ฉบับที่ 264 ลายกินรี : อคติทางเพศกับนิติวิทยาศาสตร์แบบสตรี

          ละครโทรทัศน์แนวสืบสวนสอบสวนของต่างประเทศ มักยืนอยู่บนความคิดที่ว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” แต่การเข้าถึงความจริงในคดีความฆาตกรรมต่างๆ นั้น ก็ต้องอาศัยองค์ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยมาเป็นคำตอบ แต่จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อละครแนวพีเรียดอย่าง “ลายกินรี” หันมาผูกเรื่องราวการ “สืบจากศพ” ชนิดย้อนไปในยุคประวัติศาสตร์ก่อนที่วิทยาศาสตร์จะมาเป็นคำตอบกันโน่นเลยทีเดียว         เปิดเรื่องละครย้อนไปในยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เมื่อผัวเมียคู่หนึ่งกำลังตกปลาไปขาย แต่กลับพบศพชายต่างชาติคนหนึ่ง ที่ท่อนบนแต่งกายคล้ายสตรีและมีผ้านุ่งลายกินรีพันติดอยู่กับร่างกาย ส่วนท่อนล่างนั้นเปลือยเปล่า ซึ่งต่อมาละครก็เฉลยว่าเป็นศพของ “กปิตันฌอง” ชาวฝรั่งเศสที่ผูกพันกับราชสำนักยุคนั้น จุดเริ่มเรื่องแบบนี้ดูผิวเผินก็ไม่ต่างจากการวางพล็อตของซีรีส์สืบสวนสอบสวนที่คุ้นเคยกันโดยทั่วไป         แม้จะมีเส้นเรื่อง “สืบจากศพ” เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงว่า ใครกันแน่ที่เป็นฆาตกรฆ่ากปิตันฌอง แต่ในเวลาเดียวกัน เพราะเหตุการณ์ย้อนกลับไปราวสามร้อยกว่าปีก่อน ละครจึงเป็นประหนึ่ง “ห้องทดลอง” ให้ผู้ชมในกาลปัจจุบัน ได้หันมาทบทวนหวนคิดถึงคุณค่าบางอย่างที่ยึดถือกันแนบแน่นในสังคมทุกวันนี้         และค่านิยมหนึ่งที่คดีฆ่ากปิตันฌองได้ตีแผ่ให้เห็นก็คือ การตั้งคำถามต่อตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมของผู้หญิง เมื่อต้องดำรงตนอยู่ในวิถีแห่งชายเป็นใหญ่ที่มายาคติหลักของสังคมโอบอุ้มเอาไว้ โดยสะท้อนผ่านความสัมพันธ์ของตัวละครหญิงที่ถูกผูกโยงเข้ากับการเปิดโปงปมที่มาและที่ไปแห่งการฆาตกรรม         ตัวละครผู้หญิงคนแรกที่เกี่ยวพันกับกรณีนี้ก็คือ นางเอก “พุดซ้อน” หญิงสาวที่สืบทอดวิชาชีพหมอรักษาคนไข้จาก “หมอโหมด” ผู้เป็นบิดา แต่เพราะคนในสมัยก่อนโน้นไม่เชื่อมั่นในหมอผู้หญิง พุดซ้อนจึงบังหน้าโดยใช้ชื่อ “หมอมี” ผู้เป็นพี่ชายที่ไม่เอาถ่าน มาเป็นหมอรักษาผู้ไข้แทน         เมื่อชะตาชีวิตของพุดซ้อนถูกลากโยงให้ได้มาตรวจศพของกปิตันฌอง และเธอลงความเห็นว่า ชายชาวฝรั่งเศสเสียชีวิตก่อนที่จะถูกลากศพมาทิ้งอำพรางในแม่น้ำ พุดซ้อนก็ถูกดูแคลนจาก “หลวงอินทร์” หรือ “ออกญาอินทราชภักดี” เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา พระเอกหนุ่มผู้ไม่เพียงตั้งแง่กับหมอพุดซ้อน แต่ยังใช้ข้ออ้างเรื่องความเห็นของหญิงสาวจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับสยามประเทศ อันจะนำไปสู่ภัยสงครามในยุคที่จักรวรรดิยุโรปเรืองอำนาจอยู่         อย่างไรก็ดี หน้าฉากของวาจาดูถูกเหน็บแนม และข้ออ้างเรื่องความขัดแย้งกับชาติมหาอำนาจ แท้จริงแล้วยังมีเบื้องลึกอีกด้านที่สังคมพยายามกีดกันผู้หญิงออกไปจากการเข้าถึงสรรพวิชาความรู้ของพวกเธอ         ทั้งนี้ หากความรู้แพทยศาสตร์และนิติเวชศาสตร์ถูกขีดขอบขัณฑ์ให้อยู่ใต้อำนาจบัญชาแห่งบุรุษเพศ สังคมก็จะมีความพยายามปิดกั้นศักยภาพของสตรีที่ก้าวล่วงมาใช้อำนาจแห่งความรู้เพื่อสืบสวนคดีความฆาตกรรม ไม่ต่างจากที่พุดซ้อนได้เคยพูดตอกหน้าหลวงอินทร์ว่า “ท่านตั้งป้อมใส่ข้า เพียงเพราะว่าหมอหญิงถูกมองเป็นเพียงหมอตำแยเท่านั้น”         แม้จะถูกด้อยค่าความรู้ที่มี แต่เพราะวิถีแห่งผู้หญิงมีลักษณะแบบ “กัดไม่ปล่อย” เหมือนที่พุดซ้อนกล่าวว่า “พ่อข้าสอนไว้เสมอว่า หากตั้งใจทำสิ่งใด จงมุ่งหน้าทำให้สำเร็จ ยิ่งเกิดเป็นแม่หญิง ยิ่งต้องพิสูจน์ให้คนที่ปรามาสมองให้เห็นจงได้” ดังนั้น เราจึงเห็นภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าของหมอพุดซ้อนที่พากเพียรใช้องค์ความรู้ต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาจากบิดา เพื่อเผยให้ฆาตกรที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของเหตุฆาตกรรม         เริ่มต้นตั้งแต่การใช้ความรู้ด้านเภสัชและเคมีโบราณมาทดสอบสารพิษของ “เห็ดอีลวง” ที่คนร้ายใช้วางยาฆ่ากปิตันฌอง การประยุกต์ทฤษฎีด้านนิติวิทยาศาสตร์มาวินิจฉัยรอยมีดที่อยู่บนร่างของศพ ไปจนถึงการใช้ชุดความรู้การผ่าศพที่ทั้งผิดธรรมเนียมจารีตของชาวสยาม และไม่ใช่วิถีปฏิบัติที่ผู้หญิงพึงจักกระทำ         และที่สำคัญ ดังที่คนโบราณมักกล่าวว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” แต่สำหรับพุดซ้อนแล้ว แม้นางเอกของเราก็เรียนรู้อยู่แก่ใจว่า “ความจริง” เองก็อาจนำหายนภัยมาให้เกือบปางตาย แต่เจตจำนงแน่วแน่ของเธอก็ยังคงยืนหยัดใช้ความรู้เพื่อพิสูจน์ “ความจริง” ที่ผู้หญิงก็เข้าถึงได้เช่นกัน         สำหรับตัวละครผู้หญิงคนที่สองก็คือ “มาดามคลารา” ภรรยาของกปิตันฌอง แม้มาดามจะพูดให้การกับหลวงอินทร์ว่า “สามีข้าเป็นคนดี เป็นลมหายใจ เป็นที่รักของข้า” แต่เบื้องหลังคราบน้ำตาที่คลาราแสดงออกให้กับสามีที่เสียชีวิต กลับซุกซ่อนภาพความรุนแรงทางสังคมที่กระทำต่อกายวาจาใจของสตรี ซึ่งแท้จริงแล้วก็หาใช่สิ่งห่างไกลไปจากตัวของผู้หญิงไม่ เพราะความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นได้แม้ในครอบครัว อันเป็นสถาบันหน่วยย่อยที่ใกล้ชิดกับชีวิตของมนุษย์มากที่สุด         ไม่เพียงแต่คลาราจะถูกบิดาจับคลุมถุงชนกับกปิตันฌองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภายหลังแต่งงานเธอก็ต้องขมขื่นกับสามีฝรั่งที่มองว่า “เมียเป็นเพียงสัตวเลี้ยงตัวหนึ่งเท่านั้น” ดังนั้น ทุกครั้งที่น้ำจัณฑ์เข้าปาก และด้วยลุแห่งอำนาจชายเป็นใหญ่ กปิตันฌองก็จะวิปลาสเสียสติลงมือทำทารุณกรรมภรรยา ไปจนถึงทำร้าย “เอี้ยง” สาวใช้จนขาพิการ และยังก่อเหตุข่มขืนแล้วฆ่า “อุ่น” เมียของ “จั่น” ผู้เป็นบ่าวในเรือน         เพราะความอดทนของผู้หญิงมีขีดจำกัด แม้สังคมจะบอกหญิงผู้เป็นภรรยาทั้งหลายว่า “เป็นเมียเราต้องอดทน” แต่ความรุนแรงในครอบครัวที่เหตุปัจจัยมาจากความอยุติธรรมทางเพศ มีผลไม่มากก็น้อยที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของคดีความฆาตกรรมดังกล่าว ดังที่คลาราเองก็พูดเพราะเข้าใจผิดเรื่องตนเป็นคนฆ่าสามีว่า “ข้าไม่เคยเสียใจสักนิดที่ฆ่ากปิตันด้วยมือของข้าเอง”         และสำหรับตัวละครผู้หญิงคนสุดท้ายก็คือ “เจ้าจอมกินรี” เจ้าจอมคนโปรดในรัชสมัยนั้น และเป็นเจ้าของผ้านุ่งลายกินรีที่พบบนศพกปิตันฌอง ซึ่งในตอนจบเรื่องละครก็ได้เฉลยว่า เจ้าจอมกินรีเป็นผู้ชักใยข้างหลังความตายของกปิตันและอีกหลายชีวิตในท้องเรื่อง         แม้ละครอาจตีความว่า การกระทำของเจ้าจอมกินรีเป็นตัวอย่างของคนทรยศต่อชาติบ้านเมือง แต่อีกด้านหนึ่ง ตัวละครนี้ก็แสดงนัยว่า ในขณะที่ใครต่อใครเชื่อว่า การเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองเป็นคุณค่าที่มีเฉพาะในเพศบุรุษ เจ้าจอมกินรีก็คือผู้พิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้หญิงก็สามารถทำเพื่อชาติได้ แม้ว่าบางครั้งก็ต้องยอมแลกมากับความสูญเสียและถูกตราหน้าจากประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยผู้ชนะหรือบุรุษเพศก็ตาม         แม้ “ลายกินรี” จะมีจุดร่วมไม่ต่างจากละครแนวสืบสวนสอบสวนเรื่องอื่นที่ต้องเผย “ความจริง” เรื่องตัวฆาตกรผู้ฆ่าก็ตาม แต่จากคำพูดของ “คุณหญิงแสร์” ซึ่งกล่าวกับหลวงอินทร์บุตรชายที่ว่า “อคติในหัวใจทำลายแง่งามในชีวิตเสมอ” บางทีคำพูดนี้ก็เป็นบทสรุปดีๆ ที่บอกกับเราด้วยว่า การลดอคติทางเพศลงเสียบ้าง จะทำให้เรามองเห็นตัวตนและเจตจำนงของสตรีที่มุ่งมั่นทำเพื่อวิชาความรู้ ครอบครัว และชาติบ้านเมืองได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 264 กำจัดยุงด้วยยุง

        ช่วงเดือนสิงหาคม 2563 มีข่าวจากสหรัฐอเมริกาในหลายเว็บไซต์ว่า คณะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในรัฐฟลอริดาได้อนุมัติการปล่อยยุงที่เกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรมหลายล้านตัวบน Florida Keys (ซึ่งเป็นกลุ่มหมู่เกาะปะการังราว 4,500 เกาะอยู่ที่ปลายคาบสมุทรฟลอริด้า รัฐฟลอริด้า) โดยใช้เวลา 2 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2564 ถึง 2565 เพื่อให้ยุงดัดแปลงพันธุกรรมหรือ ยุง GMO ได้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติปะปนอยู่กับยุงทั่วไปโดยหวังว่า ยุงดัดแปลงพันธุกรรมเหล่านี้ช่วยลดปริมาณยุงที่เป็นพาหะของเชื้อ ไวรัสเดงกี (Dengue virus) ที่ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก อาการคือ ไข้สูง 3-7 วัน หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา เมื่อยแขนขา ปวดกระดูก และอาจมีผื่นแดงตามตัว เนื่องจากเส้นเลือดฝอยแตก เซื่องซึม เบื่ออาหาร ปวดท้อง อาเจียน และ ไวรัสซิก้า (Zika virus) ที่ก่อให้เกิดโรคซิก้า อาการคล้ายไข้เลือดออก เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ผื่นขึ้น และอีกลักษณะที่พบได้บ่อยกว่าคือ ตาแดงแบบไม่มีขี้ตา         การอนุมัติโครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการนำร่องที่มีการถกเถียงและถูกคัดค้านโดยกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งประชาชนในพื้นที่จำนวนมากด้วยกังวลว่า ยุงดัดแปลงพันธุกรรมนี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่คาดคิดต่อระบบนิเวศและอาจมีศักยภาพที่ก่อให้เกิดยุงลูกพันธุ์ทางที่สามารถต้านยาฆ่าแมลงได้ในอนาคต ผู้ไม่เห็นด้วยกับการอนุมัติในครั้งนี้มีจำนวนมากเกือบ 240,000 คน ได้ลงชื่อในคำร้องทางเว็บไซต์ Change.org ที่กล่าวหาบริษัท Oxitec กำลังใช้รัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ เป็นฐานทดลองแมลงกลายพันธุ์ ยุง GMO นี้มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร         บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Oxitec ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองอาบิงดัน (Abingdon) ของสหราชอาณาจักร ได้ทำการทดสอบยุงดัดแปลงพันธุกรรมในที่โล่งเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา โดยวางกล่องที่มีไข่ยุงที่ผสมพันธุ์แล้วไว้ในจุดที่เลือกใน Florida Keys โดยยุง GMO ของบริษัท Oxitec นั้นมีชื่อทางการค้าว่า Oxitec's Friendly™ เป็นยุงสายพันธุ์ Aedes aegypti หรือยุงลายซึ่งถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มียีนที่เมื่อผสมพันธุ์กับยุงตัวเมียแล้วป้องกันไม่ให้ลูกน้ำตัวเมียรอดชีวิตเป็นยุงตัวเมียที่กัดคนและก่อโรคอันตราย แต่ไม่เกิดปัญหากับลูกน้ำที่กลายเป็นยุงตัวผู้         จากบทความเรื่อง Description of OX5034 Aedes aegypti Mosquito, including Active and Inert Ingredients ที่ดาว์นโหลดได้จาก www.regulations.gov ซึ่งเป็นจดหมายจากผู้บริหารของ Oxitec ถึงผู้บริหารของ US.EPA มีข้อความอธิบายว่า ในยุงดัดแปลงพันธุกรรมนี้ในกรณีที่ลูกน้ำเป็นเพศเมียจะมียีน OX5034 rDNA (recombinant DNA) ที่ถอดรหัสได้โปรตีนชื่อ tTAVOX5034 ซึ่งจะเจริญเป็นยุงตัวเต็มวัยได้เฉพาะในสภาวะที่มียาปฏิชีวนะ tetracycline หรืออนุพันธ์ของ tetracycline เท่านั้น ดังนั้นในสิ่งแวดล้อมธรรมชาติลูกน้ำเพศเมียจึงตายในระยะเป็นตัวอ่อนช่วง L2/L3 ในขณะที่ลูกน้ำเพศผู้สามารถมีชีวิตรอดจนโตเต็มวัย ซึ่งหมายความว่ายุงลาย OX5034 ที่ปล่อยออกสู่ธรรมชาติที่เลี้ยงโดยไม่มี tetracycline จะมีแต่ตัวผู้ที่ไม่กัดและไม่ดูดเลือดคนจึงไม่เป็นพาหะของโรค อธิบายง่ายๆ คือ การเลี้ยงยุงสายพันธุ์นี้ในห้องปฏิบัติการต้องมีการเติม tetracycline ลงไปในน้ำด้วยจึงจะได้ยุงตัวเมียรอดมาเป็นแม่พันธุ์         เป้าประสงค์สำคัญของการใช้ยุง GMO นั้นคือ การลดทอนจำนวนยุงตัวเมียไปเรื่อยๆ ยุง Oxitec's Friendly™ นั้นมี marker gene ที่ทำให้เรืองแสงในที่มืดจึงทำให้มันถูกแยกออกจากยุงพื้นบ้านอื่นๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบผลที่เกิดขึ้นในการลงทุนใช้ยุงพิเศษนี้ ผลการทดลองที่เริ่มในปี 2020 จนถึงปี 2022 นั้นเป็นอย่างไร         นักวิจัยได้เสร็จสิ้นการศึกษายุงที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมในที่โล่งเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ผลลัพธ์ตามที่บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพทำการทดลองนั้นเป็นไปในเชิงบวก แต่ยังจำเป็นต้องมีการทดสอบที่ใหญ่ขึ้นเพื่อพิจารณาว่า สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดในการยับยั้งประชากรยุงที่อาจเป็นพาหะนำไวรัสได้หรือไม่         บทความเรื่อง First Results From Us Trial Of Genetically Modified Mosquitoes ในวารสาร Nature ของปี 2022 กล่าวว่า การทดลองนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ใน Florida Keys โดย Oxitec ได้ติดตามประเมินผลในพื้นที่ที่ปล่อยเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว มีการรายงานผลการทดลองครั้งแรกระหว่างการสัมมนาผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2565 แม้ว่าจะยังไม่ได้เผยแพร่ข้อมูลเป็นทางการก็ตามว่า ปฏิบัติการได้ผลหรือไม่         ในการประเมินผลนั้น หลังจากที่นักวิจัยได้วางกล่องที่มีไข่ยุงที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมบนพื้นที่ที่กำหนดไว้แล้วก็ได้วางกับดักล้อมรอบพวกมันในรัศมีมากกว่า 400 เมตร กับดักเหล่านี้บางส่วนถูกใช้เป็นแหล่งให้ยุงวางไข่ และบางส่วนใช้จับยุงตัวเต็มวัย ซึ่งนักวิจัยพบว่า ยุงตัวผู้ที่ฟักออกจากไข่มักบินไปมาภายในพื้นที่ 1 เฮกตาร์ (10,000 ตารางเมตร) รอบจุดที่ถูกปล่อย ซึ่งเป็นแนวเดียวกับที่ยุงลายป่าบินและเกิดการผสมพันธุ์กัน จากนั้นยุงป่าตัวเมียได้วางไข่ในกับดักของ Oxitec รวมถึงในกระถางดอกไม้ ฝาถังขยะและกระป๋องน้ำอัดลม ในบริเวณนั้น         นักวิจัยของ Oxitec เก็บไข่ยุงที่ได้จากยุงป่าตัวเมียที่ผสมกับยุงตัวผู้ของบริษัทได้มากกว่า 22,000 ฟอง แล้วนำไข่ทั้งหมดกลับไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อฟักให้ออกเป็นตัวซึ่งพบว่า ยุงตัวเมียตายหมดก่อนโตเป็นยุงเต็มวัย (ยุงตัวเมียทุกตัวมียีนที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งเป็น lethal gene) นอกจากนี้ทีมงานยังพบว่ายีนที่ทำให้ยุงตัวเมียตายยังคงอยู่ในยุงป่าตัวผู้เป็นเวลาสองถึงสามเดือน หรือ ประมาณสามชั่วอายุของยุงและจากนั้นก็หายไป ทำให้ไม่พบยุงที่มียีนที่ทำให้ตายนั้นเกินกว่า 400 เมตรจากจุดปล่อย โดยตรวจสอบด้วยการวางกับดักเป็นเวลาสิบสัปดาห์หลังจากพบยุงตัวผู้ที่มียีนที่ทำให้ตายได้ครั้งสุดท้าย ผลจากการศึกษาที่ Florida Keys นั้นถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่แล้วหรือไม่         การศึกษาที่ Florida Keys เป็นเพียงการศึกษานำร่องเพื่อหาข้อมูลมาใช้พิจารณาว่า วิธีการนี้ยับยั้งประชากรยุงป่าได้ดีเพียงใด บริษัท Oxitec วางแผนที่จะรวบรวมข้อมูลเหล่าที่ได้จาก Florida Keys ไปใช้ในส่วนขยายของการศึกษาที่อื่น ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐนั้นๆ ล่าสุดเว็บของ Delta Mosquito and Vector Control district ใน Tulare county (เทศมณฑลทูแลร์) ของรัฐแคลิฟอร์เนียให้ข้อมูลว่า บริษัทกำลังรอการอนุมัติจาก US.EPA ในแผนงานที่จะปล่อยยุงตัวผู้ของบริษัทจำนวน 2.4 พันล้านตัว ในการศึกษาแห่งที่สองในเมืองวิเซเลีย (Visalia) ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งบริษัทกำลังสร้างตึกศูนย์วิจัยและพัฒนา         ในความเป็นจริงนั้นการระบาดของโรคที่ยุงลายเป็นพาหะอาจเกิดขึ้นได้แม้เป็นพื้นที่ที่ประชากรยุงลายมีจำนวนน้อย ดังนั้นการลดจำนวนประชากรยุง จึงไม่อาจแปลได้ผลว่าเป็นการยับยั้งโรคแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามปฏิบัติการของบริษัท Oxitec นั้นยังดูดีกว่าปล่อยให้มียุงนี้เกิดกันตามบุญตามกรรมแล้วฉีดหมอกควันเหมือนในหลายประเทศ ซึ่งดูไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างไร         ประเด็นหนึ่งที่ต้องคำนึงคือ การลดจำนวนยุงลายไม่ทำให้ความต้องการยาฆ่าแมลงลดลง เพราะยุงลาย Aedes aegypti นั้นคิดเป็นเพียงประมาณ 4% ของประชากรยุงใน Florida Keys ยุงอีกสายพันธุ์คือ black salt marsh mosquito หรือ Aedes taeniorhynchus ซึ่งก่อความรำคาญมากกว่ายุงลายนั้น คิดเป็นประมาณ 80% ของประชากรยุงบน Florida Keys ดังนั้นบริษัทขายยาฆ่าแมลงจึงยังสบายใจอยู่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 264 รู้สรรพคุณสมุนไพรผ่าน Samunprai First

        “สุขภาพร่างกาย” เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เมื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บย่อมห่างไกล หลายคนจึงพยายามหาหนทางในการรักษาสุขภาพที่แข็งแรงนี้ไว้ให้นานที่สุด โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และมีประโยชน์ นอกจากนี้บางคนยังรับประทานยาบำรุงที่มีออกมาขายหลายยี่ห้อเพื่อเสริมสร้างวิตามินและแร่ธาตุให้กับร่างกายอีกด้วย         สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา เป็นผลดีและนำประโยชน์มาให้กับร่างกายอย่างมาก แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปหรือหลงลืมไป ทั้งที่สามารถหาได้โดยทั่วไป นั่นคือการรับประทานอาหารประเภทสมุนไพรพื้นบ้าน สมุนไพรพื้นบ้านนี้สามารถช่วยส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้หลากหลาย ส่วนใหญ่ใช้สมุนไพรมาเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารในแต่ละมื้อ ซึ่งสมุนไพรนั้นมีสรรพคุณช่วยบำรุงรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แตกต่างกันไป เมื่อรับประทานสมุนไพรหลากหลายและเป็นประจำก็จะช่วยทำให้ป้องกันโรคได้         ยกตัวอย่างพืชผักสมุนไพรที่สามารถช่วยดูแลสุขภาพและมีสรรพคุณบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด เช่น กระชาย กระเทียม ขิง ข่า ตะไคร้บ้าน ดีปลี ขมิ้นชัน เป็นต้น สำหรับบรรเทาอาการไอ ระคายคอจากเสมหะ ให้รับประทานฟ้าทลายโจร มะขามป้อม มะแว้งเครือ มะขาม มะนาว เป็นต้น นอกจากการรับประทานอาหารแล้ว ยังสามารถนำสมุนไพรมาต้ม บีบ คั้น ฯลฯ เพื่อนำมารักษาได้อีกด้วย เช่น เมื่อมีอาการแพ้ อักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย ให้นำผักบุ้งทะเลมายาต้มอาบแก้คันตามผิวหนัง หรือใช้ใบสดของตำลึงตำและคั้นน้ำมาประคบแก้ปวดแสบร้อนและคันได้ ซึ่งสมุนไพรบางชนิดมีสรรพคุณมากกว่าหนึ่งอย่าง         ข้อมูลเหล่านี้ได้มีแอปพลิเคชั่นที่มีชื่อ Samunprai First ได้รวบรวมสรรพคุณของสมุนไพรไว้เรียบร้อยแล้ว โดยสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี พัฒนาโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการใช้สมุนไพรนำมาใช้รักษาอาการเจ็บป่วยที่พบบ่อยและไม่รุนแรง การรวบรวมข้อมูลภายในแอปพลิเคชั่นจะเป็นสมุนไพรที่มีหลักฐานการใช้ตามภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทย และ/หรือ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณที่ช่วยบรรเทาอาการได้จริง         เมื่อเปิดหน้าแรกของแอปพลิเคชั่นจะพบเมนู 2 หมวดใหญ่ ได้แก่ เมนูพืชสมุนไพร และ เมนูยาสมุนไพรสำเร็จรูป ซึ่งเมนูพืชสมุนไพร จะแบ่งเป็นหมวดอาการเจ็บป่วย ที่แสดงถึงอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ท้องเสีย ปวดฟัน ท้องผูก เบื่ออาหาร กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กลาก เกลื้อน แผลน้ำร้อนลวก ลมพิษ ผื่นคัน และหมวดสมุนไพร ซึ่งจะเรียงตามชื่อตัวอักษรของสมุนไพร โดยรายละเอียดด้านในของแต่ละหมวดจะปรากฎข้อมูลสรรพคุณ วิธีการรักษาของสมุนไพร รวมถึงการให้ข้อมูลชื่อวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง         ส่วนเมนูยาสมุนไพรสำเร็จรูปจะแจ้งข้อมูลชื่อผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำเร็จรูป ผู้ผลิต สรรพคุณ เลขทะเบียนผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ วิธีใช้ ข้อควรระวัง และขนาดบรรจุของผลิตภัณฑ์ไว้ภายในแอปพลิเคชั่นนี้ด้วย         อยากทราบสรรพคุณของสมุนไรพเพิ่มเติม ให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Samunprai First มาศึกษาข้อมูล ช่วยทำให้เกิดประโยชน์และเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอย่างแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >



ฉบับที่ 264 กิน..กัญ...จน...มึน

        “แม้กัญชาจะปลดล็อคเสรี แต่ถ้าผลีผลามใช้แบบไม่ระมัดระวัง กัญชาที่เป็นพืชสมุนไพรก็อาจจะทำให้เราเสี่ยงภัยได้ง่ายๆ”         ตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งที่ทีมเราเจอในโรงพยาบาล หลังปลดล็อคกัญชาเสรี จำได้ว่าในช่วงเย็นของวันหนึ่ง เภสัชกรได้รับแจ้งจากพยาบาลห้องฉุกเฉินให้ไปสอบสวนเคสคนไข้รายหนึ่ง สอบถามข้อมูลคนไข้ พบว่าคนไข้ชายไทยวัยกลางคนถูกนำส่งมารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินด้วยภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หายใจไม่สะดวก คนไข้มีอาการมึนชาตามร่างกาย วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียนอย่างมาก         เมื่อสอบถามข้อมูลจากภรรยาที่นำคนไข้มาส่งได้ความว่า สามชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาลสามีเธอกินต้มไก่ ใส่กัญชา ซึ่งปกติก็ใส่แค่ใบกัญชา แต่ครั้งนี้ไม่รู้นึกครึ้มอะไรเลยใส่มันทั้งใบและช่อดอก แถมแอบกระซิบว่าที่บ้านมีต้นกัญชาปลูกไว้ใส่ในต้มไก่ในปริมาณเยอะพอสมควร ตอนกินยังพูดว่าอร่อยฟาดต้มไก่หมดเกลี้ยงไปสองถ้วย แถมอาหารมื้อนี้ยังมีดื่มเบียร์ร่วมวง ด้วยพออิ่มเรียบร้อยจึงเกิดเรื่องสามีเกิดอาการขึ้นมาซึ่งตนก็ไม่คาดมาก่อนว่าจะทำให้เกิดอาการเช่นนี้จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล         เภสัชกรจึงอธิบายให้ภรรยาฟังว่า กัญชา เป็นพืชสมุนไพรและพืชท้องถิ่น ซึ่งประชาชนบางส่วนอาจนำมาประกอบอาหาร ในกรณีบริโภคกัญชาเป็นอาหารเพื่อส่งเสริมสุขภาพนั้น ควรพิจารณาชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยง ส่วนที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมาปรุงใส่อาหารมากที่สุดคือ ใบ ใบสดที่เพิ่งเก็บจากต้นซึ่งส่วนนี้จะไม่มีสารเมาแต่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระลดการอักเสบ เราอาจนำมากินกับน้ำพริกหรือผสมกับผักอื่นๆ กินแบบสลัดได้         แต่สิ่งที่เราต้องระวังคือ เมื่อใบกัญชาผ่านความร้อนหรือเก็บไว้นานๆ จะมีสารเมาที่เรียกว่าสาร THC และสารต้านเมาที่เรียกย่อๆ ว่า CBD เกิดขึ้น โดยใบอ่อนจะมีปริมาณสารข้างต้นมากกว่าใบแก่ สารสองชนิดนี้ พบปริมาณสูงสุดเมื่อต้นกัญชามีอายุ 2 เดือน ดังนั้นหากจะนำใบแห้งมาปรุงอาหารผ่านความร้อนตามภูมิปัญญาดั้งเดิม เราอาจใช้ได้ประมาณวันละ 5- 8 ใบ และแนะนำให้เริ่มใช้ในขนาดน้อยๆ ก่อน คือประมาณครึ่งใบต่อวัน         นอกจากใบแล้วส่วนอื่นๆ ของกัญชาก็สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของอาหาร เช่น ใช้ใบกัญชาปรุงรสของน้ำซุป เช่น ต้ม แกง ตุ๋น ใช้ยอดกัญชา ใส่ผัดเผ็ด แกงเผ็ด เหมือนใบกะเพรา ใบโหระพา ใช้ใบอ่อนกัญชาเป็นผักสด จิ้มน้ำพริก น้ำบูดู หั่นใส่ในข้าวยำ ใส่แกงส้ม แกงกะทิ แกงมัสมั่น หรือในเมนูผัด บางพื้นที่ใช้รากและกิ่งก้านกัญชา มาใส่ทำน้ำซุปแต่ในส่วนของช่อดอกต้องระวัง ไม่นำมาใช้ในการปรุงอาหารเพราะมีสารที่ทำให้มึนเมามากอาจเกิดอันตรายได้         นอกจากนี้ผู้ที่เพิ่งเริ่มกินอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา อาจมีอาการข้างเคียงเช่น ปากแห้ง คอแห้ง ง่วงนอน รู้สึกมึนงง ปวดหัว หัวใจเต้นเร็ว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเริ่มออกฤทธิ์แสดงผล หลังกินไปแล้วประมาณ 30-60 นาที และจะแสดงอาการเด่นชัดที่เวลาหนึ่งชั่วโมงและอยู่ได้นานถึงประมาณหกชั่วโมง ดังนั้นผู้ที่เพิ่งกินกัญชาหรือเริ่มกินเป็นครั้งแรก ควรเริ่มกินที่ครึ่งใบแล้วรอดูผลหลังการกิน 2 ชั่วโมง หากมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ให้ดื่มน้ำมากๆ หากมีอาการมึนเมา ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งหรือดื่มชารางจืดเพื่อบรรเทาอาการ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 264 สัญญาเช่าต้องติดอากรแสตมป์ด้วยหรอ

        ผู้บริโภคหลายคนโดยเฉพาะนักศึกษาและคนวัยเริ่มทำงานมักจะเช่าห้องเช่าคอนโดมิเนียม หลายคนอาจไม่ทราบว่าสัญญาเช่าที่เราทำกัน จริงๆ แล้วต้องติดอากรแสตมป์ด้วย หลายๆ คนอาจจะสับสนว่า อากรแสตมป์ อันเดียวกันกับที่เป็นแสตมป์ปิดซองจดหมายใช่หรือไม่  บอกเลยไม่ใช่         อากรแสตมป์เป็นภาษีประเภทหนึ่งตามประมวลรัษฎากรที่จัดเก็บในรูปของดวงแสตมป์ที่ใช้สำหรับปิดบนเอกสารราชการและหนังสือสัญญาต่างๆ โดยมีกรมสรรพากร เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดเก็บ  มีชนิด 1 บาท 5 บาท และ 20 บาท สีเขียวๆ  โดยอัตราที่ต้องเสียคิดง่ายๆ เสียอัตรา 0.1% ของค่าเช่าตลอดอายุสัญญา (ถ้าไม่กำหนดให้ถือว่ามีระยะเวลา 3 ปี และถ้าครบกำหนดแล้วยังให้เช่าต่อไปถือว่าทำสัญญากันใหม่และต้องเสียอากรสำหรับสัญญาดังกล่าว ภายใน 30 วัน) เช่น ค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท ทำสัญญา 1 ปี = 60,000 บาท เสียภาษีอากรอัตราร้อยละ 0.1 จึงเท่ากับ ต้องติดอากรจำนวน 60 บาท ซึ่งตามกฎหมายผู้ที่ต้องเสียอากรส่วนนี้ คือผู้ให้เช่า เนื่องจากกฎหมายมองว่าเจ้าของทรัพย์ที่เช่าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากการทำสัญญาเช่า  ส่วนผู้เช่ามีหน้าที่ต้องขีดฆ่าอากรแสตมป์  อย่างไรก็ตามกฎหมายก็ยังเปิดช่องให้คู่สัญญาสามารถตกลงกันเองได้ ว่าจะกำหนดให้ใครมีหน้าที่ต้องเสียอากรนี้ โดยระบุไว้ในสัญญา แต่หากไม่ได้ตกลงกันก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด         ดังนั้น หากในสัญญาเช่าระบุไว้ว่า ให้ผู้เช่าเป็นผู้รับผิดชอบ เราจึงควรรู้ว่า หากต้องเสียอากรสามารถทำได้ โดยหาซื้ออากรได้ที่หน่วยงานราชการ เช่น กรมสรรพากร หรือร้านเครื่องเขียน (บางร้าน)หรือ จะนำเงินไปขอเสียอากรที่สำนักงานสรรพากรใกล้บ้านก็ได้ โดยจ่ายเงินสด จะได้ใบเสร็จมา ก็นำใบเสร็จมาแนบประกอบสัญญาเช่าไว้เป็นหลักฐาน         หากสัญญาเช่าใด ไม่ติดอากรหรือติดไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด ผลคือ ผู้มีหน้าเสียอากรจะต้องเสียเงินเพิ่มนอกเหนือจากค่าอากรที่ต้องเสียนับจากวันทำสัญญาเช่า ซึ่งแบ่งเป็นช่วงเวลาคือถ้าปิดอากรหลัง 15 วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน จะเสีย 2 เท่า แต่ถ้าเกิน 90 วัน จะเสีย 5 เท่า แต่หากไม่ดำเนินการและถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเจอ จะเสีย 6 เท่า เงินเพิ่มดังกล่าวสามารถขอลดหย่อนได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดและหากมีข้อพิพาทต่อศาล ตราสารดังกล่าวจะไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีในศาลได้จนกว่าจะได้เสียอากรแสตมป์ให้ถูกต้อง (ขอบคุณที่มา กรมสรรพากร )         สัญญาเช่าซื้อไม่ติดอากรแสตมป์ มีผลใช้บังคับได้ไม่ตกเป็นโมฆะเพียงแต่อ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่2089/2552)         คำพิพากษาฎีกาที่ 2089/2552         ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยแบบของสัญญาเช่าซื้อบัญญัติไว้เพียงว่า "สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ" เมื่อปรากฏว่าสัญญาเช่าซื้อได้ทำขึ้นโดยมีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้เช่า และมีผู้รับมอบอำนาจโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในช่องเจ้าของ ถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อได้ทำขึ้นเป็น หนังสือตามแบบที่บัญญัติไว้แล้ว จึงมีผลผูกพันคู่สัญญาให้ต้องปฏิบัติตามนั้น ส่วนการ ปิดอากรแสตมป์ในตราสารตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลรัษฎากร ก็เป็นเรื่องของการเรียกกับ อากรอันเป็นอีกเรื่องหนึ่งแยกต่างหาก ทั้งการไม่ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ก็มีผล เพียงไม่อาจอ้างตราสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้เท่านั้น มิใช่ว่าสัญญาที่มิได้ ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์จะตกเป็นโมฆะไม่         สัญญาเช่าไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ แต่เมื่อจำเลยยอมรับว่ามีการทำสัญญากันจริง เพียงแต่เจตนาเป็นสัญญาซื้อขาย จึงไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือสัญญาเช่าดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน แม้หนังสือสัญญาเช่าฉบับดังกล่าวจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการทำหนังสือสัญญาเช่ากันจริง          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7720/2550         โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่ากับโจทก์ตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าท้ายฟ้องแล้วผิดสัญญา ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย จำลยให้การว่าหนังสือสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้องเป็นสัญญาที่โจทก์เจ้าของที่ดินรวมและจำเลยมีเจตนาให้เป็นสัญญาซื้อขาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยให้การยอมรับว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าดังกล่าวกับโจทก์จริง เพียงแต่อ้างว่าหนังสือสัญญาเช่าดังกล่าวคู่สัญญามีเจตนาให้เป็นสัญญาซื้อขาย กรณีเช่นนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือสัญญาเช่าดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน แม้หนังสือสัญญาเช่าฉบับดังกล่าวจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการทำหนังสือสัญญาเช่ากันจริงไม่ต้องห้ามตาม ป.รัษฎากร มาตรา118

อ่านเพิ่มเติม >



ฉบับีท่ 263 แปรงสีฟันไฟฟ้า

        ตลาดแปรงสีฟันไฟฟ้าทั่วโลกเริ่มคึกคักและมีแนวโน้มจะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น หลังผู้คนหันมาให้ความใส่ใจกับสุขภาพอนามัยช่องปากกันมากขึ้น เราได้เห็นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ราคา รวมถึงแบรนด์ใหม่ๆ ในตลาดฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอนำผลทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแปรงสีฟันไฟฟ้ามาฝากสมาชิกกันอีกครั้ง* (ดูผลการทดสอบครั้งก่อนหน้าได้ใน ฉกลาดซื้อ ฉบับ 251)         เช่นเดียวกับครั้งก่อน การทดสอบแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่การตรวจวัดในห้องปฏิบัติการ และความเห็นจากอาสาสมัครที่ใช้งานจริง โดยคะแนนจะแบ่งออกเป็นสี่ด้าน ได้แก่ ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดฟัน (ร้อยละ 50)  แบตเตอรี/การชาร์จ (ร้อยละ 30) การใช้งานสะดวก (ร้อยละ 25)  และการปลอดเสียงรบกวน (ร้อยละ 5)          แปรงสีฟันไฟฟ้า 14 รุ่น ที่ทดสอบ (ราคาระหว่าง 715 ถึง 10,500 บาท)* มีทั้งรุ่นที่ใช้ระบบการสั่นของขนแปรง การหมุนของหัวแปรง หรือทั้งสองระบบรวมกัน แปรงส่วนใหญ่ที่เราทดสอบเป็นชนิดที่ชาร์จไฟได้ มีเพียงหนึ่งรุ่นที่ใช้พลังงานจากถ่านอัลคาไลน์        ในภาพรวมเราพบว่าการลงทุนไม่เกิน 3,000 บาท ก็สามารถได้แปรงไฟฟ้ารุ่นที่ได้คะแนนดีที่สุด (Oral-B iO-4n) มาครอบครองได้ หรือถ้าใครไม่อยากจ่ายเกินหนึ่งพัน ก็ยังมีรุ่นที่ได้คะแนนระดับดี (Dontodent) ให้เลือกใช้ เช่นกัน และยังมีแปรงบางรุ่นที่ผู้ผลิตให้หัวแปรงสำหรับเปลี่ยนมากถึง 3 หรือ 4 หัว แม้ราคาอาจจะสูงขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อคำนวณดูแล้วก็เป็นการลงทุนที่น่าจะคุ้มค่าเช่นกัน        การทดสอบโดยสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศครั้งนี้ทำขึ้นในช่วงปลายปี 2565 เนื่องจาก ฉลาดซื้อ เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ร่วมลงขันจึงสามารถนำผลทดสอบเปรียบเทียบมาเผยแพร่ให้กับผู้ที่จ่ายค่าสมาชิกของเราได้           ราคาที่นำเสนอแปลงจากหน่วยเงินปอนด์หรือยูโร ตามข้อมูลที่พบในอินเทอร์เน็ต โปรดตรวจสอบราคา (รวมถึงค่าจัดส่งหากสั่งซื้อออนไลน์) อีกครั้งก่อนตัดสินใจ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 263 วิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการในอาหารเม็ดแมวโต

เมี้ยว...เมี้ยว...เมี้ยว...นุดคนไหนเป็นทาสแมว มามุงกันตรงนี้เร็ว!         ปัจจุบัน ราว 1 ใน 3 ของครัวเรือนทั้งหมดในประเทศไทยมีสัตว์เลี้ยงในบ้าน แน่นอนว่าต้องมีหลายบ้านที่เลี้ยงแมว และหลายคนไม่ได้เลี้ยงแบบคนรักสัตว์ทั่วไปเท่านั้น แต่ดูแลเหมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัวกันเลยทีเดียว โดยมีการสำรวจพบว่าทาสแมวพร้อมจ่ายเพื่อเลี้ยงเจ้าเหมียวเฉลี่ย 14,200 บาทต่อปี แบ่งเป็นค่าอาหารเม็ดทั้งปีอยู่ที่ 4,200 บาท (ที่มา : RS พฤศจิกายน 2564) หรือเดือนละ 350 บาท  เอาละ ไหนๆ จะจ่ายทั้งทีแล้ว ก็ต้องเลือกอาหารเม็ดที่ดีมีคุณภาพให้เจ้าเหมียวแสนรักกันหน่อย            นิตยสารฉลาดซื้อ โครงการสร้างเสริมความเข้มแข็งระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ได้สุ่มเลือก “อาหารสำเร็จรูปแบบแห้งสำหรับแมวโต อายุ 1 ปีขึ้นไป” จำนวน 12 ตัวอย่าง เมื่อเดือนมกราคม 2566 มาสำรวจฉลาก และส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารพิษที่ไม่ควรมี และสารอาหารต่างๆ ที่ควรมีอย่างเหมาะสม เพื่อให้ทาสแมวใช้ตัดสินใจเลือกซื้ออาหารเม็ดให้แมวสุดเลิฟได้อย่างคุ้มค่า ให้เจ้าเหมียวกินแล้วเติบโตสมวัยอย่างปลอดภัยด้วยสรุปผลการวิเคราะห์         สิ่งที่ตรวจหาในการเปรียบเทียบคุณภาพอาหารแมวครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่         1. กลุ่มที่มีน้อยยิ่งดี : สหภาพยุโรปกำหนดให้ในอาหารแมวมีไมโคทอกซิน HT-2 และ T-2 ได้ไม่เกิน 50 ไมโครกรัม/กิโลกรัม เพราะอาจเป็นอันตรายต่อแมว ส่วนองค์กรทดสอบระหว่างประเทศให้ข้อสังเกตไว้ในฉลาดซื้อฉบับที่ 183 ว่าอาหารแมวไม่ต้องมีไฟเบอร์ก็ได้ เพราะแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ หากมีไฟเบอร์มากกว่า 1% หมายความว่าผู้ผลิตอาจใส่เพิ่มลงไปเพื่อลดต้นทุน สรุปผลการทดสอบ             - ไม่พบ HT-2 ในทุกตัวอย่าง             - พบ T-2 ปริมาณน้อยกว่า 10 ไมโครกรัม/กิโลกรัม ในยี่ห้อฮิลส์ ไซเอนซ์ ไดเอท             - ทุกตัวอย่างมีไฟเบอร์มากกว่า 1% ยี่ห้อมีโอ รสปลาทูน่า มีน้อยที่สุดคือ 1.99% ส่วนยี่ห้อบิ๊กซี แฮปปี้ ไพรซ์ โปร รสทูน่า มีมากที่สุดคือ 4.17%          2. กลุ่มที่มีมากเกินไปไม่ดี : อ้างอิงจากปริมาณความต้องการสารอาหารสำหรับแมว พิจารณาตามปริมาณอาหารแมวแบบแห้ง 100 กรัม ที่ European Pet Food Industry Federation (FEDIAF 2021) แนะนำไว้เป็นขั้นต่ำคือ มีโซเดียม 80 มิลลิกรัม(0.08 กรัม) และแมกนีเซียม 40 มิลลิกรัม(0.04 กรัม)(หากแมวได้รับโซเดียมมากเกินไปจะเสี่ยงเป็นโรคไต และถ้าได้แมกนีเซียมมากเกินไปอาจเป็นนิ่วในไตได้) สรุปผลทดสอบ             - ทุกตัวอย่างมีปริมาณโซเดียมมากกว่า 80 มิลลิกรัม/100 กรัม ยี่ห้อเพียวริน่า ฟริสกี้ส์ รสรวมมิตรปลาทะเล มีมากที่สุด คือ 687.36 มิลลิกรัม ส่วนยี่ห้อบิ๊กซี แฮปปี้ ไพรซ์ โปร รสทูน่า มีน้อยที่สุดคือ 393.58 มิลลิกรัม             - ทุกตัวอย่างมีปริมาณแมกนีเซียมมากกว่า 40 มิลลิกรัม/100 กรัม ยี่ห้อเพ็ทส์ เฟรนด์ รสทูน่า มีมากที่สุดคือ 164.02 มิลลิกรัม ส่วนยี่ห้อฮิลส์ ไซเอนซ์ ไดเอท มีน้อยที่สุด คือ 75.86 มิลลิกรัม         3. กลุ่มที่ยิ่งมีมากยิ่งดี : อ้างอิงจากปริมาณความต้องการสารอาหารสำหรับแมว พิจารณาตามปริมาณอาหารแมวแบบแห้ง 100 กรัม ที่ FEDIAF 2021 แนะนำไว้เป็นขั้นต่ำคือ มีทอรีน 100 มิลลิกรัม(0.10 กรัม) ทอรีนเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายแมวไม่สามารถผลิตเองได้ หากได้รับน้อยเกินไปอาจทำให้แมวตาบอด ขนหรือฟันร่วงก่อนเวลาอันควร รวมถึงมีความปกติของระบบสืบพันธุ์ โปรตีน 25 กรัม ไขมัน 9 กรัม แคลเซียม 400 มิลลิกรัม (0.40 กรัม) และฟอสฟอรัส 260 มิลลิกรัม (0.26 กรัม) สรุปผลทดสอบ             - ทุกตัวอย่างมีทอรีนมากกว่า 100 มิลลิกรัม ยกเว้นยี่ห้อโปรไดเอ็ท รสทูน่า มี 93.19 มิลลิกรัม ส่วนยี่ห้อที่มีทอรีนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ยี่ห้อรอยัล คานิน เอฟเอชเอ็น โฮม ไลฟ์ อินดอร์ 27 (197.09 มิลลิกรัม), วิสกัส รสปลาทูน่า (191.17 มิลลิกรัม) และมีโอ รสปลาทูน่า (187.90 มิลลิกรัม)             - ทุกตัวอย่างมีโปรตีนมากกว่า 25 กรัม ยี่ห้อสมาร์ทฮาร์ท โกลด์ รสทูน่ามีลแอนด์บราวน์ไรซ์ มีมากที่สุดคือ 35.44 กรัม ส่วนยี่ห้อรอยัล คานิน เอฟเอชเอ็น โฮม ไลฟ์ อินดอร์ 27 มีน้อยที่สุด คือ 26.95 กรัม             - ทุกตัวอย่างมีไขมันมากกว่า 9 กรัม ยี่ห้อแม็กซีม่า มีมากที่สุด คือ 22.4 กรัม ส่วนยี่ห้อเพ็ทส์เฟรนด์ รสทูน่า มีน้อยที่สุด คือ 10.1 กรัม            - ทุกตัวอย่างมีแคลเซียมมากกว่า 400 มิลลิกรัม ยี่ห้อบิ๊กซี แฮปปี้ ไพรซ์ โปร รสทูน่า มีมากที่สุด คือ 2035.37 มิลลิกรัม ส่วนยี่ห้อฮิลส์ ไซเอนซ์ ไดเอท มีน้อยที่สุด คือ 813.08 มิลลิกรัม            - ทุกตัวอย่างมีฟอสฟอรัสมากกว่า 260 มิลลิกรัม ยี่ห้อสมาร์ทฮาร์ท โกลด์ รสทูน่ามีลแอนด์บราวน์ไรซ์ มีมากที่สุด คือ 1382.41 มิลลิกรัม ส่วนยี่ห้อฮิลส์ ไซเอนซ์ ไดเอท มีน้อยที่สุด คือ 695.47 มิลลิกรัม         และเมื่อเปรียบเทียบราคาต่อปริมาณอาหารเม็ดแมว 1 กรัม พบว่ายี่ห้อฮิลส์ ไซเอนซ์ ไดเอท ราคาแพงที่สุด คือ 0.38 บาท ส่วนยี่ห้อโลตัส รสปลาทูน่า ราคาถูกที่สุด คือ 0.08 บาท ข้อสังเกต         - ฉลาดซื้อฉบับที่ 183 ได้เสนอผลทดสอบอาหารเม็ดสำหรับแมวโตเต็มวัย ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศทำร่วมกับห้องปฏิบัติการของสถาบันสัตวแพทย์แห่งชาติสวีเดนไว้ ซึ่งพบว่ามีไมโคทอกซิน มากถึง 180 ไมโครกรัม/กิโลกรัม แต่จากตัวอย่างอาหารแมวที่มีขายในบ้านเราครั้งนี้ตรวจพบไมโคทอกซิน ในยี่ห้อเดียวและมีปริมาณน้อยมาก อาจสะท้อนได้ว่าผู้ผลิตอาหารแมวใส่ใจในคุณภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีไฟเบอร์มากกว่า 1 % ในทุกตัวอย่างเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว         - ทุกตัวอย่างมีความชื้นไม่มากกว่าร้อยละ 14 ของน้ำหนัก ตามที่กรมปศุสัตว์กำหนดไว้         - ทุกตัวอย่างระบุข้อมูลคุณภาพของอาหารสัตว์ทางเคมี (โปรตีน ไขมัน และกาก) ไว้ตรงกับผลวิเคราะห์ที่ได้จากห้องปฏิบัติการ มีเพียงยี่ห้อโปรไดเอ็ท รสทูน่า ที่ฉลากระบุว่ามีโปรตีนไม่น้อยกว่า 30% แต่ผลวิเคระห์ออกมาได้ 29.83% (ซึ่งน่าจะพออนุโลมกันได้)        - ตัวอย่างส่วนใหญ่มีธัญพืชเป็นส่วนประกอบ ซึ่งแมวจะย่อยยากและอาจเกิดอาการแพ้ได้ ฉลาดซื้อแนะ         - ก่อนซื้อทุกครั้ง ต้องหาเลขทะเบียนอาหารสัตว์ให้เจอ โดยสังเกตตัวเลข 10 หลักที่อยู่ด้านหลังซองอาหารแมว เพื่อแสดงว่าอาหารผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์แล้ว จากนั้นดูส่วนผสมและสารอาหารว่ามีอะไรบ้าง มีสารปรุงแต่งที่ต้องระวังไหม แสดงปริมาณอาหารที่แนะนำต่อวันให้หรือเปล่า ถ้ามีมาตรฐานรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ยิ่งดี ที่สำคัญคือต้องระบุวันหมดอายุไว้ชัดเจน         - อาหารเม็ดแมวมี 2 ประเภทหลัก ๆ คือสูตรโภชนาการครบถ้วนสำหรับแมวที่สุขภาพดี หาซื้อได้ทั่วไป และสูตรป้องกันโรคที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเฉพาะจุดสำหรับแมวป่วย ควรซื้อจากโรงพยาบาลสัตว์ และได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์ก่อน         - แม้ซื้ออาหารเม็ดแมวถุงใหญ่จะคุ้มกว่าถุงเล็ก แต่ถ้าเก็บไว้นานเกินไปจนทำให้กลิ่น รสชาติและสัมผัสของอาหารเม็ดเปลี่ยนไป แมวอาจไม่ยอมกิน ก็น่าเสียดาย จึงควรเลือกซื้ออาหารเม็ดแมวในปริมาณที่แมวสามารถกินหมดได้ภายใน 1 เดือนเพื่อรักษาความสดใหม่ไว้         - แมวแต่ละตัวมีโอกาสแพ้สารแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นธัญพืช โปรตีนจากสัตว์บางชนิด สารกันบูดและสารกันความชื้นต่าง ๆ หากสังเกตว่าแมวกินอาหารแล้วมีอาการผิดปกติ เช่นผื่นขึ้น ตุ่มขึ้น ตาบวม น้ำมูกน้ำตาไหล ให้เปลี่ยนอาหาร ถ้าไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปรักษาและนำอาหารนั้นไปให้สัตวแพทย์ดูด้วย         - ไม่ควรซื้ออาหารแมวที่มีสีสันฉูดฉาดเกินไป เพราะอาจมีส่วนผสมที่ทำให้แมวเสี่ยงเป็นโรคไตได้        - ไม่ควรเทอาหารแมวค้างคืนหรือเททิ้งไว้นานจนเกินไป เพราะอาหารจะเสื่อมสภาพและเป็นแหล่งของเชื้อโรคแทนได้        - แม้แมวเป็นสัตว์กินเนื้อที่ไม่จำเป็นต้องได้รับไฟเบอร์สูงมากเท่าสัตว์กินพืช แต่ไฟเบอร์ก็มีประโยชน์สำหรับแมวที่มีปัญหาท้องผูก และแมวอ้วนลงพุงที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักข้อมูลอ้างอิงhttps://europeanpetfood.org/wp-content/uploads/2022/03/Updated-Nutritional-Guidelines.pdfhttps://my-best.in.th/ (วิธีเลือกอาหารเม็ดแมว)https://www.talingchanpet.net/ (การอ่านฉลากอาหารสัตว์เลี้ยง)บทความ“Pet Parent” เลี้ยงสัตว์แบบเลี้ยงลูก กำลังมาแรง ในประเทศไทย โดย ลงทุนแมน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 ความเคลื่อนไหวเดือนมกราคม 2566

5 อันดับ “Fake News”  ปี 2565         กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เผยสถานการณ์ข่าวปลอมปีที่ผ่านมา จากข้อมูลที่ได้รับการแจ้งเบาะแสและติดตามบทสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวปลอม พบว่า มีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองถึง  517,965,417 ข้อความ โดยข่าวปลอม 10 อันดับที่มีการแชร์ซ้ำบ่อยมากที่สุด มีดังนี้ 1. เรื่องเคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ำตาม วันละ 3 เม็ด รักษามะเร็งระยะสุดท้าย 2. ปรากฏการณ์ APHELION โลกจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ ระยะทาง 5 นาทีแสง หรือ 90,000,000 กิโลเมตร 3. อย. แพ้คดี หลังไฟเซอร์ถูกบังคับให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีน 4. กสทช. โทรแจ้งประชาชนขอระงับสัญญาณเบอร์โทรศัพท์ และจะติดแบล็คลิสต์ไม่สามารถเปิดเบอร์ใหม่ได้ 5. หากสแกน QR Code จากใบนัดนำจ่ายสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ สามารถถูกดูดเงินในบัญชีได้ ดังนั้นหากพบข่าวที่เข้าลักษณะข่าวปลอมควรตรวจสอบก่อนส่งแชร์ข้อความต่อ          เปิดเกณฑ์การตัดแต้ม “ใบขับขี่”          สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เริ่มใช้มาตรการตัดคะแนนความประพฤติในการขับรถ (ตัดแต้มใบขับขี่) เป้าหมายเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยมีกำหนดให้มี 12 คะแนน ทุกคนที่มีใบอนุญาตใบขับขี่ไม่ว่าจะชนิดใดก็ตาม ถ้าทำผิดกฎจราจรจะมีการตัดคะแนนตามเกณฑ์ที่ระบุไว้ ทั้งนี้ เกณฑ์การตัดคะแนนแบ่งเป็น 4 ระดับ ดังนี้  แบบที่ 1 การ “ตัดคะแนนทันทีที่ทำผิด”         ตัด 1 คะแนน = ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่รัดเข็มขัด ขับรถเร็วเกินกำหนด ขับรถบนทางเท้า  ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ไม่หลบรถฉุกเฉิน ขับรถโดยประมาท น่าหวาดเสียว ขับรถไม่ติดป้ายทะเบียน หรือเปลี่ยนแปลง ปิดบัง และไม่ติดป้ายภาษี          ตัด 2 คะแนน = การขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร ขับรถย้อนศร ขับรถระหว่างโดนพักใช้ หรือเพิกถอยใบขับขี่         ตัด 3 คะแนน = ขับรถในขณะหย่อนความสามารถ ขับรถผิดวิสัยคนขับรถธรรมดา ขับรถชนแล้วหนี         ตัด 4 คะแนน = เมาแล้วขับ ขับรถในขณะเสพยาเสพติด แข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น         ทั้งนี้ แบบที่ 2 คือ “ตัดคะแนนเมื่อไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่ง” ค้างชำระ 1 ใบสั่ง ตัด 1 คะแนน นอกจากนี้ หากถูกตัดจนเหลือ 0 คะแนน จะถูกสั่งพักใบอนุญาตขับขี่ ห้ามขับรถทุกประเภท ในระยะเวลา 90 วัน ฝ่าฝืนขับรถในขณะยังถูกพักใบขับขี่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รัฐปิดเบอร์ซิมลวงกว่า 1 แสนเบอร์ อายัดบัญชีม้า 5.8 หมื่นบัญชี         รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยถึงการแก้ไขปัญหาของอาชญากรรมทางออนไลน์ว่าสามารถดำเนินคดีผู้กระทำผิดได้จำนวนมาก ในปี 2565 สามารถปิดกั้นเบอร์โทรหลอกลวง/ข้อความ SMS หลอกลวง ได้ถึง 118,530 หมายเลข และอายัดบัญชีม้าได้ถึง 58,463 บัญชี รวมถึงการปิดกลุ่มโซเชียลซื้อขายบัญชีม้าได้ถึง 8 กลุ่ม และปิดกั้นเว็บพนัน จำนวน 1,830 เว็บ           การแก้ไขปัญหาสำหรับบัญชีม้าหรือบัญชีต้องสงสัย ทางสำนักงาน ปปง. ได้มีการจัดทำประกาศหลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดหรือทบทวนรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ในขณะที่สำนักงาน กสทช.ได้มีการแก้ไขปัญหาซิมผิดกฎหมายให้คนที่มี 100 ซิมขึ้นไป ซึ่งมีอยู่ประมาณ 8,000 รายนั้น ยืนยันตัวตนให้ถูกต้องภายในเดือน มกราคม 2566 เพื่อจะได้เป็นการตัดวงจรมิจฉาชีพที่จะนำซิม ไปเติมเงินเพื่อโทรไปหลอกลวงประชาชน และทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ ระวังโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ         ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ระบุ ผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งปล่อยให้อยู่เพียงลำพังหรือกรณีสูญเสียคู่สมรสจะเกิดความเครียดกังวล ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า อาการที่พบคือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยู่นิ่ง หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ชอบนอนเฉยๆ ไม่อยากทำอะไร กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เข้านอนเร็ว ตื่นบ่อย ตื่นนอนเช้ากว่าปกติ บางรายอาจมีอาการรับประทานอาหารจุและไม่ค่อยมีสมาธิหลงลืม  ไม่ทำกิจกรรมที่เคยทำประจำ เช่น ไม่ขับรถ ไม่ชอบเข้าวัดทำบุญ ไม่ทำงานอาสาต่างๆ เหมือนอย่างที่เคยทำ บางรายก็จะบ่นปวดหัว ชอบพูดประชด เสียดสี ในรายที่มีอาการซึมเศร้าหนัก ๆ จะชอบคิดว่าอวัยวะภายในร่างกายบางส่วนหายไป ซึ่งเป็นผลจากความจำหรือความรู้สึกนึกคิด และเป็นความบกพร่องที่อาจมีผลมาจากโรคซึมเศร้า หากพบว่าพ่อแม่รวมถึงญาติผู้ใหญ่ในบ้านมีอาการข้างต้นเกิน 2 สัปดาห์ อาจมีความเสี่ยงเข้าข่ายควรพาไปพบแพทย์ทันที มพบ.เรียกร้องสำนักงานอัยการสูงสุดยกเลิก MOU กับแพทยสภา         จากข่าวการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ศัลยแพทย์โดยมีอัยการสูงสุด นายกแพทยสภาและประธานราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทยร่วมลงนามเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 นั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเกิดความกังวลว่าจะเกิดผลกระทบต่อประชาชนที่เป็นผู้ป่วยหรือผู้รับบริการสาธารณสุขหรือไม่ เพราะหากศัลยแพทย์ถูกร้องเรียนหรือถูกฟ้องร้องจะได้รับการปรึกษาหารือทางกฎหมายจากอัยการ ความร่วมมือนี้จะส่งผลทำให้อัยการมีความเห็นทางกฎหมายที่เอนเอียงไปกับฝ่ายศัลยแพทย์หรือไม่ และทำไมแพทยสภาจึงต้องขอความช่วยเหลือทางกฎหมายให้แก่หมอศัลยกรรมจากสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นกรณีพิเศษ         ไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการบริหารศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และกรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แสดงความเห็นว่าองค์กรอัยการจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ปราศจากอคติ เพราะอัยการมีบทบาทหน้าที่พิจารณาสั่งฟ้องคดีอาญาที่ประชาชนที่ได้รับความเสียหายร้องทุกข์ในคดีทางการแพทย์ อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ หากพนักงานอัยการที่เป็นผู้บริหารให้คำปรึกษาแก่ศัลยแพทย์ แพทยสภาหรือราชวิทยาลัยศัลยแพทย์อาจทำให้มีผลผูกพันต่อการสั่งคดีทางอาญาหรือไม่ และอาจส่งผลต่อความเป็นอิสระเที่ยงธรรมของพนักงานอัยการผู้สั่งคดี กล่าวคืออัยการอาจสั่งไม่ฟ้องหมอศัลยกรรมในคดีต่างๆ เพราะเชื่อในข้อเท็จจริงของฝ่ายแพทย์ทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายทางการแพทย์ไม่ได้รับโอกาสพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล         กชนุช แสงแถลง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า มูลนิธิฯ มีความกังวลว่าการร้องเรียนหรือคดีทางการแพทย์ที่ประชาชนได้รับความเสียหาย เช่นจากการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามกระแสนิยม โอกาสที่จะได้รับความเสียหายก็อาจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หากผู้บริโภคใช้สิทธิฟ้องร้องย่อมเกิดความกังวลเรื่องความเป็นกลาง องค์กรอัยการเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีความน่าเชื่อถือและมีความสำคัญต่อกระบวนการยุติธรรม เป็นที่พึ่งสุดท้ายในการที่ผู้บริโภคจะได้รับความเป็นธรรม จึงควรทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมในการทำความร่วมมือฉบับนี้ มิฉะนั้นจะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในอัยการและกระบวนการยุติธรรม แล้วประชาชนจะหันหน้าไปพึ่งใคร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 กระแสต่างแดน

แทนน้ำเปล่า         ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นการใช้น้ำอัดลมในพิธีกรรมโบราณของคนพื้นเมืองในเม็กซิโก ทั้งพ่อหมอแม่หมอ ต่างยืนยันว่าทวยเทพทั้งหลายล้วนพอใจกับสิ่งนี้          ไม่ต่างอะไรกับคนเม็กซิโกทั่วไปที่นิยมดื่มน้ำอัดลมกันจนเป็นนิสัย แม้พื้นที่ห่างไกล ไม่มีไฟฟ้าใช้ ก็ยังมีน้ำอัดลมขาย         ที่แปลกคือน้ำสะอาดสำหรับดื่มเป็นสิ่งหาได้ยาก แต่บริษัทผู้ผลิตน้ำอัดลม เช่น โคคาโคลา กลับมีน้ำเพียงพอที่จะใช้ผลิตเครื่องดื่มออกมาตอบสนองความต้องการของผู้คนได้อย่างไม่รู้จบ         รายงานระบุว่ารัฐบาลอนุญาตให้บริษัทใช้น้ำได้วันละประมาณหนึ่งล้านลิตร แต่เนื่องจากไม่มีการกำกับดูแลปริมาณน้ำที่ใช้จริง ผู้คนจึงสงสัยว่าสาเหตุที่น้ำดื่มขาดแคลน อาจมาการใช้น้ำของบริษัทเหล่านี้         อัตราการเป็นโรคเบาหวานในเม็กซิโกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะนี้ประชากรเกือบร้อยละ 17 เป็นโรคเบาหวาน และหนึ่งในสามของเยาวชนมีภาวะน้ำหนักเกิน  ของมันต้องขึ้น         ประชากรที่อายุ 65 ปีขึ้นไป ประมาณ 9 ล้านคนในเกาหลีใต้ มีสิทธิขึ้นรถไฟใต้ดินฟรี         นโยบายนี้ถูกใจวัยเก๋า งานวิจัยก็พบว่ามันช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ อัตราการเกิดโรคซึมเศร้า รวมถึงอัตราการฆ่าตัวตาย เพราะการเดินทางออกจากบ้านทำให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลังกาย และการพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูงก็ดีต่อสุขภาพจิต         แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยคือ “โซลเมโทร” หน่วยงานของรัฐที่ประกอบกิจการรถไฟไต้ดินของกรุงโซล เพราะขาดทุนอย่างต่อเนื่องปีละแสนล้านวอน (ประมาณ 26,700 ล้านบาท) ตั้งแต่มีการระบาดของโควิด         เนื่องจากรัฐบาลไม่มีแผนจะยกเลิกนโยบายดังกล่าว เพราะเกรงจะกระทบกับฐานเสียง (ครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุนั้นมีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 23)  โซลเมโทร จึงประกาศขึ้นราคาค่าตั๋วจาก 1,250 เป็น 1,550 วอน (ประมาณ 42 บาท) ตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป   มาเฟียรุกทะเล         เมืองแถบชายฝั่งอัฟริกาใต้เป็นแหล่งผลิตและส่งออกหอยเป๋าฮื้อไปยังหลายประเทศในเอเชีย ปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 ตัน         หอยส่วนหนึ่งมาจากฟาร์มที่เลี้ยงอย่างถูกสุขลักษณะและจับขายตามกำหนด ปลอดภัยทั้งต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม แต่ราคาค่อนข้างแพง         อีกส่วนหนึ่งมาจาก “ตลาดล่าง” ที่ดำเนินการโดยมาเฟียท้องถิ่น โดยอาศัยแรงงานราคาถูกของคนหนุ่มสาวที่ยินดีเสี่ยงคุกออกไปลักลอบจับหอยเป๋าฮื้อในทะเล ด้วยราคาที่ถูกลง “ลูกค้า” จึงให้การอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง แม้จะสุ่มเสี่ยงเรื่องสุขอนามัย           หากไม่ปราบปรามอย่างจริงจัง หอยเป๋าฮื้อจะหมดไปจากทะเลแถบนั้นภายใน 10 ปี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  แนวชายฝั่ง 2,850 กิโลเมตรนี้ไม่มีเจ้าภาพทำหน้าที่เป็น “ยามชายฝั่ง”  กองทัพเรือของเขาซึ่งปราบโจรสลัดเป็นงานหลักก็ไม่มีเขตอำนาจหน้าที่ในระยะ 100 เมตรจากชายฝั่ง  ของถูกยังมี         ปีที่แล้วราคาเนยในเยอรมนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 เป็นไปในทิศทางเดียวกับอาหารชนิดอื่นๆ เช่น ไข่ไก่ น้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์ ที่แพงขึ้นร้อยละ 13.4 โดยเฉลี่ย ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 7.9 ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่ “สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี” ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 74 ปีก่อน          แต่อยู่ดีๆ ปีนี้ราคาเนยก็ลดฮวบ จาก 2.29 ยูโร (ประมาณ 85 บาท) ลงมาเหลือ 1.59 ยูโร (58 บาท) สำหรับเนยขนาด 250 กรัม         รายงานระบุว่าเป็นเพราะเยอรมนีผลิตน้ำนมวัวได้มากขึ้น แต่คนบริโภคนมน้อยลง และเนยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทุกแบรนด์ผลิตออกมาในขนาดเดียวกัน ทำให้เปรียบเทียบง่ายเวลาเลือกซื้อ ไม่ว่าร้านไหนก็ไม่ยอมให้ใครถูกกว่า         แต่ข่าวดีจบเพียงแค่นั้น ผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่างชีส หรือโยเกิร์ตยังคงแพงเหมือนเดิม น้ำมันดอกทานตะวันขนาดหนึ่งลิตร ก็ขึ้นราคาเป็น 5.99 ยูโร (220 บาท) จากราคาเดิม 1.29 ยูโร  รักต้องโอน         ธนาคาร TSB ของอังกฤษเปิดเผยข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์” ผ่านการโอน ระหว่างผู้เสียหาย (ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคาร) กับมิจฉาชีพที่มาหลอกให้รัก ตามสูตรโรแมนซ์สแกม         ในช่วงโควิด กรณีแบบนี้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 91 และมีมาอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น ประมาณหนึ่งในสามของเหยื่อได้รับการติดต่อผ่านเฟซบุ๊ค และเกือบร้อยละ 25 ติดต่อกันทางแอปทินเดอร์ ทั้งนี้อายุเฉลี่ยของผู้เสียหายคือ 47 ปี         สองในสามของเหยื่อเป็นผู้หญิง ที่โดยเฉลี่ยแล้วสูญเงินคนละประมาณ 6,300 ปอนด์ (250,000 บาท) ในขณะที่เหยื่อผู้ชายเสียไปคนละ 4,600 ปอนด์ (190,000 บาท)              สถิติระบุว่าเหยื่อส่วนใหญ่โอนเงินไปถึง 8 ครั้ง ก่อนจะ “รู้ตัว” โดยร้อยละ 32 รู้ตัวหลังคุยกันได้ประมาณสองสัปดาห์ อีกร้อยละ 27 รู้ตัวประมาณหนึ่งเดือนให้หลัง อีกร้อยละ 11 “คบ” กันเกินครึ่งปี เขายังพบอีกว่าโดยเฉลี่ยแล้ว การโอนครั้งแรกถึงครั้งสุดท้ายห่างกันประมาณ 62 วัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 ยกเลิกการสั่งสินค้าได้ แต่ต้องจ่ายค่าขนส่ง

เสียงของผู้บริโภคท่านหนึ่งที่ลุกขึ้นมาใช้สิทธิ์ในวันนี้ คือ คุณเฉลิมศิริ พิพัธนไชย แฟนตัวยงและสมาชิกนิตยสารฉลาดซื้อ ปัจจุบันนี้ทำงานอยู่ที่บ้าน เป็นแอดมินฟรีเลนซ์ งานที่ทำค่อนข้างเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคพอสมควร เธอเล่าว่า “โดยนิสัยส่วนตัวคือตั้งแต่เด็กมาแล้วเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบในเรื่องสิทธิของเรา และก็เป็นคนไม่ชอบเอาเปรียบใครในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน จะเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมถ้ามีใครมาเอาเปรียบเรื่องพวกนี้ เช่นถ้าซื้อของแล้วบอกเราจะได้แบบนี้แล้วปรากฏว่าไม่ได้ตามที่คุยไว้เราก็จะถามเลยว่าเพราะอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเป็นบางคนเขาก็จะยอมๆ ไป ทำไมต้องเรื่องเยอะเรื่องมาก แต่สำหรับเรามีความรู้สึกว่าถ้าเรายอมให้เขาทำแบบนี้เรื่อยๆ คนที่ทำเขาก็จะคิดว่าทำได้ไม่ผิดแล้วเขาก็จะทำต่อไป” อยากให้เล่าเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้น         ย้อนกลับไปสัก 6  เดือนที่แล้ว วันนั้นนั่งดูโทรทัศน์รายการหนึ่งช่วงเช้า ก็ดูรายการตามปกติช่วงท้ายรายการเขามีการโฆษณาขายสินค้าทุกวัน วันนั้นเป็นการขายเซรั่มทาหน้าของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเราจะเจอได้บ่อยๆ ตามรายการต่างๆ อยู่แล้ว วันนั้นเป็นการโฆษณาขายเซรัมทาหน้า เราก็ฟังที่เขาพูดพอดีสรรพคุณของเซรัมที่เขาโฆษณามันตอบโจทย์ตรงกับที่เราต้องการพอดี เนื่องจากช่วงนี้ผิวหน้าเรามันเริ่มมีริ้วรอยจุดด่างดำ แล้วกำลังหาข้อมูลของครีมหรือเซรัมที่จะมาใช้พอดี เราฟังสรรพคุณแล้วมันตรงกับที่เราต้องการแล้วราคาที่เขาบอกเราพอจะซื้อได้ ราคาเซรัมที่เขาแจ้ง คือ 990 บาท ซื้อ 1 แถม 1 ถ้าสั่งซื้อตอนนี้คือส่งฟรี สามารถเก็บเงินปลายทางได้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แล้วเซรั่มสามารถใช้งานได้นานถึงครึ่งปี ก็เลยตัดสินใจว่าจะซื้อมาทดลองใช้ดู เขาให้สแกน QR Coad ที่ขึ้นหน้าจอเพื่อ Add Line ติดต่อสั่งซื้อกับพนักงานขาย หลังจาก Add Line แล้วก็มีพนักงานน่าจะเป็นผู้ชาย ทักมาบอกโปรโมชั่นนี้ตามที่โฆษณาในทีวี เราก็สั่งซื้อไป 1 ชุด ในราคา 990 บาท ส่งฟรี เก็บเงินปลายทาง จำได้ว่าสั่งไปช่วงประมาณไม่เกิน 11 โมงเช้าของวันนั้น เพราะรายการที่ดูจบตอน 10 โมง         หลังจากนั้นช่วงบ่ายสามหรือสี่โมงเย็นในวันนั้นเราต้องการยกเลิกการสั่งซื้อ เนื่องจากมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วนและคิดว่าน่าจะยังไม่สามารถซื้อได้ช่วงนี้ เลยแจ้งเจ้าหน้าที่คนที่รับคำสั่งซื้อทางไลน์ว่าจะขอยกเลิกการสั่งสินค้าไปก่อนเนื่องจากมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินช่วงนี้ยังไม่สะดวก ถ้าสะดวกแล้วจะสั่งไปใหม่อีกครั้ง ทางเจ้าหน้าที่น่าจะเป็นผู้ชายเพราะตอนที่คุยใช้คำว่าครับ แจ้งกลับมาว่าสามารถยกเลิกได้แต่เราจะต้องรับผิดชอบค่าขนส่งสินค้าเป็นจำนวนเงิน 150 บาท เขาบอกว่าสินค้าของเรามีการจัดส่งแล้ว เราถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมเราจะต้องรับผิดชอบเสียค่าขนส่งในเมื่อสินค้าก็ยังไม่ได้มาถึงบ้าน แล้วตอนที่คุณโฆษณาทางเจ้าของที่มาพูดก็แจ้งว่าจัดส่งฟรี แล้วเราเพิ่งสั่งสินค้าคุณไปช่วงเช้าเอง แล้วขอยกเลิกในช่วงเย็นทำไมถึงมีการส่งออกสินค้าเร็วขนาดนั้น เราคิดว่าระยะเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทางบริษัทน่าจะยกเลิกให้ได้ ทางเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าสินค้ามีการส่งแล้วเราสามารถยกเลิกได้ แต่จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายค่าขนส่ง 150 บาท โดยเจ้าหน้าที่ให้เลขที่บัญชีมาเพื่อให้โอนเงินไปให้ ทางเราก็ยืนยันว่าเราจะไม่ขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้ในเมื่อตอนที่เราดูในทีวีกับตอนที่เราคุยกันไม่มีใครแจ้งว่าถ้ายกเลิกสินค้าแล้วเราจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการส่งเป็นเงิน 150 บาท ตามที่เขาบอก         ก็คุยเหตุผลกันไปมาในไลน์สักพักเขาก็แจ้งว่าเขาต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้แทนเรา เราก็บอกว่าขอดูเอกสารการส่งสินค้าและใบเสร็จค่าใช้จ่ายในการส่งสินค้า ซึ่งถ้าเขาต้องรับผิดชอบเราก็จะจ่ายให้แต่ขอจ่ายจริงตามใบเสร็จที่ส่งของ ทางเจ้าหน้าก็ที่ส่งใบส่งของให้ดูว่ามีการส่งในวันนี้เวลากี่โมง ซึ่งเป็นเอกสารของทางบริษัทที่ออกเองไม่ใช่ของทางบริษัทขนส่ง ส่วนใบเสร็จค่าส่ง เขาก็ไม่ให้ดูโดยให้เหตุผลว่าเขาไม่สะดวกไม่มีนโยบายให้ลูกค้าดู เราก็ยืนยันว่าจะไม่จ่ายตามจำนวนที่แจ้งมาจะจ่ายให้ตามใบเสร็จค่าขนส่งเท่านั้น         จริงๆ เราจะไม่จ่ายก็ได้แต่เห็นเจ้าหน้าที่พูดว่าถ้าเราไม่จ่ายเขาจะต้องเป็นคนจ่ายเงินตัวเองให้กับทางบริษัทเราก็เลยจะรับผิดชอบแทนให้ แต่เขาก็ยืนยันว่าเราต้องจ่ายให้เขา 150 บาทเท่านั้น คุยกันสักพักเขาเริ่มพูดจาไม่ดี มีการต่อว่าเรา เขาบอกว่าตั้งแต่เขาขายของมาไม่เคยเจอลูกค้าแบบเรา ว่าเราเป็นคนที่นิสัยแย่มากไม่มีความรับผิดชอบ ลูกค้าคนอื่นๆ ที่เขายกเลิกเขาก็ยินดีโอนเงินจ่ายคืนให้บริษัททุกเคสคือ 150 บาท ไม่มีใครเคยปฏิเสธ เพิ่งเคยเจอเราเป็นคนแรกที่ไม่ยอมจ่าย หลังจากนั้นก็ส่งใบประกาศที่ออกโดยบริษัทขนส่งสีส้ม สีเหลือง แล้วก็บริษัทอื่นอีกมาให้เราดู โดยในรายละเอียดใบประกาศมีมาตรา กฎหมายแจ้งว่าถ้ามีการสั่งสินค้าแล้วลูกค้ายกเลิก ลูกค้าจะต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายที่ทำให้บริษัทเกิดความเสียหาย ถ้าไม่จ่ายทางบริษัทสามารถดำเนินคดีกับลูกค้าได้ เนื้อหาโดยจะประมาณนี้         เราแคปเอกสารที่เขาส่งไว้ทั้งหมดรวมทั้งคำพูดที่คุยกันในไลน์ ทางเจ้าหน้าที่ที่คุยกับเราเขาบอกว่าจะไม่คุยต่อแล้วไว้ให้ไปเจอกันในศาลจะให้ทางบริษัทดำเนินคดีกับเราให้ถึงที่สุด จะให้เป็นเคสตัวอย่างกับลูกค้าคนอื่นๆ ที่จะทำแบบเรา เราก็เลยแจ้งไปว่าก็แล้วแต่คุณเห็นสมควร แต่เรายืนยันว่าเราจะไม่จ่ายเงินให้อย่างแน่นอน หรือถ้าจ่ายก็ต้องจ่ายตามใบเสร็จเท่านั้น หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนนั้นอีก ตอนที่เจ้าหน้าส่งเอกสารประกาศของบริษัทขนส่งที่แจ้งว่าจะดำเนินคดีกับลูกค้าที่สั่งสินค้าแล้วปฏิเสธการรับสินค้ามาให้แล้วได้ดำเนินอะไรต่อบ้าง         หลังจากนั้น เราได้โทรไปถามกับบริษัทขนส่งชื่อดังสีส้ม Call Centre เขาให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางไลน์ น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ เราเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ แล้วส่งใบประกาศที่แคปมาจากบริษัทนั้นให้เจ้าหน้าที่ดู แล้วถามเขาว่าทางบริษัทของเขาได้ทำประกาศฉบับนี้ออกมาใช่หรือเปล่า ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าทางบริษัทเขาไม่เคยจัดทำและไม่ได้จัดทำประกาศฉบับนี้ออกมา เราเลยแจ้งว่าเราได้รับเอกสารประกาศนี้จากเจ้าหน้าที่บริษัทที่เราสั่งของส่งมาให้ โดยเขาอ้างว่าเอามาจากบริษัทของคุณทางบริษัทของคุณเป็นคนออกประกาศนี้ เราเลยบอกว่าถ้าทางบริษัทคุณไม่ได้ออกเอกสารฉบับนี้ก็เท่ากับว่าบริษัทนั้นจัดทำเอกสารขึ้นมาเองโดยอ้างชื่อบริษัทคุณว่าเป็นคนจัดทำ แล้วอย่างนี้ทางบริษัทคุณจะจัดการอย่างไรบ้าง แสดงว่าเขาปลอมแปลงเอกสาร ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะแจ้งให้ทางหัวหน้ารับทราบ แล้วก็เลิกคุยไปเลย เราก็ถามไปว่าสรุปคุณจะจัดการอย่างไร แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่บริษัทขนส่งสีส้มไม่คุยกับเราต่อแล้วบล็อกเราไปเลย         เราเลยโทรปรึกษาเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แล้วเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เขาฟัง เขาก็เลยให้เราแจ้งเรื่องนี้เข้ามาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคให้ช่วยเหลือในเรื่องนี้ หลังจากนั้นอีกประมาณสองวัน สินค้าตัวที่เราแจ้งยกเลิกไปมาส่งที่บ้านเรา โดยมีเจ้าหน้าที่จากขนส่งโทรมาแจ้งว่าจะมีสินค้ามาส่งเก็บเงินปลายทางเป็นจำนวนเงิน 999 บาท เราเลยแจ้งเจ้าหน้าที่ไปว่าไม่ต้องเอาเข้ามาส่งเพราะเราแจ้งยกเลิกไปแล้ว เขาก็เลยไม่ได้นำส่ง หลังจากนั้นสักพักมีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงจากบริษัทที่เรายกเลิกสั่งของโทรมาแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ประจำโกดังจ่ายของเขาถามว่าเราปฏิเสธการรับของใช่หรือไม่ เราแจ้งว่าใช่เพราะเราแจ้งยกเลิกไปกับเจ้าหน้าที่ขายผู้ชายในไลน์แล้ว เมื่อมีของมาส่งเราเลยปฏิเสธการรับ เขาแจ้งว่าจริงๆ เรายกเลิกไม่ได้เราเลยบอกขอไม่คุยต่อเพราะเหตุผลต่างๆ ได้แจ้งไปตั้งแต่แรกแล้วให้ไปถามกับคนที่เรายกเลิกเอง สักพักมีไลน์จากบริษัทนี้แจ้งเข้ามาจากเจ้าหน้าที่ผู้ชายที่คุยกับเราคนแรก แจ้งว่าให้เรารอรับหมายศาลได้เลยจะให้ทางบริษัทดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเพื่อเป็นกรณีตัวอย่าง เราก็บอกว่าไม่เป็นไรเอาตามที่คุณเห็นสมควรคงคุยกันแค่นี้เพราะไม่สามารถตกลงกันได้ หลังจากนั้นเราก็รอว่าจะมีการดำเนินคดีหรือมีการติดต่อใดๆ จากบริษัทมาอีก แต่ปรากฏว่าเงียบหายไป ไม่มีการติดต่อกลับมาอีกเลย แถมยังมีการส่งไลน์มาขายของอีกเป็นระยะด้วย ทางบริษัทฯ ยังติดต่อเข้ามาหรือไม่         ทางบริษัทไม่มีการติดต่อใดๆ มาเลยทั้งจากบริษัทที่สั่งของไป หรือบริษัทขนส่งสีส้มที่เราถามเรื่องประกาศแจ้งการยกเลิกสินค้า ทั้งสองที่ไม่มีการติดต่อเข้ามาเลย ซึ่งหลังจากที่เกิดเรื่อง เราได้ติดต่อไปที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคโดยเล่าให้กับเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ฟัง แล้วก็มีการเขียนร้องเรียนไปที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่โทรติดต่อมาสอบถามเรื่องราวต่างๆ ว่า สรุปว่าทางบริษัทได้มีการดำเนินคดีตามที่เขาแจ้งหรือมีการติดต่อกลับมาว่าอย่างไร ซึ่งทางเราได้แจ้งไปว่าทางบริษัทเขาไม่ได้มีการติดต่อเข้ามา ทางเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิก็แจ้งว่าในกรณีถ้ามีการแจ้งดำเนินคดีหรือมีเรื่องที่เกี่ยวข้องจะให้ความช่วยเหลือต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้น มีคำแนะนำกับผู้บริโภคท่านอื่นๆ ในการพิทักษ์สิทธิ์อย่างไร         คือมองว่าการที่เราเป็นผู้บริโภค เป็นผู้ซื้อหรือผู้รับบริการต่างๆ ทุกคนควรมีสิทธิที่จะดูแลปกป้องสิทธิของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเวลาที่เราทุกละเมิดถูกกระทำแล้วเราจะต้องกลัวว่าจะมีเรื่องมีราวตามมาหรือจะต้องยอมทุกครั้งทั้งๆ ที่เราไม่ได้ผิด คือสำหรับตัวเองถ้าเราไม่ผิดเราจะไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ เรามีสิทธิที่จะปกต้องตัวเราและผู้บริโภคคนอื่นๆ ที่เกิดเหตุการณ์เหมือนเรา         ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าทุกครั้งควรศึกษารายละเอียดให้ครบถ้วน ชื่อบริษัท รายละเอียดสินค้าต่างๆ ควรดูให้ครบถ้วน อย่างกรณีโฆษณาขายสินค้าในทีวี เราควรถ่ายรูปรายละเอียดที่เขาขึ้นหน้าจอไว้ว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง หรือถ้าใน Platform ต่างๆ เราก็ควรแคบหลักฐานต่างๆ ไว้ให้ครบถ้วน ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดหรือเสียหายเราจะได้มีหลักฐานเก็บไว้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 ฟ้องปิดปาก เครื่องมือหยุดผู้บริโภคไม่ให้ส่งเสียง! ตอนที่ 1

“ที่ใดก็ตาม ไม่มีเสรีภาพของการแสดงออกที่แท้จริง ที่นั่นไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริง” นี่คือปรัชญาที่สหภาพยุโรปใช้เป็นแนวทางการยกเลิกความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาท มองมาที่ไทย ประเทศที่เสรีภาพการแสดงออกได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี  พ.ศ. 2475 แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การใช้สิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อประชาชนใช้สิทธิ เสรีภาพ  เพื่อส่งเสียงเรียกร้องสิทธิของตนเอง  อาจกระทบต่อคนหลายฝ่าย อาจเกี่ยวพันไปถึงสิทธิในชื่อเสียงเกียรติยศของผู้ประกอบการ  นักการเมือง ข้าราชการ ที่ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ย่อมมีสิทธิในการปกป้องรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของตนเองด้วยเช่นกัน         ‘การฟ้องปิดปาก’ หรือ SLAPPs (strategic lawsuits against public participation) หรือเรียกว่า  “การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ” จึงถูกผู้ประกอบการ นักการเมือง ข้าราชการนำมาใช้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง         คดีจากการ‘การฟ้องปิดปาก’  นี้จึงแตกต่างจากคดีทั่วไปตรงที่ผู้ฟ้องไม่ได้มุ่งหมายที่จะชนะคดี แต่เป็นการฟ้องคดีเพื่อขู่อีกฝ่ายให้กลัวหรือทำให้เกิดภาระมากมายจนหยุดการกระทำหรือแกล้งขัดขวางยับยั้งการใช้สิทธิเสรีภาพของอีกฝ่ายเท่านั้น เช่น ปัจจุบัน ผู้บริโภคหลายรายเพียงรีวิว การใช้สินค้าที่ซื้อมาใช้ด้วยความสุจริตลงในสื่อออนไลน์ กลับถูกประกอบการขู่ฟ้อง ดำเนินคดี ก็เพื่อให้หยุดแสดงความคิดเห็นหรือลบข้อความที่ได้เขียนลงไป         ในเวทีเสวนาเรื่อง “เสวนาปัญหาการถูกฟ้องคดีปิดปาก: ถอดบทเรียนจากการใช้สิทธิของผู้บริโภค” วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ รศ.ดร. ปกป้อง ศรีสนิท คณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  กล่าวว่า ในต่างประเทศการฟ้องปิดปากเป็นคดีแพ่งเท่านั้น เช่น สหรัฐอเมริกา แต่สำหรับประเทศไทยประชาชนที่ออกมาพูดเพื่อประโยชน์สาธารณะกลับถูกดำเนินคดีทั้งกระบวนการทางแพ่งและอาญา สุดท้ายทำให้ประชาชนที่ใช้สิทธิ ถอดใจ เรากล่าวขอโทษ ถอดบทความต่างๆ ความจริงก็จะไม่ปรากฏ และประโยชน์สาธารณะก็จะเสียไป        “ผมคิดว่า การฟ้องปิดปากมีสมการที่อธิบายได้แบบนี้ เสรีภาพ การแสดงออกซึ่งความคิดของประชาชน กับเรื่องสิทธิของผู้ประกอบการในการมีสิทธิทางธุรกิจ เกียรติยศ  ผมว่าเสมอกัน เสรีภาพของประชาชน เสมอกับเกียรติยศของคนที่เราพูดถึง   ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว  เราไปกล่าวหาคนอื่น เรื่องส่วนตัว เรามีความรับผิด ตรงกันข้าม ถ้าเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิด บวกประโยชน์สาธารณะเข้ามา มันควรจะมากกว่า ชื่อเสียง เกียรติยศของภาคธุรกิจหรือไม่  เราเป็นผู้บริโภคแสดงออกว่า สินค้านี้ไม่ดี เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เขาไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว เขาทำให้บ้านเมืองนี้ดีขึ้น เพื่อธุรกิจจะมีความรับผิดชอบ นำของที่ดีมาขาย ไม่ใช่เอาของไม่ดีมาขายแล้วตัดภาระให้ประชาชน เมื่อมีประโยชน์สาธารณะสุดท้ายจะปรับให้เกิดภาพรวมที่ดีของสังคมที่ได้ ได้ใช้สินค้าและบริการที่ดี ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองมากขึ้นเพราะทุกคนในประเทศไทยต่างเป็นผู้บริโภค เพราะเราต้องซื้อของ และใช้บริการ”          รายงานวิจัยของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน พบว่า ตั้งแต่ปี 2540 มีคดีปิดปากอย่างน้อย 212 คดีที่นำเข้าสู่กระบวนการศาล  หนึ่งในสี่ของคดีปิดปากเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นออนไลน์ ประชาชนถูกฟ้องร้องจากความพยายามที่จะร้องเรียนเรื่องสภาพการทำงานที่ผิดกฎหมาย เรื่องการใช้ความรุนแรงของตำรวจ หรือ เรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม  โดยร้อยละ 95 ของคดีฟ้องปิดปากในประเทศไทย เป็นคดีอาญา และผู้ที่เป็นจำเลยส่วนใหญ่ คือ ประชาชนทั่วไป นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและอาสาสมัคร ร้อยละ 39  ผู้แทนชุมชนและแรงงาน ร้อยละ 23% นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ร้อยละ16%และ นักข่าวร้อยละ9%  และกิจกรรมหลักที่เป็นสาเหตุสำคัญของการฟ้องร้องคือการแสดงความเห็นออนไลน์ ซึ่งคดีหมิ่นประมาทเป็นข้อกล่าวหาทางอาญา มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 2 ปี และ ปรับ 200,000 บาท หากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง         รศ.ดร. ปกป้อง ศรีสนิท คณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  กล่าวว่าเขามองว่า ความหวัง และทางออกของเรื่องนี้คือ กฎหมายมาตรา 329 ที่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมทุกฝ่ายควรได้นำไปปรับใช้ให้มากขึ้น“มาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต(1)   เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม(2)   ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติงานตามหน้าที่(3)   ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ(4)   ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล หรือในการประชุมผู้นั้น ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท”         “ผมว่าตรงนี้คือกุญแจสำคัญในการที่ผู้บริโภค พิทักษ์สิทธิ์ ไปแสดงความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่เป็นความผิด แม้เป็นการใส่ความเขาเหตุผลเพราะ เรากำลังทำเพื่อความเป็นประธรรม ประโยชน์ส่วนร่วม ตามมาตรา 329”         อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติยังเป็นไปได้น้อย ศาลยังขาดข้อมูลว่าผู้ฟ้องมีเจตนาใช้กระบวนการยุติธรรมด้วยความไม่บริสุทธิ์ ทำให้มีคดีเข้าสู่ศาลแม้การฟ้องปิดปากจะเป็นคดีที่ไม่มีมูลเหตุ ถูกออกแบบมาให้มีความซับซ้อน กินระยะเวลายาวนาน และเสียค่าใช้จ่ายราคาแพงสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง ถ้าจำเลยไม่มีฐานะทางการเงินเพียงพอที่จะสู้คดี ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกและจำต้องยอมรับข้อเรียกร้องของโจทก์ ซึ่งมักจะมาในรูปของ การชดใช้ค่าเสียหาย การขอโทษ หรือ การลบข้อความที่ถือว่าละเมิด         การดำเนินคดีในกลุ่มผู้ใช้สิทธิผู้บริโภคก็มีมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เสนอข่าว และ บทความ ในเว็บไซต์ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ว่า “ฉลาดซื้อเผยผลสุ่มตรวจ ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ล้างมือ ร้อยละ 67 ไม่ผ่านมาตรฐานประกาศ สธ. …” โดยระบุว่า ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ล้างมือ ยี่ห้อ เคียวร์ซิส (CUREAYS) ผลการทดสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน โดยผลการทดสอบ ได้ผล ร้อยละ 69 และ ร้อยละ 64 ตามลำดับ พร้อมระบุข้อสังเกตจากการทดสอบ เรื่องคุณภาพการผลิต พบว่า ยังไม่มีการควบคุมให้ได้มาตรฐาน … บริษัท รีเอ็กซ์ โปรดักส์ จำกัด รับผลิตสินค้าให้กับผู้ประกอบการหลายบริษัท แต่จากผลการทดสอบบางยี่ห้อผ่านเกณฑ์ บางยี่ห้อไม่ผ่านเกณฑ์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ปรากฏว่า บริษัทผู้ผลิต กลับยื่นฟ้อง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ด้วยข้อหา “หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา” ทั้งที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ทำงานโดยสุจริต เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่กลับถูกข้อกฎหมายฟ้องปิดปาก มาปิดกั้นการทำงานเพื่อผู้บริโภคส่วนใหญ่ ที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าและบริการของผู้ประกอบการ และยังมีอีกหลายกรณีของการทดสอบ หรือ เผยแพร่ข้อมูลโดยสุจริตเพื่อ เตือนภัย แต่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กลับถูกแทรกแซงจากผู้ประกอบการด้วยวิธีการต่างๆ และจากหลายกรณีที่ผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียน เช่น คดีกระทะโคเรียคิง ครีมเพิร์ลลี่ หรือ คดีสามล้อ ฯลฯ กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากโดย ปปช.         คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. ปัจจุบันมียุทธศาสตร์ ให้ประชาชน ‘ไม่ทำ’ และ ‘ไม่ทน’ ต่อการทุจริต  แต่เมื่อประชาชนที่มาชี้ช่อง เบาะแสกลับถูกดำเนินคดีฟ้องกลับ มากมาย ปปช.ในปี พ.ศ. 2564 จึงเสนอ “ร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปากในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ พ.ศ. ....” หรือ ปัจจุบันมีชื่อว่า “ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่...) พ.ศ...” ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งสุดท้าย         นายนิรุท  สุขพ่อค้า  ผู้อำนวยการกลุ่มกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กล่าวว่า “ปปช. เรามีแนวคิดปกป้องคุ้มครองประชาชนมานานแล้วเราจึงมีกฎหมายในการคุ้มครองพยาน แต่ยังเป็นเรื่องของการคุ้มครองอันตรายทางกายภาพ เนื้อตัว ร่างกาย ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  ผู้ถูกกล่าวหาเขามีความรู้ก็จะใช้กฎหมายดำเนินคดีกับผู้แจ้งเบาะแส หรือ ภาคประชาชนซึ่งเรื่องการชี้ช่องเบาะแส  บางอย่าง เป็นเรื่องของการก้ำกึ่งระหว่างเรื่องของการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นคดีอาญา การที่เขาจะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการฟ้องร้อง หรือ ดำเนินคดีปิดปาก มันเป็นการดำเนินการที่ไม่ต้องใช้ทุนอะไร แค่เดินไปยังพนักงานสอบสวน และร้องทุกข์ กล่าวโทษก็ถือว่าเป็นคดีได้แล้ว”         “เรื่องการทุจริตต่อหน้าที่ ปปช. มีหน้าที่รวบรวม พยานหลักฐาน  แต่คนที่จะมีส่วนรู้เห็น ก็มีบทบาทสำคัญที่จะมาช่วย  ปปช. ได้คือภาคประชาชน การฟ้องปิดปากจึงทำให้ประชาชนทุกกลุ่มเดือดร้อน  ไม่ว่าจะภาคประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐด้วยกันเอง ที่ถูกเจ้าหน้าที่เอาเปรียบ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับความเดือดร้อน เสียหายในเขตพื้นที่อันเกิดจากการทุจริต ในการจัดซื้อจัดจ้าง ถนนชำรุดทรุดโทรมง่าย ภาคประชาชนที่ทำหน้าที่ NGO ทำหน้าที่เป็นสื่อ ทำหน้าที่สอดส่อง ดูแล  การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐด้วยกันเอง เป็นกลุ่มที่หลากหลาย ทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ”          “กฎหมายฉบับนี้จะเข้าไปช่วยเหลือประชาชรตามคดี 3 ลักษณะกว้างๆ คือ เมื่อคนที่ชี้ช่องถูกดำเนินคดีอาญา ปปช. จะเข้าไปทำงานร่วมกับพนักงานสอบสวนที่รับแจ้งความร้องทุกข์ฐานหมิ่นประมาท ทางในแพ่ง ปปช. จะตั้งทนายเข้าไปช่วยประชาชน และหากเป็นคดีทางปกครอง ถูกผู้บัญชาดำเนินการทางวินัย ปปช.มีอำนาจที่จะสั่งให้หยุดการดำเนินการทางวินัยได้เลย นี่ค่อนข้างจะเด็ดขาดมาก ทั้ง 3 ลักษณะคดีนี้  ปปช. มีอำนาจที่จะให้ข้อมูล เพื่อให้พนักงานสอบสวน/ อัยการ มีดุลยพินิจ สั่งไม่ฟ้อง และ ปปช.ดำเนินการด้วยงบประมาณของตนเองเพราะมีกองทุนอยู่แล้วจึงมีความพร้อมในการปฏิบัติ เราคาดหวังเต็มร้อยเพราะเรื่องการปราบปรามทุจริตได้ เราทำเองไม่ได้ถ้าประชาชนไม่ร่วมมือให้ข้อมูล เบาะแส หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนมีความสำคัญเป็นลำดับต้นกฎหมายฉบับนี้จะสร้างความมั่นใจให้กับภาคประชาชนด้วยทุกฝ่าย ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสังคมโลกดีขึ้น ”นายนิรุทกล่าวยืนยัน        ฉบับหน้าติดตามตัวอย่างผู้บริโภคที่ได้รับผลจากการฟ้องคดี “ปิดปาก” และผลของคดีที่น่าสนใจ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 โซเดียมในถั่วอบเกลือ (2)

        จากข้อมูลผลสำรวจปริมาณการบริโภคเกลือโซเดียมของคนไทยในปี 2563 พบว่า มีอัตราการบริโภคเฉลี่ย 3,636 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำเกือบ 2 เท่าในปีนี้ประเทศไทยได้มีเป้าหมายที่จะลดปริมาณการบริโภคโซเดียมลงให้ได้ร้อยละ 30 หรือบริโภคไม่เกิน 700 - 800 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร ภายในปี พ.ศ. 2568         ฉลาดซื้อฉบับที่ 261 (พฤศจิกายน 2565) ได้สำรวจโซเดียมในถั่วอบเกลือ (1) พบปริมาณโซเดียมมากที่สุดคือ 250 มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค 38 กรัม ในฉบับนี้เราจะมาสำรวจต่อในกลุ่มถั่วเปลือกแข็ง (Nut) ซึ่งเป็นซูเปอร์ฟู้ดขวัญใจคนรักสุขภาพกัน               นิตยสารฉลาดซื้อ โครงการสร้างเสริมความเข็มแข็งระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ได้สุ่มเลือกผลิตภัณฑ์ “ถั่วอบเกลือ” ได้แก่ ถั่วพิสทาชิโอ ถั่วอัลมอนด์ และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ จำนวน 19 ตัวอย่าง 11 ยี่ห้อ เมื่อเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2565 มาสำรวจฉลากเพื่อเปรียบเทียบปริมาณโซเดียมว่ายี่ห้อไหนมีมากน้อยกว่ากัน รวมถึงปริมาณโปรตีน และราคา นำเสนอเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อต่อไป ผลการสำรวจฉลาก         จากผลิตภัณฑ์ถั่วอบเกลือ 19 ตัวอย่าง ได้แก่ ถั่วพิสทาชิโอ 5 ตัวอย่าง ถั่วอัลมอลด์ 5 ตัวอย่าง และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 9 ตัวอย่าง พบว่า         - ปริมาณโซเดียมต่อ 1 หน่วยบริโภค มากที่สุดคือ 160 มิลลิกรัม ได้แก่ ยี่ห้อทองการ์เด้น อัลมอนด์อบเกลือ (มีโพแทสเซียม 220 มิลลิกรัมด้วย) และเจดีย์คู่ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อบเกลือ ส่วนยี่ห้อเปเล่ มะม่วงหิมพานต์อบเกลือ มีน้อยที่สุดคือ 10 มิลลิกรัม ในขณะที่ยี่ห้อนัท เนเทอร์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อบ ไม่มีโซเดียม (แต่มีโพแทสเซียม 190 มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค 30 กรัม)          - ปริมาณโปรตีนต่อ 1 หน่วยบริโภค มากที่สุดคือ 9 กรัม ในยี่ห้อเจดีย์คู่ พิสตาชิโออบเกลือ   ส่วนยี่ห้อซันคิสท์ พิสทาชิโออบเกลือ และนัท วอร์คเกอร์ พิสทาชิโออบเกลือ มีน้อยที่สุดคือ 3 กรัม         - ยี่ห้อคาเมล พิสทาชิโออบรสธรรมชาติ ระบุปริมาณต่อ 1 หน่วยบริโภคไว้มากที่สุดคือ 40 กรัม ส่วนยี่ห้อซันคิสท์ พิสทาชิโออบเกลือ และนัท วอร์คเกอร์ พิสทาชิโออบเกลือ ระบุไว้น้อยที่สุดคือ 15 กรัม (ไม่รวมเปลือก) ราคาต่อปริมาณ         เมื่อคำนวณความคุ้มค่าของราคาต่อปริมาณ 1 กรัม พบว่า ยี่ห้อซันคิสท์ อัลมอนด์อบเกลือรสเค็มน้อย ราคาแพงสุดคือ 1.15 บาท ส่วนยี่ห้อสแนคทาวน์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อบเกลือ ราคาถูกสุดคือ 0.67 บาท  ตารางเปรียบเทียบผลสำรวจฉลากตัวอย่างถั่วอบเกลือ 2 กลุ่ม           จากตารางนี้พบว่า ตัวอย่างถั่วกลุ่มเปลือกแข็ง (Nut) มีปริมาณโซเดียมและโปรตีนต่อหน่วยบริโภคน้อยกว่าตัวอย่างถั่วกลุ่ม (1) แต่มีราคาสูงสุดต่อปริมาณ 1 กรัมแพงกว่าประมาณ 4.4 เท่า ข้อสังเกต         - มี 1 ตัวอย่างที่ได้รับสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” คือ ยี่ห้อนัท เนเทอร์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อบ ไม่มีโซเดียม อย่างไรก็ตามพบว่ามีโพแทสเซียม 190 มิลลิกรัม (ต่อหน่วยบริโภค 30 กรัม หรือ 633.33 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม)         -เมื่อลองใช้เกณฑ์สัญลักษณ์ ”ทางเลือกสุขภาพ” กลุ่มขนมขบเคี้ยวประเภทถั่ว ที่กำหนดให้มีโซเดียม ≤ 100 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม มาพิจารณาในกลุ่มตัวอย่างนี้จะพบว่า มี 2 ตัวอย่างที่เข้าเกณฑ์นี้ ได้แก่ ยี่ห้อเปเล่ มะม่วงหิมพานต์อบเกลือ มี 31.25 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม และยี่ห้อซันคิสท์ อัลมอนด์อบเกลือรสเค็มน้อย มี 66.67 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม         - มี 2 ตัวอย่างที่ไม่ระบุข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหารไว้บนฉลาก ได้แก่ ยี่ห้อคาเมล เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อบเกลือ และยี่ห้อลูคาส เม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วเกลือ ฉลาดซื้อแนะ        - รสชาติเค็มๆ มันๆ ของถั่วอบเกลือ ทำให้ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน หากเผลอกินมากไปอาจได้รับพลังงานและโซเดียมเกินจำเป็นได้ ปริมาณที่แนะนำกันคือ 30 กรัมต่อวัน (ถั่วพิสทาชิโอ 30 เม็ด อัลมอนด์ 20 เม็ด และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 15 เม็ด อาจมากน้อยกว่านี้นิดหน่อยได้ ขึ้นอยู่กับขนาดของเมล็ดถั่วด้วย)         - แม้ไม่มีคำว่าเกลือในชื่อก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีโซเดียม จึงควรพิจารณาส่วนประกอบและข้อมูลบนฉลากโภชนาการก่อนซื้อทุกครั้ง โดยเฉพาะหากซื้อให้เด็ก ผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ป่วยโรคไตและความดันสูง         - ถ้าเลือกได้ ควรเลือกถั่วอบที่ไม่ปรุงรสใดๆ เลย จะดีต่อสุขภาพมากที่สุด         - ควรเคี้ยวถั่วให้ละเอียดก่อนกลืน โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ หากเป็นถั่วเปลือกแข็งเมล็ดใหญ่ควรตำหรือบดให้เล็กลง เพื่อป้องกันการติดคอ สำลัก หรือฟันหักได้         - หากซื้อถั่วถุงใหญ่ ควรแบ่งบริโภคให้พอเหมาะ และเก็บถั่วที่เหลือในภาชนะที่ปิดมิดชิด วางไว้ในที่แห้ง หลีกเลี่ยงแสงแดดและความชื้นข้อมูลอ้างอิงhttps://www.thaihealth.or.th (เลือกกิน “ถั่ว” ให้ถูก ดีต่อสุขภาพแน่นอน)https://www.pobpad.com (ถั่วพิสตาชิโอ อาหารลดน้ำหนักและบำรุงสุขภาพ/ กินอัลมอนด์อย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ/ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ของว่างเปี่ยมคุณค่าทางโภชนาการ)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 โรงไฟฟ้าชุมชนกับความจริงที่หายไปจากการอภิปรายในสภาผู้แทน

        ในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติของสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 152 เมื่อ 15-16 กุมภาพันธ์ 2566  มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่ฝ่ายค้านได้ยกขึ้นมาอภิปราย คือ โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมากหรือ VSPP (Very Small Power Producer) ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์         ฝ่ายค้านโดยคุณสุทิน คลังแสงได้อภิปรายพอสรุปได้ว่า ท่านเห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว เพราะชาวบ้านจะมีรายได้จากการขายเชื้อเพลิงซึ่งได้แก่ ไม้โตเร็ว และหญ้าเนเปียร์  เป็นต้น แต่ปัญหาอยู่ที่สัดส่วนการลงทุนระหว่างบริษัทเอกชนกับวิสาหกิจชุมชน โดยระเบียบที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)กำหนดคือ ให้ชุมชนถือหุ้นในสัดส่วน 10% คุณสุทินเสนอว่าควรจะให้ชุมชนถือหุ้นมากกว่านั้นเป็น 60-70% เป็นต้น ต่อมาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นมาตอบแบบข่มผู้ตั้งคำถามว่า ให้ไปศึกษาดูให้ดีก่อน วิสาหกิจชุมชนถือหุ้น 10% เฉพาะในช่วงแรกเท่านั้นแต่สามารถเพิ่มการลงทุนได้ถึง 40% ในปีต่อๆ ไป         ผมได้ตรวจสอบจากเอกสารของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเผยแพร่เมื่อปี 2563 พบว่า ไม่มีการกำหนดเวลาว่าจะให้ชุมชนสามารถเพิ่มทุนเป็น 40% ให้สำเร็จภายในปีใด นั่นแปลว่ายังคงถือหุ้นเท่าเดิมคือ 10% ตลอดอายุสัญญา 20 ปีก็ได้ นอกจากนี้ผมได้ติดตามเอกสาร “ประกาศเชิญชวน” (ออกปี 2564) โดย กกพ.ก็ไม่มีการพูดถึงสัดส่วนการลงทุนแต่ประการใด         ดังนั้นเราพอสรุปได้ว่าเรื่องสัดส่วนการลงทุนที่บอกว่าจะให้ชุมชนถือหุ้นถึง 40% จึงเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งพลเอกประยุทธ์นำมาหลอกต่อในสภาและคุณสุทินเองก็ไม่ได้กล่าวถึงสัดส่วนการลงทุนที่ไม่ได้ระบุเวลา นี่คือความจริงที่หายไปประการที่หนึ่ง         ความจริงที่หายไปประการที่สองคือ ขนาดของโรงไฟฟ้า กำหนดว่าต้องไม่เกิน 3 เมกะวัตต์สำหรับที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (เช่น เอาหญ้าเนเปียร์มาหมักเป็นก๊าซ) และไม่เกิน 6 เมกะวัตต์สำหรับเชื้อเพลิงชีวมวล (จากเศษไม้โตเร็ว) คำถามคือโรงไฟฟ้าพวกนี้มีขนาดเล็กมากจริงหรือ         ข้อมูลจากผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอ.บต. ท่านหนึ่งระบุว่า โรงไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ต้องใช้พื้นที่ปลูกหญ้าเนเปียร์ถึง 4 พันไร่ ถ้าขนาด 3 เมกะวัตต์ต้องใช้พื้นที่ปลูกหญ้าถึง 12,000 ไร่ การขนหญ้ามาขายก็มีต้นทุนคือค่าน้ำมัน ค่าขนส่ง ดังนั้นโรงไฟฟ้าชีวมวลและชีวภาพจึงควรจะมีขนาดเล็กมาก(ตามชื่อ) แต่ควรเล็กขนาดไหน และข้อมูลจากประเทศเยอรมนีก็พบว่า ทั่วประเทศมีโรงไฟฟ้าชีวมวลและชีวภาพมีขนาดเฉลี่ยเพียง 0.6 เมกะวัตต์เท่านั้น (14,400 โรง 9,300 เมกะวัตต์)  มีอยู่โรงหนึ่งขนาดเพียง 75 กิโลวัตต์ (หรือต้องใช้ 14 จึงได้ 1 เมกะวัตต์) ต้องใช้มูลวัว 120 ตัวเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพ เราลองจินตนาการดู การเลี้ยงวัว 120 ตัวก็พอจะเป็นไปได้ถ้าคนในชุมชนร่วมมือกันดีๆ แต่ถ้าเป็น 3 เมกะวัตต์ต้องใช้วัวกว่า 5 พันตัว มันยุ่งยากไม่น้อยเลย         โรงไฟฟ้าชุมชนประเภทนี้สามารถขายไฟฟ้าให้กับ กฟน.และกฟภ.ในราคาที่สูงกว่าโรงไฟฟ้าทั่วไปถึงประมาณ 50 สตางค์ต่อหน่วย นอกจากนี้เท่าที่ผมตรวจสอบพบว่าโรงไฟฟ้าชีวมวลอย่างน้อย 3 โรงสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 100% ของศักยภาพ ในขณะที่โรงไฟฟ้าเอกชนที่ทำสัญญากับ กฟผ.สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียง 45% ถึง 70% ของศักยภาพเท่านั้น (เพราะเรามีโรงไฟฟ้าล้นเกิน) ในเมื่อ (1) บริษัทเอกชนถือหุ้น 90% (2) ขายไฟฟ้าได้ในราคาแพงกว่าและ (3) ได้ผลิตไฟฟ้า 100% ของศักยภาพ ส่งผลให้เจ้าของโรงไฟฟ้ามีระยะเวลาคืนทุนเร็วมากเป็นการเอาเปรียบทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายอื่นๆ มากเกินไป         สุภาษิตเยอรมันเตือนไว้ว่า “มีปีศาจซ่อนอยู่ในรายละเอียด” ซึ่งอย่างน้อย 2 ประการดังที่กล่าวมาแล้วนี่แหละครับ การเมืองไทยมันต้องใช้ภาคประชาชนที่ตื่นรู้คอยตรวจสอบอย่างใกล้ชิดอย่าให้พลาดสายตานะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 อาการป่วยกำเริบ จากอาหารเสริมในโลกออนไลน์

        ปัจจุบันในโลกออนไลน์มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมขายอย่างมากมาย พร้อมทั้งมีคำโฆษณาแบบเกินจริงของสรรพคุณที่นำมาหลอกล่อและกระตุ้นให้ผู้บริโภคอย่างเราซื้อสินค้า  โดยที่ผู้ซื้อหลายคนก็คงไม่ทราบเลยว่า “ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาสรรพคุณเกินจริงเหล่านั้น จะสามารถช่วยได้จริงอย่างที่โฆษณาไหม และมีผลอันตรายอะไรไหมหากเรากินเข้าไป” และยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคหลายคนมักเลือกที่จะกินอาหารเสริมมากกว่าที่จะไปพบแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่ถูกต้อง         เหมือนเรื่องราวของคุณเอก ที่มาร้องเรียนกับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยเรื่องราวมีอยู่ว่าคุณเอกซึ่งมีอายุมากแล้ว มีอาการปวดข้อเข่ามาก วันหนึ่งเผอิญไปเห็นโฆษณาในเฟซบุ๊ก เป็นอาหารเสริม “เม็ดฟู่” มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว “B” มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดข้อเข่า พร้อมทั้งในเฟซบุ๊กที่ขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตัวนี้นั้น มีรูปนายแพทย์ท่านหนึ่งโปรโมทอยู่เลยทำให้คุณเอกนั้น รู้สึกมั่นใจและเชื่อที่จะซื้ออาหารเสริมตัวนั้นเป็นจำนวน 3 หลอด แถมอีก 1 หลอด เป็นเงิน 3,490 บาท เมื่อเขาได้อาหารเสริมมารับประทานได้ 2 วัน ก็มีคุณพลอยซึ่งอ้างว่าเป็นพยาบาลโทรมาสอบถามถึงผลลัพธ์ของยา         ต่อมาอีก 3-4 วัน ปรากฏว่าอาการของคุณเอกนั้นไม่ดีขึ้นเลยกลับมีผลข้างเคียง คือ ปัสสาวะบ่อยขึ้น 5-6 ครั้ง/คืน ซึ่งทางคุณเอกก็ได้บอกว่าเขารู้สึกว่ามันรบกวนเวลานอนพักผ่อนของเขาเป็นอย่างมาก  เขาจึงพยายามที่จะติดต่อนายแพทย์ท่านนั้น ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งเมื่อเขาติดต่อนายแพทย์ท่านนั้นไม่ได้ก็เลยติดต่อคุณพลอยที่อ้างว่าเป็นพยาบาลและได้บอกกล่าวถึงอาการปัสสาวะบ่อยของเขา ทางพยาบาลคุณพลอยก็บอกว่ายอมรับว่าผลข้างเคียงคืออาการปัสสาวะบ่อย...อ้าวตอนขายไม่เห็นบอก และเธอบอกว่าจะแจ้งให้นายแพทย์ท่านนั้นทราบอีกครั้ง         คุณเอกนึกสงสัยเลยถามถึงที่อยู่ของนายแพทย์ท่านนั้นและนำไปเช็กกับทางนิติบุคคลสถานที่ที่ได้ข้อมูลจากคุณพลอย แต่พบว่าไม่มีชื่อดังกล่าวอยู่ที่ตึกแห่งนั้นประกอบกับข้อมูลเดิมที่ทางคุณเอกไปเช็กว่าไม่ได้มีบุคคลดังกล่าวอยู่ในทำเนียบแพทย์สภาอีกด้วย ทำให้คุณเอกคิดได้ว่าเขาคงถูกหลอกลวงแน่ๆ พร้อมทั้งเมื่อลองดูทั้งผลิตภัณฑ์ก็พบว่าไม่มีเครื่องหมาย อย. และไม่มีเอกสารกำกับอะไรเลย ทางคุณเอกแน่ใจล่ะว่าโดนหลอกแน่นอน จึงได้ร้องเรียนมาทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคควรจะทำอะไรอย่างไรดี แนวทางการแก้ไขปัญหา         เบื้องต้นทางคุณเอกได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้ว พร้อมทั้งทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยังออกหนังสือไปถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และกองบังคับการปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ให้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป         ทั้งนี้ ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอยากให้ผู้บริโภคหลายๆ คน ลองศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ ทางออนไลน์ สังเกตว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่กำลังจะซื้อ หรือมาแล้วนั้นมีเครื่องหมาย อย. หรือไม่ หากไม่มีก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะรับประทาน นอกจากนี้ ถ้ามีการอ้างถึงบุคลากรทางการแพทย์ก็ควรตรวจสอบก่อนที่จะซื้อว่าในแพทย์สภา มีบุคคลดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยส่วนมากอาหารเสริมหลอกลวงต่างๆ มักจะมีโฆษณาที่เกินจริงหายได้ภายในไม่กี่วันหรือในระยะเวลาสั้นๆ หากใครที่เห็นแบบนี้ก็ควรจะระมัดระวังและไม่หลงเชื่อโดยง่ายเพื่อความปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 ระวัง เผลอกดลิงก์แอปฯเงินกู้ มือถือโดนดูดข้อมูล ถูกประจานว่าหนีหนี้

        ภัยออนไลน์เดี๋ยวนี้มีมาสารพัดรูปแบบ หากไม่ระมัดระวัง อาจตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพได้ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ให้ลูกเล็กใช้มือถือดูการ์ตูนหรือเล่นเกมต่างๆ  เด็กๆ อาจเผลอกดลิงก์อันตรายที่เด้งขึ้นมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เหมือนอย่างลูกชายของคุณขวัญใจก็ได้         คุณขวัญใจเล่าว่า วันหนึ่งลูกชายวัย 2 ขวบ หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอไปเล่น แล้วบังเอิญไปจิ้มกดโหลดแอปฯ เงินกู้เงินด่วนฟ้าผ่า ผ่านลิงก์จากโฆษณาในยูทูป หลังจากนั้นเธอก็โดนแอปฯ นี้ ดูดเอาข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างในมือถือไปใช้ โดยพวกมิจฉาชีพได้โทรไปหลอกทุกคนที่มีรายชื่อในคลังเบอร์โทรศัพท์ของเธอว่า เธอได้กู้เงินจากแอปฯไปแล้วไม่ชำระคืน และยังพูดข่มขู่ให้พวกเขาจ่ายเงินคืนแทนเธอด้วย อีกทั้งยังนำรูปของเธอที่อยู่ในโทรศัพท์ไปโพสต์ประจานตามสื่อต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหายมาก จนเธอต้องถูกไล่ออกจากงาน คุณขวัญใจจึงได้นำเรื่องนี้มาร้องเรียนกับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหา ในกรณีนี้คุณขวัญใจยังไม่สูญเสียเงินให้แก่มิจฉาชีพแต่อย่างใด ทางมูลนิธิฯ จึงแนะนำดังนี้        1. รีบดำเนินการแจ้งความเพื่อดำเนินคดี ให้พนักงานสอบสวน ตำรวจ สืบหาผู้กระทำความผิด หรือมิจฉาชีพ หรือคนร้ายดังกล่าว ในการหลอกดูดข้อมูลคลังเบอร์โทรศัพท์ที่มีอยู่ในมือถือไปใช้        2. รีบติดต่อทางไลน์ หรือทางเฟซบุ๊ก หรือโทรติดต่อกับทุกรายชื่อที่มีเบอร์บันทึกไว้ในมือถือ เพื่อแจ้งให้พวกเขารู้ว่า ตอนนี้มือถือของตัวเองถูกดูดข้อมูลไป ถ้ามีคนร้ายหรือมิจฉาชีพโทรไปขอให้โอนเงินมาใช้หนี้แทนตน อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 มีอะไรในซีเรียลไม่รู้...แต่ขอใช้สิทธิไว้ก่อน

        การเจอสิ่งแปลกปลอมในอาหารเป็นเรื่องที่เจอกันบ่อยครั้ง เมื่อพบเจอจึงยิ่งต้องช่วยกันบอกเล่า เพื่อทำให้สังคมเราดีขึ้น เช่นเรื่องราวของคุณคิม             เรื่องราวเริ่มเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม  ทุกวันศุกร์ คุณคิมจะไปซื้อของกินของใช้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านแห่งหนึ่งเสมอ และอาหารที่ซื้อเป็นประจำคือซีเรียล เพื่อรับประทานเป็นอาหารเช้ากับกาแฟ         เช้าวันต่อมา คุณคิมแกะซีเรียลยี่ห้อ ‘ซ’ กินเพียงคำแรกก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่ซีเรียลไม่กรอบเหมือนเช่นเคย คุณคิมจึงกินอีกคำต่อมา ช้าๆ แล้วยิ่งแน่ใจว่าซีเรียลไม่กรอบจริงๆ  คุณคิมจึงหยุดกินและเทซีเรียลจากห่อลงในชามทั้งหมด เขี่ยๆ ดูพบก้อนดำๆ ขนาดใหญ่บนซีเรียลชิ้นหนึ่ง และจุดดำๆ กระจายคล้ายเชื้อราในอีกชิ้น  คุณคิมเป็นคนรักสุขภาพมาก มักจะอาหารเป็นพิษเสมอๆ จึงระมัดระวังเรื่องอาหารเป็นพิเศษอยู่แล้ว เมื่อมาเจออาหารเป็นแบบนี้ คุณคิมจึงตกใจมาก        คุณคิมดูวัน เดือน ปี ที่ผลิต พบว่ายังไม่หมดอายุคุณคิมก็เบาใจ แต่ยังเธอยังคงติดใจ กังวล  เพราะซีเรียลยี่ห้อดังกล่าว เป็นยี่ห้อที่เธอรับประทานเป็นประจำทุกเช้า หากยังติดใจ คลายสงสัยไม่ได้ ทุกครั้งที่เธอรับประทานซีเรียลยี่ห้อนี้ในวันต่อไป เธอก็จะกังวลกลับมาคิดถึงก้อนดำๆ นี้ทุกครั้ง  คุณคิมจึงไม่ปล่อยผ่านเข้ามาร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางการแก้ไขปัญหา         มูลนิธิฯ รับเรื่องร้องเรียนไว้และให้คุณคิม ทำบันทึกรายละเอียดการซื้อผลิตภัณฑ์ ปัญหาที่พบและแนะนำให้แจ้งความไว้เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันความเสียหาย  นอกจากนี้ คุณคิมคิดว่าซูเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายสินค้านี้ก็ควรจะได้รับรู้ปัญหาด้วยเช่นกัน  เย็นวันเดียวกันหลังจากร้องเรียนที่มูลนิธิฯ แล้ว เธอจึงกลับไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแจ้งปัญหาที่พบทันที         ซูเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าว ตื่นตัวมากหลังจากคุณคิมแจ้งเรื่องแล้ว ก็ติดต่อไปยังบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่ายซีเรียลโดยตรง และคุณคิมได้พูดคุยกับฝ่ายรับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคของบริษัทซึ่งได้แจ้งให้คุณคิมนำสินค้ามาเปลี่ยน หรือขอรับเงินคืน ซึ่งคุณคิมไม่พอใจ เพราะสำหรับเธอแล้ว  เธอไม่ได้อยากได้เงิน 40 กว่าบาทคืน แต่ในฐานะผู้บริโภค เธอเป็นห่วงสุขภาพตัวเอง เธออยากได้ความสบายใจ วางใจในความปลอดภัยทุกครั้งที่รับประทานอาหาร เธอจึงไม่รับข้อเสนอของเจ้าหน้าที่และแจ้งข้อเสนอของเธอ 2 ข้อคือ        1. ให้บริษัทพาเธอไปตรวจร่างกาย เพราะวันที่รับประทานซีเรียลที่มีปัญหา วันนั้นร่างกายของเธอแปรปรวนอย่างมาก ท้องเสียถึง 2 ครั้ง        2. ให้นำซีเรียลชิ้นที่พบก้อนดำ และจุดดำๆ คล้ายเชื้อรา ไปตรวจในห้องแล็บที่เชื่อถือได้ และแจ้งผลว่าคืออะไร         วันต่อมาผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ก็โทรมาหาคุณคิมและขอโทษด้วยดีและให้คุณคิมเลือกโรงพยาบาลที่สบายใจที่สุดเพื่อไปตรวจสุขภาพ และบริษัทจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจทั้งหมด เย็นวันนั้นเองคุณคิมจึงเลือกโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านและไปตรวจสุขภาพกับตัวแทนของบริษัท ซึ่งคุณหมอได้แจ้งคุณคิมว่าร่างกายของเธอปกติดี และคุณคิมรับประทานซีเรียลที่มีปัญหาในปริมาณไม่มาก จึงไม่มีผลเป็นอันตรายต่อสุขภาพ         คุณคิมให้คุณหมอยืนยันความเห็นเป็นหนังสือ รับรองไว้เพื่อเป็นหลักฐานทางการแพทย์ บริษัทจ่ายค่าตรวจสุขภาพให้คุณคิมราว 1,200 บาท ส่วนตัวอย่างซีเรียลชิ้นที่มีปัญหา บริษัทได้ส่งตรวจแล็บที่เชื่อถือได้ตามข้อเสนอของคุณคิมทุกประการ วันที่ตรวจสุขภาพ ตัวแทนของบริษัทแจ้งว่า วันรุ่งขึ้นจะส่งกระเช้าของขวัญไปขอโทษคุณคิมอีกครั้ง คุณคิมจึงนัดหมายบริษัทมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค         ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ชี้แจงกับตัวแทนของบริษัทว่า กรณีผู้บริโภคได้รับความเสียหาย ไม่ปลอดภัยจากอาหาร  มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย เยียวยาจากบริษัทได้ คุณคิมจึงตกลงกับศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรียกร้องค่าเสียหาย 5,000 บาท ตัวแทนของบริษัทนำเรื่องกลับไปหารือกับฝ่ายกฎหมายของบริษัทระหว่างนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ติอต่อประสานกับบริษัทยืนยันถึงสิทธิของผู้บริโภคที่สามารถได้รับการเยียวยา และภายใน 1 สัปดาห์  คุณคิมก็ได้รับเงินดังกล่าวเต็มจำนวนที่เรียกไป ใน 1 เดือนต่อมา บริษัทได้แจ้งผลการตรวจสอบจากในห้องแล็บมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและคุณคิมผลการตรวจพบว่า ก้อนดำที่พบเป็นชิ้นส่วนที่เกิดจากการไหม้จากการอบซีเรียล ไม่ใช่เชื้อราแต่อย่างใด         คุณคิมได้คำตอบที่คลายความกังวลใจ และภูมิใจที่การใช้สิทธิผู้บริโภคของเธอได้รับการตอบสนองด้วยดี

อ่านเพิ่มเติม >