดูแลผู้บริโภคด้านบริการโทรคมนาคมของออสเตรเลีย ต้องติดตามกันต่อไป ว่าเขาจะจัดการกับบริษัทดังกล่าวอย่างไร  โวดาโฟนซึ่งควบรวมกิจการกับฮัทชิสันมีลูกค้ากว่า 6.3 ล้านคนทั่วออสเตรเลีย    “เพื่อนสาว” แน่นอนกว่าหมดสมัยแล้วกับการต้องเตรียมช็อคโกแลตเอาไว้ให้ผู้ชายในวันวาเลนไทน์ สาวญี่ปุ่นยุคนี้เขาคิดใหม่ทำใหม่ หันมาซื้อช็อกโกแลตให้เพื่อนสาวดีกว่า  ข้อมูลจากการสำรวจของบริษัทกูลิโกะระบุว่า สามในสี่ของสาวญี่ปุ่นในวัยรุ่นและวัยยี่สิบต้นๆ บอกว่าปีนี้พวกเธอจะให้ “โทโมช็อกโก” หรือช็อกโกแลตเพื่อมิตรภาพกับเพื่อนผู้หญิงของตนเองในวันวาเลนไทน์ ในขณะที่มีเพียงร้อยละ 40 เท่านั้นที่จะให้ขนมหวานกับแฟนหนุ่มหรือผู้ชายที่ตนเองแอบปลื้ม  เหตุผลหลักๆ คือผู้หญิงนั้นจะชื่นชมกับช็อกโกแลตที่ได้รับมากกว่า ฝ่ายที่ให้จึงรู้สึกเป็นปลื้มมากกว่า  บ้างก็ว่าสาวๆ เหล่านี้หมดความสนใจในตัวผู้ชายญี่ปุ่นแล้ว เพราะหาคุณสมบัติความเป็นแมนได้ยากเหลือเกิน โดยกลุ่มนี้อ้างว่ามันเป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้อัตราการเกิดของญี่ปุ่นลดลงเป็นประวัติการณ์  ส่วนบรรดาห้างร้านต่างๆ ก็พร้อมปรับตัวเพื่อรับเทรนด์ใหม่นี้ ด้วยการจัดแผนกช็อกโกแลตสำหรับผู้หญิง ที่เน้นช็อกโกแลตสีสวยๆ รูปร่างน่ารักๆ ไว้บริการลูกค้าสาวๆ โดยเฉพาะ คุณผู้ชายไทยฟังไว้เป็นอุทาหรณ์ อย่าได้มั่นใจเกินไปว่าคุณหล่อเลือกได้   กุหลาบต้นทุนสูงเชื่อหรือไม่ แม้เคนยาจะขาดแคลนน้ำเข้าขั้นวิกฤตแต่ก็ยังเป็นผู้ส่งออกกุหลาบรายใหญ่ที่สุดไปยังยุโรป ร้อยละ 70 ของดอกกุหลาบที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตในยุโรปนั้นมาจากบริเวณรอบๆทะเลสาบไนวาชาในประเทศเคนยานั่นเอง  นักนิเวศน์วิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ ซึ่งทำการศึกษาพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตทะเลสาบไนวาชา มากว่า 30 ปี บอกว่าการปลูกกุหลาบเพื่อส่งออกนั้นได้สร้างปัญหาให้กับระบบนิเวศน์ของท้องถิ่นไม่น้อย   การใช้ทรัพยากรของคนในท้องถิ่นไปเพื่อรองรับความต้องการของผู้คนในยุโรปนั้นไม่ต่างอะไรกับการเอาน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดไปบรรจุขายในบรรจุภัณฑ์ที่รูปร่างหน้าตาเป็นดอกกุหลาบนั่นเอง  ความจริงแล้วในซูเปอร์มาร์เก็ตในยุโรปก็มีดอกกุหลาบแฟร์เทรด หรือกุหลาบที่ปลูกด้วยกระบวนการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรและได้รับการรับรองเรื่องความเป็นมิตรต่อระบบนิเวศน์ซึ่งอาจจะมีราคาแพงกว่าดอกกุหลาบทั่วไปให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อกัน  เพียงแต่เมื่อถึงวันที่ต้องสู้รบกันในสงครามราคาในช่วงวันวาเลนไทน์และวันแม่ ซูเปอร์มาร์เก็ตเหล่านี้จะอดใจไม่ไหว ต้องหันไปหากุหลาบ “ต้นทุนต่ำ” ที่กล่าวมา  การประมูลซื้อดอกกุหลาบเป็นล็อตใหญ่ๆ นั้นจะมีขึ้นในเมืองอัมสเตอร์ดัม จึงทำให้ผู้ซื้อเข้าใจว่ากุหลาบเหล่านั้นมาจากประเทศฮอลแลนด์ (เพราะฉะนั้นก็ไม่แน่ว่า กุหลาบดอกใหญ่ที่เรียก กุหลาบฮอลแลนด์ อาจเดินทางมาไกลจากเคนยาก็ได้)   กินผิด ระวังจิตตกการกินอาหารที่มีไขมันทรานส์ หรือไขมันอิ่มตัวสูงนั้นไม่ได้ทำให้เราอ้วนขึ้นเท่านั้น งานวิจัยของสเปนบอกว่ามันเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าด้วย  ข้อมูลได้จากการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารของอาสาสมัครกว่า 12,000 คน เป็นเวลา 6 ปี พบว่าในตอนเริ่มงานวิจัยไม่มีใครเป็นโรคซึมเศร้าเลย แต่เมื่อจบการเก็บข้อมูล พบคนที่มีอาการดังกล่าว 657 คน โดยคนที่รับประทานอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดหรือแพสตรี้บรรจุกล่องที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นประจำ มีอัตราความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 และยิ่งรับประทานอาหารที่มีไขมันมากขึ้นเท่าไร ความเสี่ยงก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย  ที่สำคัญอาสาสมัครกลุ่มนี้คือคนยุโรปที่บริโภคไขมันทรานส์ในปริมาณค่อนข้างต่ำเป็นนิสัย คนเหล่านี้ได้พลังงานจากไขมันดังกล่าวเพียงร้อยละ 0.4 ของพลังงานที่ได้รับ  ลองนึกดูว่าในกลุ่มคนอเมริกันที่ได้พลังงานถึงร้อยละ 2.5 จากไขมันทรานส์นั้นจะมีความเสี่ยงต่ออาการซึมเศร้ามากกว่านี้สักกี่เท่า  แต่งานวิจัยนี้ก็ยังมีข่าวดีมาบอกกันอยู่บ้าง เขาบอกว่าน้ำมันมะกอก ซึ่งมีโอเมก้า-9 สามารถช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยทางจิตได้ด้วย  ปัจจุบันโลกเรามีผู้ป่วยด้วยอาการดังกล่าวอยู่ประมาณ 150 ล้านคน     สนับสนุนคนไกลเกือบหนึ่งในสี่ของอาหารที่ระบุว่าเป็นของ “ผลิตในท้องถิ่น” ในอังกฤษและเวลส์นั้น ไม่ได้เป็นดังที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด เมื่อผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงหน้าที่ของตนเองในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น และต้องการสนับสนุนผู้ผลิตในท้องถิ่นของตนเอง เพื่อการสร้างงาน และลดมลภาวะที่เกิดขึ้นจากการขนส่ง ก็มีผู้ประกอบการหัวใส ที่หาทางใช้ประโยชน์จากเทรนด์ที่ว่า ในประเทศอังกฤษก็มีผู้ประกอบการประเภทที่ว่าอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นที่หน่วยงานรัฐต้องลงมือสำรวจว่ามีผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ในท้องตลาดมากน้อยเท่าไร  จากการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ 558 ชิ้น ในร้านค้า ร้านอาหาร ตลาด กว่า 300 แห่ง หน่วยงานดังกล่าวพบว่าร้อยละ 32 ของสินค้าที่ชูจุดขายเรื่องความเป็น “ผลิตในท้องถิ่น” เข้าข่ายการหลอกลวงผู้บริโภค  ในนั้นมีผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น “เนื้อแกะจากเวลส์” ที่ผลิตในนิวซีแลนด์ หรือ “แฮมจากเดวอน” ทั้งๆ ที่นำเข้ามาจากเดนมาร์ก เป็นต้น นี่ยังไม่นับผลิตภัณฑ์ที่อาจจะใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น แต่ส่งออกไปแปรรูปที่ประเทศจีนแล้วนำกลับเข้ามาขายในอังกฤษใหม่อีกครั้ง ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าสามารถจัดเข้าเป็นสินค้าท้องถิ่นได้ด้วยหรือไม่  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 120 กระแสต่างแดน

  ขอต้อนรับ “แขกผู้มีกล่อง”ว่ากันว่าปีนี้เศรษฐกิจที่ฮ่องกงกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้น และผู้คนก็มีแนวโน้มที่จะใช้เงินกันมากขึ้น อย่างน้อยๆก็มีการสำรวจพบว่าในช่วงตรุษจีนปีนี้ผู้คนประมาณร้อยละ 20 จะใส่เงินในซองอังเปามากกว่าปีก่อนๆ  จะใช้เงินทุ่มเรื่องไหนไม่ว่า แต่องค์กรเพื่อนโลกหรือ Friends of the Earth เขาเป็นห่วงว่าจะมีการใช้จ่ายเหลือเฟือไปกับอาหารงานเลี้ยงที่สุดท้ายก็ต้องเหลือทิ้งมากมายนี่สิ ว่าแล้วเขาจึงออกมารณรงค์ให้บรรดาผู้ที่จะไปเลี้ยงฉลองตรุษจีนปีนี้ลองสั่งอาหารหลักมาแค่ 6 จาน แทนที่จะเป็น 8 จาน เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อเดิมดูบ้าง จะได้ไม่เหลือทิ้งมากนัก  Friends of the Earth ประเมินว่า โครงการ “สั่งน้อย เหลือน้อย” ที่ว่านี้ น่าจะช่วยลดขยะอาหารได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ข่าวบอกว่าปัจจุบันฮ่องกงมีขยะที่เกิดจากอาหารเหลือในแต่ละวันมากกว่า 3,000 ตัน  นอกจากรณรงค์กับคนทั่วไปแล้ว องค์กรนี้ยังขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานรัฐกว่า 80 แห่ง และบริษัทเอกชนอีก 50 แห่งให้ช่วยนำแนวคิด”งานเลี้ยงแบบพอเพียง” นี้ไปปฏิบัติกันด้วย  เริ่มจากการตรวจสอบจำนวนแขกให้แน่นอน จากนั้นสั่งอาหารให้ “พอดี” และที่สำคัญต้องไม่ลืมแจ้งแก่แขกผู้มีเกียรติ ให้ช่วยมี “กล่อง” ติดตัวมาด้วยเพื่อจะได้นำอาหารที่เหลือกลับไปทานที่บ้านได้โดยไม่ขัดเขิน   ทำไมต้องทิ้งกันด้วยเขาว่ากันว่าจะดูพฤติกรรมการบริโภคให้เข้าใจถ่องแท้ เราต้องไปดูกันที่ถังขยะ  เขาที่ว่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นองค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของเดนมาร์ก ที่นี่ก็ประสบปัญหาเรื่องขยะอาหารล้นประเทศเช่นกัน นักชีววิทยาและหัวหน้าทีมวิจัยขององค์กรนี้ประกาศว่าจะต้องชี้ชัดลงไปให้ได้ว่าพฤติกรรมการกินเหลือของคนเดนมาร์กนั้นเป็นอย่างไร เพื่อจะได้สะท้อนปัญหาและหาทางออก  จะไปถามคนเขาตรงๆ ก็คงจะไม่ได้อะไร อย่ากระนั้นเลย ไปหาคุ้ยเอาเองจากถังขยะดีกว่า และตามแผนวิจัยครั้งนี้ เขาจะต้องไม่มีการแจ้งบ้านเจ้าของถังขยะล่วงหน้า เพราะเกรงว่าผู้คนจะไม่กล้าทิ้งกันเต็มที่ ถ้ารู้ว่าจะมีคนมาเก็บขยะตัวเองไปศึกษา ตอนนี้เขากำลังประกาศหาบริษัทเอกชนเข้ามารับทำการเก็บ แยก และลงทะเบียนพร้อมถ่ายภาพขยะที่ควรค่าแก่การศึกษาเหล่านั้นไว้ เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการวิเคราะห์ว่าแต่ข่าวเขาไม่ได้บอกว่าบรรดาข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ที่บังเอิญมาอยู่ในถังขยะด้วย มันจะได้รับการคุ้มครองอย่างไร   เสียงเรียก ... จากรถขยะฉลาดซื้อฉบับนี้เป็นยังไงนะ วนเวียนอยู่แต่เรื่องของขยะ ... แต่รับรองได้กว่าไม่มีกลิ่น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของเสียงล้วนๆ ที่ไต้หวันนั้นเขาไม่เหมือนบ้านเรา ที่วางถุงขยะไว้หน้าบ้านหรือริมทางเท้าเพื่อรอให้รถของเทศบาลมาเก็บไป เขาไม่อนุญาตให้วางถุงไว้แล้วไปไหนต่อไหนได้ตามใจชอบ ที่นั่นเจ้าของขยะจะต้องมาส่งขยะขึ้นรถด้วยตนเอง  บรรดาชาวบ้าน (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนชาวแฟลต) จะรู้ตัวว่าต้องเตรียมหิ้วถุงขยะออกจากบ้านเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเพลงคลาสสิค ของบีโธเฟ่นมาแต่ไกล แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบทางเทศบาลเขาเปลี่ยนเพลงซึ่งใช้มาเป็นเวลาหลายปีเป็นเพลงแบบมีเนื้อร้องที่เกี่ยวกับการทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทางแทน  ผลก็คือชาวบ้านปรับตัวกันไม่ทัน ไม่ค่อยได้ยินเสียงรถที่วิ่งมา เลยทำให้พลาดโอกาสทิ้งขยะ มีบ้างที่ฟกช้ำดำเขียวเพราะวิ่งตามรถขยะแล้วพลาดล้ม จึงเรียกร้องให้เทศบาลกลับไปใช้เพลงเดิม  รถขยะในเมืองไทเปนั้นจัดว่าเป็นรถสารพัดประโยชน์จริงๆ บางครั้งผู้คนที่เอาขยะมาทิ้งก็จะได้หัดพูดภาษาอังกฤษไปด้วย เพราะเทศบาลเขาจัดมาให้เล่นเทปสอนประโยคภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานจำนวน 300 ประโยค แต่จุดขายของรถเหล่านี้ไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้น ล่าสุดยังพ่วงตำแหน่งเมสเซ็นเจอร์ ทำหน้าที่ส่งเอกสารระหว่างหน่วยงานในสังกัดของเทศบาลไทนานด้วย เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าแต่ละวันมีเอกสารกว่า 100 ชิ้นที่ต้องจัดส่ง เรียกว่าช่วยให้เขาประหยัดเงินได้ปีละประมาณ 6 ล้านบาททีเดียว   อสังหาเบอร์ห้าตั้งแต่มกราคมปีนี้เป็นต้นไป โฆษณาบ้าน คอนโด หรือสำนักงานในฝรั่งเศสจะใช้แค่ระดับความหรูเริ่ดอลังการ หรือความสะดวกในการเดินทางมาเป็นจุดขายอย่างเดียวไม่ได้แล้ว  เพราะรัฐเขากำหนดให้โฆษณาอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดมีการแจ้งระดับเรทติ้งการประหยัดพลังงานด้วย เจ้าเรทติ้งที่ว่านี้มีตั้งแต่ระดับ A ไปจนถึง G  โดยเรทติ้ง A นั้นจัดเป็นสุดยอดอาคาร ที่ผู้สร้างจัดเต็มตามมาตรฐานการประหยัดพลังงาน รายงานข่าวบอกว่าปัจจุบันร้อยละ 19 ของอาคารที่อยู่อาศัยในฝรั่งเศสได้เรท C  ร้อยละ 31  ได้เรท D และร้อยละ 22 ได้เรท E ปัจจัยที่นำมาประเมินเพื่อจัดเรทติ้งของอาคารก็ได้แก่ อัตราการใช้พลังงาน ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานโดยเฉลี่ย และปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา  ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างอาคารจะเป็นผู้ตรวจสอบ ก่อนที่องค์กร COFRAC จะเป็นผู้ให้การรับรอง  ความจริงแล้วฝรั่งเศสได้ผลักดันเรื่องนี้มานานพอสมควร เขาบอกว่าร้อยละ 46 ของพลังงานที่ใช้ในประเทศนั้นเป็นพลังงานที่ใช้โดยอาคารที่อยู่อาศัยและสำนักงานเพื่อปรับอุณหภูมิให้ผู้คนอยู่ได้อย่างอุ่นสบายนั่นเอง และอาคารเหล่านี้ก็เป็นตัวการในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 1 ใน 4 ของประเทศด้วย เริ่มจากปี 2006 รัฐกำหนดให้บ้าน ร้าน หรืออาคารสำนักงาน ที่กำลังจะเปลี่ยนเจ้าของจะต้องได้รับการประเมินระดับการใช้พลังงานก่อน หนึ่งปีต่อมาก็กำหนดให้มีใบรับรองระดับการใช้พลังงานเพื่อประกอบกับสัญญาซื้อขาย หรือสัญญาเช่าด้วย และล่าสุดก็คือการกำหนดให้มีการแสดงเรทติ้งด้านพลังงานของอาคารไว้ในโฆษณาด้วยนี่แหละ ... น่าอิจฉา ผู้บริโภคชาวฝรั่งเศสจัง สมอ. บ้านเราสนใจจะมีตรารับรองบ้านประหยัดไฟเบอร์ 5 กับเขาบ้างหรือเปล่าหนอ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 119 กระแสต่างแดน

ตราไม่รับรอง บ่อยครั้งที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ ให้ความไว้วางใจ “ตรารับรอง” โดยลืมถามตัวเองว่าตราสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น “รับรอง” อะไรกันแน่ องค์กรต่อต้านการทารุณสัตว์ SAFE (Safe Animals from Exploitation) ที่นิวซีแลนด์ออกมาแฉกันเต็มๆ ว่า ตรารับรอง “PigCare Accredited” ที่ติดอยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้น ไม่ได้มีความหมายอะไร นอกจากจะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถขายของได้มากขึ้น  เพราะผู้บริโภคปัจจุบันต้องการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสัตว์ ตรารับรองที่ว่าจึงทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าหมูน้อยเหล่านั้นเคยมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายตามอัตภาพ ไม่ทุกข์ทรมานเพราะถูกกักขังบริเวณอยู่ในกรงจนขยับไม่ได้  แต่ความจริงแล้วเงื่อนไขที่จะได้ตรารับรอง “PigCare” นั้นไม่ได้ครอบคลุมไปถึงเรื่องการห้ามใช้กรงขัง หรือการห้ามเลี้ยงแบบอุตสาหกรรมด้วยซ้ำ ในขณะที่ฟาร์มที่เลี้ยงแบบเปิด ต่างก็ไม่เข้าร่วมขอฉลากรับรองที่ว่าเพราะไม่เห็นด้วยกับการรับรองดังกล่าว  ฮานส์ ครีก ผู้อำนวยการของ SAFE บอกว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ผู้บริโภคควรมองหาคือตรารับรอง “Free range” หรือ “Free farmed” (ฟาร์มเปิด) มากกว่า  อืม ... จะบริโภคอย่างรับผิดชอบนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------     คันต่อไปครับ แค่สาวนางหนึ่งถูกปฏิเสธโดยแท็กซี่ 6 คันซ้อน ก็เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ที่นิวซีแลนด์ซะแล้ว (ไม่อยากจะคุยว่าที่บ้านเรา แค่นี้จิ๊บๆ) วิคตอเรีย กริฟฟิน ออกจากงานเลี้ยงที่บริษัทในย่านเวียดักท์ เมื่อตอนเที่ยงคืนครึ่งของคืนวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคมปีที่แล้ว เพื่อมาเรียกรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่มากมาย แต่เธอกลับถูกปฏิเสธถึง 6 ครั้งติดต่อกันเพียงเพราะบ้านเธออยู่ใกล้เกินไป คนขับรายหนึ่งบอกให้เธอเดินกลับบ้านเอง มีรายหนึ่งรีบล็อคประตูไม่ให้เธอเปิดเข้าไปเลยด้วยซ้ำ   ค่าโดยสาร(ถ้าเธอได้ขึ้น) จะประมาณ 15 เหรียญ หรือ 350 บาท แต่ค่าปรับซึ่งคนขับแท็กซี่จะต้องจ่าย เพราะทำผิดกฎหมายฐานปฏิเสธผู้โดยสารนั้นอยู่ที่ 400 เหรียญ หรือประมาณ 9,000 บาท เวียดักท์ เป็นหนึ่งในย่านที่มีสถิติการปฏิเสธผู้โดยสารมากที่สุด ทิม เรดดิช ประธานสหพันธ์แท็กซี่นิวซีแลนด์ประเมินว่าอย่างน้อยๆ ต้องมีการถูกปฏิเสธไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง รวมๆ แล้วก็น่าจะหลายพันครั้งต่อปี (แต่มีคนร้องเรียนเข้ามาจริงๆ เพียงปีละ 20 ครั้งเท่านั้น) ตามกฎหมายนิวซีแลนด์ คนขับแท็กซี่สามารถปฏิเสธผู้โดยสารได้เมื่อรู้สึกว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัยต่อตนเอง เมื่อผู้โดยสารอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งมึนเมาหรือสิ่งเสพติด เมื่อผู้โดยสารพกพาน้ำหรืออาหารมาด้วย เมื่อผู้โดยสารส่งเสียงดังหรือมีพฤติกรรมรุนแรงหรือนำสัตว์ซึ่งไม่ใช่สัตว์นำทางมาด้วย เมื่อมีผู้โดยสารจำนวนมากเกินไป นอกจากนี้ยังให้ปฏิเสธได้ในกรณีที่ผู้โดยสารมีเงินไม่พอจ่าย (คนขับสามารถถามล่วงหน้าได้)  เอาเป็นว่ายังไงก็ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธเพราะระยะทางสั้นเกินไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เข็มขัดมาช้า คราวนี้มาดูการขนส่งในฮ่องกงกันบ้าง ซึ่งขณะนี้รถที่มีเป็นประเด็นมากที่สุดเห็นจะเป็นมินิบัส ซึ่งมีผู้ใช้บริการถึง 1.85 ล้านคนต่อวันในบรรดารถทั้งหมดที่วิ่งอยู่บนท้องถนนนั้นมีมินิบัสที่จดทะเบียนอยู่ร้อยละ 0.76 แต่กลับมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงถึงร้อยละ 5 และจากสถิติเมื่อสองปีที่แล้ว ร้อยละ 9 ของจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นผู้โดยสารรถมินิบัสนั่นเอง  หลังจากเกิดอุบัติเหตุสองครั้งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 รายเมื่อปี 2009 กรมการขนส่งฮ่องกงประกาศบังคับให้มินิบัสทุกคันติดตั้ง “กล่องดำ” และอุปกรณ์จำกัดความเร็ว  นอกจากนี้กรมฯ ยังประกาศให้รถมินิบัสที่ขึ้นทะเบียนหลัง 1 สิงหาคม 2004 ทุกคันติดเข็มขัดนิรภัย และมีการคาดการณ์ไว้ว่า ร้อยละ 60 ของรถมินิบัสจะมีเข็มขัดนิรภัยภายในปี 2008 แต่จนถึงกันยายนปีที่แล้วมีรถมินิบัสที่มีเข็มขัดนิรภัยเพียงร้อยละ 55 เท่านั้น  ผู้ตรวจการประเมินว่าภายในปี 2015 จะยังมีรถที่ไม่ปลอดภัยวิ่งอยู่บนท้องถนนอีกไม่ต่ำกว่า 1,000 คัน และคงต้องใช้เวลา 8 ปี จึงจะทำให้รถทุกคันมีเข็มขัดนิรภัยได้   แอพหน้าขาวเชื่อหรือไม่ อินเดียเป็นตลาด “ครีมหน้าขาว” ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเช่นเดียวกับบ้านเรา ความอยากขาวนั้นไม่เข้าใครออกใคร ที่นั่นตลาดครีมไวท์เทนนิ่งสำหรับผู้ชายเติบโตถึงร้อยละ 25 (สูงกว่าตลาดครีมสำหรับผู้หญิงร้อยละ10) ถึงขนาดเฟสบุ๊คที่อินเดียเขามีแอพพลิเคชั่นให้หนุ่มๆได้อัพโหลดรูปถ่ายหน้าตัวเองเข้าไป แล้วลองลากเส้นผ่าน เพื่อให้รู้กันไปว่าจะหล่อขึ้นได้สักเท่าไรเมื่อหน้าขาวขึ้น (ด้วยเทคโนโลยีดิจิตัล) แอพพลิเคชั่นดังกล่าวออกมาพร้อมกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดและไวท์เทนนิ่งสำหรับผู้ชายยี่ห้อวาสลีนนั่นเอง   โดยมีดาราบอลลีวูดชื่อดัง ชาฮิด คาปูร์ เป็นพรีเซ็นเตอร์แสดงให้เห็นครึ่งหน้าที่ผิวคล้ำและผิวขาวขึ้นด้วยแอพฯ ดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสมากมายในเฟสบุ๊ค ทางวาสลีน บอกว่าไม่ใช่เรื่องของการกีดกันสีผิว มันก็เหมือนๆ   กับที่ผู้คนในอเมริกาเหนือหรือยุโรปอยากมีผิวสีแทนนั่นแหละ แต่นักธุรกิจชาวอินเดียที่เปิดแฟนเพจในเฟสบุ๊คเพื่อรณรงค์ต่อต้านเทรนด์ “ต้องขาว” ในอินเดีย บอกว่าการที่คนตะวันตกไม่มีผิวสีแทน ไม่ได้เป็นเหตุให้พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติ มันเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่ในอินเดียนั้นผู้คนเชื่อว่าการมีผิวขาวหมายถึงการประสบความสำเร็จในชีวิต ข่าวแถมข้อมูลมาว่า จากการสำรวจที่ทำกับผู้คนจำนวน 12,000 คน ในปี 2009 โดยเว็บหาคู่ออนไลน์ พบว่าสีผิวเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกคู่ของหนุ่มสาวในสามรัฐทางตอนเหนือของอินเดีย ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------   เศรษฐศาสตร์ต้นคริสต์มาส ราคาต้นคริสต์มาสที่เดนมาร์กซึ่งเป็นผู้ส่งออกต้นคริสต์มาสรายใหญ่ที่สุดในยุโรป นาทีนี้อยู่ที่ 160 โครเนอร์ (ประมาณ 850 บาท) ต่อความยาวหนึ่งเมตร เขาบอกว่าราคานี้ขึ้นมาจากปีก่อนร้อยละ 25  สมาคมผู้ปลูกต้นคริสต์มาสแห่งเดนมาร์กบอกว่าที่แพงก็เพราะเขาไม่สามารถประเมินความต้องการของผู้บริโภคล่วงหน้าได้ เพราะเจ้าต้นไม้ประจำเทศกาลนี้ต้องใช้เวลาในการปลูกถึง 9 ปี   อย่างไรก็ดี ข้ออ้างที่ว่านี้ยังไม่สามารถคลายข้อข้องใจของสมาคมผู้บริโภคที่นั่นได้เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว สมาคมฯ ถูกศาลสั่งปรับ 500,000 โครเนอร์ (ประมาณสองล้านหกแสนกว่าบาท) โทษฐานที่ชักชวนให้สมาชิกร่วมกันตั้งราคาขั้นต่ำสำหรับต้นคริสต์มาสในช่วงระหว่างปี 2002 ถึง 2006   ข่าวบอกว่าระหว่างปี 2005 ถึง 2009 ราคาต้นคริสต์มาสเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 โดยพันธุ์ยอดฮิตที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้แก่พันธุ์นอร์ดมันเฟอร์ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------   คูปองสองมาตรฐาน องค์กรผู้บริโภคของเดนมาร์กไม่เห็นด้วยกับการแจกคูปองลดราคาเป็นโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย เพราะมันหมายถึงการจ่ายเงินจำนวนต่างกันสำหรับสินค้า/บริการเดียวกัน  ความจริงแล้วตั้งแต่ปี 1994 เป็นต้นมา ที่เดนมาร์กมีกฎหมายห้ามการแจกคูปองลดราคา เพื่อการันตี “ความเท่าเทียม” เรียกว่าใครบังอาจแจกเป็นอันต้องถูกจับและปรับกันไป   เรื่องการแจกคูปองกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อสหภาพยุโรปได้ทำข้อตกลงเมื่อปี 2009 ที่ระบุว่าให้สามารถทำได้ ทั้งนี้ข้อตกลงดังกล่าวก็เขียนไว้ชัดเจนว่าให้แต่ละประเทศถือปฏิบัติตามกฎหมายของตนเองไปจนถึงปี 2013   แต่บรรดาผู้ประกอบการที่นั่นไม่รอช้า รีบใช้ประโยชน์จากข้อตกลงดังกล่าวของสหภาพยุโรปทันที แถมยังบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่พึงพอใจกับคูปองลดราคาที่ว่าอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 118 กระแสต่างแดน

คราวนี้ต้องเลิกให้ได้ ไม่ได้มีแต่เราเท่านั้นที่ใช้ยาแก้อักเสบกันเป็นว่าเล่น ข่าวจากหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ บอกว่าคนจีนก็ติดยาแก้อักเสบเข้าขั้นเหมือนกัน  ซื้อมากินกันเองยังไม่เท่าไร แต่ข่าวบอกว่าขนาดไปพบแพทย์แล้วก็ยังไม่วายได้ยาแก้อักเสบกลับมากินไปพลางๆ ยามที่ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้  สถิติระบุว่าโรงพยาบาลในประเทศจีนมีการจ่ายยาแก้อักเสบเกินปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึงสองเท่า  เขาซุบซิบกันอย่างหนาหูในชุมชนออนไลน์ของจีนว่าเหตุที่มีการจ่ายยาแก้อักเสบกันมากมายนั้นเป็นเพราะโรงพยาบาลได้ประโยชน์จากการสั่งยาประเภทนี้นั่นเอง จีนเป็นผู้ผลิตยาแก้อักเสบรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยอัตราการผลิต 147,000 ตันต่อปี มีทั้งหมด 181 ยี่ห้อ และส่วนใหญ่(ร้อยละ 83) ของปริมาณที่ผลิตได้นั้นเป็นการบริโภคภายในประเทศ  อย่างที่ทราบกัน การใช้ยาแก้อักเสบมากเกินไปทำให้การรักษาอาการเจ็บป่วยนั้นทำได้ยากขึ้น ปีที่แล้วจีนก็ต้องเจอกับปัญหาเชื้อชั่วฆ่าไม่ตาย ที่เรียกกันว่าซุปเปอร์แบคทีเรีย NDM-1 ที่สามารถต้านทานยาแก้อักเสบได้เกือบทุกชนิด ร้ายแรงกว่านั้น ขณะนี้มีทารกที่เกิดมาพร้อมอาการดื้อยาแล้วด้วย รัฐบาลจีนคงต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่างแล้ว เพื่อหยุดพฤติกรรมการใช้และการจ่ายยาแก้อักเสบอย่างพร่ำเพรื่อ ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายจนไม่สามารถหายาที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะจัดการกับเชื้อแบคทีเรียที่อัพเกรดตัวเองได้     หรือผู้บริโภคจะไม่แคร์สื่อ? หลายคนคงเคยได้ยินข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายของพนักงานบริษัทฟ็อกซ์คอน ด้วยการกระโดดหน้าต่างโรงงานถึงวันนี้ มีผู้ที่ฆ่าตัวตายได้สำเร็จไปแล้ว 17 รายโรงงานที่ว่านี้ก็เป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันดี อย่างไอพอด และไอโฟนกันนั่นเอง และประธานบริษัทนี้ก็คือชายที่ร่ำรวยที่สุดในไต้หวัน นามว่าเทอรี่ กั๊ว นั่นเอง หลังจากข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายแพร่ออกไป บริษัทก็ประกาศขึ้นเงินเดือนเกือบร้อยละ 70 ให้กับพนักงานในสายการผลิต เพิ่มจากเดือนละ 1,200 หยวน เป็น 2,000 หยวน ฟ็อกซ์คอนมีนิคมอุตสาหกรรมอยู่ที่เมืองเฉินเจิ้น ประเทศจีน ในฟ็อกซ์คอนซิตี้หรือไอพอดซิตี้นี้มีโรงงานทั้งหมด15 โรง มีประชากร 300,000 ถึง 450,000 คน เขาบอกว่าเหมือนเมืองขนาดย่อมๆเที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพ รวมถึงสถานีโทรทัศน์ของตัวเองด้วย เรียกว่าไม่จำเป็นต้องออกนอกกำแพงเมืองไปไหนกันเลย  ข่าวการฆ่าตัวตายทำให้กลุ่ม SACOM (Students and Scholars against Corporate Misbehavior) ซึ่งมีสมาชิกเป็นนักศึกษาและนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย 20 แห่งในจีน ที่คอยจับตาดูพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของธุรกิจ ทำการติดตามสำรวจสภาพการทำงานในโรงงานของฟ็อกซ์คอนเป็นเวลา 4 เดือน  SACOM บอกว่าที่นี่มีการควบคุมระเบียบวินัยแบบเคร่งครัดเต็มอัตรา พนักงานต้องยืนตัวตรงตลอดการทำงาน และต้องทำชิ้นงานให้เสร็จตามจำนวนที่กำหนด ถ้าทำไม่เสร็จหรือใช้เวลากับกิจกรรมอื่น เช่น เข้าห้องน้ำ หรืออาบน้ำนานเกินไป ก็จะถูกทำโทษทั้งด้วยการทุบตีและการทำให้อับอาย   นอกจากนี้ยังห้ามคุย ห้ามหัวเราะ ห้ามบิดขี้เกียจในเวลางาน (ห้ามหลับคงไม่ต้องพูดถึง)  ฟ็อกซ์คอนออกมาโต้ตอบรายงานดังกล่าวว่า ไม่จริงนะ บริษัทออกจะมุ่งมั่นที่จะให้พนักงานจำนวน 937,000 คนได้อยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และได้รับค่าตอบแทนและการชดเชยที่ไม่แพ้บริษัทอื่นๆ ทางแอปเปิ้ลเองก็ยืนยันว่าตนเองเลือกใช้ฐานการผลิตที่มีมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมในระดับสูงสุดเสมอมา ที่สำคัญคือทั้งๆ ที่มีข่าวนี้ออกไป ยอดขายเขาก็ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแต่อย่างใด แอปเปิ้ลก็ยังทำยอดขายได้ 16,000 ล้านปอนด์ต่อไตรมาส  หรือเพราะผู้บริโภคยอมรับได้ เพราะนั่นหมายถึงการควบคุมต้นทุน การผลิตให้มีราคาต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจจะมีคนต้องทุกข์ทรมานบ้างก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ อย่างน้อยก็ได้ของถูก แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ รายงานจากสำนักวิจัย iSupply ระบุว่าไอโฟนเครื่องหนึ่งนั้นมีต้นทุนในการประกอบ 6.54 เหรียญ ค่าชิ้นส่วนต่างๆ อีก 187.51 เหรียญ รวมแล้วต้นทุนอยู่ที่ 194 เหรียญ หรือ 5,842 บาท ว่าแต่คุณซื้อไอโฟนมาในราคาเท่าไร?     อยู่บ้านอย่างไรให้เป็นอัจฉริยะ เกาะเชจู นอกจากจะเป็นสถานที่ยอดฮิตในการไปเที่ยวตากอากาศของพระเอก นางเอกหนังเกาหลีแล้ว เขายังเป็นเกาะที่มีหมู่บ้านอัจฉริยะอีกด้วย ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเชจู เขากำลังทดลองใช้ระบบเครือข่ายส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Smart Grid เป็นแห่งแรกในเกาหลี ที่ว่าฉลาดนั้นก็เพราะมันสามารถช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก และช่วยให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลการใช้ไฟฟ้าทุกๆ 15 นาที และยังจะได้รับการเตือนให้ลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงพีคด้วย   นอกจากแผงโซล่าเซลล์ที่จะติดตั้งเพื่อให้แต่ละบ้านสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เองแล้ว อุปกรณ์ที่สำคัญในระบบที่ว่านั้นได้แก่ Smart Tag หรือ Smart Plug ตามจุดปลั๊กไฟ ที่จะช่วยป้องกันการบริโภคไฟฟ้าจากอุปกรณ์ต่างๆที่เสียบปลั๊กทิ้งไว้ แม้จะไม่ได้อยู่ในโหมด Stand-by   เขาบอกว่าถ้าทุกครัวเรือนในประเทศใช้ระบบดังกล่าว ก็จะสามารถประหยัดเงินได้ปีละ 1,500 ล้านเหรียญ แต่ที่เห็นผลทันทีคือผู้บริโภคสามารถประหยัดค่าไฟได้ ด้วยการขายพลังงานไฟฟ้า (จากแสงอาทิตย์) ที่เหลือใช้ให้กับผู้ประกอบการ โดยนำไปหักลบจากค่าไฟฟ้าที่ตนเองจะต้องเสีย   มีตัวอย่างจากครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิก 3 คน เคยจ่ายค่าไฟเดือนละ 50,000 วอน (ประมาณ 1,300 บาท) หลังจากติดระบบแล้ว ค่าไฟเหลือเพียง 1,000 วอน(ประมาณ 26 บาท) เท่านั้น   เมืองผู้ดีก็มีไม้เถื่อน อังกฤษเป็นประเทศที่นำเข้าไม้ผิดกฎหมายมากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน สหรัฐ และญี่ปุ่น ความจริงแล้วผู้บริโภคที่นั่นสามารถช่วยหยุดการค้าไม้เถื่อนได้ ด้วยการเลือกซื้อไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีฉลาก FSC (Forestry Stewardship Council) แต่จากการสำรวจขององค์กร WWF พบว่ามีคนอังกฤษมีการรับรู้เรื่องนี้ค่อนข้างน้อย มีเพียงร้อยละ 28 ของผู้บริโภค ที่ตอบแบบสำรวจที่รู้จักเครื่องหมายดังกล่าว เมื่อเทียบกับการรับรู้ในเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องของการค้ากาแฟอย่างเป็นธรรม(หรือแฟร์เทรด) แล้วถือว่าน้อยมาก   ร้อยละ 50 ของผู้บริโภคไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ไม้ที่ขายในอังกฤษนั้นอาจจะมาจากแหล่งที่ผิดกฎหมาย หรือพูดให้ชัดคือมาจากการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศกำลังพัฒนานั่นเอง พวกเขาเชื่อว่าถ้าเข้ามาขายในอังกฤษก็น่าจะผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว  แต่ละปีผู้บริโภคอังกฤษใช้จ่ายเงินกว่า 700 ล้านปอนด์ไปกับผลิตภัณฑ์ไม้ที่ผิดกฎหมายเหล่านี้   เมืองไม่ประหยัดน้ำ ลิมา เมืองหลวงของประเทศเปรู เขาขาดแคลนน้ำใช้จนต้องตั้งเป็นวาระแห่งชาติ ประธานาธิบดีอลัน การ์เซีย ออกมาประกาศว่าจะให้ทุกคนได้มีน้ำใช้อย่างทั่วถึงภายในสิ้นปี ค.ศ. 2011 เหตุที่น้ำน้อยก็เพราะเมืองนี้เป็นเมืองทะเลทรายที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากเมืองไคโร ประเทศอียิปต์  แล้วที่วิกฤติซ้ำคือการใช้น้ำอย่างไม่ประหยัด ข่าวบอกว่าเมืองนี้เขาไม่มีการติดตั้งมิเตอร์น้ำด้วย  ข้อมูลของศูนย์วิจัยภูมิศาสตร์ประยุกต์ระบุว่าประชากรในเมืองลิมา มีการบริโภคน้ำต่อหัววันละ 250 ลิตร ในขณะที่เมืองหลวงในทวีปยุโรปกลับมีอัตราการใช้น้ำเพียงวันละไม่เกิน 140 ลิตรต่อวัน  หรือแม้แต่กรุงไคโรซึ่งเป็นเมืองทะเลทรายเหมือนกัน มีการใช้น้ำวันละ 100 ลิตรต่อหัวเท่านั้น  นอกจากนี้อัตราการสูญเสียน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์ ( เช่น น้ำรั่ว) นั้นสูงถึงร้อยละ 42 ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ เช่น ญี่ปุ่นสูญเสียน้ำใช้เพียงร้อยละ 3.5  เยอรมนีร้อยละ 5  และเม็กซิโก ร้อยละ 17

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 117 กระแสต่างแดน

ถ้าจะรับ ช่วยขยับมาอีกนิดไปรษณีย์เดนมาร์คเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้ปริมาณจดหมายที่จะต้องจัดส่งน้อยลงอย่างฮวบฮาบ แล้วจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้ไปต่อในโลกที่ใครๆก็ใช้แต่จดหมายอิเลคทรอนิกส์ หรือไม่ก็บีบีหากันแทบจะทุกนาทีอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้กิจการเขาก็ดีอยู่ สถิติบอกว่า ในปีค.ศ. 1999 ชาวแดนิชเขาส่งจดหมายกันคนละ 272 ฉบับ  อีก 10 ปีต่อมา จำนวนจดหมายลดลงเหลือ 181 ฉบับต่อคนต่อปี เขาคาดว่ากว่าจะถึงปีค.ศ.  2019 ตัวเลขนี้ก็จะลดลงเหลือง เพียง 70 เท่านั้น (นี่น้อยของเขาแล้วนะ) คิดไปคิดมา Post Denmark ก็ตัดสินใจขึ้นค่าธรรมเนียมการส่งจดหมายเสียเลย จากเดิมที่เคยคิดค่าส่งจดหมายธรรมดาฉบับละ 5.5 โครเนอร์ (ประมาณ 30 บาท) ก็ขึ้นเป็น 8 โครเนอร์ (ประมาณ 44 บาท)  ข่าวว่ามาตรการอัพราคานี้จะทำให้ Post Denmark มีรายได้เพิ่มขึ้น 100 ล้านโครเนอร์ ยังมีเด็ดกว่านั้น เขาตั้งเป้าจะลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งด้วยการขอความร่วมมือจากประชากรกว่า 100 ครัวเรือน ให้ย้ายกล่องรับจดหมายจากหน้าประตูบ้านตนเองออกมาให้ใกล้ถนนให้มากที่สุดด้วย ... นะ ช่วยๆกัน   รับบริการตรวจความดันเพิ่มไหมครับ ต่อไปคุณผู้ชายที่ไปใช้บริการร้านตัดผมในรัฐเท็กซัส อเมริกา ก็อาจจะได้รับบริการเสริมเป็นการตรวจวัดความดันให้ด้วยทั้งนี้เพราะมีผลการวิจัยออกมาแล้วว่าถ้าทางร้านตัดผมเสนอบริการดังกล่าวให้ทุกครั้งที่ลูกค้าเข้าไปตัดผม จะทำให้ลูกค้าชายเหล่านั้นมีแนวโน้มในการไปพบแพทย์เพื่อจัดการกับปัญหาความดันโลหิตสูงมากขึ้น และทำให้คนเหล่านั้นให้กลับมามีความดันระดับปกติในที่สุด งานวิจัยที่ลงพิมพ์ในวารสารวิชาการ Archives of Internal Medicine เขาทดลองให้ร้านตัดผม 17 ร้าน ในรัฐเท็กซัสในเขตดัลลัส เคาน์ตี้ ซึ่งเป็นเขตที่มีผู้อยู่อาศัยเป็นอเมริกันชนผิวสี ลองเสนอบริการเสริมที่ว่านั้น โดยแยกการบริการออกเป็นสองระดับ ร้านกลุ่มแรก (8 ร้าน) แจกแผ่นพับให้ความรู้กับลูกค้าที่มีความดันโลหิตสูงเกินปกติ ร้านกลุ่มที่สอง (อีก 9 ร้านที่เหลือ) ทั้งแจกแผ่นพับและตรวจวัดความดันให้ลูกค้าทุกครั้งที่มาใช้บริการ พร้อมกับให้ช่างผมคะยั้นคะยอให้ลูกค้าไปพบแพทย์ ข่าวบอกว่าถ้าลูกค้ามีผลการตรวจจากแพทย์มาแสดง ก็จะได้ตัดผมฟรีอีกด้วย ผลปรากฏว่า ลูกค้าร้านตัดผมเกินกว่าครึ่งหนึ่งสามารถควบคุมระดับความดันโลหิตของตนเองได้ ทั้งนี้มีลูกค้าถึงร้อยละ 20 ในกลุ่มที่ได้รับบริการตรวจเช็คความดันทุกครั้งที่ไปใช้บริการในช่วงเวลา 2 ปี กลับมามีความดันโลหิตในระดับปกติด้วย ... เป็นบริการเสริม (สุขภาพ) ที่เข้าท่าดีเหมือนกันนะนี่   คูปองลดความอ้วน สมาชิกที่ติดตามช่วงกระแสต่างแดน คงจำกันได้ว่าเมืองนิวยอร์กนั้นเขาช่างมุ่งมั่นสร้างสุขภาพให้ชาวเมืองอยู่เนืองๆ คราวนี้นายกเทศมนตรีนายไมเคิล บลูมเบิร์ก สร้างกระแสอีกครั้งด้วยการเสนอให้มีการตั้งกฎห้ามใช้คูปองอาหารเพื่อแลกซื้อน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มผสมน้ำตาลชนิดอื่นๆ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน คูปองดังกล่าวซึ่งแจกให้กับผู้มีรายได้น้อย เช่น ผู้อพยพ ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการฯ ก็ไม่สามารถใช้แลกซื้อบุหรี่ เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ หรืออาหารสำเร็จรูปได้ เขาว่าเจตนาของมาตรการดังกล่าวคือการลดจำนวนผู้เป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานในเมืองนิวยอร์ก แต่หลายคนมองว่ามันเป็นการกล่าวหาผู้มีรายได้น้อยว่าพวกเขาเลือกซื้ออาหารไม่เป็น บางคนเสนอว่าแค่จัดโปรแกรมให้ความรู้เรื่องโทษของการดื่มน้ำอัดลมก็น่าจะเพียงพอ บลูมเบิร์กบอกว่าขอทดลองห้ามสักสองปีก่อน เพื่อดูว่าจำนวนผู้ป่วยเบาหวานจะลดลงหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ ก็อาจจะห้ามตลอดไป เครื่องดื่มที่อยู่ในข่ายถูกห้ามซื้อด้วยคูปองได้แก่ เครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงกว่า 10 คาลอรี่ต่อ 8 ออนซ์ ข้อเสนอดังกล่าวได้รับการรับรองจากรัฐนิวยอร์กแล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงเกษตร ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องคูปองอาหารของอเมริกา คุณบลูมเบิร์กแกคงต้องลุ้นตัวโก่ง เพราะเมื่อปีค.ศ. 2004 กระทรวงเกษตรเคยปฏิเสธข้อเสนอของรัฐมินิโซตา ที่ต้องการให้ห้ามนำคูปองดังกล่าวไปซื้ออาหารขยะมาแล้ว เหตุที่เมืองนี้เขาจริงจังกันมากเรื่องการลดน้ำตาลก็เพราะมีสถิติอย่างเป็นทางการว่า 1 ใน 8 ของผู้ใหญ่ที่นั่นเป็นโรคเบาหวาน และเกือบร้อยละ 40 ของนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลในระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่สอง มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน และอัตราการเป็นโรคอ้วนในย่านที่ผู้อยู่อาศัยมีรายได้น้อยนั้นจะสูงกว่า ในขณะเดียวกันก็พบว่าอัตราการบริโภคเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาลในเขตรายได้ต่ำนั้นจะสูงกว่าด้วย เทศบาลเมืองนิวยอร์กเคยเสนอให้มีการเก็บภาษีจากน้ำอัดลมมาแล้ว แต่ก็ถูกแรงต้านจากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและบรรดาร้านขายของชำไม่น้อย โฆษกสมาคมเครื่องดื่มแห่งอเมริกาออกมาโต้ตอบข้อเสนอของนายกเทศมนตรีว่า “นี่เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลพยายามจะเข้ามากำหนดว่าคนนิวยอร์กจะดื่มจะกินอะไร” ก็... นะ สำนักอนามัยเขาประเมินไว้ว่าการดื่มน้ำอัดลมปริมาณ 12 ออนซ์ซึ่งให้พลังงานสูงถึง 150 คาลอรี่ ทุกวัน จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นปีละ 15 ปอนด์  ซึ่งก็ไม่น่าจะใช้สิ่งที่คนนิวยอร์กต้องการอยู่แล้ว   ฉลากใหม่ลดขยะ ญี่ปุ่นเขาก็มีปัญหาเรื่องฉลากกับเขาเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าจะเป็นคนละแนวกับบ้านเรา เคยเห็นแต่ปัญหาอาหารหมดอายุแล้วยังวางขายอยู่ แต่ที่นี่บรรดาร้านค้าปลีกเขารีบเก็บอาหารสำเร็จรูปออกจากชั้นก่อนจะถึงวันหมดอายุจริง ซึ่งทำให้อาหารที่ยังรับประทานได้อยู่ต้องกลายเป็นขยะไปโดยไม่จำเป็น  องค์กรผู้บริโภคของญี่ปุ่นเลยต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อลดปริมาณขยะจากอาหารสำเร็จรูปซึ่งกระทรวงเกษตรของญี่ปุ่นประเมินไว้ว่ามีปริมาณ 5 ล้าน ถึง 9 ล้านตันต่อปี  ว่าแล้วก็เสนอให้รัฐบาลออกคำแนะนำเรื่องการติดฉลากอาหารพวกนี้ ก่อนที่จะประกาศใช้มาตรการติดฉลากแบบแจ้งเวลาที่เหมาะที่สุดในการรับประทาน (best-by date) โดยให้ผู้ผลิตอาหารเพิ่มข้อความเพื่อแจ้งผู้บริโภคว่าอาหารเหล่านั้นยังสามารถรับประทานได้แม้จะผ่านช่วงเวลา “ที่ดีที่สุด” ไปแล้วก็ตาม  ข่าวบอกว่าระบบฉลากที่แสดง best-by date นั้นจะเริ่มใช้ในเดือนมีนาคมปีหน้า ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นยังใช้ระบบฉลากที่แสดงว่าควรบริโภคก่อนวันที่เท่าไร (use-by date) แต่ก็อย่างที่บอกไป บรรดาร้านค้าต่างก็ไม่ยอมเสี่ยงขายอาหารสำเร็จรูปที่เก็บไว้เกินหนึ่งในสามของเวลาระหว่างวันผลิตจนถึงวันหมดอายุ เรียกว่าเสียของข้าไม่ว่า ... เสียหน้าข้ายอมไม่ได้   ดูไบเข้มงานคุ้มครองผู้บริโภคฉลาดซื้อขอพาคุณผู้อ่านไปเยือนรัฐดูไบ ของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กันบ้าง ทุกท่านคงทราบอยู่แล้วว่าที่นั่นมีแต่ของแพง ของมีระดับ คราวนี้ดูไบบอกว่าเขาต้องการสร้างชื่อในการเป็นแหล่งช็อปปิ้งและท่องเที่ยวระดับเวิร์ลด์คลาสด้วยการยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคด้วย ว่าแล้วก็เริ่มจากการกำหนดให้ร้านค้าต่างๆ ติดประกาศแจ้งสิทธิของผู้บริโภคบริเวณหลังเคานท์เตอร์คิดเงิน ให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ขนาดตัวอักษรนั้นเขาก็กำหนดไว้ทางอ้อมด้วยการทำประกาศสำเร็จรูปไว้ให้ร้านต่างๆเข้าไปดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ของหน่วยงาน แล้วสั่งพริ๊นท์บนกระดาษขนาด A4 เป็นอย่างต่ำ ใครอยากพิมพ์เองให้สวยกว่านั้น เขาก็ระบุไว้ว่าขนาดตัวอักษรต้องไม่เล็กไปกว่าฉบับที่เตรียมไว้สำเร็จรูปนั้นแล นอกจากนี้ยังต้องแจ้งให้ทราบด้วยว่าถ้าผู้บริโภคถูกละเมิดสิทธิ จะต้องติดต่อที่ไหน อย่างไร ข่าวบอกว่าเขาจะมีผู้ตรวจการจากส่วนงานคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจ มาคอยสอดส่องดูแล ใครไม่ติดประกาศที่ว่า ก็จะถูกตักเตือนหนึ่งครั้ง เตือนแล้วยังไม่ติดก็จะต้องเสียค่าปรับประมาณ 81,000 บาท หรืออาจจะถูกสั่งปิดร้านชั่วคราวไปเลย การแจ้งให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงสิทธิของตนเองนั้นครอบคลุมไปถึงธุรกิจอื่นๆ อย่างอสังหาริมทรัพย์ หรือบริการการเงินการธนาคารด้วย  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 116 กระแสต่างแดน

  อภินิหารกังหันลมครองพิภพ สองสามปีที่ผ่านมามีฟาร์มกังหันลมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในชนบทของอิตาลี ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะการมีพลังงานทดแทนไว้ใช้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่เรื่องมันมาปูดตอนที่มีข่าวว่านักธุรกิจที่ชื่อ วีโต้ นิคาสตริ ซึ่งขณะนี้เป็นที่รู้จักกันในฉายา “ลอร์ดออฟเดอะวินด์” (Lord of the Wind) ถูกศาลสั่งยึดทรัพย์สินมูลค่าถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านยูโร (ไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท) ในบรรดาทรัพย์สินที่ถูกยึดไปจากบุคคลผู้นี้ นอกจากอสังหาริมทรัพย์กว่า 100 แห่งทางตะวันตกของเกาะซิซิลีแล้ว ยังมีธุรกิจพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์กว่า 43 บริษัทด้วย   คนส่วนใหญ่ก็เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้จอมบงการเบื้องหลังกังหันลมเหล่านั้นคือนายวีโต้ ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มมาเฟีย “โคซา โนสตรา” ที่แทรกซึมเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนจากลมมาได้สองสามปีแล้ว เรื่องนี้เป็นกระแสฮือฮาไม่น้อย เพราะมันหมายถึงธุรกิจพลังงาน ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลได้กลายเป็นแหล่งให้เงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย อาศัยเป็นช่องทางฟอกตัวไปแล้ว เรียกว่ามาเฟียเขาได้ไปสองเด้ง ขูดรีดชาวบ้านโดยตรงไปรอบหนึ่งแล้วยังขูดทางอ้อมผ่านรัฐบาลได้อีก   ข่าวบอกว่าอย่าให้รัฐบาลเลือกแก้ปัญหานี้ด้วยการหันไปใช้พลังงานนิวเคลียร์แทนก็แล้วกัน ทุกวันนี้อิตาลีผลิตพลังงานลมได้มากเป็นอันดับสามของยุโรป รองจากเยอรมนีและสเปน ปลายปีพ.ศ. 2552 อิตาลีมีฟาร์มกังหันลมทั้งหมด 294 ฟาร์ม และที่ผ่านมาธุรกิจนี้ในอิตาลีเติบโตถึงร้อยละ 20 ต่อปี-------------------------------------------------------------------------------------   ขาปั่นขอร้อง นาทีนี้จะพูดเรื่องทางสำหรับจักรยานมันก็คงเชยไปแล้วสำหรับประเทศในยุโรป คนที่เดนมาร์กเขาขยับไปถกกันเรื่องของทางจักรยานแบบไม่มีสัญญาณไฟกันแล้วเรื่องของเรื่องคือ ชาวเมืองโคเปนเฮเกนที่เขานิยมปั่นจักรยานไปทำงานหรือไปทำธุระ เขารู้สึกหงุดหงิดเหมือนกันนะที่ต้องติดไฟแดง คับข้องใจได้ไม่นานรัฐบาลเขาก็จัดให้ ด้วยการประกาศแผนการสร้างมอเตอร์เวย์สำหรับจักรยาน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้คนหันมาใช้จักรยานให้มากขึ้น สมาคมนักปั่นเขารับรองว่าแผนนี้จะทำให้มีจำนวนคนใช้จักรยานเพิ่มขึ้นสองเท่า (ปัจจุบันชาวเมืองโคเปนเฮเกนเกือบร้อยละ 30 ไปทำงานด้วยพาหนะสองล้อที่ต้องอาศัยพลังงานส่วนตัวนี่แหละ) นอกจากทางสำหรับจักรยานโดยเฉพาะแล้ว เขายังจะจัดสถานีบริการให้เป็นระยะ เพื่อให้นักปั่นได้ใช้บริการสูบลม รับน้ำดื่ม หรือสอบถามข้อมูลเรื่องเส้นทางด้วย … อิจฉาจัง ...-------------------------------------------------------------------------------------     น้ำพุโซดา คนปารีสเขาติดน้ำขวดอัดคาร์บอน (หรือโซดานั่นแหละ) กันงอมแงม ถึงขั้นที่เทศบาลเมืองปารีสต้องหาวิธีมาช่วยให้คนเหล่านี้หย่าขาดจากมันให้ได้คุณอาจสงสัยว่าดื่มโซดาแล้วมันมีปัญหาอะไรหรือ เรื่องของเรื่องเทศบาลเขากังวลเรื่องปัญหาขยะพลาสติก ซึ่งฝรั่งเศสมีศักยภาพในการผลิตได้ถึง 262,000 ตันในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะฝรั่งเศสเป็นประเทศที่บริโภคน้ำบรรจุขวดมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก และสาเหตุที่คนที่นี่เขาชอบดื่มน้ำขวดก็เพราะว่ามันเป็นน้ำอัดแก๊สที่ดื่มแล้วซ่าได้ใจนั่นเอง เทศบาลที่นั่นเขาทำการสำรวจแล้วพบว่า คนจะดื่มน้ำจากก๊อกมากขึ้นถ้ามันซ่าด้วย ไม่เชื่อดูได้จากยอดขายถล่มทลายของเครื่องอัดแก๊สแบบใช้ตามบ้านก็ได้ว่าแล้วก็ควักกระเป๋าไป 75,000 ยูโร (หรือประมาณ 3 ล้านบาท) เพื่อติดตั้งน้ำพุโซดาในสวนสาธารณะให้ชาวบ้านพากันมาดื่มฟรีกันทุกวันไม่เว้นวันหยุดตั้งแต่ 8 โมงเช้า – 3 ทุ่มครึ่ง นี่เป็นขั้นทดลอง ถ้าเสียงตอบรับดีก็จะมีการติดตั้งเพิ่มขึ้นในสวนสาธารณะอื่นๆ ด้วย-------------------------------------------------------------------------------------   เมื่อ “สี” อาจก่อความไม่สงบนักโภชนาการและองค์กรด้านเด็กออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออสเตรเลียประกาศห้ามใช้สีสังเคราะห์ในอาหาร ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการไฮเปอร์แอ็คทีฟในเด็ก ในขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเจ้าใหญ่อย่าง Aldi เก็บผลิตภัณฑ์ที่มีสีเหล่านี้เป็นส่วนผสมออกไปจากชั้นหมดแล้ว งานสำรวจของกลุ่ม Karitane พบว่าหนึ่งในสามของแม่ชาวออสเตรเลียสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของลูก ว่ามีอาการอยู่ไม่สุก ลุกลี้ลุกลน บางทีก็ก้าวร้าว หลังจากกินอาหารที่มีสีผสมอาหารเข้าไป สมาคมนักโภชนาการแห่งออสเตรเลียบอกว่าร้อยละ 21 ของเด็กออสซี่วัย 9 ขวบ รับประทานเค้กหรือบิสกิตทุกวัน และแม่ๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมเด็กหลังกินอาหารที่มีสารกันบูดและสีได้ชัดเจน สีที่เป็นปัญหากลุ่มนี้มีอีกฉายาว่า “หกอันตรายเซาท์แทมตัน” (ได้แก่ sunset yellow (E110) quinoline yellow (E104) carmoisine (E122) allura red (E129) ponceau 4R (E124) and tartrazine (E102)) ที่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาท์แทมตัน ในปีค.ศ. 2007 พบว่าสารทั้งหกตัวมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมไฮเปอร์แอคทีฟในเด็ก จึงทำให้ร้านค้าในอังกฤษพากันสมัครใจถอนสินค้าออกไป หลังจากที่องค์กรมาตรฐานอาหารอังกฤษได้ออกเป็นคำแนะนำไป สหภาพยุโรปก็ออกข้อกำหนดให้อาหารที่ใส่สีจะต้องมีคำเตือนทำนองว่า: “ตาตราซีน (หรือสารตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มดังกล่าว) อาจมีผลในทางลบต่อความตื่นตัวและความสนใจของเด็ก” แต่สถาบันมาตรฐานอาหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์กลับบอกว่ายังไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอที่จะสั่งแบนสีสังเคราะห์เหล่านั้น และให้ผู้บริโภคดูแลตัวเอง (อ้าว) ด้วยการดูที่ฉลากซึ่งกฎหมายระบุให้แจ้งสีผสมอาหารไว้แล้ว-------------------------------------------------------------------------------------   รอการพิสูจน์ รับจดหมายเตือนกันไป สำหรับบริษัทผู้ผลิตน้ำยาบ้วนปากที่โฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ของตนสามารถกำจัดคราบพลัคหรือรักษาโรคเหงือกได้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ทำจดหมายไปถึงผู้ผลิตน้ำยาบ้วนปากยี่ห้อลิสเตอรีน ซีวีเอส และวอลกรีน ให้รีบจัดการแก้ไขโฆษณาเหล่านั้นภายใน 15 วัน จริงอยู่น้ำยาบ้วนปากเหล่านี้มีส่วนผสมของโซเดียมฟลูออไรด์ ซึ่งทางอย.ก็ยอมรับว่าสามารถป้องกันฟันผุได้ แต่ทั้งนี้ทางผู้ผลิตยังไม่ได้พิสูจน์ว่ามันสามารถกำจัดคราบพลัค หรือป้องกันโรคเหงือกได้อย่างที่โฆษณาไว้ ตามกฎหมายแล้วผู้ผลิตไม่สามารถกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์ของตนรักษาโรคได้ จนกว่าข้อกล่าวอ้างเหล่านั้นจะผ่านการพิสูจน์โดย อย.เสียก่อน ถ้ามันทำได้จริงก็จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยา และอนุญาตให้สามารถวางขายในร้านขายยาทั่วไปได้ แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บหรือผลในทางลบต่อสุขภาพจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้แต่ อย. ก็ขอแจ้งให้พี่น้องทราบว่าอย่าเพิ่งคาดหวังว่าน้ำยาบ้วนปากจะสามารถป้องกันหรือรักษาโรคเหงือกได้ และถ้าคุณเคยอ่านหนังสือเรื่อง “100 สิ่งที่ไม่ต้องทำ (ก็ได้) ก่อนตาย” คุณก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาบ้วนปากเลยด้วยซ้ำไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 115 กระแสต่างแดน

เบื้องหลังของถูก สถานีโทรทัศน์ NDR ของเยอรมนี เปิดโปงเบื้องหลังที่มาของเสื้อผ้าราคาประหยัดยี่ห้อ KIK ซึ่งมีจำหน่ายทั่วไปในยุโรป ว่าเอาเปรียบพนักงานอย่างไม่น่าให้อภัยผู้ชมกว่า 4 ล้านคนในเยอรมนีได้รู้พร้อมๆ กันว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสามารถซื้อเสื้อยืดได้ในราคา 3 ยูโร(120 บาท) หรือกางเกงขาสั้นในราคา 4 ยูโร(160 บาท) ก็คือการที่บริษัทกดค่าแรงพนักงานให้ต่ำสุดๆ ข่าวบอกว่าพนักงานในเยอรมนีได้ค่าจ้างน้อยกว่า 3 ยูโร ต่อชั่วโมง (เบอร์เกอร์บิ๊กแมคที่นั่นราคาชิ้นละ 4.6 ยูโร)  นี่ยังไม่พูดถึงคนงานในประเทศกำลังพัฒนาที่ทำงานในโรงงานที่ KIK จ้างเป็นผู้ผลิต ที่มีรายได้คิดเป็น 0.5% ของราคาสินค้าเท่านั้น เมื่อเรื่องแดงเสียขนาดนั้น KIK จึงออกมายอมรับผิดและขอโทษต่อสังคม รวมถึงตั้งตำแหน่งผอ.ฝ่ายการสื่อสารคนใหม่ขึ้นมารับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ   แต่ถึงกระนั้นการขุดคุ้ยก็ยังดำเนินต่อไป เพื่อพิสูจน์ “ข่าวลือ” ต่างๆ ของ KIK ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเยอรมนีและมีร้านทั่วยุโรปกว่า 3,000 สาขา เขาลือกันว่า KIK ไม่จ้างพนักงานประจำ ไม่มีสัญญาจ้างงาน ไม่มีการตั้งสหภาพแรงงาน อีกทั้งยังมีมาตรการการรับคนเข้าทำงานที่ค่อนข้างอุกอาจ ตั้งแต่การให้ผู้สมัครเปิดเผยข้อมูลเรื่องความเจ็บป่วย ความพิการโดยละเอียด รวมถึงคอยตามเช็คเครดิตพนักงานและถ้าสืบรู้ว่าว่าใครเป็นหนี้ก็จะไล่ออก.. โหดซะ Clean Clothes Campaign องค์กรที่ส่งเสริมให้เกิดธรรมาภิบาลในการผลิตเสื้อผ้า บอกว่าถ้าดูจากราคาแล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการเอาเปรียบแรงงาน เขายืนยันว่า “ราคาต่ำสุดๆ” นั้นไม่ใช่ทางออก และเสนอให้บริษัทหันมาสร้างแรงจูงใจให้กับผู้บริโภคด้วยคุณภาพสินค้าและบริการที่ดีขึ้นดูบ้าง รับรองว่างานนี้วินวินกันทุกฝ่าย ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------  คนเยอรมันเมินเปย์ทีวี ธุรกิจโทรทัศน์แบบเสียเงินดู ดูเหมือนจะไม่รุ่งในประเทศเยอรมนี เพราะจนป่านนี้บริษัทสกายดอยท์ชแลนด์ ยังคงมียอดสมาชิกไม่ถึงร้อยละ 10 ของครัวเรือนที่มีเครื่องรับโทรทัศน์ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส  มีสัดส่วนของครัวเรือนที่เป็นสมาชิกบริการทีวีดังกล่าวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 นักวิเคราะห์เขาบอกว่าน่าจะเป็นเพราะคนเยอรมันรู้สึกว่ามันเป็นสิทธิตามธรรมชาติของพวกเขาที่จะได้ดูทีวีดีๆ ที่รัฐจะต้องจัดหามาให้ เพราะเก็บค่าธรรมเนียมปีละประมาณ 8,000 บาทไปแล้ว(ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปมีการเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวจากผู้มีเครื่องรับโทรทัศน์ เพื่อที่สถานีจะได้ดำเนินการได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโฆษณามากเกินไป) คนเยอรมันได้ดูฟรีทีวีถึง 20 ช่อง ในขณะที่อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งมีการเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวปีละ 7,000 บาท และ 4,600 บาท ตามลำดับ มีทีวีฟรีให้ดูอยู่ไม่เกิน 5 ช่อง ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้สองประเทศนี้มีการตอบรับต่อเปย์ทีวีมากกว่า   สกายดอยท์ชแลนด์ ซึ่งอุตสาห์เปลี่ยนชื่อจาก “พรีเมียร์” มาครั้งหนึ่งแล้ว จึงรู้สึกปวดใจอย่างมากที่ขณะนี้มียอดสมาชิกอยู่เพียง 2.4 ล้านคน และจากการคาดการณ์ที่เข้าข้างตัวเองสุดๆ ก็พบว่าจะยังต้องขาดทุนต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 1 ปี ทั้งๆ ที่สถิติเมื่อปลายปี 2008 ระบุว่าเยอรมนีเป็นตลาดเปย์ทีวีที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ด้วยฐานลูกค้ากว่า 37 ล้านครัวเรือนที่มีเครื่องรับโทรทัศน์ อย่างว่า ถ้ามีของดีให้ดูอยู่แล้วเป็นเราก็คงไม่อยากเสียเงินเพิ่ม เพราะบางทีอุตส่าห์ควักกระเป๋าทุ่มทุนแล้วเราก็ยังอาจต้องมาดูโฆษณาอีกอยู่ดี ... ชิมิ ชิมิ--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เราไม่ยอมให้ใครเล็กกว่า เพิ่งจะรู้ว่าธุรกิจหมูกระเป๋า หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนามไมโครพิก “Micro Pig” นี่เขาก็มีการแข่งขันดุเดือดเหมือนกัน เจ้าหมูน้อยที่มีสนนราคาอยู่ที่ตัวละประมาณ 700 ปอนด์ หรือ 34,000 บาทนี้ เป็นของเล่นสุดฮิพของเหล่าเซเลบทั้งหลาย (ข่าวว่าครอบครัวเบคแฮมนักฟุตบอลคนดังก็เลี้ยง) โฆษณาของบริษัทลิ้ตเติ้ลพิกฟาร์มในนิตยสาร บรรยายสรรพคุณของหมูน้อยจากฟาร์มของตนเองว่าพวกมันเลี้ยงแสนง่าย ตัวเล็กสะดวกพกพาสุดๆ ขนาดไม่เกินแก้วเบียร์ปริมาตรหนึ่งไพนท์ พร้อมกับมีรูปเจ้าหมูกับแก้วเบียร์เปรียบเทียบกันด้วย สมาคมผู้เลี้ยงหมูพันธ์คูนคูนเห็นแล้วรับไม่ได้  ออกมาร้องเรียนต่อองค์การมาตรฐานโฆษณาของอังกฤษว่าโฆษณาดังกล่าวนั้นมันไม่จริ๊งไม่จริง ไม่มีหมูที่ไหนตัวเล็กขนาดนั้น นอกเสียจากมันจะเป็นพันธุ์คูนคูน และหมูของลิ้ตเติ้ลพิกก็ไม่ใช่พันธุ์ที่ว่าเสียด้วย องค์การดังกล่าวตรวจสอบแล้วฟันธงให้แบนโฆษณาที่ว่านั้นทันทีฐานหลอกลวงผู้บริโภค ... ดีนะเนี่ยที่มีตัวจริงเขาออกมายืนยัน ไม่งั้นคงได้เห็นไฮโซอังกฤษพกหมูกระสอบแทนหมูกระเป๋ากันบ้าง  --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เปิดให้หมด ลดเรื่องฟ้อง งานวิจัยของสหรัฐฯ พบว่าการเปิดเผยข้อมูลความผิดพลาดทางการแพทย์นั้น ไม่ได้ทำให้คนไข้ที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการมีการฟ้องร้องเพิ่มขึ้นอย่างที่ผู้ให้บริการทางการแพทย์กังวล ตรงกันข้าม มันช่วยลดเรื่องร้องเรียนและลดค่าชดเชยลงด้วย นี่คือผลจากการสำรวจระบบสุขภาพของรัฐมิชิแกน ก่อนหน้านี้มิชิแกนก็ใช้ระบบเหมือนที่อื่นทั่วไป คือเมื่อเกิดความเสียหายจากการรับบริการทางแพทย์ขึ้นผู้เสียหายก็จะเรียกร้องเงินช่วยเหลือหรือชดเชย ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ไปฟ้องร้องต่อศาล จนกระทั่งเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ระบบสุขภาพของมิชิแกนหันมาใช้รูปแบบการจัดการเรื่องนี้ใหม่ โดยเน้นที่การยอมรับความผิดทั้งหมดของแพทย์และโรงพยาบาล มีการขอโทษ และจ่ายค่าชดเชยให้ แนวๆเดียวกับขอนแก่นบ้านเรา งานวิจัยครั้งนี้พบว่าตั้งแต่มีระบบ “เปิดหมด” นั้น จำนวนเรื่องร้องเรียนลดลงไปกว่าครึ่ง การจ่ายค่าชดเชยก็ลดลง และจำนวนเงินชดเชยโดยเฉลี่ยต่อกรณีก็ลดลงจาก 400,000 เหรียญ เหลือ 225,000 เหรียญ ที่สำคัญกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาน้อยกว่าเดิมถึง 5 เดือนเลยทีเดียว ข่าวบอกว่ารัฐอื่นๆ เห็นแล้วเตรียมตัวจะนำไปใช้บ้าง อีกไม่นานมิชิแกนโมเดลคงจะเป็นที่แพร่หลายในอเมริกา--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อดวันนี้เพื่อวันหน้านักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าในปี ค.ศ. 2050 นั้นประชากรบนโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันล้านคน และมีงานวิจัย 21 ชิ้น ที่ยืนยันว่าเราไม่มีที่ดินเพียงพอสำหรับการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงคนจำนวนนั้นอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่ในอนาคตเลย ทุกวันนี้ 1 ใน 7 ของประชากรโลกก็ได้รับโปรตีนและพลังงานไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว แล้วต้องทำอย่างไร เราถึงจะได้ไปต่อ ... นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าต่อไปคงจะต้องใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อสัตว์สังเคราะห์ หรือแม้แต่ “เนื้อสัตว์นาโน” ขึ้นมา เทคโนโลยีใหม่ที่ว่านั้นจะต้องไม่เป็นพิษภัยต่อโลก และการผลิตอาหารจะต้องไม่ถูกผูกขาดโดยบรรษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่เจ้าแบบที่เป็นอยู่ขณะนี้ นั่นเป็นเรื่องของอนาคต แต่สิ่งที่เขาอยากให้ช่วยกันลงมือทำเดี๋ยวนี้คือการลดขยะอาหารลงให้ได้ร้อยละ 30 เอ้าพี่น้องครับ บ้านใครบ้านมันลงมือได้เลย---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 114 กระแสต่างแดน

      คนบ้านเดียวกันประเทศมั่งคั่งอย่างแคนาดาก็มีปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหารกับเขาเหมือนกันหรือนี่   สมาพันธ์การเกษตรแห่งแคว้นโนวา สโกเชีย บอกว่าในทุกๆ 1 เหรียญที่คนแคนาดาใช้จ่ายกับการซื้ออาหารนั้น มีเพียง 13 เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นรายได้ให้กับเกษตรกรในท้องถิ่น งานวิจัยที่ติดตามเรื่องนี้มาเป็นเวลากว่า 3 ปี พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว อาหารที่ประชากรของแคว้นนี้รับประทานกันอยู่นั้น ต้องเดินทางรอนแรมมาไม่ต่ำกว่า 4,000 กิโลเมตร โดยปกติแล้วครัวเรือนในแคนาดานั้นใช้จ่ายกับเรื่องอาหารค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว  เมื่อเทียบกับประชากรในอเมริกา หรือออสเตรเลีย   แต่งานวิจัยเรื่องนี้ระบุว่าปรากฏการณ์ห้างค้าปลีกเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกษตรกรในแคว้นนี้ต้องปิดกิจการกันไปเป็นจำนวนมาก เช่นปัจจุบันแคว้นนี้มีฟาร์มหมูเหลืออยู่เพียง 4 ฟาร์มเท่านั้น จากที่เคยมีถึง 90 ฟาร์มเมื่อ 10 ปีก่อน อย่างที่รู้ๆ กัน ซูเปอร์มาเก็ตเจ้าใหญ่ๆ สามารถนำเข้าสินค้าเกษตรในปริมาณมากและในราคาที่ค่อนข้างต่ำทำให้สามารถขายให้กับผู้บริโภคในราคาที่ถูกกว่าผลผลิตในท้องถิ่นได้ เกษตรกรในพื้นที่จึงต้องหันไปทำอย่างอื่นแทน  พูดง่ายๆ แคว้นนี้กำลังสูญเสียความสามารถในการพึ่งพาตนเองในเรื่องอาหารนั่นเอง เพราะคนรุ่นใหม่ก็ไม่สนใจที่จะสานต่อกิจการของเกษตรกรรุ่นปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มีอายุเฉลี่ย 55 ปีแล้วด้วย แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ถึงกับหมดหวัง รายงานดังกล่าวประเมินว่าถ้าผู้คนในแคว้นโนวา สโกเชียหันมาอุดหนุนเนื้อวัวที่ผลิตในท้องถิ่น จะทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 65.5 ล้านเหรียญ และสร้างงานได้ถึง 1,300 ตำแหน่งทีเดียว นั่นไง ฮีโร่ตัวจริงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ นี่เอง   นักศึกษาก็ผู้บริโภค ปัจจุบันมีเรื่องร้องเรียนจากนักศึกษาในอังกฤษและเวลส์เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยตัวเอง มากขึ้นร้อยละ 50 รายงานของสำนักงานตุลาการอิสระระบุว่า สาขาวิชาที่มีนักศึกษาร้องเรียนมากที่สุดได้แก่ บริหารธุรกิจ กฎหมาย และแพทย์ศาสตร์ และส่วนใหญ่มักเป็นนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาหรือนักศึกษาต่างชาติ รายงานดังกล่าวตั้งข้อสังเกตว่า การร้องเรียนที่เพิ่มขึ้นนี้แสดงให้เห็นว่านักศึกษาเริ่มมองเห็นตนเองในฐานะ “ผู้บริโภค”มากขึ้น และเริ่มรับ “การศึกษาที่ไม่ได้มาตรฐาน” ไม่ได้ เพราะนักศึกษาทุกวันนี้เริ่มมีหนี้สินมากขึ้น จึงทำให้มีความเครียด และความคาดหวังมากขึ้น   (แม้จะเป็นพียงแค่ร้อยละ 0.05 ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นเพราะการร้องเรียนนั้นมีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก)   ปีที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 1,007 เรื่อง และ 1 ใน 5 ของเรื่องร้องเรียนเหล่านี้   "เป็นเรื่องที่ฟังขึ้น" ข้อร้องเรียนส่วนใหญ่เกี่ยวกับการที่มหาวิทยาลัยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกระบวนการของตัวเองตามที่ได้แจ้งนักศึกษาไว้  ทั้งนี้สำนักงานตุลาการอิสระสามารถตรวจสอบว่ามหาวิทยาลัยได้ให้สิ่งที่สัญญาไว้กับผู้เรียนหรือไม่ แต่ไม่สามารถตรวจสอบเรื่องของการให้คะแนน การตัดเกรด หรือคุณภาพการสอนได้ในปี พ.ศ. 2552 มหาวิทยาลัยเหล่านี้ต้องจ่ายค่าชดเชยไปเป็นจำนวนทั้งสิ้น 163,000 ปอนด์  (ประมาณ 8 ล้านกว่าบาท) ซึ่งเป็นการจ่ายให้กับ การสูญเสียโอกาสในการได้งานทำ โอกาสในการก้าวหน้าทางการงานหรือความเครียด เป็นต้น   นักศึกษาคนหนึ่งได้รับเงินชดเชย 750 ปอนด์ (37,800 บาท) กับการที่ไม่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนเพราะมีคุณสมบัติไม่ครบตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด เขาร้องเรียนว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้แจ้งคุณสมบัตินั้นไว้ให้ชัดเจน อีกรายหนึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่ได้ค่าชดเชยไป 45,000 ปอนด์ (2 ล้าน 2 แสนบาท) จากการที่เขาต้องเสียเวลาไปกับกระบวนการตรวจสอบทางวินัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปถึง 3 ปีเต็ม -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   รถ ICE ที่ไม่เย็น คลื่นความร้อนที่เล่นงานประเทศต่างๆในยุโรป นั้นลุกลามเข้าไปถึงห้องโดยสารติดแอร์ของรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งระหว่างเมืองของเยอรมนี Inter City Express (ที่เรียกย่อๆ ว่า ICE) กับเขาด้วยดอยท์ชบาห์น หรือการรถไฟเยอรมนี จึงต้องรับผิดชอบด้วยการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้โดยสารที่ต้องพบแพทย์เพราะอาการเจ็บป่วยอันสืบเนื่องมาจากความร้อนที่ว่า คนละ 500 ยูโร (20,000 บาท) พร้อมกับคืนเงินค่าตั๋วให้ด้วย ขณะนี้มีคนมารับเงินชดเชยไปแล้วถึง 2,200 คน   สื่อเยอรมันรายงานว่าอุณหภูมิในห้องโดยสารนั้นสูงกว่า 50 องศาเซลเซียส ในขณะที่ระบบเครื่องปรับอากาศของตู้โดยสารนั้นสามารถรับมือกับอุณหภูมิได้สูงสุดแค่ 32 องศาเท่านั้น รูดิเกอร์ กรูบ ซีอีโอ ของการรถไฟเยอรมันตั้งคำถามกับประสิทธิภาพของรถไฟที่บริษัทใช้วิ่งอยู่ แต่นายกสมาคมอุตสาหกรรมรถไฟเยอรมนี ปฏิเสธข้อสงสัยดังกล่าว โดยยืนยันว่าบริษัทผู้ผลิตไม่มีทางทำรถไฟไก่กาที่ระบบแย่ๆ ออกมาแน่นอน ปัญหาน่าจะเป็นเพราะการดูแลรักษาที่ไม่ดีพอมากกว่า   อย่างไรก็ตามข่าวเขาบอกมาว่า ด้วยอากาศที่เปลี่ยนไป รถไฟรุ่นหน้าที่จะเข้าประจำการปีหน้านั้นจะทำมาให้สามารถรับมืออุณหภูมิได้ถึง 40 องศาเซลเซียสกันไปเลย@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@   เบียดเบียนคนแก่ สถานีโทรทัศน์ Nos ของเนเธอร์แลนด์ ออกมาแฉว่าเดี๋ยวนี้บรรดาบ้านพักฟื้นหรือบ้านพักคนชราจะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้บริการมากขึ้น ด้วยการเรียกเก็บค่าบริการเล็กๆ น้อยๆ ประปราย เช่น ค่าผลไม้ ค่ากระดาษทิชชู ค่าพาไปเดินออกกำลัง เป็นต้น ที่ต้องแฉก็เพราะว่าบรรดาบริการเหล่านี้ถือเป็นบริการที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของระบบประกันสุขภาพอยู่แล้วนั่นเอง   Nos TV บอกว่า ผู้ป่วยหรือคนชราที่พักอยู่ในสถานบริการเหล่านั้น ต้องจ่ายเงินเพิ่มค่ากาแฟ น้ำอัดลมหรือขนมขบเคี้ยว บางคนถูกเรียกเก็บค่าต่อสัญญาณโทรทัศน์หรือการอาบน้ำเพิ่มอีกหนึ่งครั้ง มีรายหนึ่งที่ต้องจ่ายค่าถุงมือและน้ำยาฆ่าเชื้อที่พยาบาลใช้ด้วย  สำนักงานประกันสุขภาพของเนเธอร์แลนด์บอกว่าได้รับเรื่องร้องเรียนมากขึ้นเกี่ยวกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับใบเรียกเก็บเงินของสถานบริการเหล่านี้ และได้ประกาศให้บรรดาศูนย์บริการเหล่านั้นรีบแก้ไข ไม่เช่นนั้นจะต้องจ่ายค่าปรับ แต่ยืนยันว่ายังไม่มีเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคถูกเก็บเงินเพิ่มเข้ามาเลย  ปัจจุบันในเนเธอร์แลนด์ มีคนที่ใช้บริการบ้านพักเหล่านี้อยู่ประมาณ 260,000 คน ประชาชนชาวดัทช์ทุกคนจะต้องทำประกันสุขภาพที่เรียกว่า AWBZ ที่ตนเองต้องจ่ายเบี้ยประกันในอัตราร้อยละ 12 ของเงินเดือน ซึ่งครอบคลุมการใช้บริการสถานพักฟื้นและบ้านพักคนชราด้วย ขณะนี้มีคน 600,000 คนภายใต้การดูแลของระบบประกันที่ว่านี้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 22,000 ล้านยูโร (ประมาณ 920,000 ล้านบาท) ต่อปี@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@   สวยต้องเสี่ยงลิปสติกสีแดงนั้นท่านว่ามักมีการปนเปื้อนของสารตะกั่ว สาวปากแดงโปรดระวัง องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้ทดสอบหาปริมาณสารตะกั่วในลิปสติกสีแดงทั้งหมด 22 ยี่ห้อ และ พบว่า ลิปสติกยี่ห้อคัฟเวอร์เกิร์ลและลอรีอัล นั้นมีตะกั่วปนเปื้อนในปริมาณสูงที่สุด องค์กรผู้บริโภคของนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่ลิปสติกสองยี่ห้อที่ว่ามานั้น ได้รับความนิยมในระดับต้นๆ บอกว่า องค์กรนี้กำลังเรียกร้องให้มีกฎหมายที่บังคับให้มีการแสดงส่วนประกอบรอง (เช่นตะกั่ว) ในเครื่องสำอางไว้บนฉลากด้วย(กฎหมายปัจจุบันกำหนดให้มีการแสดงเฉพาะส่วนผสมหลักเท่านั้น) เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารตะกั่วด้วย ผู้อำนวยการสมาคมน้ำหอมและเครื่องสำอาง การ์ธ วิลลี่ บอกว่าการทำลิปสติกสีแดงให้ปราศจากตะกั่วนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และปริมาณสารตะกั่วที่เกิดขึ้นในแต่ละล็อตแตกต่างกันไป บางล็อตอาจไม่มีเลย ในขณะที่บางล็อตก็แทบจะสูงเกินมาตรฐานที่กำหนด   ด้านโฆษกพร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล ผู้ผลิตลิปสติกยี่ห้อคัฟเวอร์เกิร์ลบอกว่าไม่ได้ใช้สารตะกั่วในการผลิต แต่ที่ตรวจพบนั้นเป็นตะกั่วที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ปริมาณที่จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ทางลอรีอัล ก็ยืนยันว่ามีตะกั่วในลิปสติกในปริมาณต่ำมากเช่นกัน นักพิษวิทยา ดร.ไมเคิล บีสลีย์ บอกว่าการจะระบุว่าปริมาณเท่าใดจึงจะเป็นอันตรายนั้นค่อนข้างยาก เพราะการเป็นพิษนั้นมีปัจจัยในเรื่องของการสะสมด้วย แต่ทั้งนี้ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ได้ประกาศห้ามใช้สารตะกั่วในลิปสติกทุกชนิดแล้ว อ้าว ... เรื่องสวยก็มีสองมาตรฐานกับเขาเหมือนกันหรือนี่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 112-113 กระแสต่างแดน

ขึ้นฟรีแบบมีประเด็นที่ปารีสมีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะขึ้นรถโดยไม่ซื้อตั๋ว เพราะต้องการเรียกร้องให้รัฐจัดบริการขนส่งมวลชนในปารีสให้ฟรี เหมือนกับบริการการศึกษา หรือบริการสุขภาพ  กลุ่มนี้เขารวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเป็นระบบ ใครโดนจับได้และถูกเรียกเก็บค่าปรับ เขาก็มีกองทุนเอาไว้จ่ายให้ด้วย หนังสือพิมพ์ เลอ ปาริเซียง รายงานว่าปัจจุบันมีกองทุนแบบนี้อย่างน้อย 10 กองทุน โดยสมาชิกร่วมอุดมการณ์นั่งรถฟรีแต่ละคนจะร่วมลงขันคนละ 5 – 7 ยูโร (ประมาณ 200 - 300 บาท) เพื่อสำรองไว้จ่ายค่าปรับ ปารีสเมโทร หรือ ขนส่งมวลชนปารีส เขาบอกว่าปัจจุบันร้อยละ 4 ของคนที่ขึ้นรถนั้นไม่ได้ซื้อตั๋ว ถ้าแยกดูตามเส้นทางจะพบว่า อัตราการขึ้นรถฟรีอยู่ที่ร้อยละ 10 สำหรับรถทางไกล และร้อยละ 6 สำหรับรถที่วิ่งในปารีส แต่ทั้งนี้ขนส่งฯ เขาบอกว่ารายได้จากตั๋วโดยสารนั้นเป็นเพียงแค่ร้อยละ 30 ของต้นทุนการดำเนินงานเท่านั้น เรียกว่าแทบจะไม่พอสำหรับการจ่ายเงินเดือนให้กับนายตรวจซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 968 คน (กลุ่มที่รณรงค์เพื่อรถฟรีเขาตั้งข้อสังเกตว่าค่าใช้จ่ายในปฏิบัติการไล่ล่านั้นน่าจะแพงกว่าราคาตั๋วด้วยซ้ำ)  ชาวปารีสต้องจ่ายค่าตั๋วถึง 1.70 ยูโร (ประมาณ 68 บาท) ในขณะที่ค่าโดยสารเฉลี่ยของประเทศอื่นๆ ในยุโรปอยู่ที่ 1 ยูโร (40 บาท) เท่านั้น อันที่จริง หลายเมืองในฝรั่งเศสเขามีรถฟรีให้ขึ้นกัน เมืองกงปิแอง ก็มีรถฟรีมาแล้ว 33 ปี นอกจากนี้ยังมีเมือง โอบาง กูโลเมีย วิตร หรือชาโตรู ซึ่งทางเมืองเขาคำนวณแล้วว่ารายได้จากการขายตั๋วนั้นไม่ได้มากอะไรเลย เมื่อเทียบกับต้นทุนทั้งหมดของการจัดการขนส่ง  ไม่รู้ว่า ขสมก. ของเราสนใจจะไปเยี่ยมชมดูงานของเขาหรือเปล่า จะได้รู้กันไปว่าการจะขึ้น “รถเมล์ฟรี จากภาษีของประชาชน” ที่ฝรั่งเศสนี่มันต้องเตรียมตัวออกสตาร์ทกันให้ดีเหมือนที่บ้านเราหรือเปล่า --------------------------------------------------------------------- ของ (ไม่น่าจะ) เสีย ปัญหาที่อเมริกาและกลุ่มประเทศในทวีปอัฟริกามีเหมือนกันคือการสูญเสียอาหารปริมาณมหาศาลไปโดยเปล่าประโยชน์  อัฟริกายังขาดแคลนเทคโนโลยีในการเก็บเกี่ยวและเก็บรักษาพืชผล ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรกว่า 1 ใน 4 ต้องเน่าเสียไปก่อนจะได้กลายเป็นอาหาร เพราะสภาพอากาศที่รุนแรง โรคพืช และศัตรูพืช เป็นต้น ในแต่ละปีมีผลิตผลอย่างพืชไร่ ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ปลา นมวัว เสียหายไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 48 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ประชากรกว่า 265 คนอยู่ในภาวะอดอยาก  ส่วนอเมริกานั้น แม้จะมีเทคโนโลยีขั้นเทพก็ยังมีปัญหาเรื่องอาหารที่ต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน ในแต่ละวันคนอเมริกันหนึ่งคน จะทิ้งอาหารประมาณ 1.5 ปอนด์ (เช่น ผักกาดที่เฉาไปนิด เบอร์เกอร์ที่กินไปเพียงครึ่ง หรือแอปเปิ้ลที่ช้ำๆ ดูไม่น่ากิน) รวมๆ แล้วทำให้เกิดเป็นขยะปริมาณเท่ากับสะพานโกลเด้นเกท 74 สะพาน ที่ต้องเป็นธุระนำไปฝังกลบหรือไม่ก็เผาอีกต่างหาก  ร้อยละ 34 ของก๊าซมีเทนในสหรัฐฯ ก็เกิดจากขยะมหึมากองนี้  ถ้าย้อนกลับไปดูที่แหล่งผลิต จะพบว่ามีผลผลิตถูกทิ้งให้เสียไปไม่น้อยเหมือนกัน องค์กรการกุศลแห่งหนึ่ง ส่งอาสาสมัครไปตามฟาร์มต่างๆ เพื่อเก็บผลผลิตสภาพดีที่เหลือทิ้ง ปรากฏว่าเขาสามารถเก็บมาได้ถึง 15.7 ล้านปอนด์ (ข้อมูลปี 2552) ฟู้ด รันเนอร์ ก็เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่จัดหาอาหารสัปดาห์ละ 10 ตัน ให้กับคนไม่มีบ้านอยู่ หรือบ้านพักคนชรา โดยอาหารเหล่านั้นคือของที่ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่ใช้แล้วนั่นเอง สถาบัน Worldwatch ฟันธงแล้วว่า อันตรายหมายเลขหนึ่งของโลกเราทุกวันนี้ ได้แก่ “วัฒนธรรมกินใช้อย่างเหลือเฟือ” นี่แหละ ซึ่งไม่ได้ระบาดเฉพาะในหมู่คนอเมริกัน ผู้บริโภคทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะหย่าขาดจากมันให้ได้ --------------------------------------------------------------------- รถสะดวกขาย ในนิวยอร์กมีรถบรรทุกเร่ขายอาหารกว่า 3,000 คัน รถเร่เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมท้องถิ่นไปแล้ว และเทคโนโลยีอย่างทวิตเตอร์ก็ทำให้ธุรกิจนี้มีสีสันขึ้นด้วยการช่วยให้แฟนพันธุ์แท้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของรถเจ้าประจำได้ ว่าขณะนี้ไปจอดอยู่ที่ไหน   รถเร่เหล่านี้เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคทั้งในด้านความหลากหลายและราคา เรียกว่ามีอาหารนานาชนิดขาย ตั้งแต่ ไอศกรีม ฮอทดอก วอฟเฟิล บราวนี่ และอื่นๆ ด้วยสนนราคาเฉลี่ยเพียง 10 เหรียญ แต่ปัญหาคือเดี๋ยวนี้รถเร่บางคัน กลับจอดปักหลักขายตามหัวมุมถนนที่คนจอแจเสียนี่ บางคันจอดยึดพื้นที่ตั้งแต่ 10.00 โมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน บางเจ้าก็ถึงขั้นทำใบปลิวเมนูของร้านพร้อมระบุตำแหน่งที่จอดไว้ด้วย(มั่นใจขนาดนั้นเลย) หลังจากมีเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขยะหรือคราบน้ำมันที่รถเร่เหล่านี้ทิ้งไว้ ปัญหาเรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอ การถูกบดบังหน้าร้าน (สำหรับร้านที่ตั้งอยู่ริมฟุตบาธ) เป็นต้น สมาชิกสภาเทศบาลนิวยอร์ก เจสสิกา แลพพิน จึงนำเสนอร่างกฎหมายให้มีการเพิกถอนใบอนุญาตที่กรมสุขภาพออกให้รถเร่เหล่านี้ ถ้าพวกเขาได้รับใบสั่งจราจรมากกว่า 2 ใบ ในระยะเวลา 1 ปี จากการจอดติดเครื่องหรือหยอดเหรียญในมิเตอร์เพื่อซื้อเวลาจอดรถ ต้องรอดูกันต่อไปว่าร่างนี้จะผ่านเป็นกฎหมายหรือไม่ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญอย่างไร ในวันที่มีการรับฟังความคิดเห็นนั้นมีกลุ่มผู้ค้ารถเร่และบรรดาขาประจำรวมตัวกันเพื่อยื่น 4,000 รายชื่อที่ไม่เห็นด้วยกับร่างดังกล่าว สมาชิกสภาฯ คนดังกล่าวยืนยันว่า ถ้ารถเร่เหล่านี้ต้องการพื้นที่ขายถาวร ก็ควรจะไปหาพื้นที่เปิดเป็นร้าน ถ้าจะเป็นรถเร่ ก็ต้องเร่ให้ตรงคอนเซ็ปต์ --------------------------------------------------------------------- ไม่ซ่อมก็จ่ายมา ที่อังกฤษนั้นถ้าคุณขับรถตกหลุมบนถนน สิ่งแรกที่ควรทำคือกลับบ้านไปเปิดคอมพิวเตอร์ เข้าเว็บไซต์ www.fixmystreet.com หรือ www.potholes.co.uk เพื่อตรวจสอบว่าหลุมที่ไปตกมานั้นมีคนแจ้งซ่อมเข้าไปหรือยัง ถ้ามีแล้ว ก็หมายความว่าคุณมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐได้ ทุกวันนี้มีผู้เดือดร้อนเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้จริงๆ เนื่องจากหน่วยงานของรัฐ เช่น Highways Agency หรือเทศบาลท้องถิ่นจ่ายค่าชดเชยให้โดยอ้างอิงจากหลุมบ่อที่ “ขึ้นทะเบียน” หรือมีการแจ้งซ่อมแซมไว้แล้วแต่รัฐยังไม่ดำเนินการให้เท่านั้น สถิติระบุว่าในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รัฐซ่อมไปแล้วกว่า 1.4 ล้านหลุม (ในลอนดอนอย่างเดียว ก็ปาเข้าไป 120,000 หลุม) ด้วยงบประมาณกว่า 100 ล้านปอนด์ บ้านเราน่าจะลองเอาไอเดียนี้มาใช้ดูบ้าง ดูท่าทางการแจ้งผ่านรายการทำนอง “ทุกข์ชาวบ้านชาวช่อง” หรือ “ช่วงนี้ชี้ให้ดูนะ” คงจะไม่พอเสียแล้ว ---------------------------------------------------------------------   เย็นอย่างพอเพียง เทศบาลเมืองไทเป ไต้หวัน ออกกฎหมายให้อาคารสำนักงานและห้างร้านใหญ่ๆ ที่บริโภคไฟฟ้าเป็นปริมาณมาก ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไว้ที่ 26 องศาเซลเซียส ใครเย็นไปกว่านี้มีปรับกฎหมายว่าด้วยการประหยัดพลังงานและการลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคธุรกิจ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ โดยจะมีช่วงเวลาให้ปรับตัว 6 เดือน หลังจากนั้นถ้าใครตั้งเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 26 องศาเซลเซียส ก็จะถูกปรับเป็นเงินระหว่าง 10,000 บาทถึง 50,000 บาท ช่วงแรกเขาจะบังคับใช้กับธุรกิจที่ใช้ไฟมากกว่า 100,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ต่อเดือน หรือจ่ายค่าไฟเดือนละมากกว่า 300,000 บาท ปัจจุบันในเมืองหลวงของไต้หวันมีองค์กรประเภทนี้ (ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างค้าปลีก โรงแรม ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน) 540 แห่ง ธุรกิจเหล่านี้บริโภคไฟร้อยละ 38 ของพลังงานไฟฟ้าในไทเป ถ้าแต่ละแห่งลดการบริโภคไฟลงร้อยละ 1 ก็จะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าในปริมาณที่สามารถใช้ได้กับ 7,000 ครัวเรือนต่อปีเลยทีเดียว ---------------------------------------------------------------------   หมูย้อมแมว บริษัท Primo SmallGood ทางตะวันตกของเมืองซิดนีย์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารจากเนื้อหมูที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ โดนปรับเป็นเงินประมาณ 6 ล้าน 7 แสนบาท โทษฐานที่ติดฉลาดผลิตภัณฑ์เบคอนของตนว่าเป็น “ผลิตภัณฑ์ของออสเตรเลีย” สาเหตุที่โดนค่าปรับแพงที่สุดตั้งแต่มีการใช้กฎหมายนี้มาก็เพราะเบคอนที่ว่านั้นทำจากเนื้อหมูที่นำเข้าจากเดนมาร์กและแคนาดา นี่เป็นอีกระดับของการคุ้มครองผู้บริโภค ..แม้สินค้าจะไม่ได้เป็นอันตราย แต่ก็ถือว่าได้ละเมิดสิทธิของผู้บริโภคที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง อย. ของนิวเซาท์เวลส์เขารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2008 เลยเริ่มทำการสืบสวนบริษัทผู้ผลิตอาหารภายในรัฐ และพบว่าบริษัทนี้มีผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลากผิดทั้งหมด 100 ตัน จึงแจกไป 63 ข้อหาภายใต้กฎหมายอาหารของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ทั้งนี้ข่าวเขาบอกว่ายังต้องพิสูจน์กันต่อไปว่าบริษัทดังกล่าวได้รับผลประโยชน์ทางการเงินจากการติด “ฉลากผิด” ที่ว่าด้วยหรือไม่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 111 กระแสต่างแดน

โซฟา ไม่โซกู้ดใครจะไปนึกว่าโซฟาหนังแท้ที่อุตส่าห์ทุ่มทุนไปซื้อมาไว้นั่งเล่นชิลๆ จะทำให้เราเป็นแผลพุพองเรื้อรังได้ เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้วที่อังกฤษ ซึ่งมีผู้บริโภคหลายพันคนได้รับความเดือดร้อนจากการใช้โซฟามหาภัยที่ซื้อจากร้านเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังอย่าง อาร์กอส หรือโฮมเบส เป็นต้น เรื่องก็มีอยู่ว่า โซฟาบางส่วนที่ขายในร้านเหล่านี้ผลิตโดยบริษัท Linkwise และ Eurosofa ในประเทศจีน ทั้งสองโรงงานนี้จะใส่สารไดเมทธิลฟูราเมท (หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า DMF) ไว้ในตัวโซฟาเพื่อป้องกันไม่ให้มันขึ้นราในขณะที่ถูกเก็บไว้ในโกดัง เมื่อโซฟาเหล่านี้เข้าไปอยู่ในห้องนั่งเล่นของผู้บริโภค สารดังกล่าวก็กลายสภาพเป็นก๊าซและระเหยออกมาในอากาศ ทำให้หายใจลำบากและรู้สึกระคายเคืองตา นอกจากนี้ยังสามารถทะลุผ่านเสื้อผ้าไปยังผิวหนังทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนไปจนถึงเป็นแผลเรื้อรังในบางรายด้วย ศาลอังกฤษตัดสินให้ร้านเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้นจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้บริโภครายละ 1,200 ถึง 9,000 ปอนด์ (ประมาณ 35,000 – 260,000 บาท) แตกต่างกันไปตามความร้ายแรงของอาการเจ็บป่วย ขณะนี้โซฟาหนังมหาภัยขายออกไปแล้ว 100,000 ตัว นอกจากที่ฟ้องร้องและได้ค่าชดเชยไปแล้ว 2,000 ราย จะมีตามมาอีกประมาณ 2,500 ราย ข่าวเขาบอกว่าใครที่ซื้อไปแล้วให้นำกลับมารับเงินคืนหรือเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่นได้ แต่น่าแปลกที่ยังไม่มีการประกาศเรียกคืนโซฟามหาภัยทั้งหมด ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แชมป์รอสายองค์กรผู้บริโภคของนิวซีแลนด์ทำการสำรวจระยะเวลาที่ผู้บริโภคต้องรอสายเมื่อโทรเข้าไปที่ศูนย์บริการของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต(ทั้งหมด 10 เจ้า สำหรับรองรับประชากร 4 ล้านคนทั้งประเทศ) และพบว่าลูกค้าของเทลสตราเคลียร์ต้องรอนานที่สุด เขาพบว่าถ้าคุณโทรเข้าไปที่ศูนย์บริการของเทลสตราเคลียร์ ในวันอังคาร ช่วงเวลา 23:40 น. – 01:30 น. คุณจะใช้เวลารอสาย 30 นาที ถ้าเป็นวันพฤหัส ช่วงเวลา 18:30 น.– 20:00 น. คุณจะได้ถือสายรอ 58 นาที ซึ่งความจริงตัวเลขดังกล่าวนี้ต่ำกว่าที่ทางบริษัทเขาแจ้งเตือนไว้อีกนะ(บริษัทแจ้งไว้ว่าเวลารอสายของช่วงดังกล่าวอาจนานถึง 36 นาที และ 65 นาที ตามลำดับ) เขาแจ้งว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะปริมาณลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 จนขณะนี้มีลูกค้ากว่า 300,000 รายที่ต้องให้บริการ(พูดเหมือนเป็นความผิดของลูกค้านะนี่)ด้วยความไม่พร้อมดังกล่าวจึงทำให้พนักงานที่ให้บริการเองก็เครียดไม่แพ้กัน หนุ่มสาวชาวกีวี่ที่อายุระหว่าง 17 – 29 ปี ที่ผ่านการฝึกเป็นเวลา 3 สัปดาห์ก่อนเริ่มปฏิบัติงาน จะต้องรับฟังคนโทรเข้ามาระบายอารมณ์ใส่แล้วก็ต้องรีบรับสายต่อไปทันทีโดยไม่มีเวลาผ่อนคลาย คิดไปคิดมาบริษัทประกาศว่าอาจจะต้องย้ายฐานศูนย์บริการไปยังเมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานในนิวซีแลนด์ (ซึ่งบริษัทจ้างด้วยค่าตอบแทนชั่วโมงละ 20 เหรียญ หรือประมาณ 470บาท บวกกับโบนัสจากจำนวนครั้งที่รับสายและความรวดเร็วในการแก้ปัญหา) ต้องตกงานไม่ต่ำกว่า 120 คนนักวิเคราะห์บอกว่าบริการจะดีขึ้นหรือไม่ยังบอกไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ บริษัทจะประหยัดเงินได้หลายล้านเหรียญทีเดียว --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อาหาร “ห้ามนำเข้า”โรงภาพยนตร์ในไต้หวันนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าจริงจังกับการห้ามผู้บริโภคนำอาหาร(ที่ไม่ได้ซื้อจากหน้าโรง) เข้าไปรับประทาน ... อ่อ นึกว่าเป็นแต่ที่เมืองไทยเสียอีก แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลไต้หวันได้ออกประกาศห้ามโรงภาพยนตร์การกระทำดังกล่าว โรงไหนฝ่าฝืนจะถูกปรับประมาณ 60,000 ถึง 150,000 บาท โดยจะยอมให้ห้ามได้เฉพาะอาหารบางอย่าง เช่น อาหารที่ทำให้เกิดเสียงดังเวลารับประทาน และอาหารที่มีกลิ่นแรงเท่านั้น ส่วนอาหารอื่นๆ ถ้าคนดูต้องการจะนำอาหารอย่าง น้ำอัดลม กาแฟ ข้าวโพด หรือฮอทด็อก แม้จะไม่ได้ซื้อจากหน้าโรง ก็ให้สามารถนำเข้าไปได้ ทั้งนี้เขาเปิดช่องให้แต่ละโรงไปทำรายการอาหารห้ามนำเข้ากันเอาเอง ซึ่งจากการสำรวจโรงภาพยนตร์ 10 แห่งในกรุงไทเป โดยองค์กรผู้บริโภคของไต้หวันปรากฎว่าเกือบร้อยละ 80 ของโรงภาพยนตร์ที่สำรวจ มีข้อห้ามที่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล เช่นห้ามนำเบอร์เกอร์เข้าไป โดยให้เหตุผลเรื่องกลิ่น แต่ในขณะเดียวกันที่หน้าโรงก็ขายฮอทด็อก(ซึ่งกลิ่นก็ไม่น่าจะต่างกัน) บางโรงมีข้อกำหนดไว้เฉพาะเจาะจงมากเช่น ขนมจีบทอด ข้าวกล่องเบนโตะ เครป ทุเรียน เม็ดแตงโม(ดูเหมือนว่าจะแล้วแต่ว่าพนักงานจะคิดอะไรได้) ในขณะที่บางแห่งก็ระบุไว้กว้างๆ ว่าห้ามนำ “อาหารร้อน” เข้าไป อย่างหลังนี่ก็ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอยู่เหมือนกัน เพราะทำให้เข้าใจไปว่าห้ามนำอาหารจากภายนอกทั้งหมดแต่โรงหนังเขายังมีหมัดเด็ดไว้จัดการกับผู้ชมที่จะนำอาหารเข้าไปรับประทาน ด้วยการเก็บ “ค่าธรรมเนียมในการทำความสะอาด” อีกนะ เขาช่างมุ่งมั่นดีจริงๆ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- จ่ายแพงกว่าทำไมมารค์แอนด์สเป็นเซอร์งานเข้า เมื่อองค์กรผู้บริโภคของอังกฤษออกมาแฉว่า กางเกงกำจัดเซลลูไลท์ของทางร้านซึ่งราคาตัวละ 29.50 ปอนด์ (ประมาณ 1,450 บาท)นั้นมีคุณสมบัติไม่แตกต่างไปจากกางเกงทั่วๆ ไปที่ใส่ให้รัดต้นขาเลย ทางร้านโฆษณาว่ากางเกงดังกล่าวสามารถกำจัดเซลลูไลท์บริเวณรอบเอวและต้นขาได้ ด้วยส่วนผสมจากอโลเวรา วิตามินอี และคาเฟอีน ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในครีมลดเซลลูไลท์ทั่วไปเชียวนะ เขาอ้างว่าคาเฟอีนจะทำให้ขาเรียวและกระชับ ในขณะที่วิตามินอีจะช่วยป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่น และอโลเวราจะทำให้ผิดเรียบเนียน โดยสารเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาจากฟองอากาศขนาดเล็กๆ บนตัวกางเกงในขณะที่ผู้สวมใส่เคลื่อนไหวร่างกาย ศัลยแพทย์และแพทย์ผิวหนังบอกกับกับนิตยสาร WHICH? ว่ากางเกงทั่วไปที่ใส่รัดต้นขาให้แน่น ก็ให้ผลไม่ต่างกัน เพราะการรัดของมันจะทำให้เซลลูไลท์ลดลงชั่วคราวด้วยการรีดของเหลวออกจากเนื้อเยื่อนั่นเอง และส่วนผสมสุดวิเศษสามอย่างที่ว่านั้น ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีปริมาณมากพอที่จะให้ผลที่ต้องการหรือไม่ ----------------------------------------------------------------------------------------------------- ซองใหม่ ไม่ชวนสูบเดือนกรกฎาคม 2012 ออสเตรเลียจะเป็นประเทศแรกในโลกที่ ซองบุหรี่จะต้องดูเรียบๆ ไม่มีโลโก้ ไม่มีสีสันฉูดฉาด ดึงดูดใจอีกต่อไป นอกจากนี้ยังต้องมีคำเตือนตัวใหญ่ๆ ถึงอันตรายต่อสุขภาพ โดยยี่ห้อนั้นเขาให้พิมพ์ตัวเล็กๆ ไว้ด้านล่าง นายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์ บอกว่านี่เป็นกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดในโลก และบริษัทบุหรี่คงจะไม่ชอบแน่นอนแต่สงสัยจะเข้มไม่พอจึงต้องแถมด้วยการขึ้นภาษีอีกร้อยละ 25 ซึ่งจะทำให้บุหรี่ขนาดซองละ 30 มวนขึ้นราคาอีกซองละ 60 บาท งานนี้ค่ายบุหรี่ตอบโต้ทันทีด้วยการขู่ว่าจะฟ้องร้องแน่นอน โฆษกของผู้ผลิตบุหรี่อิมพีเรียล โทแบคโคบอกว่า “การใช้ซองเรียบๆ ก็เท่ากับเป็นการทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถแยกแยะยี่ห้อของเราออกจากยี่ห้ออื่นได้ ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการสูญเสียประโยชน์ของบริษัท” ส่วนร้านค้ารายย่อยบอกว่า การขึ้นราคาบุหรี่ก็จะส่งผลต่อธุรกิจของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้คนหันไปซื้อจากตลาดมืดมากขึ้น ประธานกลุ่มร้านค้าปลีก IGA บอกว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการทำร้ายคนออสซี่จำนวน 16 ล้านคนที่เลือกการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย งานนี้ดูท่าว่ารัฐจะหนาว เพราะตามกฎหมายของออสเตรเลียนั้นบริษัทบุหรี่สามารถที่จะฟ้องร้องขอค่าชดเชยจากการถูกบังคับเปลี่ยนลักษณะของซองผลิตภัณฑ์ได้ และรัฐบาลจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้เป็นเงินถึงปีละ 3000 ล้านเหรียญ(ไม่ต่ำกว่า 86,000 ล้านบาท)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 กระแสต่างแดน

เกลือต้องห้าม แม้ครั้งหนึ่งเกลือจะเคยมีค่าดั่งทองและมีเครดิตเป็นหนึ่งในรากฐานของอารยธรรมมนุษย์ แต่วันนี้เกลืออาจมีโอกาสตกอับถึงขั้นโดนห้ามใช้ในร้านอาหาร ถ้าคุณเป็นแฟนกระแสต่างแดน คงจำกันได้ว่ารัฐนิวยอร์คของอเมริกานั้นช่างเป็นรัฐที่เป็นห่วงเป็นใยสุขภาพประชากรดีจริงๆ ขณะนี้มีประชากรนิวยอร์คที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่ถึง 1.5 ล้านคน รัฐบาลท้องถิ่นที่นั่นจึงออกมารณรงค์ให้ผู้คนบริโภคเกลือให้น้อยลง โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะลดการบริโภคเกลือลงให้ได้ร้อยละ 25 ภายในเวลา 5 ปี นายฟิลิกส์ ออร์ทิส สมาชิกสภาจากเขตบรู๊คลิน เลยคิดจะจัดการกับปัญหานี้อย่างเด็ดขาดด้วยการเสนอร่างกฎหมายห้ามร้านอาหารในนิวยอร์คใช้เกลือเสียเลย ถ้าจับได้ว่าร้านไหนแอบใส่ก็จะลงโทษด้วยการปรับ 1,000 เหรียญ (ประมาณ 32,000 บาท) คุณออร์ทิสแกบอกว่าสำหรับผู้บริโภคนั้นไม่มีปัญหา ถ้าใครอยากได้รสเค็มก็เติมเองได้จากกระปุกเกลือที่มีวางไว้คู่กับกระปุกพริกไทยบนโต๊ะ จุดประสงค์ของเขาคือต้องการให้ผู้บริโภคเป็นคนที่ควบคุมปริมาณเกลือด้วยตนเอง แต่บรรดาพ่อครัวในร้านอาหารต่างก็หงุดหงิดไปตามๆ กัน พวกเขามองว่าเป็นการห้ามที่เหลวไหลที่สุด และเผลอๆ อาจจะบ่อนทำลายธุรกิจอาหารของเมืองไปด้วย คนอเมริกันบริโภคเกลือวันละ 3,400 มิลลิกรัม ซึ่งเกินจากปริมาณที่แนะนำ 2,300 มิลลิกรัมไปเยอะทีเดียว     รวยเกินไป หัวใจว้าวุ่นข่าวดีสำหรับประเทศที่ยังไม่รวยทั้งหลาย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารอิโคโนมิก เจอร์นัล พบว่าความมั่งคั่งนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาวะของคนในชาติ อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์สองคน เคอร์ทิส อีตัน จากมหาวิทยาลัยคาลการี และมูเคช เอสวารานจากมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย เขาฟันธงว่าคนอังกฤษมีสุขภาวะที่แย่ลงสืบเนื่องจากความอยากได้อยากมี และเขาคาดว่านโยบายรัดเข็มขัดที่รัฐบาลอังกฤษจะนำมาใช้นั้นจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ อีตันและเอสวาราน เสนอแนวคิดว่าเมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งมีมาตรฐานการใช้ชีวิตของประชากรที่ดีในระดับหนึ่งแล้ว การสร้างความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นให้ประชากรก็แทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไร โดยทั่วไปเมื่อประเทศร่ำรวยเกินภาวะอยู่ดีกินดี การบริโภคของคนในชาติก็จะเปลี่ยนเป็นการซื้อสิ่งที่เรียกว่า “สัญลักษณ์ทางสถานภาพ” เช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม เครื่องประดับล้ำค่า หรือรถหรู มากกว่าการซื้อคุณค่าการใช้สอยตามปกติของสินค้านั้น ทฤษฎีการบริโภคเพื่อความโดดเด่น บอกว่าคนเราแสวงหา “สถานภาพ” ผ่านทางการบริโภคแบบนี้ ซึ่งคุณค่านั้นไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่เราบริโภค หากแต่เป็นเพราะมันทำให้คนที่บริโภคได้รู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น ที่สำคัญคือคนเราจะแสวงหาสินค้าประเภทนี้กันมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว รวมๆ แล้วงานวิจัยของพวกเขาช่วยยืนยันว่าเวลาที่ความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นนั้น ประชากรจะมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นแต่ไม่ได้มีความสุขมากขึ้นไปด้วย และเมื่อคนมุ่งแสวงหา “สัญลักษณ์ทางสถานภาพ” ที่ว่านี้ ก็จะมีเวลาใส่ใจกับเพื่อนบ้าน ชุมชนและสังคมน้อยลง ส่งผลให้ภาวะความอยู่ดีมีสุขร่วมกันลดลงไปโดยปริยาย เฮ้อ รอดตัวไป ดีนะที่ยังไม่รวย บอลลิวูดก็โดนผีหลอกไม่ใช่แค่ฮอลลิวูดเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับภัยแผ่นผี ธุรกิจภาพยนตร์อินเดียที่มีมูลค่าสูงถึง 2,300 ล้านเหรียญก็ต้องสูญเสียรายได้ไปไม่น้อยกับการลักลอบดาวน์โหลดหรือปั๊มแผ่นเช่นกัน สถานการณ์เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ในอินเดียแย่ลงฮวบฮาบ เพราะความเร็วในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่จำนวนครัวเรือนที่มีเครื่องเล่นดีวีดีก็เพิ่มจาก 4 ล้านครัวเรือน เป็น 45 ล้านครัวเรือนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ข่าวบอกว่าการอัพโหลดไฟล์หนังขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตจะมีขึ้นทุกๆ 5 นาที และมีการประมาณการว่าภารตะชนซื้อแผ่นผิดกฎหมายประมาณปีละ 700 ล้านแผ่น สร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตแผ่นปลอมไป 330 ล้านเหรียญชิลๆ ด้านฮอลลิวูดก็ดีใจที่จะได้บอลลิวูดมาเป็นพันธมิตรในการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ โดยทั้งนี้ก็จะพยายามลืมๆ ไปว่าครั้งหนึ่งเคยเคืองบอลลิวูดอยู่ไม่น้อยที่ชอบก็อปปี้หนังดังๆ ของตนเองมาทำเป็นฉบับภารตะ เพราะถ้าอินเดียสามารถปราบปรามได้ก็จะเป็นผลดีต่อตนเองไปด้วย ใครจะไม่อยากได้ตลาดอินเดียที่มีประชากร 1,000 ล้านคนที่ชื่นชอบการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจมากกว่าที่ใดๆ ในโลก แต่คงจะเป็นงานหนักอยู่เหมือนกัน แม้ข่าวจะไม่ได้บอกว่าตั๋วหนังที่อินเดียราคาเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆแผ่นผีซึ่งราคาประมาณ 2 เหรียญ (ประมาณ 65 บาท) ก็ทำให้คนไม่อยากเข้าโรงหนังสักเท่าไร คล้ายๆ ที่ประเทศไหนน้า.... ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ช้อปได้แม้อยู่ในห้องน้ำห้องน้ำที่สถานีรถไฟโอซาก้า ในย่านกินซ่าของญี่ปุ่นกำลังเป็นสถานที่แฮงเอาท์แห่งใหม่ของทั้งเด็กมัธยมและสาววัยทำงาน บริการห้องน้ำ “แองเจิลบี” ที่เปิดบริการมาได้ 3 ปีกว่านี้คิดค่าบริการประมาณ 100 บาทต่อหนึ่งชั่วโมง นอกจากเข้าไปทำธุระส่วนตัวแล้ว สาวๆ ยังจะสามารถนั่งจิบชาสมุนไพรชิลๆ  เรียนเทคนิคการแต่งหน้า ทำผม หรือแม้แต่เลือกซื้อชุดชั้นในกันได้ ผู้ประกอบการห้องน้ำดังกล่าวได้แก่บริษัทเวสต์ เจแปน เรลเวย์ ที่ให้บริการรถไฟในฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู บอกว่าที่เปิดบริการนี้ก็เพราะได้รับเสียงเรียกร้องจากบรรดาผู้โดยสารหญิงว่าไม่มีสถานที่ให้พวกเธอได้เติมหน้าเติมปากหรือแต่งผมหลังการเดินทางยาวไกลเลย บ้างก็บอกว่าไม่มีกิจกรรมอะไรจะทำเพื่อฆ่าเวลาขณะรอรถไฟ ทุกวันนี้กิจการดีมาก สาวๆ เข้ากันหัวบันไดไม่แห้ง จนมีผู้ประกอบการอื่นๆ เข้ามาทำการตลาดกันในห้องน้ำกันด้วย เช่น พานาโซนิคก็ส่งช่างผมมืออาชีพมาแนะนำวิธีการใช้เครื่องรีดผมของตัวเอง หรือบริษัทเสื้อชั้นในวาโก้ก็มีเสื้อชั้นในรุ่นใหม่ๆ มาให้สาวๆ ได้ลอง รวมถึงชิเซโด้ที่มาตั้งเคานท์เตอร์เครื่องสำอางด้วยเช่นกัน ข่าวไม่ได้บอกว่าค่าบริการจะลดลงหรือไม่หลังจากมีสปอนเซอร์แล้ว หรือสาวๆ จะต้องเสียเงินเข้าไปทำอย่างเดียวกับที่ทำได้ในห้างโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆ เลย +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เมืองปลาที่ไม่มีปลา อีกครั้งที่ผู้บริโภคต้องเตือนตนเองว่าสิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นจริงเสมอไป นักท่องเที่ยวมากมายที่ไปเยือนฟลอริด้าจะต้องไม่พลาดการสั่งอาหารทะเลมารับประทาน ไม่อย่างนั้นจะเหมือนไปไม่ถึง แต่ขณะนี้ชาวประมงในรัฐที่เรียกตนเองว่า “เมืองหลวงแห่งการตกปลาของโลก”  จับปลาได้น้อยลง เพราะภาวะอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติในบางช่วง รวมถึงกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นเช่นข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาในการจับปลา หรือชนิดของปลาที่อนุญาตให้จับได้ ชาวประมงที่นี่เคยชุมนุมประท้วงต่อต้านนโยบายเรื่องการจับปลามาแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ห้ามจับปลาชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เป็นการห้ามจับปลาทุกชนิดในบริเวณที่ปลาชนิดนั้นๆอาศัยอยู่ด้วย ปัจจุบันชาวประมงจำนวนไม่น้อยจึงเลิกอาชีพนี้ไป และเรือที่ลอยอยู่ในน่านน้ำฟลอริด้านั้นส่วนใหญ่เป็นพวกล่องเรือตกปลาเล่นๆ มากกว่าจะเป็นประมงตัวจริง สรุปว่าปลาที่เสิริ์ฟในร้านอาหารที่ฟลอริด้านี้เป็นปลานำเข้าจากที่อื่น เช่น แซลมอนจากนอร์เวย์หรือสก็อตแลนด์ ทูน่าครีบเหลืองและโลมาจากเอกวาดอร์ ปลาเก๋าจากเม็กซิโกหรือไม่ก็เวียดนาม เป็นต้น ทางร้านอาหารบอกว่าปลาที่ไหนมันก็ปลาเหมือนกัน(ถ้างั้นกินที่บ้านก็น่าจะได้หรือเปล่า) แต่ตามความเห็นของนักชีววิทยาทางทะเลแล้วปลาที่เดินทางไกลเหล่านี้จะมีคุณภาพลดลง หนึ่งเพราะระยะเวลาและสองกฎระเบียบที่ควบคุมการจับปลาในบางประเทศนั้นไม่เข้มงวดเท่าที่ฟลอริด้าอีกด้วย +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ร่วมใช้ร่วมจ่ายเขตปกครองพิเศษฮ่องกงประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ลดการใช้ถุงพลาสติกด้วยการเก็บภาษีถุงพลาสติกในราคาใบละ 50 เซ็นต์ ( 2 บาท) ไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาจึงคิดจะเริ่มปฎิบัติการขั้นต่อไปในการสร้างจิตสำนึกของการบริโภคอย่างรับผิดชอบ (ค่าใช้จ่าย) ต่อไปผู้บริโภคที่ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการรีไซเคิลเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนั้นในวันที่เราไม่ต้องการมันอีกต่อไป เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างโทรทัศน์จะมีค่าจัดการ 100 เหรียญฮ่องกง (ประมาณ 420 บาท) หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างตู้เย็นจะมีค่าจัดการเพิ่มขึ้นอีกเท่าเป็น 200 เหรียญ แต่รายละเอียดนั้นเขายังเถียงกันไม่จบ เช่น ค่าธรรมเนียมที่ว่านั้นจะถูกลงหรือไม่ถ้าเราใช้มันนานขึ้นและจะเก็บค่าธรรมเนียมเท่ากันหรือไม่สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างขนาด ต่างกำลังไฟ ร้อยละ 86 ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ในฮ่องกงนั้นเป็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และคอมพิวเตอร์

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 กระแสต่างแดน

คุณค่าที่ไม่คู่ควร องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ลุกขึ้นมาประกาศสงครามกับผู้ผลิตที่ติดฉลาก อวดอ้างสรรพคุณที่ไม่เป็นจริงบนผลิตภัณฑ์อาหาร เนื่องจากมีให้เห็นกันแพร่หลายจนเกินทน ถึงวันนี้มีผู้ประกอบการที่ได้รับจดหมายเตือนไปแล้ว 17 บริษัท หนึ่งในนั้นคือเนสท์เล่ที่เรารู้จักกันดี ข่าวบอกว่าข้อความบนฉลากของน้ำผลไม้ยี่ห้อจูซี่ จูซ ของเนสท์เล่นั้น ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าเครื่อง ดื่มดังกล่าวทำมาจากผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเป็นการนำเอาน้ำผลไม้หลายชนิดมารวมกัน แล้วแต่งกลิ่น นอกจากนี้บริษัทยังถูกตักเตือนเรื่องอาหารเสริมสำหรับเด็กยี่ห้อเกอเบอร์ ด้วยเหตุที่ข้อมูล โภชนาการที่แจ้งบนฉลากนั้นยังไม่ได้รับการรับรองสำหรับเด็กอายุ 2 ปี อีกหนึ่งบริษัทที่ถูกอย. สหรัฐฯ จับจ้องอยู่ได้แก่ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำทับทิมยี่ห้อ POM ที่ให้ข้อมูลกับผู้บริโภคบนเว็บไซต์ของตนเอง (โดยแจ้งเว็บไซต์ไว้ที่ฉลาก) ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถป้องกันหรือรักษาอาการเครียด เบาหวาน หรือมะเร็งได้ แม้จดหมายเหล่านี้จะเป็นเพียงการขอความร่วมมือจากบริษัท แต่อย่างน้อยๆ ก็เป็นการส่งสารไป ยังผู้บริโภคว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นเสมอไป และถ้าอะไรมันดูเหมือนจะดีเกินจริง ก็คงเป็นเพราะมันไม่จริงนั้นแล ... -------------------------------------------------------------------------------------------------------------- คุมน้ำหนักด้วยอาหารฟาสต์ฟู้ด ?นาทีนี้อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกของธุรกิจ แม้แต่ผู้ให้บริการโปรแกรมลดน้ำหนัก Weight Watchers ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกก็ยังจับมือกับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแมคโดนัลด์ ต่อไปนี้ แมคนักเก็ต เบอร์เกอร์ปลา และแร็พไก่ ที่ขายในร้านแมคโดนัลด์สาขาในนิวซีแลนด์ จะมีโลโก้ของ Weight Watchers อยู่ด้วย เพื่อเป็นการรับรองว่าคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักนั้น สามารถกินได้ ไม่ต้องกังวลWeight Watchers ชื่อที่ได้รับการเชื่อถือมานานด้วยระบบ การให้แต้มกับอาหารแต่ละประเภท โดยคิดจากปริมาณแคลอรี่ และไขมันอิ่มตัว ถ้าต้องการจะลดน้ำหนักด้วยโปรแกรมนี้เรา จะต้องควบคุมปริมาณอาหารให้อยู่ที่วันละ 18 – 40 แต้ม โดย แต่ละคนก็จะมีแต้มที่ต่างกันไปตามแต่น้ำหนัก ส่วนสูง อายุ เพศ และกิจกรรมในแต่ละวัน งานนี้ Weight Watchers ถึงขั้นออกมารับรองว่าอาหารชุดของแมคที่เสิร์ฟพร้อมสลัดและน้ำ/น้ำอัดลม แบบไร้น้ำตาล จะมีค่าเท่ากับ 6.5 แต้ม บริษัทอ้างว่าอยากจะส่งสารไปยังคนที่ควบคุม น้ำหนักว่าพวกเขายังมีความสุขกับชีวิตได้แม้จะอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก (ว่าแต่ความสุขนี่มันหาได้จากอาหาร ฟาสต์ฟู้ดอย่างเดียวรึ)มองในทางกลับกัน มันจะทำให้ผู้คนหันมาบริโภคอาหารประเภทนี้กันด้วยความเข้าใจว่ามันดีต่อสุขภาพ และยังไม่นับว่าเมื่อเข้าไปในร้านแล้วลูกค้าก็อาจจะสั่งโดนัทหรือมิลค์เชคเพิ่มจากอาหารสามประเภทที่ว่า นั้นด้วย หลายฝ่ายมองว่ามันคือแผนเพิ่มยอดขายด้วยการดึงลูกค้ากลุ่มที่ควบคุมน้ำหนักตัวให้เข้าร้าน จะมีหรือไม่มีโลโก้ ไก่ชุบแป้งทอดก็ยังเป็นไก่ชุบแป้งทอดอยู่นั่นเอง ----------------------------------------------------------------------------------------------------------ห่อให้ด้วย ช่วยลดโลกร้อน เพิ่งรู้ว่าคนญี่ปุ่นเขาไม่นิยมเก็บอาหารที่ทานไม่หมดในร้านติดตัวกลับบ้านไปด้วย การสำรวจเมื่อสองปีก่อนพบว่ามีคนญี่ปุ่นพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่เข้าใจแนวคิดเรื่องการนำอาหารเหลือกลับบ้าน ดังนั้นเขาถึงมีการก่อตั้งองค์กรขึ้นมารณรงค์เปลี่ยนทัศนคติคนให้ช่วยกันลดขยะจากอาหารเหลือตามร้าน ปีนี้องค์กร DoggyBag Committee ได้ทำการสำรวจอีกครั้งและพบว่าร้อยละ 90 ของผู้ตอบเห็นด้วย กับการนำอาหารที่กินเหลือกลับบ้าน (องค์กรนี้บอกว่าความจริงแล้วเมื่อ 20 -30 ปีก่อนคนญี่ปุ่น ก็นิยมเก็บอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงกลับบ้านกันเป็นปกติ) เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของภัตตาคารบุฟเฟ่ต์ในญี่ปุ่นที่มีบริการห่อกลับบ้านให้กับลูกค้า ร้านที่เป็นผู้บุกเบิกได้แก่ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ 3 แห่งของโรงแรมในเครือโคคุไซ แต่เขาก็มีการจำกัดปริมาณในการห่อกลับบ้านและต้องตรวจสอบก่อนว่าอาหารที่จะให้ลูกค้านำกลับนั้นจะยังอยู่ได้อีกหลายชั่วโมง นอกจากนี้ยังกำชับให้กินให้หมดภายในวันเดียวด้วย ขณะนี้ร้านเล็กๆ เริ่มให้ความร่วมมือกับการบรรจุถุง/กล่องกลับบ้านให้ลูกค้า แต่ร้านใหญ่ๆ บอกว่ายังไม่อยากทำเรื่องนี้เต็มตัวจนกว่าจะแน่ใจว่าสังคมญี่ปุ่นให้การยอมรับเรื่องนี้อย่างจริงจัง กระทรวงเกษตรของญี่ปุ่นบอกว่า ในปี พ.ศ. 2550 มีขยะจากอุตสาหกรรมอาหารถึง 11 ล้านตันต่อปี นับเป็นสถิติที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศที่พัฒนาแล้ว และการจัดการกับขยะเศษอาหารในญี่ปุ่น นั้นมีค่าใช้จ่ายประมาณ 36 บาทต่อ 1 กิโลกรัม --------------------------------------------------------------------------------------------------------------ขวดเก่าไปบอลโลกกำลังรออยู่ว่าฟุตบอลโลกที่อัฟริกาใต้ปีนี้จะมีมุขอะไรออกมารณรงค์เพื่อการลดโลกร้อนกันบ้าง ข่าวแรกออกมาแล้วว่าบรรดานักเตะจาก 9 ทีมดังที่มีไนกี้เป็นสปอนเซอร์หลักจะสวมเสื้อที่ทำจากใยโพลีเอสเตอร์ที่ผ่านการรีไซเคิลมาจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้ว ขวดพวกนี้จะเดินทางมาจากญี่ปุ่นและไต้หวัน เพื่อเข้าแถวรับการตัด หลอม แล้วปั่นเป็นเส้นใย ซึ่งสามารถนำไปทอเป็นผืนผ้าและเย็บเป็นตัวเสื้อ เขาบอกว่าเสื้อหนึ่งตัวจะใช้ขวดประมาณ 8 ขวด บริษัทบอกว่า “เสื้อขวด” นั้นจะมีราคาเท่ากับเสื้อปกติ แม้ว่าวัสดุรีไซเคิลนั้นจะมีราคาแพงกว่า ผ้าธรรมดาอยู่บ้างแต่ก็สามารถชดเชยด้วยการประหยัดงบในส่วนอื่นๆ เพราะจะว่าไปแล้วการ ผลิตเสื้อแบบนี้สามารถลดการใช้พลังงานในการผลิตได้ถึงร้อยละ 30 เลยทีเดียว การตัดสินใจผลิตเสื้อรุ่นดังกล่าวออกมาช่วยทำให้ขวดพลาสติก จำนวน 13 ล้านขวด ได้อวตารมาเป็นเสื้อ 1.5 ล้านตัว แทนจะกลาย เป็นวัสดุถมดิน------------------------------------------------------------------------------------------------------------------มาสอนก็มีเสี่ยงนับถึงวันนี้มีครูชาวอังกฤษเสียชีวิตไปแล้ว 178 คน จากอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับแร่ใยหิน (แอสเบสทอส) และนั่นคือสาเหตุที่หน่วยงานท้องถิ่น 34 หน่วยงานกำลังถูกสอบสวนอยู่ในขณะนี้ การสุ่มสำรวจโรงเรียน 16 โรงโดยสมาคมให้คำปรึกษาและฝึกอบรมเกี่ยวกับแร่ใยหินพบว่า ไม่มีโรงเรียนไหนเลยที่มีระบบป้องกันอันตรายจากแร่ใยหินซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิด โรคมะเร็งที่เยื่อหุ้มปอด ข่าวดังกล่าวทำให้สมาคมครูในอังกฤษออกมาเรียกร้องให้มีการตั้งองค์กรอิสระขึ้นมากำกับ ดูและและให้คำแนะนำในเรื่องแร่ใยหินและการกำจัดหรือจัดการมันในเขตโรงเรียน รัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้ประกาศว่ารัฐบาลจะจัดทำคู่มือเรื่องการจัดการแร่ใยหิน เพื่อแจกให้กับบรรดาครูใหญ่ ผู้ว่าการรัฐ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานท้องถิ่นได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เนื่องจากประมาณร้อยละ 75 ของโรงเรียนในอังกฤษนั้นมีการใช้แร่ใยหินในวัสดุก่อสร้าง เบื้องต้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กำจัดวัสดุอาคารที่ชำรุดเสียหายที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินออกไปก่อน ส่วนวัสดุที่ยังไม่เสียหายนั้นให้ปล่อยไว้อย่างนั้นโดยเพิ่มการจัดการที่ดีแทน โชคดีที่อังกฤษเขามีกฎหมายเรื่องนี้เข้มพอสมควร จึงทำให้เรื่องนี้ได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว ส่วนประเทศไทย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราซึ่งมีการใช้วัสดุก่อสร้างที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบกันอย่างแพร่หลายเช่นกัน จะหันมาให้ความสนใจกับการจัดการแร่ใยหินอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนเขาบ้าง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สายการบินสปิริตสูงออสเตรเลียก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เกิดกรณีร้องเรียนจำนวนมากจากผู้ใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ รัฐบาลจึงออกกฎให้สายการบินเหล่านี้เสนอสิ่งที่เรียกว่า “ข้อตกลงกับผู้โดยสาร” เพื่อเป็นการรับประกัน ว่าผู้โดยสารจะได้รับบริการที่ดีขึ้น สายการบินเจ็ทสตาร์รีบลงมือทำเรื่องนี้ก่อนใคร หลังจากเสียคะแนนไปเยอะเมื่อปลายเดือนมกราคม ที่ผ่านมาเมื่อเครื่องบินที่จะต้องพาผู้โดยสารจากเกาะภูเก็ตกลับไปออสเตรเลีย เกิดเหตุขัดข้อง ทางเทคนิค ทำให้ผู้โดยสารจำนวน 290 คนต้องติดค้างอยู่ที่ภูเก็ตถึง 2 คืน แต่บริษัทก็รีบกู้ชื่อกลับมาด้วยการให้การชดเชยและปลอบใจผู้โดยสารแบบที่สายการบินอื่นๆ ต้องอึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจ็ทสตาร์บอกว่างานนี้ใช้เงินไปประมาณ 1 ล้านเหรียญออสเตรเลีย (เกือบๆ 30 ล้านบาท) สำหรับการส่งเครื่องบินเปล่ามารับผู้โดยสาร และจ่ายเงินคืนเต็มจำนวน ให้กับผู้โดยสารทุกคน เฉลี่ยคนละ 1,000 เหรียญ (ประมาณ 29,500 บาท) เงินชดเชยอีกคนละ 600 เหรียญ (ประมาณ 17,600 บาท) และค่าที่พัก 2 คืนในโรงแรมที่ภูเก็ตด้วย สายการบินอื่นจะไม่อึ้งได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมาอย่างเก่งสายการบินก็ยอมคืนเงินให้ บางส่วนหรือไม่ก็แจกเวาเชอร์มูลค่า 50 เหรียญ (ประมาณ 1,500 บาท) ให้ผู้โดยสารเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 108 กระแสต่างแดน

เรื่องเท้าของสาวอังกฤษ ไม่ใช่มีแต่สาวจีนเท่านั้นที่นิยมการมีเท้าเล็ก ข้อมูลงานวิจัยของสมาคมแพทย์โรคเท้าแห่งอังกฤษระบุว่าในช่วงมหกรรมลดราคารองเท้าประจำหน้าร้อนเมื่อปีก่อน มีสาวเมืองผู้ดีร้อยละ 37 ซื้อรองเท้าที่เล็กกว่าขนาดเท้าจริงของพวกเธอ (ข่าวบอกว่าปัจจุบันขนาดเท้าโดยเฉลี่ยของสาวอังกฤษเท่ากับ เบอร์ 6)งานวิจัยครั้งนี้สำรวจผู้หญิงอังกฤษจำนวน 2,000 คน โดยสมาคมดังกล่าวยังพบอีกว่าร้อยละ 80 ของผู้หญิงกลุ่มนี้มีปัญหาเกี่ยวกับเท้า เช่น นิ้วเท้าผิดรูป เล็บขบ เป็นต้น แต่มีเพียงร้อยละ 40 เท่านั้นที่ไปพบแพทย์ ร้อยละ 73 ของสาวๆ เหล่านี้ ใส่รองเท้าที่มีส้นสูงเกินห้านิ้วอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยแต่ละครั้งจะสวมเป็นเวลาประมาณ 6 ชั่วโมง มีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้นที่สวมรองเท้าที่มีส้นสูงไม่เกินสองนิ้วที่น่าเป็นห่วงคือแม้บรรดาผู้เชี่ยวชาญจะออกมาแนะนำว่าไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงเกินอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง แต่ก็ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ใส่ส้นสูงกันห้าวันต่อสัปดาห์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าความจริงแล้วปัญหาเท้านั้นแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการใส่รองเท้าที่เป็นมิตรต่อเท้า แต่ที่ยากคือจะทำอย่างไรให้สาวๆ ยอมเลิกใส่รองเท้าส้นสูงซึ่งใครๆ ก็บอกว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเสริมลุคให้ดูดีนั่นเอง ก็ไม่แน่นักเพราะแม้แต่วิคตอเรีย เบคแฮม ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าถ้าเธอไม่ได้ใส่ส้นสูงแล้วจะคิดอะไรไม่ออก ก็ยังเปลี่ยนมาใส่รองเท้าส้นแบนสลับกับรองเท้ากีฬาเวลาที่เธอไปไหนมาไหน เหตุผลน่ะหรือ ก็เพราะเธอคือหนึ่งในสาวอังกฤษที่เป็นโรคนิ้วเท้าผิดรูปนั่นเอง +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ต้องการอาสาสมัครเปิดเผยข้อมูลการใช้โทรศัพท์ถ้าเราใช้โทรศัพท์มือถือบ่อยๆ เราจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบประสาท เนื้องอก โรคซึมเศร้า หรือโรคนอนไม่หลับ มากกว่าคนที่ไม่ค่อยใช้หรือไม่ งานวิจัยชิ้นล่าสุดโดยองค์กรที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยของนิวเคลียร์และรังสีของประเทศฟินแลนด์ (STUK) กำลังจะหาคำตอบนี้ให้ได้ ด้วยงานวิจัยแบบที่ยังไม่มีใครกล้าทำมาก่อน การสำรวจที่เกิดจากการผลักดันขององค์การอนามัยโลกครั้งนี้จะเป็นการขอข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของผู้ใช้โทรศัทพ์มือถือโดยตรงจากผู้ให้บริการ เหตุที่เลือกทำงานสำรวจดังกล่าวที่ฟินแลนด์ก็เพราะที่นั่นมีการใช้โทรศัพท์มือถือกันมานานกว่าที่ใดๆ ในโลก (คนที่นั่นเขาใช้มือถือมาตั้งแต่ช่วงปี 80 แล้ว) ในปีที่ผ่านมาผู้วิจัยได้สุ่มหมายเลขโทรศัพท์ขึ้นมา 30,000 เลขหมาย และส่งเอกสารไปยังเจ้าของเบอร์เหล่านั้น เพื่อให้ลงชื่อแสดงความยินยอมให้ผู้ให้บริการมือถือของตนเปิดเผยข้อมูลการใช้โทรศัพท์ (หมายเลข และเวลา) กับองค์กร STUKใครที่ยินดีเข้าร่วมงานวิจัยก็ให้ลงชื่อและส่งกลับมา จากนั้นพวกเขาก็จะได้รับแบบสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพและพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของตนเอง ข่าวไม่ได้บอกว่าเขาต้องการผู้เข้าร่วมกี่คน แต่บอกว่าการสุ่มหมายเลขหาอาสาสมัครนี้จะยังดำเนินการต่อไปในปีนี้และปีหน้าด้วย ก็ได้แต่หวังว่าคนประเทศนี้เค้าจะไม่มีกิ๊กกันมากนัก ไม่เช่นนั้นคงต้องรอกันนานกว่าจะได้อาสาสมัครที่ยอมเปิดเผยข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือตามจำนวนที่นักวิจัยเขากำหนด และอาจจะไม่เสร็จภายในเวลาห้าปีตามแผน +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ อวตาร VS ขงจื้อ รัฐบาลจีนเขาใช้มาตรการเด็ดขาดในการลดคู่แข่งให้กับภาพยนตร์ชีวประวัติของขงจื้อซึ่งจะเข้าฉายในช่วงวันหยุดตรุษจีนที่เพิ่งผ่านไป เรื่องนี้ทำได้ไม่ยากแค่ประกาศยกเลิกการฉายภาพยนตร์แอนิเมชั่นอวตาร ในแบบสองมิติในโรงหนังทั่วประเทศจีนเท่านั้นเอง ถ้าใครอยากดูจริงๆ ก็ต้องไปดูในแบบสามมิติที่ยังมีฉายอยู่ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ทางผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ UME ของจีนเขาบอกว่าไม่น่าจะมีผลกระทบใดๆ (ก็คงจะไม่มีจริงๆ นั่นแหละเพราะร้อยละ 90 ของโรงหนังค่ายนี้เป็นโรงหนังสามมิติหรือไม่ก็โรงหนังไอแม็กซ์) และการถอนโปรแกรมเรื่องอวตารซึ่งทำยอดขายตั๋วได้สูงที่สุดในประเทศจีน (ได้ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 300 ล้านหยวน หรือ 1,500 ล้านบาท) ออกไปจะทำให้มีโรงสำหรับฉายภาพยนตร์เรื่องขงจื้อมากขึ้น แต่ผู้บริโภคนี่สิ ถ้าอยากดูก็ต้องจ่ายค่าตั๋วหนังแพงขึ้น ในขณะที่ตั๋วหนังธรรมดาใบละไม่เกิน 40 หยวน (200 บาท) ถ้าเป็นตั๋วหนังสามมิติก็ไม่ต่ำกว่า 60 หยวน (300 บาท) โรงไอแม็กซ์ก็ไม่ต่ำกว่า 130 หยวน (650 บาท) ที่ประเทศจีนมีโรงภาพยนตร์ธรรมดาทั้งหมด 4,500 โรง โรงหนังสามมิติ 800 โรง และโรงหนังไอแม็กซ์อีก 10 กว่าโรง ++++++++++++++++++++++++++++++++++++ อินเดียหยุดแผนปลูกมะเขือดัดแปรพันธุกรรมเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วรัฐบาลอินเดียประกาศอนุญาตให้มีการปลูกมะเขือม่วงดัดแปรพันธุกรรมพันธุ์ BT bringal เพื่อการค้าได้ หลังจากที่การปลูกในแปลงทดลองเป็นผลสำเร็จในปีก่อนหน้านั้น แต่วันนี้นายใจราม ราเมช รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของอินเดีย ออกมาประกาศว่าอินเดียจะระงับการปลูกพืชดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่าจะมีผลการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอีกว่ามันปลอดภัยต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม เรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างรุนแรงในอินเดีย ข่าวระบุว่าคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการปลูกพืชดัดแปรพันธุกรรมชนิดนี้มีอยู่อย่างละเท่าๆ กัน เกษตรกรส่วนหนึ่งมองว่านี่คือทางรอดของพวกเขาเพราะทุกวันนี้ต้องใช้สารเคมีปริมาณมากในการควบคุมวัชพืชให้กับมะเขือม่วง พวกเขาหวังว่าเจ้า BT bringal ที่คิดขึ้นมาโดย บริษัท Mahyco ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของมอนซานโต ในอินเดียนั้นจะเป็นคำตอบ ในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่เชื่อว่ามะเขือม่วงแบบดัดแปรพันธุกรรมนั้นจะสามารถช่วยเกษตรกรประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับสารเคมีได้จริง เพราะพวกเขาเห็นมาแล้วว่าฝ้ายดัดแปรพันธุกรรม BT cotton ที่ปลูกกันมาได้ระยะหนึ่งแล้วนั้นไม่ได้ช่วยลดการใช้สารเคมีหรือเพิ่มผลผลิตต่อไร่แต่อย่างใด อินเดียคือผู้ผลิตมะเขือม่วงรายใหญ่ที่สุดในโลก และมีมะเขือชนิดนี้มากกว่า 4,000 พันธุ์ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เลิกสะสมแต้มกันเถอะบัตรสะสมแต้มของห้างค้าปลีกไม่ได้ช่วยให้คุณจับจ่ายได้อย่างคุ้มค่าขึ้นแต่อย่างใด งานวิจัยโดยนิตยสารเพื่อผู้บริโภค Choice ของออสเตรเลียเขายืนยันว่าอย่างนั้น Choice พบว่าในปีที่ผ่านมาคนออสซี่ใช้จ่ายเงินในห้างค้าปลีกสัปดาห์ละ 156 เหรียญ (ประมาณ 4,600 บาท) ถ้าคิดจากอัตรานี้ ผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของบัตรสมาชิกห้างค้าปลีกจะต้องใช้เวลา 7 ปีถึงจะสะสมแต้มได้เพียงพอสำหรับแลกตั๋วเครื่องบินไปกลับซิดนีย์ – เมลเบิร์น (ไม่รวมภาษีและค่าธรรมเนียม) แต่ปัญหาคือเจ้าคะแนนสะสมที่ว่านั้นมีอายุแค่ 3 ปีเท่านั้น นอกจากนี้เขายังพบอีกว่าสมาชิกห้างโคลหรือวูลเวิร์ธ ต้องใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 15,000 หรือ 11,000 เหรียญ (442,000 หรือ 324,000 บาท) ตามลำดับ ถึงจะแลกคูปองราคา 50 เหรียญ (1,400 บาท) ซึ่งคิดแล้วก็เท่ากับการได้ส่วนลดไม่เกิน 70 เซ็นต์ (20 บาท) ต่อการซื้อของในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเราสามารถประหยัดเงินจำนวนเท่านั้นได้ทันทีด้วยด้วยการซื้อของให้น้อยลงหนึ่งชิ้น หรือเลือกยี่ห้อที่ราคาถูกกว่า หรือถ้าจะให้ดีก็ไปซื้อจากร้านที่เขาขายถูกกว่านั้นเสียเลย ไม่จำเป็นต้องรักเดียวใจเดียว คนที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ จากบัตรสมาชิกเหล่านี้ก็มีแต่ทางห้างที่ออกบัตรนั่นเอง เพราะนอกจากยอดขายจะเพิ่มขึ้นเห็นๆ (มีสถิติที่ระบุว่าลูกค้าทั่วไปของห้างแห่งหนึ่งใช้จ่ายเฉลี่ยปีละประมาณ 23,500 บาท ในขณะที่ลูกค้าที่มีบัตรสมาชิกของห้างจะใช้จ่ายเฉลี่ยมากกว่านั้นอีกประมาณ 800 บาท) ทางห้างยังได้ข้อมูลส่วนตัวพร้อมพฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้าไปวางแผนการตลาดได้อีก ร้านวอลมาร์ทในอเมริกาก็เคยพบว่า ในช่วงบ่ายวันศุกร์กลุ่มลูกค้าผู้ชายที่อายุระหว่าง 25–35 ปี จะซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปพร้อมๆ กับเบียร์ ก็เลยย้ายเบียร์มาวางไว้ที่ชั้นใกล้ๆ กับชั้นผ้าอ้อมสำเร็จรูปเสียเลย ผลคือยอดขายเพิ่มขึ้นถล่มทลาย นอกจากนี้บัตรสมาชิกที่ให้สะสมแต้มพวกนี้ยังดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาจับจ่ายที่ร้านนั้นๆ อีกด้วย เพราะว่ากันว่าโดยธรรมชาติแล้วผู้บริโภคมักจะหลายใจ(งานวิจัยเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่ามีลูกค้าเพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้นที่จะซื้อของจากร้านเดียว) Choice บอกว่าถ้าผู้บริโภคต้องการจะประหยัดก็อย่าไปหวังพึ่งโปรโมชั่นสะสมแต้มพวกนี้ แค่เปลี่ยนไปจับจ่ายในห้างค้าปลีกที่ใกล้บ้านเดือนละครั้ง(อย่างน้อยๆ ก็ประหยัดค่าน้ำมันรถได้ทันที) และเลือกสินค้าแบบเปรียบเทียบราคาต่อหน่วย และถ้าต้องการซื้อของเพียงไม่กี่ชิ้นก็อุดหนุนร้านโชว์ห่วยแถวบ้านดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม >