ฉบับที่ 204 สัญญามาตรฐานการเช่ารถโดยสารไม่ประจำทาง

เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ หลายเทศกาลแห่งความสุขรอเราอยู่ ทั้งวาเลนไทน์ ตรุษจีน ต่อด้วยเด็กๆ ได้หยุดปิดเทอม แต่คนทำงานบางหน่วยงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำลังดีใจที่ได้จะเดินทางไปศึกษาดูงานตามต่างจังหวัดไกลๆ เหตุผลหนึ่งที่อ้างกันบ่อย คือ เพื่อพัฒนาศักยภาพและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์คนทำงาน  ทั้งนี้ในแต่ละปีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศต้องมีกิจกรรมดูงานทางไกลแบบนี้ทั้งนั้น นี่ยังไม่นับรวมถึงโรงเรียนที่มีอีกมากกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ ที่ต้องจัดแผนพาเด็กนักเรียนไปเข้าค่ายหรือทัศนศึกษาตามที่ต่างๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งแน่นอนทั้งหมดที่ว่ามานี้ต้องเช่ารถโดยสารไม่ประจำทางในการเดินทาง แล้วรถโดยสารไม่ประจำทางที่นิยมใช้กันมากที่สุดนั่น คือ รถโดยสารสองชั้น ที่ปัจจุบันมีให้บริการมากกว่า 5,000  คันทั่วประเทศ และเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้รถโดยสารสองชั้น ก็เพราะสะดวก สบาย เบาะเอนนอนได้ มีอุปกรณ์บันเทิงครบครัน เครื่องเสียง คาราโอเกะ ขณะที่เสียงสะท้อนจากหน่วยงานที่เลือกรถเดินทางบอกว่า บางทีก็ไม่อยากเลือกรถโดยสารสองชั้น แต่มีความจำเป็นเพราะในพื้นที่หารถโดยสารชั้นเดียวไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องนโยบายหน่วยงานที่ต้องการบริการที่มีต้นทุนราคาถูก มุ่งเน้นการประหยัดด้านงบประมาณและความสะดวกสบายของการเดินทาง จนละเลยถึงความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของการเดินทางไป ทำให้รถโดยสารสองชั้นเป็นเป้าหมายที่ต้องการ เพราะตอบโจทย์เรื่องราคาและการบรรทุกคนได้ครั้งละมากๆ ไปคันเดียวได้เกือบ 50 คน มิเช่นนั้นหากเลือกรถโดยสารชั้นเดียวจะต้องว่าจ้างหลายคันส่วนการว่าจ้างรถโดยสารไม่ประจำทางนั้น หลายพื้นที่ใช้ความใกล้ชิดรู้จักกับผู้ประกอบการท้องถิ่นในการว่าจ้างหรือวิธีการเสนอราคาค่าบริการรถโดยสารไม่ประจำทาง รวมถึงวิธีการว่าจ้างที่เป็นไปตามรูปแบบการจัดจ้างตามแบบหนังสือราชการทั่วไป ที่ยังขาดสาระสำคัญและข้อปฏิบัติในเรื่องความรับผิดของผู้ประกอบการ และความคุ้มครองสิทธิผู้ของเช่าและผู้โดยสารจากการเช่ารถโดยสารไม่ประจำทาง ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายเกิดขึ้น ผู้รับจ้างหรือผู้ประกอบการอาจใช้เป็นช่องทางประวิงการชดใช้ค่าเสียหายหรือปฏิเสธความรับผิดชอบได้  ดังความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับองค์การบริหารส่วนตำบลอย่างน้อยสองแห่ง คือ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านตากูก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อ 3 มีนาคม 2558 และองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ต๋ำ จังหวัดเชียงราย เมื่อ 8 มีนาคม 2559  ที่เราต้องสูญเสียบุคลากรระดับนายกองค์การบริหารส่วนตำบลและผู้บริหารระดับสูงไปทั้งสองครั้งเลยทีเดียว หากย้อนดูสถิติอุบัติเหตุที่เกิดกับรถโดยสารไม่ประทาง ทั้งประเภทชั้นเดียวและสองชั้นในปี 2560 แล้วพบว่า ในที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุกับรถโดยสารไม่ประจำทางมากถึง 65 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 20 คน  บาดเจ็บถึง 536 คน มากกว่าครึ่งเป็นการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี  และในแต่ละปีจะมีอุบัติเหตุความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับการว่าจ้างรถโดยไม่ประจำทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่เสมอ จากความเสียหายที่เกิดขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนให้เกิดการใช้สัญญามาตรฐานในการเช่ารถโดยสารไม่ประจำทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการยกร่างและพัฒนาข้อความสำคัญในสัญญาโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ศูนย์ทนายความเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และเครือข่ายนักวิชาการร่วมกันจัดทำขึ้น โดยมุ่งเน้นที่การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการเช่ารถโดยสารไม่ประจำทาง ตั้งแต่การจัดทำสัญญาเช่ารถโดยสารไม่ประจำทางที่มีมาตรฐานการป้องกันและความคุ้มครองความปลอดภัย พร้อมหลักการปฏิบัติของผู้โดยสารและความรับผิดของผู้รับจ้างหากไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาหรือเงื่อนไขที่ตกลงกันได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ เครือข่ายนักวิชาการ โดยศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนนจะขับเคลื่อนงานสัญญามาตรฐานการเช่ารถโดยสารไม่ประจำทางนี้ ส่งผ่านถึงกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดนโยบายสั่งการ แต่ในทางปฎิบัติก็ยังไม่เห็นผลของการใช้สัญญามาตรฐานที่เป็นแบบของสัญญาในการเช่ารถโดยสารไม่ประจำทางนัก เหตุผลหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาอ้าง เมื่อได้มีโอกาสไปคุยกับเทศบาลตำบลบางแห่ง คือ กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ใช้สัญญาอื่นนอกเหนือไปจากระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่ราชการกำหนดไว้ แต่เราไม่เชื่อในเหตุผลนั้น และได้ทดลองนำร่องการขับเคลื่อนการใช้สัญญามาตรฐานการเช่ารถโดยไม่ประจำทางกับเทศบาลตำบลของอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ซึ่งได้ผลตอบรับที่น่าพอใจ จนนำไปสู่การขยับเป็นนโยบายของจังหวัดที่เห็นชอบร่วมกันในการนำสัญญามาตรฐานการเช่ารถโดยสารไม่ประจำทางไปใช้ได้ และในฉบับหน้าเราจะมาวิเคราะห์ถึงความสำเร็จและวิธีการขับเคลื่อน ที่ทำยังไงถึงเป็นนโยบายของจังหวัดพะเยาได้ เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับพื้นที่อื่นกันครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 รถตู้โดยสารไม่ประจำทางกับความปลอดภัยของผู้โดยสาร

เป็นเวลาเกือบครบปี  หลังจากที่เราผ่านความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ กับอุบัติเหตุรถตู้โดยสารประจำทาง สายจันทบุรี – กรุงเทพ  พุ่งข้ามเลนประสานงากับรถกระบะที่สวนทางมา จนเกิดเพลิงลุกไหม้รถทั้งสองคัน มีผู้เสียชีวิตเป็นคนไทยด้วยกันเองมากถึง 25 คน  จากเหตุการณ์ครั้งนั้น นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายที่เข้มข้นหลายอย่าง ที่ออกมาเพื่อควบคุมความเร็วและพฤติกรรมคนขับรถโดยสาร ทั้งการติด GPS ห้ามวิ่งเกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง การบังคับทำประกันภาคสมัครใจ การปรับลดเบาะที่นั่ง การมีช่องทางออกฉุกเฉิน และการรณรงค์ให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งเมื่อเดินทาง โดยมุ่งหวังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซากแบบนั้นอีกแต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ยังมีเหตุสะเทือนขวัญที่เกิดกับรถตู้โดยสารอยู่เป็นระยะๆ เป็นเหมือนฝันร้ายที่คอยวนเวียนหลอกหลอนผู้โดยสารที่ต้องใช้บริการอยู่ทุกวันว่า วันไหนจะเกิดขึ้นกับใคร ไม่ว่าจะเป็นตัวเราเอง คนรู้จัก เพื่อน ญาติสนิทหรือไม่ หลายฝ่ายต่างพุ่งเป้าไปที่กลุ่มรถตู้โดยสารประจำทางที่มีอยู่มากกว่า 15,000 คันทั่วประเทศ โดยเฉพาะรถที่วิ่งระหว่างจังหวัดว่าเป็นกลุ่มรถความเสี่ยงสูง ที่หลายคนจำเป็นต้องใช้เพื่อการเดินทางในชีวิตประจำวัน แม้จะกลัวการเกิดอุบัติเหตุเวลานั่งรถตู้โดยสาร แต่กลับพบว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่ยังไม่เห็นถึงความสำคัญที่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย นั่นเท่ากับว่า ผู้ใช้บริการส่วนหนึ่งยังไม่ตระหนักในเรื่องความปลอดภัยให้กับตัวเองมากนักขณะที่คนจำนวนมากกำลังจับตามองไปที่กลุ่มรถตู้โดยสารประจำทางว่าเป็นกลุ่มรถเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัย แต่เราอาจลืมไปว่า ยังมีรถตู้โดยสารอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงไม่น้อยกว่ากัน นั่นก็คือ กลุ่มรถตู้โดยสารรับจ้างไม่ประจำทางที่มีปริมาณรถอยู่ในระบบมากกว่า 27,000 คันทั่วประเทศ โดยรถในกลุ่มนี้มีทั้งในรูปแบบผู้ประกอบการใหญ่ที่เป็นนิติบุคคล หรือกลุ่มรายย่อย ที่เจ้าของรถขับเอง และมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือเครือข่ายเพื่อการติดต่อรับจ้างทางธุรกิจ แน่นอนว่า ความแตกต่างที่สำคัญ นอกจากเรื่องระบบการออกใบอนุญาตและการกำกับดูแลตามมาตรการของรัฐแล้ว โดยปกติรถตู้โดยสารประจำทางจะวิ่งได้ในเฉพาะในเส้นทางที่ขออนุญาตเส้นทางไว้เท่านั้น ห้ามวิ่งออกนอกเส้นทาง ในเส้นทางระยะไกลห้ามวิ่งเกินวันละ 2 รอบ หรือวันละไม่เกิน 8 ชั่วโมงตามกฎหมายแรงงาน แต่รถตู้โดยสารรับจ้างไม่ประจำทางนั้น  วิ่งได้ในทุกเส้นทางทั่วไทยตามที่ว่าจ้าง ไม่มีใครคอยตรวจสอบว่าคนขับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ก่อนมาให้บริการ   ถือได้ว่าเป็นกลุ่มรถมีความเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยมากกว่า สอดคล้องกับผลการเก็บข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุของรถตู้โดยสารของเครือข่ายเฝ้าระวังรถโดยสารปลอดภัย พบว่า กลุ่มรถตู้โดยสารรับจ้างไม่ประจำทาง มีอัตราการเกิดเหตุและอัตราการบาดเจ็บของผู้โดยสารมากกว่ากลุ่มรถตู้โดยสารประจำทาง โดยมีแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุ ที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเช่น โศกนาฏกรรมครั้งล่าสุดของวันที่  8  พฤศจิกายน  ที่ผ่านมา กรณีรถตู้โดยสารรับจ้างไม่ประจำทางของบริษัท อาร์แอลเซอร์วิส ประสบอุบัติเหตุชนท้ายรถบรรทุกสิบล้อ ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  จากการสอบปากคำคนขับรถตู้โดยสารที่รอดชีวิต ได้ยอมรับกับทางเจ้าหน้าที่ว่า ในวันที่เกิดเหตุตนเองเข้านอนเวลา 24.00 น.และตื่นในเวลา 04.00 น.ของวันที่เกิดเหตุ และในเวลา 05.00 น.ได้เดินทางไปรับคณะนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นพร้อมไกด์คนไทย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อนำทั้งหมดเดินทางมาท่องเที่ยวตามโปรแกรมที่วางไว้ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนจะประสบอุบัติเหตุหลับในชนท้ายรถบรรทุก ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 5 ราย  แม้หลังเกิดเหตุกรมการขนส่งทางบกจะมีมาตรการเด็ดขาดสั่งถอนทะเบียนรถตู้คันเกิดเหตุออกจากบัญชีประกอบการขนส่ง และให้บริษัทฯ นำรถในบัญชีทั้งหมด จำนวน 84 คัน เข้ารับการตรวจสภาพโดยละเอียดอีกครั้ง และให้พนักงานขับรถทุกคนของบริษัทฯ เข้ารับการอบรมด้านความปลอดภัย พร้อมเปรียบเทียบปรับฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยความปลอดภัยในอัตราโทษสูงสุดเป็นจำนวนเงิน 50,000  บาท รวมถึงเพิกถอนใบอนุญาตขับรถของคนขับรถคันเกิดเหตุทันที แต่มาตรการดังกล่าวก็เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของทุกฝ่ายกลับคืนมา  โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่ยังมีประเด็นปัญหาสำคัญที่รอให้จัดการ คือ การกำหนดแนวทางการประกอบธุรกิจรถรับจ้างไม่ประจำทาง ที่ทุกวันนี้ยังไม่มีมาตรการกำกับหรือควบคุมที่ชัดเจนแต่อย่างใด ทำให้มีผู้ประกอบการรายย่อยหลายรายที่นำรถทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายออกมาวิ่งรับจ้างไม่ประจำทางอีกเป็นจำนวนมาก โดยที่ผู้บริโภคต้องกลายเป็นคนแบกรับชะตากรรมนั้นเสียเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 200 แจ้งจับคนขับมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า

แม้ทางเท้าหรือฟุตบาทจะเป็นทางเดินสัญจรสาธารณะ แต่ที่ผ่านมาฟุตบาทได้กลายเป็นทั้งที่ขายของ ทางวิ่งรถมอเตอร์ไซค์หรือแม้แต่ที่จอดรถยนต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้สัญจรไปมาอย่างมาก โดยเฉพาะการขับรถมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า ทำให้ภาครัฐออกมาตรการ “ชวนประชาชนแจ้งจับผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ทางเท้า และได้รางวัลครึ่งหนึ่งของค่าปรับ” เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวจะใช้ได้ผลจริงหรือไม่ เราลองไปดูเหตุการณ์ของผู้ร้องรายนี้กันคุณสมจิตรพบเห็นรถจักรยานยนต์และรถยนต์หลายคันจอดอยู่บนทางเท้า และเห็นหลายคนขับรถจักรยานยนต์บนทางเท้าเป็นประจำ ส่งผลให้เขาและผู้ที่เดินทางสัญจรไปมาบริเวณนั้นได้รับผลกระทบ ต้องเดินหลบกลัวว่าจะถูกรถชน คุณสมจิตรจึงถ่ายรูปเหตุการณ์ดังกล่าวไว้และส่งเรื่องแจ้งไปยังอีเมล citylaw_bma@hotmail.com ตามวิธีการแจ้งเบาะแสของภาครัฐ อย่างไรก็ตามหลังส่งเรื่องไปแล้วหลายอาทิตย์ เขากลับไม่พบการแก้ปัญหาหรือการติดต่อกลับเพื่อให้ไปรับรางวัลนำจับแต่อย่างใด จึงส่งเรื่องมายังศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอคำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาจากการแถลงข่าวโดยรองโฆษกกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา เกี่ยวประเด็นเรื่องการให้รางวัลนำจับ กรณีพบเห็นผู้ขับขี่บนทางเท้าว่า กทม. ต้องการให้โครงการนี้เป็นมาตรการหนึ่งในการจัดระเบียบสังคมให้เกิดความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ความปลอดภัย โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามามีส่วนร่วม ซึ่งหากพบเห็นผู้ที่จอดหรือขับขี่รถจักรยานยนตร์และรถยนต์บนทางเท้า สามารถถ่ายรูปหรือวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐานและแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ได้ทันที เพราะถือว่าทำผิดตาม พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 ในมาตรา 17 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดจอด หรือ ขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือล้อเลื่อน บนทางเท้า เว้นแต่เป็นการจอดหรือขับขี่เพื่อเข้าไปในอาคาร หรือมีประกาศของเจ้าพนักงานจราจรผ่อนผันให้จอดหรือขับขี่ได้ ซึ่งหากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาทสำหรับช่องทางการแจ้งเบาะแส สามารถทำได้ 6 ช่องทาง ดังนี้ 1.ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน กทม.1555 2.สายด่วนสำนักเทศกิจ 02-465-6644 3. ไปรษณีย์ ส่งถึงสำนักเทศกิจ เลขที่ 1 ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี 10600 4. อีเมล์ citylaw_bma@hotmail.com 5. ทางเฟซบุ๊กสำนักเทศกิจ กรุงเทพมหานคร และ 6. สำนักงานเขตในพื้นที่พบเห็นทั้ง 50 เขต ทั้งนี้สำหรับหลักฐานในการเอาผิดต้องให้เห็นชัดเจนคือ มีเลขทะเบียนรถผู้กระทำผิด ซึ่งหากเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างโดยสารสาธารณะ ต้องให้เห็นหมายเลขเสื้อและวินที่สังกัดด้วย พร้อมระบุวัน เวลา สถานที่กระทำผิด โดยเจ้าหน้าที่จะเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้แจ้งไว้เป็นความลับอย่างไรก็ตามหลักเกณฑ์รางวัลนำจับที่ผู้แจ้งความจะได้รับรางวัลกึ่งหนึ่งของค่าปรับนั้น จะได้รับภายหลังจากที่ผู้กระทำความผิดได้ชำระค่าปรับแล้ว และสำนักงานเขตจะทำหนังสือไปยังผู้ที่แจ้งข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้เข้ามาเพื่อรับค่านำจับ ซึ่งจะได้รับภายใน 60 วันนับแต่วันที่เขตได้รับแจ้ง หรือหากผู้กระทำความผิดได้ชำระค่าปรับในวันเดียวกัน ผู้แจ้งก็จะได้รับรางวัลค่าปรับในนั้นทันที ในขณะเดียวกันส่วนของค่าปรับนั้นต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่จับครั้งแรกแล้วปรับ 5,000 บาททันที แต่จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่เทศกิจด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีการบันทึกประวัติผู้กระทำผิดไว้ หากทำผิดครั้งแรกอาจจะปรับ 1,000 บาท และครั้งต่อไปถึงค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น เมื่อศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ได้ช่วยติดตามข้อมูลของผู้ร้อง โดยโทรศัพท์ไปสอบถามยังสำนักงานเขตที่ได้แจ้งไป ซึ่งตอบกลับมาว่าได้รับหลักฐานการแจ้งเบาะแสแล้วเรียบร้อย แต่อยู่ในขั้นตอนรอผู้กระทำความผิดมาชำระค่าปรับ และหากมีการชำระแล้ว จะดำเนินการแจ้งผู้ร้องให้เข้ามารับส่วนแบ่งต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 ให้แอปนำทาง

ฉลาดซื้อฉบับนี้มีผลทดสอบความสามารถของ แอปพลิเคชั่นนำทาง ที่โหลดมาใช้ได้ในสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Android และ iOS การทดสอบนี้ สมาชิกองค์กรทดสอบระหว่างประเทศในยุโรปร่วมกันทำไว้ ระหว่างครึ่งหลังของปี 2550 และครึ่งแรกของปี 2560 คะแนนที่ให้แบ่งออกเป็นด้านต่างๆ ดังนี้ประสิทธิภาพในการนำทาง ร้อยละ 45ความสะดวกในการใช้งาน ร้อยละ 35การแสดงข้อมูลการจราจร ร้อยละ 10ความหลากหลายของฟังก์ชั่น ร้อยละ 5ความสามารถเฉพาะของระบบ ร้อยละ 5ในภาพรวมยังไม่มีแอปที่ได้คะแนนประสิทธิภาพการทำงานหรือความสะดวกในการใช้งานในระดับ 5 ดาว แต่ก็ถือว่าเรามาถูกทางกันแล้วเพราะส่วนใหญ่ได้คะแนนไปถึง 4 ดาว 

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า500 Point

ฉบับที่ 198 ทาหน้าผ่อนคลาย ทาขาหายปวด

“ทาแก้ปวดขา ทาตรงที่ปวดแล้วจะหาย เดินได้ ใช้ไปครึ่งกระปุกให้เติมน้ำลงไป คนๆ ให้ทั่ว แล้วก็ใช้ได้เหมือนปกติ” ข้อความบอกเล่าที่ผู้บริโภคมาร้องเรียนผ่านสมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค จังหวัดสมุทรสงคราม ฟังดูแล้วอาจจะทะแม่งๆ ชอบกล แต่เมื่อเห็นผลิตภัณฑ์และใบปลิวโฆษณาแล้วจะยิ่งประหลาดใจกว่า ว่าในยุคนี้คนขายมันกล้าโฆษณาบอกผู้บริโภคขนาดนี้เชียวหรือ?  เพราะในแผ่นใบปลิวนั้น พบว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ได้รับอนุญาตเป็นเครื่องสำอางเท่านั้น แต่ในเอกสารโฆษณามีข้อความบรรยายว่า เป็นผลิตภัณฑ์นาโนเทคโนโลยีเนื้อครีมบางเบาและมีโมเลกุลขนาดเล็ก ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้รวดเร็วด้วยส่วนผสมที่ลงตัวของสารสกัดต่างๆ โดยอ้างว่าได้รับการยอมรับจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศมาเลเซียว่า บำบัดแบบธรรมชาติได้จริง และจากผู้ใช้ทั่วโลกว่าช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย ลดความเมื่อยล้าของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น เป็นความงามจากภายในสู่ภายนอก ช่วยลดอาการอักเสบและรอยช้ำของผิวได้ โดยการทาเพียงเช้าและก่อนนอน พลิกดูด้านในก็จะพบภาพและข้อความแสดงส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ ระบุว่ามีสารสกัดจากพืช สมุนไพรและสารอาหาร มากมายหลายชนิด เช่น ไส้กรอกแอฟริกา (ช่วยให้ผิวพรรณกระชับ ช่วยในระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท ใช้เป็นยารักษาโรค เช่น รูมาติก งูสวัด) มันจากานี (ช่วยซ่อมแซมเยื่อเมือกที่เสื่อมให้ดีขึ้น โรคริดสีดวงทวาร ปกป้องการติดเชื้อ อาการปวดตามข้อ เส้นเอ็นเสื่อมตามร่างกาย ฟื้นฟูฮอร์โมนเพศหญิง ยกกระชับมดลูกและช่องคลอด) ตงกัดอาลี (รากปลาไหลเผือก) (ช่วยเสริมฮอร์โมนเพศชายให้กลับมา กระชุ่มกระชวย ช่วยบำรุงการไหลเวียนของโลหิตและต่อมทอนซิลมีปัญหา แก้อาการเจ็บคอ)  สเต็มเซลล์ แอ๊ปเปิ้ลเขียว บัวบก ว่านหางจระเข้ คอลลาเจน มันเทศ ถั่วเหลือง วิตามินเอ วิตามีนบี3 และ บี5 วิตามินอี นอกจากนี้ยังมีภาพใบหน้าประกอบการโฆษณา ส่วนด้านหลังก็จะมีใบหน้าผู้ที่ใช้หลายคน ระบุ ก่อนใช้ และหลังใช้เห็นแบบนี้ใครๆ ก็คงเข้าใจว่าใช้กับใบหน้า แต่ปรากฏว่าผู้บริโภคที่เป็นเหยื่อให้ข้อมูลว่า ผลิตภัณฑ์นี้มีการประชาสัมพันธ์ขายตามตลาดสด โดยมีบุคคลมาอ้างอิงระหว่างการขายด้วย  บอกว่าผลิตภัณฑ์นี้ผลิตในประเทศมาเลเซีย นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย สามารถรักษา อาการปวดขา ปวดกล้ามเนื้อ โดยขายราคากล่องละ 1,800 บาท แถมยังบอกอีกว่า ทาแก้ปวดขา ทาตรงที่ปวดแล้วจะหาย เดินได้ เมื่อใช้ไปครึ่งกระปุกให้เติมน้ำลงไป คนๆ ให้ทั่ว แล้วก็ใช้ได้เหมือนปกติ สุดท้ายเมื่อตนซื้อมาใช้แล้วอาการปวดก็ไม่หายสรุปแล้วก็เข้าอีหรอบเดิมๆ คือ “อ้างอิงไปทั่ว - มั่วคำโฆษณา - หาเหยื่อยรายใหม่ – สุดท้ายก็ใช้ไม่ได้ผล” ยังไงช่วยกันเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อ เจอที่ไหนแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้ดำเนินการตรวจสอบทันทีเลยครับ จะได้ไม่ต้องเสียเงินพันกว่าบาทไปฟรีๆ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 194 รู้เท่าทันหอยทากบำบัด

ฉบับนี้ขอนำเรื่องหอยทากบำบัดมาเล่าสู่กันฟัง เพราะหลายคนคงจะได้เห็นโฆษณากันตามท้องถนน และสื่อออนไลน์มากพอสมควร  หอยทากบำบัดที่ใช้เพื่อความงามของใบหน้าได้ผลจริงหรือไม่ มารู้เท่าทันกันเถอะมีการใช้หอยทากบำบัดมานานแค่ไหน มีการใช้หอยทากเพื่อการบำบัดมา ตั้งแต่สมัยของฮิปโปรเครตีส (460-370 ก่อนคริสตกาล)  เพื่อใช้ในการรักษาโรคถุงน้ำของไขสันหลัง นอกจากนี้ ยังใช้รักษาอาการปวดที่เกี่ยวกับแผลไหม้ ฝี และบาดแผล  ในคริสตศตวรรษที่ 18 มีการใช้สารจากหอยทากมาทำเป็นยาทาภายนอกเพื่อรักษาโรคผิวหนัง และยารักษาอาการของวัณโรคและไตอักเสบ  เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกา ให้ความสนใจหอยทากบำบัด  ปีค.ศ. 1999 มีการทบทวนยา  Ziconotide (SNXIII) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์จากพิษของหอยทากและใช้ลดอาการปวด  พบว่า การศึกษาในระดับพรีคลินิกและระดับคลินิกมีความน่าสนใจเมือกของหอยทากมีสรรพคุณอะไรบ้าง เมือกของหอยทากมีสารที่นำมาสกัดมากมาย เช่น  helicidine, pertussidine, pomaticine   โดยจะนำหอยทากมาแช่ในน้ำเกลือ 1%  หอยทากจะคายเมือกออกมา  ในน้ำเมือกย่อยอาหารของหอยทากจะมีเอนไซม์มากกว่า 30 ชนิด และยังมีเอนไซม์จากเมือกจากส่วนอื่นๆ อีกหลายชนิด  เมือกเหล่านี้ บางชนิดมีสรรพคุณต่างๆ เช่น การละลายเสมหะในทางเดินหายใจในห้องปฏิบัติการ เป็นต้นปัจจุบันยังนิยมใช้หอยทากบำบัดหรือไม่ ปัจจุบันมีความสนใจจากทางการแพทย์มากขึ้นในการนำประโยชน์จากหอยทากมาใช้ในการรักษาคน  นอกจากใช้เป็นยาที่ช่วยขับเสมหะแล้ว ยังพบว่า หอยทาก Helix pomatia ซึ่งเป็นหอยทากชนิดหนึ่งที่ใช้กินเป็นอาหาร  อาจนำมาใช้ในการบ่งชี้การทำนายโรคของมะเร็งเต้านม กระเพาะอาหาร และลำไส้ใหญ่ นักวิจัยยังพบว่า ประชากรในเกาะครีต ประเทศกรีซ มีการตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่าประชากรในอเมริกา เนื่องจากประชากรในครีตบริโภคหอยทากเป็นปริมาณมาก  หอยทากมีปริมาณของ α-linolenic acid จำนวนมาก  ซึ่งป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดกระแสการใช้หอยทากเพื่อความงาม ในแวดวงความงาม สปา มีการใช้หอยทากในการบำบัดรอยเหี่ยวย่นของใบหน้า ช่วยทำให้ใบหน้ากลับมาเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น เพราะเชื่อว่าเมือกเหนียวๆ ของหอยทากจะช่วยให้ผิวหน้ากลับมาเต่งตึงเหมือนผิวคนหนุ่มสาว  มีการประชาสัมพันธ์ผ่านดารา ผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มาใช้บริการและอ้างว่าได้ผลดี  ทำให้ผู้คนแห่ไปใช้บริการจากหอยทากเพื่อความงามจำนวนมาก ตั้งแต่ญี่ปุ่น อังกฤษ อินเดีย จนถึงไมอามี สหรัฐอเมริกา เป็นต้น  ประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า มีการบำบัดด้วยหอยทากที่สปาเชียงใหม่ และกรุงเทพมหานครประโยชน์ของหอยทากในการบำบัด เมื่อทบทวนจากเอกสารทางวิชาการ มีการศึกษาประโยชน์ของหอยทากจำนวนมาก  แต่แทบทั้งหมดจะเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการบำบัดรักษาโรค โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับมะเร็ง โดยศึกษาในการทำนายโรคของมะเร็งและการใช้เพื่อชะลอการแพร่กระจายและลุกลามของมะเร็ง สรุป  การใช้หอยทากบำบัดมีมานานหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน  มนุษย์มีความเชื่อว่า หอยทากเป็นสัตว์ที่มีสรรพคุณในการรักษาและเยียวยาโรคต่างๆ  ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน มีการนำเมือกจากหอยทากมาผลิตเป็นยาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ  มีการศึกษาเพื่อใช้ในการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด  ลดอาการปวดรุนแรง และโรคมะเร็ง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 194 การใช้ smart phone สำหรับ ช่วยเป็นเครื่องมือบอกทิศทางด้วย Navigator Application

ปัจจุบันผู้ขับขี่รถยนต์นิยมใช้ Appication ของสมาร์ตโฟนทำหน้าที่ เป็น navigator สำหรับบอกเส้นทางและสภาพการจราจร Application เหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คนขับรถได้มาก ลดเวลาการเดินทางที่เกิดจากการจราจรที่ติดขัด และช่วยให้คนขับไม่ต้องประสบปัญหาการหลงทิศทาง อย่างไรก็ตามการจะใช้ สมาร์ตโฟน เป็นเครื่องมือบอกทิศทางนั้น ต้องพึงระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัย และต้องเป็นไปตามกฎจราจรด้วย การใช้งานต้องติดตั้งสมาร์ตโฟนในที่จัดเก็บ และระหว่างขับรถต้องไม่ใช้มือจับหรือสัมผัสจอภาพ และต้องมีสติกับการขับรถตลอดเวลา ข้อดีของการใช้ Application ของฟรีที่ติดมากับเครื่อง คือ ไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนขับรถที่ต้องใช้งาน Navigator เป็นประจำทุกวัน และใช้งานต่อเนื่อง ขอแนะนำให้ใช้ เครื่องนำทางตัวจริงจะดีกว่า เนื่องจาก กรณีของ Application ที่เป็น Navigator ติดมากับสมาร์ตโฟน จะแสดงแผนที่ บนหน้าจอเพียงแค่ระยะ 500 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่สั้นมาก ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการขับขี่โดยเฉพาะการขับขี่บนทางหลวง หรือทางด่วนที่ต้องขับด้วยความเร็วสูง และไม่ได้ระบุถึงช่องจราจรที่รถควรขับอาจทำให้เกิดปัญหาในการที่จะต้องเปลี่ยนช่องจราจรได้ทันเวลา และข้อเสียอีกอย่างหนึ่งของ Application ที่ติดมากับเครื่องสมาร์ตโฟน คือ การบอกเส้นทางไม่ได้มาจากข้อมูลที่บันทึกอยู่ในหน่วยความจำของสมาร์ตโฟน แต่มาจากการเชื่อมต่อข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงมีการใช้ Bandwidth อย่างสิ้นเปลืองเกิดขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องขับรถในระยะไกลๆ ยกตัวอย่างเช่น หากขับรถเดินทางระยะ 120 กิโลเมตร ก็ใช้ Bandwidth ประมาณ 9-10 Mbyte และหากเดินทางไกล ติดต่อกันหลายวัน ในกรณีที่เดินทางท่องเที่ยว ปริมาณของ Bandwidth ก็อาจเกินกว่า ปริมาณ Bandwidth ที่ Flatrate ระบุไว้ได้ และในกรณีที่ใช้ สมาร์ตโฟนในต่างประเทศ การเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต ก็ต้องมีค่า Roaming ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานด้วย การใช้ smart phone สำหรับ ช่วยเป็นเครื่องมือบอกทิศทางด้วย Navigator Application นั้น เหมาะสำหรับการใช้งานในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช้งานต่อเนื่อง และใช้งานบนเส้นทางที่เรามีความคุ้นเคยบ้างแล้ว  ดังนั้นหากใครที่ขับรถเป็นระยะทางไกลๆ และไม่คุ้นเคยกับเส้นทางโดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศแบบขับรถเอง เครื่องช่วยนำทาง (Navigator) จึงเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญ นอกจากจะช่วยในเรื่องบอกทางแล้ว ยังช่วยในเรื่องบอกเรื่องอัตราความเร็วของรถ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ป้องกันการถูกจับและ ไม่ต้องประสบปัญหาการได้รับใบสั่งโดยไม่จำเป็นและต้องเสียค่าปรับที่อัตราปรับค่อนข้างสูงทีเดียว บางครั้งการเช่ารถขับเองหากจะใช้เครื่อง  Navigator ที่ติดตั้งมากับรถ ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และอาจแพงกว่า กรณีที่ซื้อมาใช้เอง ปัจจุบัน เครื่อง  Navigator ที่ใช้งานได้ดีราคาไม่ได้สูงมาก และสามารถซื้อผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ด้วย ตัวอย่างเครื่อง  Navigator ที่ราคาไม่แพงและใช้งานได้ดีจากการทดสอบการใช้งานของ มูลนิธิทดสอบสินค้า เยอรมนี คือ ยี่ห้อ TomTom รุ่น Start M ราคาระหว่าง 130- 150 ยูโร (ที่มา วารสาร  Test ฉบับ 2/2014)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 Transit การเดินทางด้วยรถไฟและรถไฟฟ้าแต่ละประเทศ

ตั้งแต่การคมนาคมสะดวกรวดเร็ว มีสายการบินเพิ่มขึ้นหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศมีทางเลือกมากขึ้น ประกอบกับราคาค่าเดินทางของสายการบินที่แข่งขันกัน จึงทำให้ราคาถูกมากกว่าเดิม และลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่าราคาตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศถูกมากเมื่อเทียบเท่ากับราคาตั๋วเครื่องบินที่เดินทางภายในประเทศ จึงเป็นจุดที่ทำให้ผู้คนหันเหไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นฉบับนี้ผู้เขียนขอเอาใจผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวไปประเทศต่างๆ แบบท่องเที่ยวด้วยตนเองสักหน่อย แอพพลิเคชั่นนี้จะทำให้ผู้เดินทางสามารถเรียนรู้เส้นทางการเดินรถไฟและรถไฟฟ้าของประเทศนั้นได้ก่อนเดินทางไป โดยไม่ต้องไปเสียเงินซื้อคู่มือเส้นทางการเดินรถแอพพลิเคชั่นนี้ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่น แต่ได้พัฒนาไว้หลายประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน อังกฤษ เกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย จีน ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน อินโดนีเซีย สวิตเซอร์แลนด์ และอาจจะมีมากกว่านี้การค้นหาแอพพลิเคชั่นให้ใช้คำว่า Transit ตามหลังชื่อประเทศที่ต้องการดาวน์โหลด เช่น ประเทศเกาหลี ใช้คำว่า Korea Transit, ประเทศฮ่องกง ใช้คำว่า Hong Kong Transit, ประเทศสิงคโปร์ใช้คำว่า Singapore Transit เป็นต้น ภายในแอพพลิเคชั่นจะมีภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่นของประเทศกำกับ ผู้ใช้สามารถเลือกสถานีที่เริ่มต้นและสถานีปลายทางที่ต้องการไป โดยให้กดตรงสัญลักษณ์วงกลมของสถานีนั้นๆ แล้วเลือกว่าเป็นสถานีเริ่มต้นหรือสถานีปลายทาง และตรงสัญลักษณ์ยังปรากฏคำว่า hotels around the spot หมายถึง ข้อมูลโรงแรมที่ตั้งโดยรอบสถานี ซึ่งจะทำให้สะดวกในการค้นหาโรงแรมที่ใกล้กับสถานีรถไฟได้อีกด้วยเมื่อได้สถานีที่ต้องการเดินทางแล้วให้กดเลือก Depart now แอพพลิเคชั่นจะแสดงเส้นทางสายรถไฟที่ต้องเดินทางหรือต้องเปลี่ยนขบวน พร้อมทั้งช่วงเวลาในการเดินทางการ เพื่อใช้สำหรับคำนวณระยะเวลาในการเดินทางแต่ละทริปด้วยนอกจากนี้ยังมีแอพพลิเคชั่นที่มีลักษณะเดียวกัน โดยใช้การค้นหาแอพพลิเคชั่นคำว่า Rail ตามหลังชื่อประเทศที่ต้องการดาวน์โหลดเช่นกัน แอพพลิเคชั่นนี้จะเพียงแค่กดเลือกสถานีที่ต้องการเริ่มต้น หลังจากนั้นจะปรากฏเส้นทางการเดินทางที่ต้องผ่านแต่ละสถานีให้เลือกอีกครั้งแอพพลิเคชั่นทั้งสองรูปแบบมีเส้นทางการเดินทางของประเทศไทยเช่นกัน ชื่อแอพพลิเคชั่น Bangkok Transit และ Thailand Rail และขอแนะนำว่าผู้อ่านลองดาวน์โหลดรูปแบบการเดินทางของประเทศไทยมาศึกษาก่อน เพื่อให้เกิดความชำนาญและเข้าใจมากขึ้น เมื่อไปใช้แอพพลิเคชั่นของประเทศต่างๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 เช็คปริมาณพลังงานใน “ชีสทาร์ต”

หลายคนคงจะยังจำปรากฏการณ์ “ต่อคิวซื้อ” ของขนม 2 รสชาติที่เคยเขย่าวงการคนชอบทานขนมในเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อน ทั้ง “โรตีบอย” ที่เคยฮิตถล่มทลายทั่วบ้านทั่วเมืองเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว แต่ว่าตอนนี้ปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อย หรืออย่าง“โดนัท คริสปี้ ครีม” ที่สร้างกระแสคนรอซื้อต่อแถวยาวเป็นกิโลสมัยที่เพิ่งมาเปิดสาขาในเมืองไทยเมื่อ 6 ปีก่อนมายุคนี้ก็เป็นคิวของ “ชีสทาร์ต” ที่มาสร้างกระแสเป็นขนมหวานยอดฮิตชนิดใหม่ล่าสุด ที่กำลังเป็นที่นิยมของคนชอบรับประทานขนมหวานและคนที่รักชีส ซึ่ง ณ เวลานี้ก็มีชีสทาร์ตหลากหลายแบรนด์ให้ได้ลองเลือกซื้อเลือกชิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านที่อินพอร์ตมาจากต่างประเทศ เพราะว่ากันว่าชีสทาร์ตมีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น แถมบรรดาร้านเบเกอรี่ชื่อดังหลายๆ เจ้า ก็ผลิตเมนูชีสทาร์ตออกมาต้อนรับกระแส ขอแข่งกับแบรนด์ชีสทาร์ตเจ้าดัง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีของคนกินเพราะมีตัวเลือกหลากหลายฉลาดซื้อ ไม่ยอมตกเทรนด์อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เราก็เคยทดสอบดูเรื่องของพลังงานในขนมดังๆ อยู่เสมอ ในเมื่อตอนนี้ ชีสทาร์ต กำลังได้รับความนิยม มีหรือที่ ฉลาดซื้อ จะพลาด โดยครั้งนี้เราจะนำชีสทาร์ตมาวิเคราะห์ดูปริมาณพลังงาน ไขมัน และโซเดียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพถ้าได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ไปดูกันสิว่าชีสทาร์ตของแต่ละร้านมีปริมาณมากน้อยแค่ไหนกันบ้างชีสทาร์ต ทำมาจากอะไร?ส่วนประกอบหลักๆ ของชีสทาร์ต แบ่งได้เป็น 2 ส่วน 1.ส่วนของแป้งทาร์ต ส่วนประกอบหลักๆ ก็จะมีแป้งอเนกประสงค์ เนยจืด ไข่แดง น้ำตาลไอซ์ซิ่ง ส่วนที่ 2 ก็คือไส้ที่เป็นครีมชีส จะประกอบด้วย ครีมชีส มาสคาโปเน่ชีส น้ำตาลทราย นมสด วิปปิ้งครีม ไข่ตารางแสดงผลการทดสอบเปรียบเทียบสารอาหารต่างๆ ในชีสทาร์ต***ผลทดสอบเฉพาะตัวอย่างที่ส่งทดสอบเท่านั้น***เก็บตัวอย่างเมื่อเดือน มกราคม 2560ผลทดสอบ-ผลทดสอบปริมาณพลังงานใน ชีสทาร์ต ทั้ง 7 ตัวอย่าง พบค่าเฉลี่ยปริมาณพลังงานต่อชีสทาร์ต 1 ชิ้น อยู่ที่ 239.05 กิโลแคลอรี-โดยตัวอย่างที่พบปริมาณพลังงานเฉลี่ยต่อ 1 ชิ้นสูงที่สุดคือ ตัวอย่างชีสทาร์ตจากร้าน mx cakes & bakery ที่พบปริมาณพลังงานอยู่ที่ 325.55 กิโลแคลอรี หรือประมาณ 16.27% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน คือ 2,000 กิโลแคลอรี ซึ่งเหตุพลที่ทำให้พบปริมาณพลังงานในตัวอย่างชีสทาร์ตจากร้าน mx cakes & bakery สูงกว่าตัวอย่างจากร้านอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะน้ำหนักของชีสทาร์ตต่อชิ้นมากกว่าตัวอย่างจากร้านอื่น-ซึ่งถ้าเทียบในปริมาณของชีสทาร์ตที่ 100 กรัมเท่ากัน ตัวอย่างที่พบปริมาณพลังงานมากที่สุดคือ ตัวอย่างจากร้าน Flavour Field ที่พบปริมาณพลังงานอยู่ที่ 455 กิโลแคลอรีต่อทาร์ตชีส 100 กรัม -ไขมัน ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มาพร้อมกับขนมปังหรือขนมอบ โดยปริมาณไขมันที่เหมาะสบกับร่างกายใน 1 วัน คือไม่เกิน 65 กรัม ซึ่งจากผลวิเคราะห์พบว่าชีสทาร์ตทั้ง 7 ตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยปริมาณไขมันต่อ 100 กรัม อยู่ที่ 25.21 กรัม หรือประมาณ 38% ของปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกายใน 1 วัน ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง-สำหรับปริมาณโซเดียมในชีสทาร์ต พบว่ามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 211 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม หรือคิดเป็น 8.7% ของปริมาณที่เหมาะใน 1 วัน คือไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมฉลาดซื้อแนะนำ-ปริมาณพลังงานเฉลี่ยของชีสทาร์ต 1 ชิ้นที่ 239.05 กิโลแคลอรี ถือว่าใกล้เคียงกับปริมาณของอาหารจานเดียว 1 จานที่ปริมาณ 300 – 600 กิโลแคลอรี เพราะฉะนั้นถึงคุณจะชอบขนมหวาน ชอบชีส หรือชอบชีสทาร์ตมากสักแค่ไหน ก็ต้องหักห้ามใจ รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะถ้ารวมกับอาหารจานหลักที่เราต้องรับประทานอีก 3 มื้อ เราก็มีโอกาสได้รับพลังงานสูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ-เช่นเดียวกับปริมาณไขมันในที่พบในชีสทาร์ต มีพบว่ามี ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 25.21 กรัม ต่อทาร์ตชีส 100 กรัม หรือประมาณ 38% ของปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกายใน 1 วัน ถ้ามองในมุมว่าชีสทาร์ตเป็นเพียงแค่ขนมหวานทานเล่น เพราะต้องไม่ลืมว่าใน 1 วันเราต้องรับประทานอาหารมื้อหลักอีก 3 มื้อ ซึ้งก็มีความเป็นไปได้ว่าเราจะได้ไขมันมากกว่าปริมาณที่เหมาะสมใน 1 วันปริมาณสารอาหารที่เหมาะกับร่างกายใน 1 วัน-พลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี-โปรตีน ตามน้ำหนักตัว กรัม (เช่น น้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ควรได้รับโปรตีนต่อวันคือ 50 กรัม)-ไขมันทั้งหมด น้อยกว่า 65 กรัม-กรดไขมันอิ่มตัว น้อยกว่า 20 กรัม-โคเลสเตอรอล น้อยกว่า 300 มิลลิกรัม-คาร์โบไฮเดรต ทั้งหมด 300 กรัม-ใยอาหาร 25 กรัม-โซเดียม น้อยกว่า 2,400 มิลลิกรัม-น้ำตาล น้อยกว่า 24 กรัม (ประมาณ 6 ช้อนชา)ที่มา : ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน สำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI (Thai Recommended Daily Intakes))

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 สำรวจเส้นทางก่อนออกเดินทางกับ “iTIC”

เดือนธันวาคมเป็นเดือนแห่งการเดินทางท่องเที่ยว เชื่อว่าหลายคนคงเตรียมวางแผนหาแหล่งท่องเที่ยวในช่วงหยุดปีใหม่นี้เรียบร้อยแล้ว แต่ในช่วงหยุดยาวแบบนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องการเดินทาง การวางแผนเส้นทางการเดินทางเพื่อไปแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จึงมีความสำคัญเช่นกัน ถ้ามีปัญหาในเส้นทางการจราจรก็คงทำให้ทริปการท่องเที่ยวไม่สนุกนัก ผู้เขียนได้เจอแอพพลิเคชั่นหนึ่งที่น่าสนใจในการให้ข้อมูลเส้นทางการเดินทางบนท้องถนนในประเทศไทย จัดทำโดยกรมการขนส่งทางบก และกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า “iTIC” เมื่อเข้าไปในแอพพลิเคชั่นจะปรากฏภาพแผนที่และเส้นทางการจราจร โดยบริเวณมุมบนขวามือจะมีสัญลักษณ์ 4 อัน ได้แก่ สัญลักษณ์รูปคน สัญลักษณ์รูปกล้อง สัญลักษณ์รูปกรวยจราจร และสัญลักษณ์รูปไฟจราจร โดยแต่ละสัญลักษณ์จะมีรูปแบบการบอกรายละเอียดที่แตกต่างกันไปสัญลักษณ์รูปคน จะเป็นปุ่มสำหรับรายงานเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน ว่าบริเวณใดมีอุบัติเหตุ มีการก่อสร้าง หรือมีปัญหาใดเกิดขึ้นสัญลักษณ์รูปกล้อง จะเป็นปุ่มที่จะแสดงสัญลักษณ์บนแผนที่ เพื่อบอกว่าจุดใดมีกล้องบ้าง นอกจากนี้ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นยังสามารถกดเข้าไปดูภาพของกล้องเพื่อให้ทราบสภาพการจราจรบนถนนบริเวณนั้นในเวลานั้นได้ทันทีสัญลักษณ์รูปกรวยจราจร จะเป็นปุ่มที่แสดงให้เห็นถึงการรายงานอุบัติเหตุ บริเวณสิ่งก่อสร้าง หรือปัญหาต่างๆ โดยสัญลักษณ์จะแตกต่างกันออกไปตามที่มีผู้รายงานเข้ามายังแอพพลิเคชั่นนี้ รวมถึงข้อมูลจากทางผู้จัดทำแอพพลิเคชั่นเอง อย่างเช่น รูปเครื่องอัศเจรีย์(เครื่องหมายตกใจ) รูปคนกำลังก่อสร้าง รูปรถเสีย เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้แอพพลิเคชั่นสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นได้สัญลักษณ์สุดท้ายคือ สัญลักษณ์รูปไฟจราจร เป็นการแสดงให้เห็นสภาพการจราจรบนท้องถนนตามเส้นทางต่างๆ ว่ามีสภาพการจราจรที่คล่องตัวหรือติดขัดมากเพียงใด โดยแอพพลิเคชั่นจะใช้สีในการแบ่งสภาพการจราจร อย่างเช่น สีเขียว สีส้ม และสีแดงอย่าลืมสำรวจเส้นทางและสภาพการจราจรก่อนออกเดินทางไปท่องเที่ยวกันนะคะ จะได้เที่ยวอย่างมีความสุข และไม่สะดุดกับการเดินทาง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 ซื้อทัวร์แล้ว แต่เดินทางไม่ได้

เมื่อต้นปีที่แล้วได้มีข่าวเกี่ยวกับสายการบิสซิเนส แอร์ ที่ถูกกรมการบินพลยกเลิกการบิน เนื่องจากยังไม่ชำระหนี้ที่ค้างไว้ ทำให้ทัวร์ชาวไทยตกค้างที่ประเทศเกาหลีและสนามบินดอนเมืองจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในคณะทัวร์ที่ได้รับความเสียหายครั้งนั้น ก็ส่งเรื่องมาร้องเรียนยังศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอคำปรึกษาผู้ร้องซื้อโปรแกรมทัวร์ให้คณะนักศึกษากับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเดินทางโดยสารการบินของบริษัท บิสซิเนสแอร์เซ็นเตอร์ จำกัด โดยมีกำหนดเดินทางวันที่ 20 – 23 ม.ค. 2558 อย่างไรก็ตามเมื่อถึงกำหนดการกลับผลว่าไม่สามารถเดินทางได้ ซึ่งในขณะนั้นทางบริษัททัวร์ได้มีการเจรจาและตกลงกับผู้ร้องว่า ให้ผู้ร้องออกเงินค่าตั๋วใหม่จำนวน 100,000 บาทไปก่อน แล้วทางบริษัททั้งสองจะร่วมกันจ่ายให้ภายหลัง ผู้ร้องจึงยินยอมและเดินทางด้วยสายการบินอื่นแทน อย่างไรก็ตามปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นเมื่อผู้ร้องได้ทำหนังสือขอคืนเงิน แต่ทางบริษัทก็ไม่มีการตอบรับใดๆ ทำให้เขาต้องมาร้องเรียนเพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาจากกรณีนี้ในเบื้องต้นพบว่า หากกรมการบินพลเรือนสามารถดูแลหรือแจ้งข่าวสาร สถานะความสามารถในการให้บริการของบริษัทการบินต่างๆ ให้ผู้โดยสาร รวมทั้งบริษัททัวร์รับทราบได้ ก็อาจไม่เกิดปัญหาจ่ายเงินไปแล้วแต่เดินทางไม่ได้เช่นนี้ ทั้งนี้ศูนย์ฯ ได้ช่วยเหลือผู้ร้องด้วยการแนะนำให้รวบรวมเอกสารต่างๆ มาให้เพิ่มเติม ได้แก่ จดหมายทวงถาม หนังสือขอคืนเงิน เอกสารการติดต่อกับสายการบิน จากนั้นจึงช่วยติดต่อกับทางสายการบินดังกล่าว ซึ่งตัวแทนของบริษัททัวร์แจ้งว่าจะมีการคืนเงินให้ผู้ร้องปลายปีนี้  โดยเหตุที่ล่าช้าและไม่สามารถดำเนินการบินได้ เนื่องจากสายการบินประสบปัญหาถูกสั่งห้ามบิน และมีการฟ้องร้องอยู่ในชั้นศาลปกครอง อย่างไรก็ตามจะรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว ด้วยการคืนค่าตั๋วเครื่องบินให้กับผู้ร้องตามจำนวนที่จ่ายไปเพิ่มเติม คือ 100,000 บาท แต่ขอแบ่งชำระเป็น 2 งวด งวดละ 50,000 บาท ซึ่งผู้ร้องยินดีกับข้อเสนอดังกล่าว แต่เหตุการณ์ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ เพราะเวลาต่อมาบริษัทฯ ก็แจ้งกลับมาอีกครั้งว่า ก่อนหน้านี้บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการยื่นขอฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเจ้าหนี้บางรายคัดค้าน อาจทำให้กระบวนการชำระหนี้ล่าช้า แต่ขณะนี้การที่กรมการบินพลเรือนได้เพิกถอนใบอนุญาตของบริษัทฯ ทำให้ภายหลังบริษัทฯ ต้องถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ เพราะไม่สามารถประกอบกิจการได้ ผู้ร่วมทุนของบริษัทรายใหม่ก็ถอนหุ้นไปเกือบหมด บริษัทฯ จึงไม่มีเงินที่จะดำเนินกิจการ แต่บริษัทฯ จะยังคงหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ เพื่อที่จะดำเนินการกิจการต่อไป และประสงค์ที่จะยื่นฟื้นฟูกิจการอีกครั้ง เนื่องจากคิดว่าหากมีการฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และขอนำเรื่องผู้ร้องเข้าที่ประชุมของบริษัทฯ  เพื่อพิจารณาเรื่องจำนวนเงินที่จะผ่อนชำระให้ผู้ร้องอีกครั้ง ทั้งนี้ภายหลังทางบริษัทฯ ก็เสนอกลับมาว่า สามารถผ่อนจ่ายให้ผู้ร้องได้เดือนละ 2,000 บาท จนกว่าจะสามารถฟื้นฟูกิจการได้ ซึ่งเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ผู้ร้องก็ต้องยินยอมข้อเสนอดังกล่าวไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 โซล่าร์เซลล์.......เหมาะกับสังคมคนไทยจริงหรือ

เราอาจจะไม่ต้องเกริ่นนำให้ยืดยาวว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องประหยัดพลังงานและหาพลังงานทดแทนมาเพื่อสอดรับกับเรื่องวิกฤติพลังงาน  เพราะจากข้อมูลทางสถิติบอกว่า  นับแต่ประมาณปี 2543 เป็นต้นมา อัตราความสำเร็จในการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ดิ่งลงอย่างสม่ำเสมอ และคาดว่าเมื่อถึงปี 2050 จะไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่อีกต่อไปแล้ว   มาใช้พลังงานทางเลือกกันเถอะ ปัญหาไฟฟ้าดับในภาคใต้หรือปัญหาน้ำมันแพง เป็นเหตุผลเพียงพอสำหรับการหันมาเลือกใช้พลังงานทางเลือก ซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยทั้งเราและโลกให้ดำรงอยู่แบบไม่ลำบากในภายภาคหน้านัก พลังงานทางเลือก หรือ พลังงานหมุนเวียน ซึ่งหมายถึงพลังงานที่เกิดขึ้นจากทรัพยากรรอบตัวที่ไม่มีวันหมด เช่น สายลม แสงแดด สาบน้ำ เศษอาหาร มูลสัตว์ ชานอ้อย แกลบ ฯลฯ จึงถูกนำเสนอขึ้นมาเป็นทางเลือกเพื่อทดแทนพลังงานกระแสหลักทุกวันนี้ ถ้าถามว่า ทำไมเราต้องหันมาพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน คำตอบก็คือ เพราะต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนมีลักษณะยิ่งทำยิ่งถูก   เพราะมีค่าใช้จ่ายหลักคือการลงทุนตอนต้น หลังจากนั้นวัตถุดิบล้วนแต่หาได้รอบตัวในราคาถูก หรือไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่นเมื่อติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าแล้ว นอกเหนือจากค่าตรวจสภาพ ซ่อมบำรุง ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสายลมจัดการต่อ   ส่วนพลังงานหมุนเวียนจากธรรมชาติที่มีเหลือเฟือและเหมาะกับบ้านเมืองเรามากที่สุดก็คือ พลังงานแสงอาทิตย์   พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาเป็นการใช้พื้นที่หลังคาบ้าน อาคารธุรกิจ หรือโรงงาน ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งส่วนที่อยู่บนหลังคา ได้แก่ แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ทำหน้าที่รับแสงอาทิตย์และเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง ไฟฟ้าที่ได้จะเป็นกระแสตรง (Direct Current) ซึ่งจะถูกส่งมายังเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าหรือ Inverter ที่ติดตั้งอยู่ภายในบ้าน เพื่อเปลี่ยนกระแสไฟตรงให้เป็นกระแสสลับ (Alternate Current) ที่สามารถนำมาใช้งาน ได้เหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่เราใช้อยู่ตามปกติ ไฟฟ้าที่ผลิตได้และผ่าน Inverter แล้วจะสามารถขายให้แก่การไฟฟ้าได้ทั้งหมด โดยได้รับราคาตามมาตรการ FiT ที่ภาครัฐกำหนด คือ •          ขนาดเล็กสำหรับที่พักอาศัย ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ ราคารับซื้อ 6.96บาทต่อหน่วย •          ขนาดกลาง มากกว่า 10 กิโลวัตต์ และไม่เกิน 250 กิโลวัตต์ ราคารับซื้อ 6.55 บาทต่อหน่วย •          ขนาดมากกว่า 250 กิโลวัตต์ และไม่เกิน 1,000 กิโลวัตต์ ราคารับซื้อ 6.16 บาทต่อหน่วย ข้อดีของการผลิตไฟฟ้า ณ ที่มีการใช้แบบนี้คือ จะช่วยลดการสูญเสียไฟฟ้าในระบบจำหน่ายได้ และเป็นการทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่มีความสะอาดไม่ก่อให้เกิดมลพิษ   ตัวอย่างการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทย ในปัจจุบันการใช้พลังงานทดแทนของไทยเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เฉพาะที่ภาคอีสาน พบว่า มีศักยภาพสูง  ไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากแสงอาทิตย์ ลม น้ำ รวมทั้งการที่ชาวบ้านสามารถมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาพลังงาน ตัวอย่าง ที่ยโสธร มีการนำพลังงานลม ที่ได้จากกังหันลมมาช่วยลดต้นทุนการผลิต และสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร จนการทำไร่ทำนาสามารถทำได้ทุกฤดูกาลไม่ต้องรอฟ้ารอฝน รวมทั้งที่สุรินทร์  นำน้ำเสียจากโรงงานขนมจีน หรือมูลสัตว์ มาผลิตแก๊สชีวภาพในชุมชน เป็นต้น     โซล่าร์เซลล์ช่วยเราประหยัดอย่างไร ข้อมูลการเปรียบเทียบให้เห็นการลงทุน+การคุ้มทุน+การประหยัดพลังงาน ฯลฯ ตาราง  GZTH-PV Price Guide for FIT Program 13-09-13 เครดิต คุณสุทัศนา กำเนิดทอง บ.เกร็นโซน(ประเทศไทย) จำกัด   SOLAR PV PRICE GUIDE FOR THAI FIT PROGRAM 13th September, 2013 ขนาดของระบบ พื้นที่ติดตั้ง(ตรม.) PERFORMANCE MULTIPLIER FIT Rate ( บาท ) กำลังการผลิตเฉลี่ยต่อปี(kwh) รายได้เฉลี่ยต่อปีจาก FIT (บาท) ค่าติดตั้ง(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จุดคุ้มทุน(ปี) 2 20 3.9 6.96 2,847 19,815 168,000 8.48 3 30 3.9 4,271 29,723 246,000 8.28 5 50 3.9 7,118 49,538 405,000 8.18 10 100 3.9 14,235 99,076 800,000 8.07 20 200 3.9 6.55 28,470 186,479 1,560,000 8.37 50 500 3.9 71,175 466,196 3,850,000 8.26 75 750 3.9 106,763 699,294 5,550,000 7.94 100 1000 3.9 142,350 932,393 7,000,000 7.51 150 1500 3.9 213,525 1,398,589 10,200,000 7.29 200 2000 3.9 284,700 1,864,785 13,200,000 7.08 250 2500 3.9 6.16 355,875 2,192,190 16,000,000 7.30 500 5000 3.9 711,750 4,384,380 30,000,000 6.84 1000 10000 3.9 1,423,500 8,768,760 55,000,000 6.27 สรุปจากตาราง .....จะพบว่า บ้านที่ติดตั้งระบบโซล่าร์ รู๊ฟ ในพื้นที่ขนาด  30 ตร.ม. ขนาด 3 กิโลวัตต์ เงินลงทุน 246,000 บาท ได้ไฟ 4,271 หน่วย/ปี ขายไฟฟ้าได้ประมาณ 29,723 บาท/ปี เพราะฉะนั้นคืนทุนใน 8.28 ปี   โปรแกรมการคำนวณอย่างง่ายสำหรับระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ โปรแกรมการคำนวณอย่างง่ายสำหรับระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ คือ โปรแกรมที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน  พัฒนาขึ้นสำหรับผู้สนใจเรื่องการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายได้แก่ บ้านพักอาศัย, อาคารธุรกิจขนาดเล็ก และ อาคารธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ หรือโรงงาน ขนาดตามที่ระบุไว้ข้างต้น ที่ขายไฟฟ้าได้ตามมาตรการ FiT ของภาครัฐ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกตั้งต้นการคำนวณได้ทั้งจากพื้นที่ในการติดตั้งที่มีอยู่ หรือกำลังการติดตั้งที่ต้องการ และเลือกชนิดของแผงเซลล์และราคาระบบที่สามารถจัดซื้อได้ต่อ 1 กิโลวัตต์ และกดคำว่าคำนวณ ผลจากการคำนวณจะได้ทราบข้อมูลดังนี้ •          เงินลงทุนระบบเซลล์แสงอาทิตย์ทั้งหมดที่ต้องจ่าย •          พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ต่อปี •          จำนวนเงินที่ขายไฟฟ้าได้ต่อปี •          จำนวนปีที่คืนทุน เพื่อให้รู้ว่าท่านจะคุ้มทุนในกี่ปี สามารถดาวน์โหลดได้ที่http://www.ces.kmutt.ac.th/pvroof/index.php สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ สำนักพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ โทร 02 223-0021 ต่อ 1246 คุณกุลวรีย์ บูรณสัจจะวราพร.   การรับซื้อไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา กระทรวงพลังงาน ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาหรือโซลาร์รูฟท็อป ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 คณะรัฐมนตรี (ครม.)  ได้มีมติรับทราบมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2556 เห็นชอบให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Rooftop PV System) โดยมีปริมาณกำลังการผลิตติดตั้งของแผงโฟโตโวลเทอิก (Photovoltaic Panel) รวม 200  MWp จำแนกเป็น 100 MWp สำหรับอาคารประเภทบ้านอยู่อาศัย และอีก 100 MWp สำหรับอาคารประเภทธุรกิจและโรงงาน ทั้งนี้ ให้มีการเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าภายในปี 2556 ด้วยอัตราการรับซื้อแบบ Feed-in Tariff ระยะเวลาการสนับสนุน 25 ปี โดยมีช่วงระยะเวลาการยื่นคำขอขายไฟฟ้าตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2556 ถึง วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2556 ยกเว้นวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดทำการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (รวม 15 วันทำการ) ระหว่างเวลา 9.00 น. – 15.00 น. อนึ่ง ผู้ที่ประสงค์จะจำหน่ายไฟฟ้าประเภทอาคารบ้านอยู่อาศัยสามารถยื่นคำขอในแต่ละครั้งได้ไม่เกิน 10 คำขอ และประเภทอาคารธุรกิจ/โรงงานสามารถยื่นคำขอในแต่ละครั้งได้เพียง 1 คำขอ โดยการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะพิจารณาแบบคำขอและประกาศผลการตอบรับซื้อไฟฟ้าบน Website ของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป ข้อสังเกต ระเบียบการยื่นคำร้องมีรายละเอียดปรากฏที่เว็ปไซต์ของกระทรวงพลังงาน มีข้อสังเกตว่า ใบสมัครมีความซับซ้อน เข้าถึงยาก แม้คนที่จบทางด้านวิศวกรรมมายังใช้เวลานานในการกรอกข้อมูล นอกจากนี้หากผู้บริโภคทำเรื่องขออนุญาตด้วยตนเองจะยากและใช้เวลามากกว่าการขอผ่าน บริษัทตัวแทนจำหน่ายโซล่าร์เซลล์  เช่น การขอใบรับรอง รง.4 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น     ความจริง เรื่องขายไฟฟ้าของประชาชนกับการรับซื้อไฟฟ้าของภาครัฐ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด นักเศรษฐศาสตร์ด้านพลังงาน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   ตัวอย่างในต่างประเทศที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ และได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างเยอรมัน เดนมาร์กก็ทำปกติ คือใช้แผงของตัวเองเลยถ้าเหลือก็ขายได้แต่เน้นเอามาใช้ในครัวเรือนก่อน หรือบางทีเขาเรียกเป็นมิเตอร์ 2 ทาง คือขายไปกับเข้ามาแต่ว่าหักลบกันก่อนแล้วค่อยไปคิดเงินกัน ของบ้านเรานั้นมิเตอร์ 2 ตัวไม่ใช่มิเตอร์ 2 ทางที่เรียกมิเตอร์ 2 ตัวคือตัวหนึ่งขาย ตัวหนึ่งซื้อ ประเทศเพื่อนบ้านเราที่ทำที่ใกล้ที่สุดก็ญี่ปุ่น ส่วนประเทศอื่นไม่ค่อยเยอะนักประเทศเราก็ทำได้ดีแล้วแต่ว่าเสียดายที่มันมาติดเรื่องเวลา คือถ้าเราคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรยังพอว่าแต่นี่คิดออกแล้วดันมาล็อคเรื่องเวลาซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าล็อคทำไม ล็อคแล้วมันกลายเป็นผลประโยชน์ของฝ่ายธุรกิจมากกว่า แต่เป็นผลประโยชน์ระยะสั้นนะ ผลระยะยาวจะขายใครได้อีก ลึกๆ แล้วอยากให้มันแน่นอนนะ เหมือนรถปีที่แล้ววุ่นกันพอสต๊อกไว้แล้วก็ค้างบาน ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้กันว่าสิ่งที่มันดูเหมือนช่วยเอาเข้าจริงมันอาจไม่ได้ช่วย   ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ เยอรมัน เดนมาร์ก เขาเอาไปทำต่อเนื่องมันก็เลยประสบความสำเร็จไปในระยะยาว แผง Solar cell ของเขาก็กลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กรณีของไทยเหมือนทำอย่างเขา แต่เราไม่รู้รัฐบาลจะเปิดรอบไหน อย่างเราขายแผง Solar cell เองนั้นก็ไม่รู้เราจะไปลงทุนผลิตเองดีไหมในเมื่อมันยังไม่ชัวร์ เพราะฉะนั้นเมื่อมันไม่ชัวร์เราก็รับมาจากต่างประเทศละกันอันไหนถูกกว่าหน่วยงานเราก็หากันเฉพาะหน้าไป เพราะฉะนั้นต่างประเทศที่เขาทำระยะยาวมันจึงประสบความสำเร็จในการสนับสนุน เริ่มตั้งแต่คนติดตั้งเยอะขึ้น คนลงทุนเยอะขึ้นจนกลายเป็นธุรกิจ Solar cell อย่างครบวงจรได้ มันต้องการความชัดเจนในระยะยาว ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี อีกโมเดลหนึ่งคือ ผมคิดว่าประเทศไทยเราไม่มีเลย คือการลงทุนสนับสนุนสำหรับชุมชนหรือบ้านเรือนที่ใช้ในแนวของพลังงานอย่างยั่งยืน เรื่องการสร้างความยั่งยืนให้สิ่งแวดล้อมเราไม่มีเลย วิธีการคิดของรัฐบาลคือติดตรงไหนก็เอาไปขายเข้าระบบอย่างเดียวแต่ของต่างประเทศเขามีคนมาร่วมกันเป็นสหกรณ์ เป็นบริษัทก็ได้ ถ้าทำมาเป็นโครงการลักษณะแบบที่จะมีการประหยัดการใช้พลังงาน ซึ่งมันไม่ได้มีแต่ Solar cell อย่างเดียว ยังมีอื่นๆ อีกที่ทำได้ เช่นสิ่งปฏิกูลจากห้องน้ำ สมมติว่าเราสร้างบ้าน 20 หลังแล้วเราทำท่อที่สิ่งปฏิกูลมาทำไบโอแก็สได้ ไบโอแก็สก็จ่ายคืนกลับไปสู่การใช้ LPG อันนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เพราะฉะนั้นในต่างประเทศการสนับสนุนเขาจะให้แต่ละที่คิดเองว่าจะทำอะไรได้บ้าง บางที่ก็ Solar cell อย่างเดียว บางที่ก็ Solar cell บวกกังหันลม บางที่ก็ Solar cell บวกไบโอแก็ส บางที่ก็ Solar cell บวกไบโอแมส อย่างเช่นกิ่งไม้ หมู่บ้านจัดสรรกิ่งไม้เยอะมาก เสร็จแล้วก็ไม่รู้ทำอย่างไรจริงแล้วเอามาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เพราะฉะนั้นการให้สนับสนุนในโครงการลักษณะแบบนี้มันจำเป็นที่จะต้องมี เพราะในที่สุดแล้วมันคือการลดการใช้ไฟฟ้าแต่ปัจจุบันการให้ความสนับสนุนของรัฐฯ นั้นให้ก็ต่อเมื่อมีการขายไฟฟ้า ซึ่งบางคนเขาไม่ได้ขายแต่ว่าเราทำเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าลงอันนี้มันก็เป็นการสนับสนุนของรัฐบาลไทย มันเหมือนกับขาเดียวไม่ได้ทำ 2 ขา คือใครขายก็ขาย ใครที่ใช้อยู่ก็ต้องใช้ให้มันน้อยลง   นโยบายของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรมนอกจากเรื่องรับซื้อแล้วยังมีอะไรอีกเรื่องการส่งเสริมพลังงานโซล่าร์เซลล์ ไม่มีเลย ที่เหลือก็จะเป็นโครงการ มันไม่ได้เป็นกลไกนะโครงการมันเป็นกลไกที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ การรับซื้อที่มันเป็นกลไกมันก็ไม่ค่อยสมบูรณ์เพราะมันดันมาล็อคเรื่องเวลา เพราะฉะนั้นบ้านเรามันขาดกลไกจริงๆ เหมือนเราอุดหนุน LPG รัฐบาลออก LPG แต่คนทำไบโอแก็สเยอะเลย ชาวบ้านทำไบโอแก็สไม่ช่วยเขาเลย เขาทำไบโอแก็สแก้ปัญหาให้คุณไม่มีการอุดหนุนเลย คนทำไบโอแก็สก็ทำกันไปเรื่อยๆทั้งที่จริงการอุดหนุนไบโอแก็สนั้นง่ายมาก อุดหนุนผ่านวัสดุเลยถ้าคุณซื้ออันนี้เพื่อเอาไปทำไบโอแก็สคุณได้ส่วนลด ก็เหมือนกับรถคันแรกไปซื้อเสร็จคุณก็ไปขอส่วนลดใช่ไหม แต่นี่ไม่ได้ลดเป็นแสน ลดเป็นหลักพันหลักร้อยเองแล้วคุณก็ขึ้นบัญชีคนซื้อ LPGคุณได้ ใครซื้อไฟต่ำกว่าเท่านี้ก็ไปขออัตราลดLPGคุณทำได้เลย ชาวบ้านที่ทำไบโอแก็สจำนวนก็น้อยกว่า ความตั้งใจก็เยอะกว่า ประโยชน์ก็เยอะกว่า คุณก็ไม่ช่วย ผมคิดว่ารัฐบาลมองอะไรที่มันแบบผิวเผิน   สาเหตุที่รัฐบาลไม่ส่งเสริมอย่างจริงจัง เขาเน้นเป้า คือหมายถึงว่าอยากให้ได้ Solar cell กี่เมกะวัต คิดหาวิธีที่มันง่ายที่สุด เขียนนโยบายมาว่าจะต้องได้เท่านี้ สมมติว่าเขาได้ในระยะเวลาที่เขากำหนด เขาก็คิดว่ามันจบเลยต่อจากนี้ไม่ต้องยุ่งอีกต่อไป วิธีคิดเขาเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่ได้มองว่าในความเป็นจริงคนค่อยเรียนรู้มันจะเกิดการพัฒนาต่อเนื่อง เขาไม่ได้มองเรื่องอนุรักษ์พลังงาน จริงๆผมว่าเขาไม่เคยมองเรื่องคนเลยมากกว่า คือทุกเรื่องสุดท้ายเราต้องการคนที่เปลี่ยนไป เขามองแค่การลงทุน ผมนี่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลยถ้าผมคิดว่าเงิน2แสนมันคุ้มค่า ผมก็โทรสั่งมาติด จบ ผมไม่ได้เปลี่ยนอะไร เขาสนใจแค่ได้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ อันนี้ทำให้เขาได้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ง่ายที่สุดก็จบแล้วสำหรับเขา   ทางออกสำหรับคนที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงาน ทางออกสำหรับคนที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงาน แต่ยังไม่ต้องการขายไฟฟ้าให้แก่ภาครัฐ ทำได้ โดยการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บางจุดของบ้าน  เช่น ทดแทนไฟฟ้าแสงสว่างในครัวเรือน หรือติดตั้งระบบโซล่าร์เซลล์บริเวณเครื่องสูบน้ำ เป็นต้น   เยอรมัน อังกฤษ เดนมาร์ก และจีน เป็นประเทศที่มีนโยบายพลังงานหมุนเวียนที่มีความน่าสนใจ โดยประเทศเยอรมันมีความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนมากที่สุดในโลก ส่วนประเทศอังกฤษที่เดิมมีพื้นฐานอุตสาหกรรมหนักมีการใช้พลังงานกระแสหลัก เช่น ถ่านหิน น้ำมันเป็นหลักเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ประกาศใช้นโยบาย RPS  ประเทศเดนมาร์ก ที่มีเป้าหมายการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนและเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าเป็นเจ้าของการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบสหกรณ์    และประเทศจีนที่กำลังการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนมากที่สุด ปัจจุบันเดนมาร์กมีโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าและระบบทำความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 30,000 แห่ง โดยมีเครื่องมือประมาณ 35,000 เครื่องสำหรับใช้ในระบบทำความร้อน และที่เกาะ Aeroe   ในเดนมาร์กเป็นที่ตั้งของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ 19,000 ตรม. โดยพลังงานที่ได้ใช้สำหรับผลิตระบบความร้อนภายในเกาะพลังงานของระบบความร้อน 1 ใน 3 ของที่ใช้ในเดนมาร์กได้มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยสามารถกักเก็บพลังงานที่ผลิตได้สำรองไว้ใช้ในฤดูใบไม้ร่วง และสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้   7,500 MWh โดยมีการลงทุนเพื่อผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ไปแล้วจำนวน 49 ล้านโครนเดนมาร์ก ซึ่งเงินจำนวน19 ล้านโครนเดนมาร์กจากจำนวนนี้มาจากการสนับสนุนของสหภาพยุโรปลำดับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 181 สบายใจกับการเดินทางรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

เคยไหมคะ ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แต่ไม่รู้ต้องขึ้นสายไหน...โดยเฉพาะวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผู้เขียนเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ ไม่ได้เติบโตในกรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมรที่ใครๆ ก็ต้องต่างทยอยเข้ามาอยู่อาศัยและหางานทำ จึงไม่แปลกที่จะมีอาการสับสนกับการใช้รถโดยสารสาธารณะกลางใจเมืองขนาดนี้ แถมวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นจุดศูนย์กลางของถนนสี่สาย ยิ่งถ้าไม่รู้ว่าแต่ละเส้นทางไปที่ใดบ้าง บอกได้คำเดียวคะว่า “งง” ล่าสุดได้มีผู้จัดทำแผนที่การใช้รถโดยสาร ทั้งรถเมล์และรถตู้บริเวณรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจะแบ่งออกเป็น 4 ฝั่ง หรือ 4 เกาะ ได้แก่ เกาะดินแดง เกาะพญาไท เกาะราชวิถี และเกาะพหลโยธิน ซึ่งเรียกชื่อตามสายถนนนั่นเอง ถ้าต้องมีการอธิบายถึงป้ายรถเมล์หรือรถตู้ที่ต้องรอขึ้น โดยไม่ชี้ฝั่งหรือเกาะให้ชัดเจน ให้กับคนที่เดินทางมาผ่านวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิครั้งแรก (บางคนผ่านบ่อยครั้งยังไม่รู้เลย) กว่าจะเข้าใจตรงกันคงต้องใช้ความพยายามมากหน่อย  แค่พูดชื่อ 4 เกาะ ก็งงกันแล้ว แต่ถ้าอาศัยแผนที่ฉบับนี้จะสามารถช่วยได้อย่างมาก ผู้จัดทำแผนที่การใช้รถโดยสาร ทั้งรถเมล์และรถตู้บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินี้ มีชื่อว่า “easymap” โดยสามารถดาวน์โหลดภาพแผนที่ได้ที่ www.easymap.in.th มาไว้ที่สมาร์ทโฟนได้ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ต้องบอกก่อนนะคะว่าผู้เขียนไม่ได้แนะนำเพื่อต้องการให้ไปทำธุรกิจหรือซ้อสินค้าใดๆ เพียงแต่ต้องการนำข้อมูลในส่วนที่มีประโยชน์แก่การเดินทางของประชาชนมาให้ทราบกันเท่านั้น ทั้งนี้ผู้เขียนขออธิบายประโยชน์ที่จะได้รับจากภาพแผนที่นี้ คือ ถ้าเป็นภาพแผนที่รถเมล์บริเวณ 4 เกาะรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แผนที่จะบอกรายละเอียดถึงป้ายรถเมล์ที่สามารถรอขึ้นรถ โดยบอกสายรถเมล์จากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งใช้สีต่างๆ เพื่อบอกเส้นทางดังกล่าว  ส่วนภาพแผนที่รถตู้ จะบอกจุดขึ้นรถรอบบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อบอกว่าจุดไหนมีบริการรถตู้ไปที่ใดบ้าง หลังจากที่ผู้เขียนบ่นมาแสนนานที่ต้องสับสนกับการขึ้นรถเมล์บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ภาพแผนที่ที่ถูกจัดทำขึ้นมานี้ช่วยให้ความสับสนของผู้เขียนลดน้อยลงแล้วค่ะ และด้วยภาพแผนที่ที่มีอยู่นี้เลยต้องขอทำตัวเป็นพลเมืองดีกันสักหน่อย เพราะมีโอกาสได้แนะนำเส้นทางบริเวณรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ให้กับผู้คนที่ต้องผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตลอด บอกตรงๆ ค่ะ เข้าใจความรู้สึกสับสนนั้นได้ดีจริงๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 169 รู้สภาพการจราจรบนทางด่วน

ต้องยอมรับว่าคนที่ใช้ชีวิตประจำวันในกรุงเทพมหานคร ต้องเคยใช้บริการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือทางด่วน แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีรถยนต์ส่วนตัว และคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ตาม แต่ก็ต้องมีสักครั้งที่มีโอกาสได้ใช้บริการรถแท็กซี่ เพื่อเดินทางจากที่หนึ่งไปยังจุดหมายอีกที่หนึ่ง โดยใช้ทางด่วนเป็นตัวเชื่อมระยะทางเพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วขึ้น จากการที่ได้ใช้ทางด่วนเป็นประจำ ทำให้รู้ว่าในบางจุดบางช่วงเวลาคนใช้บริการทางด่วนมักจะเจอกับปัญหาทางด่วนที่มีการจราจรไม่ด่วน  เชื่อได้เลยว่าหลายคนคงเคยประสบปัญหานี้ ทำให้สงสัยว่าจะมีสิ่งใดบ้างที่จะช่วยบอกให้ได้ว่าควรเลือกใช้ทางด่วนในขณะนั้นหรือไม่ หรือควรใช้ทางธรรมดาดีกว่ากัน หรือจะต้องใช้เวลาในการเดินทางมากน้อยแค่ไหน และรถติดเพียงใด มีแอพพลิเคชั่นที่ผู้เขียนอยากแนะนำมีอยู่ 2 ตัวเกี่ยวกับทางด่วน ซึ่งมีชื่อเดียวกันว่า “EXAT  ITS” โดยความสามารถใน 2 แอพพลิเคชั่นนี้จะมีความแตกต่างกัน และสามารถใช้ควบคู่กันตามความต้องการของผู้ใช้ได้ และถูกพัฒนาจากคนละหน่วยงาน แอพพลิเคชั่นอันแรก จะบอกเกี่ยวกับสภาพการจราจรบนทางด่วนในภาพรวม ซึ่งสามารถเห็นหน้าจอเดียว มีแผนที่อัจฉริยะสำหรับนำทางจากจุดที่ยืนเพื่อเดินทางไปยังด่านเก็บเงินที่ใกล้ที่สุดได้ และสามารถค้นทางเส้นทางบนทางด่วนได้ด้วย ในแผนที่อัจฉริยะผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้อะไรปรากฏบนแผนที่อัจฉริยะบ้าง อย่างเช่น ป้ายจราจรอัจฉริยะ,  อุบัติเหตุ ,กล้อง CCTV,  ด่านเก็บค่าผ่านทาง,  สถานีตำรวจทางด่วน,  จุดกลับรถในทางพิเศษ และจุดพักรถในทางพิเศษ  โดยสามารถเลือกได้ทั้งหมด หรือเลือกเพียงอันใดอันหนึ่งก็ได้  นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีส่วนร่วมในการรายงานสถานการณ์หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนทางด่วน พร้อมทั้งได้มีการบอกข้อมูลเกี่ยวกับบัตร easy pass และช่วยรวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉินให้ผู้ที่ใช้แอพพลิเคชั่นนี้ด้วย แอพพลิเคชั่นอันที่สอง เป็นแอพพลิเคชั่นที่ลงรายละเอียดบริเวณด่านเก็บเงินแต่ละด่าน ว่ามีเส้นทางการเดินทางเป็นอย่างไร และมีเส้นทางบอกถึงสภาพการจราจรให้ผู้ใช้ทางด่วนทราบได้ ทั้งนี้ยังสามารถค้นทางเส้นทางบนทางด่วนได้เหมือนกับแอพพลิเคชั่นอันแรก แต่มีข้อแตกต่างตรงแอพพลิเคชั่นนี้จะคำนวณเวลาในการเดินทางจากด่านทางด่วนหนึ่งไปยังอีกด่านทางด่วนหนึ่งได้ด้วย อย่างน้อยแอพพลิเคชั่นนี้ก็น่าจะช่วยให้ผู้เดินทางและใช้บริการทางพิเศษรู้ว่าสภาพการจราจรบนทางด่วนเป็นอย่างไร รู้ว่าต้องขึ้นทางด่วนที่ด่านบริเวณใดที่ใกล้ที่สุด และรู้ทิศทางการเดินทางที่ชัดเจน แอพพลิเคชั่น “EXAT  ITS”  อาจจะช่วยเรื่องการตัดสินใจในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้ ลองใช้ดูสิคะ...

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 158 360 องศากับ Google Earth

หลายครั้งที่ต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่ โดยที่ไม่รู้ว่าบริเวณที่จะไปอยู่ส่วนไหนของประเทศหรืออยู่ส่วนไหนของโลก ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ตช่วยทำให้ความลำบากเหล่านั้นหายไปโดยสิ้นเชิง ต้องยอมรับว่าอินเตอร์เน็ตมีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยค้นหาสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการเดินทางไป ซึ่งคำตอบที่มักจะมาจาก google ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง แค่นี้เว็บไซต์นี้ก็จะค้นหาแผนที่ที่จะใช้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ มาให้เลือกมากมาย ภาพแผนที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยี จนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจากภาพแผนที่เดิมๆ ที่มีเพียงลายเส้นเพื่อบอกทิศทาง เปลี่ยนมาเป็นภาพผ่านดาวเทียม มีลักษณะจำลองเป็นภาพ 3 มิติ เป็นภาพเสมือนจริง เหมือนกับเราได้ไปเดินในถนนเส้นนั้นๆ ฉบับนี้จึงพามารู้จักแผนที่ฉบับดาวเทียมที่ถือว่ามีชื่อเสียงระดับโลกเลยทีเดียว นั่นคือ Google Earth ปัจจุบัน Google Earth ได้ถูกพัฒนาให้เห็นสถานที่ต่างๆ ในเส้นทางที่ต้องการจะค้นหาว่าสถานที่ใดตั้งอยู่ในบริเวณใด ถือว่าเป็นการย่อส่วนของสถานที่ทั่วโลกมาไว้ที่คอมพิวเตอร์   โดยปกติ Google Earth สามารถใช้ผ่านอินเตอร์เน็ต ถ้าต้องการโปรแกรมมาไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ก็สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมมาติดตั้งได้ด้วย โดยเข้าที่เว็บไซต์ www.google.com/earth และได้ถูกพัฒนามาไว้ที่แอพพลิเคชั่นแบบเต็มตัว ที่ชื่อว่า Google Earth เพื่อให้ทันสมัยกับยุคโซเชียลมีเดีย แอพพลิเคชั่นนี้จะช่วยในการค้นหาเส้นทาง ผังเมือง แผนที่การคมนาคม  ภายในแอพพลิเคชั่น Google Earth จะมีลักษณะการใช้งานเหมือนกับในคอมพิวเตอร์ โดยจะมีเข็มทิศบอกทิศทางเหนือทิศใต้  เมื่อต้องการค้นหาสถานที่ใดให้ใส่ชื่อสถานที่ในช่องค้นหา ภาพจำลอง 3 มิติจะปรากฏขึ้นมา เราสามารถเลื่อนไปทางซ้ายหรือทางขวา ขึ้นลง ได้ตามความต้องการ ถ้าต้องการมองในมุมแนวเดียวกับถนน ให้กดที่รูปคนด้านซ้ายมือ จะปรากฏภาพถนนสายนั้นๆ ที่เป็นเหมือนภาพถ่าย 360 องศา ทำให้รู้สึกเสมือนว่าเรายืนอยู่ตรงบริเวณนั้น ปุ่มบนด้านขวามือ จะเป็นการตั้งค่าของมุมมองที่ต้องการให้เห็น อย่างเช่น ต้องการให้เห็นถนน ต้องการให้เห็นสถานที่ ต้องการให้เห็นมหาสมุทร เป็นต้น ก็ให้คลิกเพื่อทำเครื่องหมายที่เราต้องการให้เห็นในส่วนนั้น  อีกปุ่มหนึ่งจะเป็นลูกศรอยู่ทางด้านล่างขวา ลูกศรนี้ช่วยหาตำแหน่งที่อยู่ของเราในขณะที่ใช้งานแอพพลิเคชั่นนี้ ช่วยให้ผู้ที่ไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ส่วนไหนได้รู้ตำแหน่งตนเองให้แน่ชัด ประโยชน์ของแอพพลิเคชั่น Google Earth จะช่วยให้รู้สถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอะไรก็ตามในโลกนี้  Google Earth ได้ทำภาพจำลอง 3 มิติอาคารสถานที่ให้ได้เห็น โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปยังประเทศนั้นๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้รู้จักบรรยากาศ สภาพบ้านเมืองของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ลองโหลด Google Earth มาเล่นกันดูนะคะ   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 143 ใช้ประโยชน์จาก Google Maps

  สวัสดีปีใหม่ปีมะเส็งนะคะ ผู้อ่านทุกท่าน เทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไป หลายคนคงได้หยุดพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ (แม้ว่าวันหยุดจะน้อยไปนิ๊ด 555) บางคนได้เดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บางคนก็กลับบ้าน พอเทศกาลปีใหม่ผ่านไป มนุษย์เงินเดือนอย่างเราก็ต้องกลับเข้าประจำโต๊ะทำงานกันต่อไป กลับมาใช้ชีวิตผจญปัญหาจราจรติดขัดในเมืองกรุงเหมือนเดิม   ปัญหาการจราจรบนท้องถนนในกรุงเทพมหานครติดขัดตลอด ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหานี้ไปได้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนนานนับเป็นชั่วโมง จะหลีกเลี่ยงเส้นทางก็ไม่แน่ใจว่าจะติดเหมือนกันหรือไม่ จึงได้แต่ร้องเพลงรอกันต่อไป  ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงลองหาแอพพลิเคชั่นที่มีประสิทธิภาพมาช่วยปัญหาที่เกิดขึ้น (อย่างน้อยก็ช่วยอะไรได้บ้างนะคะ)   แอพพลิเคชั่น Google Maps เป็นบริการแสดงแผนที่ประเทศไทย (รวมถึงทั่วโลก) บอกถึงสภาพการจราจรบนท้องถนน ตำแหน่งที่ยืนอยู่ไปจนถึงค้นหาตำแหน่งจุดหมายที่ต้องการเดินทางไปถึง ระบบขนส่งมวลชน อย่างเช่น สถานีรถไฟฟ้า BTS สายรถเมล์ที่สามารถทำให้จุดหมายปลายทางนั้นได้ โดยแอพพลิเคชั่นจะบอกระยะทางการเดินทาง รวมถึงเวลาที่จะใช้ในการเดินทาง   เมื่อเปิดแอพพลิเคชั่นขึ้นมา Google Maps จะบอกตำแหน่งที่เรายื่นอยู่ปรากฏบน Google Maps จากนั้นให้กรอกสถานที่จุดหมายที่ต้องการเดินทาง โดยจะมีเมนูที่แสดงผลสถานที่ใกล้เคียงบริเวณที่ค้นหา ให้คุณเลือกเพิ่มเติมอีกด้วย ในกรณีที่การแสดงผลไม่ตรงกับสถานที่ที่คุณต้องการ  เมื่อเจอสถานที่นั้นแล้ว คุณสามารถเปลี่ยนมุมมองเป็นแผนที่ 3 มิติหมุน 360 องศา หรืออาจจะเป็นในรูปแบบภาพถ่ายดาวเทียม นอกจากนี้ยังสามารถดูภาพท้องถนน หรือเรียกว่า Google Street View ในช่วงเวลานั้นได้เช่นกัน   บน Google Maps ที่แสดงผลอยู่นั้น คุณสามารถดูสภาพการจราจรไปด้วยในตัว ว่าเส้นทางใดสภาพการจราจรติดขัดควรหลีกเลี่ยง เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกเส้นทางการเดินทางที่ไม่ติดตัดและที่ดีที่สุด และแอพพลิเคชั่นยังคำนวณเวลาในการเดินทางให้ ไม่ว่าจะเป็นรถส่วนตัว หรือขึ้นรถเมล์ โดยจะบอกสายรถเมล์ที่ผ่านบริเวณจุดหมายให้อีกด้วย Google Maps สามารถติดตั้งในรูปแบบแอพพลิเคชั่น โดยผู้ที่ใช้ระบบ  iOS สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ App Store สำหรับผู้ใช้ระบบ Android  สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ Android Market เมื่อดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Google Maps มาใช้งานแล้วมีปัญหา Google Maps ไม่ระบุตำแหน่ง ให้ไปเช็คที่  Settings > Privacy > Location Services   ลองดาวน์โหลดและดึงประโยชน์ของ แอพพลิเคชั่น Google Maps มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน อาจจะช่วยแก้ความหงุดหงิดใจในระหว่างที่อยู่บนท้องถนนได้สักเล็กน้อย ^_^

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหวเดือนสิงหาคม 2559แพทย์เฉพาะทางบาทเดียวปัจจุบันนี้มีการส่งต่อและแชร์ข้อมูลต่างๆ ผ่านทางโซเชียลมีเดียกันอย่างมากมาย โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งมีข้อมูลจำนวนไม่น้อยที่ไม่ถูกต้อง หรือให้รายละเอียดไม่ครบถ้วน นำมาซึ่งความเข้าใจผิด หากนำไปใช้ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ จึงทำให้เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มแพทย์เฉพาะทางด้านต่างๆ จากหลากหลายสถาบัน ในชื่อของ “แพทย์เฉพาะทางบาทเดียว” (SOS Specialist) โดยกลุ่มแพทย์จิตอาสากลุ่มนี้จะคอยให้บริการตอบคำถามสุขภาพผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ทั้งเว็บไซต์และเฟซบุ๊ค เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถส่งข้อความเข้ามาสอบถามความรู้ที่ถูกต้องเรื่องสุขภาพ ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลกับแพทย์ผู้มีความรู้เฉพาะด้านได้โดยตรง โดยในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา มีประชาชนสอบถามและขอคำแนะนำเป็นจำนวนมากถึง 50,519 คำถาม ส่วนใหญ่เป็นคำถามจากห้องอายุรกรรมเกี่ยวกับโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง รูมาตอยด์ อัมพาต รองลงมาคือ ห้องเด็ก ห้องสูติ เช่น เรื่องการคุมกำเนิด ประจำเดือน ฯลฯ และห้องจิตเวช ซึ่งผู้ที่ส่งคำถามมาขอคำปรึกษาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพต้องการทราบข้อมูลเบื้องต้นก่อนไปพบแพทย์ และกลุ่มที่ผ่านการตรวจรักษาแล้ว แต่ยังมีข้อสงสัย ใครที่สนใจอยากสอบถามปัญหาเรื่องสุขภาพและการรักษาพยาบาลกับแพทย์ตัวจริงเสียงจริง สามารถเข้าไปได้ที่เว็บไซต์ แพทย์เฉพาะทางบาทเดียว www.sosspecialist.com หรือที่เฟซบุ๊คแพทย์เฉพาะทางบาทเดียว เลิกสงสัย!!! “น้ำผักชี” ไม่ช่วยล้างไตมีการแชร์ข้อมูลที่อ้างว่า “น้ำผักชี” ช่วยล้างไตได้ ซึ่งสร้างความสงสัยว่าข้อมูลดังกล่าวจริงเท็จประการใด จนล่าสุด ภก.พินิต ชินสร้อย เภสัชกรปฏิบัติการงานแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลวังน้ำเย็น  และรักษาการประธานชมรมเภสัชกรสมุนไพร ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า น้ำผักชีไม่ได้มีผลในการช่วยล้างไต ข้อมูลที่มีการแชร์กันอยู่เป็นเพียงการกล่าวอ้างเท่านั้น ไม่มีผลการศึกษาวิจัยใดเป็นตัวยืนยัน ที่สำคัญคือในผักชีมีสารโพแทสเซียมสูงถึง 540 มิลลิกรัมต่อผักชี 100 กรัม ซึ่งสารดังกล่าวส่งผลให้ไตทำงานหนัก เพราะถ้าร่างกายได้รับโพแทสเซียมมากเกินไปจะเป็นภาระต่อไตที่ต้องทำหน้าที่ขับออกจากร่างกาย ซึ่งปกติใน 1 วันร่างกายของเราควรได้รับโพแทสเซียที่ปริมาณ 4.7 มิลลิกรัมเท่านั้นแต่ทั้งนี้คนที่บริโภคผักชีทั่วไปก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะโดยปกติเรากินผักชีในปริมาณไม่มากถึงขนาดที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ซึ่งผักชีถือเป็นผักที่มีประโยชน์ ช่วยในการขับลม ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น ซื้อสินค้าลดราคา ระวังเจอของหมดอายุ!!!ใครที่ชอบซื้อสินค้าลดราคาโดยเฉพาะพวกอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค อย่าลืมเช็คเรื่องคุณภาพสินค้าและวันหมดอายุให้ดี ระวังได้จะของถูกแต่ไม่มีคุณภาพเหมือนกับกรณีที่มีการแชร์กันในสื่อออนไลน์ เมื่อมีผู้บริโภครายหนึ่งได้ซื้อไข่ไก่ลดราคาที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สุขาภิบาล 3 โดยผู้บริโภครายนี้พยายามมองหาข้อมูลวันหมดอายุที่ตัวสินค้า แต่กลับพบว่าป้ายที่แจ้งลดราคาแปะทับเอาไว้อยู่ เมื่อแกะป้ายราคาออกก็ต้องตกใจเมื่อเจอกับข้อมูลวันหมดอายุที่แจ้งว่าไข่ไก่แพ็คนี้หมดอายุมาแล้ว 2 วัน!!!นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ห้างสรรพสินค้าต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะห้างมีหน้าที่ต้องตรวจสอบสินค้าก่อนที่จะขาย เมื่อสินค้าหมดอายุก็ควรรีบจัดเก็บทันที เพราะถ้าผู้บริโภคซื้อสินค้าและรับประทานเข้าไปก็อาจได้รับอันตรายจากการบริโภคอาหารหมดอายุได้ นอกจากนี้ยังถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 เรื่องอาหารที่ไม่ปลอดภัย มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำและปรับโดยผู้บริโภคที่พบเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพบสินค้าหมดอายุถูกนำมาวางจำหน่าย การปกปิดข้อมูลเรื่องวันหมดอายุ หรือการแจ้งราคาสินค้าไม่ตรงกับราคาที่ขาย สามารถร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ ไมว่าจะเป็น อย., สคบ. และ สำนักงานพาณิชย์จังหวัด หรือที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บังคับติด “ฉลากหวานมันเค็ม” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป – อาหารแช่แข็งกระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศเพิ่มชนิดอาหารที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการ และค่าพลังงาน นํ้าตาล ไขมัน และ โซเดียม แบบ GDA (Guideline Daily Amounts) หรือ “ฉลากหวานมันเค็ม” จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ในอาหาร 5 ชนิด ได้แก่ มันฝรั่งทอด ข้าวโพดคั่ว ข้าวเกรียบหรืออาหารขบเคี้ยวชนิดอบพอง ขนมปังกรอบหรือแครกเกอร์หรือบิสกิต และเวเฟอร์สอดไส้ โดยในประกาศฉบับใหม่จะมีการเพิ่มกลุ่มอาหารที่ผู้บริโภคนิยมรับประทาน อย่าง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารแช่แข็งพร้อมปรุงเข้าไปประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 374) พ.ศ. 2559 เรื่อง อาหารที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการ และค่าพลังงาน นํ้าตาล ไขมัน และโซเดียมแบบจีดีเอ ได้กำหนดกลุ่มอาหารที่ต้องแสดงฉลากหวานมันเค็ม ออกเป็น 5 กลุ่ม 15 ชนิด ดังนี้1.อาหารขบเคี้ยว ได้แก่ มันฝรั่งทอดหรืออบกรอบ ข้าวโพดคั่วหรือทอดกรอบ ข้าวเกรียบทอดหรืออบกรอบ หรืออาหารขบเคี้ยวชนิดอบพอง ถั่วหรือนัตทอดหรืออบกรอบ หรืออบเกลือ หรือเคลือบปรุงรส สาหร่ายทอดหรืออบกรอบ หรือเคลือบปรุงรส และปลาเส้นทอดหรืออบกรอบ หรือปรุงรส2.ช็อกโกแลต และผลิตภัณฑ์ในทํานองเดียวกัน3.ผลิตภัณฑ์ขนมอบ ได้แก่ ขนมปังกรอบ แครกเกอร์ บิสกิต เวเฟอร์สอดไส้ คุกกี้ เค้ก พาย เพสตรี้ ทั้งชนิดที่มีและไม่มีไส้4.อาหารกึ่งสําเร็จรูป ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ บะหมี่ เส้นหมี่ และวุ้นเส้น ไม่ว่าจะมีการปรุงแต่งหรือไม่ก็ตาม พร้อมซองเครื่องปรุง ข้าวต้มที่ปรุงแต่ง และโจ๊กที่ปรุงแต่ง5.อาหารมื้อหลักที่เป็นอาหารจานเดียว ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็งตลอดระยะเวลาจําหน่ายทั้งนี้จุดมุ่งหมายของการบังคับให้อาหารเหล่านี้ต้องแสดงฉลากหวานมันเค็ม ก็เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคในการใช้เป็นข้อมูลในเลือกรับประทานให้เหมาะสมต่อสุขภาพ ลดการบริโภค หวาน มัน เค็ม ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็น มะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ โดยผลิตภัณฑ์อาหารตามประกาศฉบับนี้จะต้องทำการติดฉลากหวานมันเค็มตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2559 นี้เป็นต้นไป เชิญร่วมงานเวทีประชุมแลกเปลี่ยน “ตลาดที่มีจิตสำนึก” ครั้งที่ 3ในยุคที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะฝากท้องไว้กับอาหารจากระบบอุตสาหรรม อาหารแปรรูปที่ผ่านการปรุงแต่งดัดแปลง ซึ่งแม้จะได้ความสะดวกสบายแต่กลับเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยและการปนเปื้อนของสารเคมีปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นสารกันบูด สีสังเคราะห์ สารปรุงแต่งรสและกลิ่น ฯลฯ ซึ่งสารเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเรา    “ตลาดที่มีจิตสำนึก” จึงเกิดขึ้นมาจากความตั้งใจที่อยากให้ผู้ผลิต เกษตรกร ที่ใส่ใจในการผลิตอาหารปลอดภัย ได้นำสินค้าของตัวเองมาส่งต่อโดยตรงถึงมือผู้บริโภค คนกินได้อาหารที่ปลอดภัยไม่มีสารเคมีปนเปื้อน อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร สุขภาพร่างกายแข็งแรง ส่วนคนขายคนผลิตก็ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม เป็นธรรม ได้กำลังใจในการทำเกษตรกรที่ปลอดภัยที่ต้องใช้ความใส่ใจในปลูกมากกว่าการเกษตรทั่วไป    ในวันที่ 30 ส.ค. – 1 ก.ย 59 นี้ จะมีการจัดเวทีประชุมแลกเปลี่ยนตลาดทางเลือกในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและเอเชีย ความร่วมมือระหว่างเกษตรกรรายย่อยผู้ประกอบการสังคมและผู้บริโภคสีเขียว ภายใต้ชื่องานว่า “ตลาดที่มีจิตสำนึก #3” ซึ่งในงานจะมีการพูดถึงความสำคัญของตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ต่อสังคม โดยจะมีประสบการณ์จากต่างประเทศ ทั้ง ญี่ปุ่น อินเดีย จีน อินโดนีเซีย มาบอกเล่าในงานประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีตัวแทนผู้ประกอบการทางสังคมที่จะมาบอกเล่าว่าการทำธุรกิจโดยใส่ใจสังคมเป็นมิตรกับชุมชนนั้นต้องเริ่มต้นยังไง    ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสามารถติดต่อสอบถามไปได้ที่ สวนเงินมีมา โทร. 02-622-0955, 02-622-2495-6 www.suan-spirit.com  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหว เดือนมิถุนายน 2559“เนื้อปลาดิบ” ปลอดภัยไม่มีสีเกิดกระแสฮือฮาเป็นข้อถกเถียงกันในโซเชียลมีเดีย  เรื่องของ “เนื้อปลาดิบย้อมสี” ที่มีนักวิชาการมาให้ข้อมูลออกเป็น 2 ฝั่ง โดยฝั่งแรกคือรองศาสตราจารย์ สัตวแพทย์หญิง ดร.นันทริกา ชันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เล่าว่าได้ไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นร้านดังแห่งหนึ่ง แล้วสังเกตว่าปลาโอและปลาแซลมอนในร้าน มีสีแดงสดผิดปกติ จึงได้เก็บตัวอย่างมาตรวจสอบ พบว่าเมื่อนำปลาดิบไปแช่น้ำทิ้งไว้ไม่กี่นาทีเกิดมีสีละลายออกมาจากเนื้อปลาชัดเจน ซึ่งข้อความดังกล่าวที่ถูกโฟสในเฟซบุ๊คสร้างความวิตกและสงสัยกับผู้คนที่ได้รับข้อมูลเป็นอย่างมาก ว่ามีการย้อมสีในเนื้อปลาจริงหรือมั้ย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือเปล่าอีกด้านคือ อาจารย์ เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว อธิบายถึงสีที่ละลายออกมาจากเนื้อปลาว่า ไม่น่าจะเป็นการย้อมสี แต่เป็นสารโปรตีนธรรมชาติที่อยู่ในเนื้อปลา หรือที่เรียกว่า มายโอโกลบิน (myoglobin)ประเด็นปลาดิบย้อมสีเป็นที่สนใจในวงกว้าง เพราะทำให้คนที่ชอบกินปลาดิบรู้สึกกังวลถึงเรื่องความปลอดภัย อย.ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องอาหารปลอดภัย จึงได้ออกมาทำหน้าที่ โดยได้สุ่มเก็บตัวอย่างปลาดิบจากร้านอาหาร 6 แห่ง เพื่อตรวจหาสีสังเคราะห์ ซึ่งผลที่ได้คือ ไม่พบสีสังเคราะห์ในปลาดิบทั้ง 6 ตัวอย่างที่นำมาวิเคราะห์ ซึ่งจากผลวิเคราะห์ที่ได้ น่าจะช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกอุ่นใจได้มากขึ้น   บังคับ “สีทาบ้าน” เป็นสินค้าควบคุมฉลาก ลดการใช้สารตะกั่วคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกประกาศบังคับให้สีทาบ้าน ทั้งใช้ทาภายในและภายนอก ที่มีส่วนผสมของสารตะกั่ว เป็นสินค้าควบคุมฉลาก คือต้องแสดงปริมาณของสารตะกั่วที่ผสมอยู่ในสีโดยระบุหน่วยเป็น ส่วนในล้านส่วน (พีพีเอ็ม) และหากมีปริมาณสารตะกั่วมากกว่า 100 ส่วนในล้านส่วน ต้องมีการระบุคำเตือนว่า “สารตะกั่วอาจเป็นอันตรายต่อสมองและเม็ดเลือดแดง ห้ามใช้ทาบ้านและอาคาร” ซึ่งรายละเอียดปริมาณสารตะกั่วและคำเตือนต้องใช้ตัวอักษรหนาสีแดง ขนาดไม่ต่ำกว่า 5 มิลลิเมตร บนพื้นสีขาว โดยต้องแสดงไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจน สารตะกั่ว เป็นโลหะหนักที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเกิดการสะสม เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง มีผลต่อการทำงานของไต และส่งผลต่อการพัฒนาของสติปัญญา ซึ่งถ้าสีที่มีส่วนผสมของสารตะกั่วถูกนำไปใช้ในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือศูนย์เด็กเล็กต่างๆ อาจส่งผลให้เด็กได้รับสารตะกั่วส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการช้า หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้เด็กป่วยด้วยโรคปัญญาอ่อน   อาหารเสริม-กาแฟลดอ้วน เจอสารอันตรายเพียบ!!!ใครที่ยังหลงเชื่อหลงซื้อบรรดาอาหารเสริม-กาแฟลดความอ้วนอยู่อีกละก็ อ่านข่าวนี้แล้วน่าจะต้องคิดใหม่ ถ้าหยุดซื้อได้ก็ควรหยุด เพราะล่าสุดสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทย์ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เปิดเผยผลตัวอย่างอาหารและเครื่องดื่มที่อาจจะมีการนำยาแผนปัจจุบันมาผสม ตลอดช่วงปี 2556-2558 จำนวนทั้งหมด 1,160 ตัวอย่าง พบว่ามีมากกว่า 50% ที่พบการปนเปื้อนของสารอันตรายต้องห้ามอย่าง ไซบูทรามีน สเตอรอยด์ หรือแม้แต่ยาเบนโซไดอะซีปีนส์ ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ซึ่งเป็นยาควบคุม ต้องมีแพทย์เป็นคนจ่ายยาเท่านั้นโดยตัวอย่างที่วิเคราะห์ทั้งหมด 1,160 ตัวอย่าง แบ่งเป็น 1.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 690 ตัวอย่าง ตรวจพบไซบูทรามีน ร้อยละ 20, กลุ่มยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ร้อยละ 43.4, กลุ่มยาสเตียรอยด์ ร้อยละ 3.9 และ กลุ่มยาระบาย ร้อยละ 0.52.กาแฟสำเร็จรูปชนิดผง 391 ตัวอย่าง ตรวจพบไซบูทรามีน ร้อยละ 14.5 กลุ่มยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ร้อยละ 26.2 กลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีนส์ ร้อยละ 0.63.เครื่องดื่ม 49 ตัวอย่าง ตรวจพบกลุ่มยาสเตียรอยด์ร้อยละ 21.4และ 4.อาหารอื่นๆ 30 ตัวอย่าง การที่ผลิตภัณฑ์อาหารนำยาแผนปัจจุบันซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาที่มีการควบคุมการใช้โดยแพทย์หรือเภสัชกรมาใช้เป็นส่วนผสม เมื่อผู้บริโภคหลงกินผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดังกล่าวเข้าไป อาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพซึ่งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้จากการแพ้ตัวยาดังกล่าว หรือได้รับตัวยาในปริมาณที่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง อาหารที่มีการผสมยาแผนปัจจุบันจัดว่าเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ ผู้ผลิตและผู้ขายมีความผิดตามกฎหมาย   กุ้งไทยปลอดภัยไม่ฉีดสารเจลาตินสร้างความตื่นตกใจให้กับคนที่ชอบรับประทานกุ้งเป็นอย่างมาก หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่ไม่แน่ชัดถึงที่มาที่ไปแต่คาดว่าจะมาจากต่างประเทศ โดยในคลิปเป็นภาพที่ของคนงานในโรงงานคัดแยกกุ้งกำลังฉีดสารบางอย่างเข้าไปในตัวกุ้ง ตามข่าวรายงานว่าเป็นสารหนืดเพื่อช่วยเพิ่มน้ำหนักให้ตัวกุ้งคลิปดังกล่าวสร้างความกังวลและสงสัยต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ทำให้ กรมประมง ที่ดูแลอุตสาหกรรมกุ้งทั้งในประเทศและส่งออกต้องรีบออกมาทำความเข้าใจและยืนยันว่า เหตุการณ์ในคลิปดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแน่นอน พร้อมการันตีว่าอุตสาหกรรมกุ้งไทยมีระบบการผลิต การตรวจสอบคุณภาพ สารปนเปื้อน และเชื้อโรคอย่างเข้มงวด ก่อนส่งถือมือผู้บริโภค ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่ากุ้งไทยปลอดภัยจากสารปนเปื้อนแน่นอนสำหรับสารที่ฉีดมีลักษณะหนืดคล้ายเจลาติน เรียกว่า Carboxy Methyl cellulose (CMC) แม้จะเป็นสารที่ปลอดภัยต่อการบริโภค เพราะสังเคราะห์จากพืช และใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหลายประเภทเช่น ใช้เป็นสารคงตัวในไอศกรีม ใช้เป็นสารให้ความใสในน้ำผลไม้ ไวน์ เบียร์ แต่การนำมาฉีดในตัวกุ้งเพื่อหวังเพิ่มน้ำหนักถือเป็นการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์และไม่มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และดูแล้วเป็นการเพื่อต้นทุนซะมากกว่า เพราะต้องใช้แรงงานจำนวนมากเพื่อมาฉีดสารดังกล่าวเข้าไปในตัวกุ้งทีละตัว    สธ.ยืนยันไม่ใช้ “พัดลมไอน้ำ” ใน รพ.หวั่นแพร่เชื้อโรคนพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกมายืนยันว่า โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขไม่มีการใช้พัดลมไอน้ำทั้งที่ตึกผู้ป่วยนอก (โอพีดี) และหอผู้ป่วย ตามคำแนะนำของสถาบันบำราศนราดูร สถาบันด้านโรคติดต่อและโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลระดับนานาชาติ หลังจากมีข่าวว่าพัดลมไอน้ำในโรงพยาบาลเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคลีเจียนแนร์ ปลัด สธ.ให้ข้อมูลว่า โรคลีเจียนแนร์ แม้จะเป็นโรคที่ทำให้ผู้ที่ป่วยเสียชีวิตได้ แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนโรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก และไม่ติดต่อจากคนสู่คน และรักษาให้หายได้เพียง 1 สัปดาห์ก็หายขาด อาการของโรคนี้จะคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไอ คลื่นไส้อาเจียน แต่หากเชื้อเข้าสู่ร่างกายไปที่ปอด ทำให้ปอดอักเสบ มีไข้สูง ไอ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อาจเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต ซึ่งโรคนี้มักส่งผลกับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำและผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งพัดลมไอน้ำที่ใช้เป็นประจำแล้วไม่ได้ทำความสะอาดภาชนะบรรจุน้ำของพัดลมไอน้ำอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิดการปนเปื้อนของเชื้อลีเจียนแนร์ ละอองน้ำจากพัดลมจะแพร่กระจายโรคนี้รวมทั้งโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ดังนั้นผู้ป่วยในโรงพยาบาลจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไปทั้งนี้ สธ. ยังฝากเตือนถึงประชาชนทั่วไปหมั่นดูแลล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศในที่พัก ทำความสะอาดท่อหล่อเย็น หรือ ถาดรองน้ำหล่อเย็นของเครื่องปรับอากาศ อย่าให้มีน้ำขัง เปียกชื้น ควรทำให้แห้ง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค ส่วนพัดลมไอน้ำให้ล้างภาชนะบรรจุน้ำอย่าปล่อยให้มีตะไคร่น้ำและเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อโรค

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 148 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2556 “รถคันแรก” เริ่มมีปัญหา โครงการรถยนต์คันแรกเริ่มส่งสัญญาณของปัญหา เมื่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกมายอมรับว่าตอนนี้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์มียอดร้องเรียนเข้ามาเป็นอันดับ 1 ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสัญญา ทั้งการจองรถแล้วไม่ได้รถตามกำหนด การเรียกยึดรถอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งความล่าช้าในการส่งมอบรถและคืนเงินในโครงการรถคันแรก กรณีผู้ซื้อรถรอระยะเวลาการส่งมอบรถยนต์ไม่ไหว จึงต้องการขอยกเลิกสัญญาและขอเงินจองคืน ซึ่งมีประชาชนร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก สคบ. ได้รับเรื่องและขอระยะเวลาเจรจากับบริษัทรถยนต์อีกครั้ง เชื่อว่า จะสามารถเจรจาแก้ไขระหว่าง 2 ฝ่ายได้ ส่วนกรณีผู้ซื้อรถยนต์ต้องการขอยกเลิกสัญญาและขอเงินจองคืนด้วยเหตุผลอาจจะผ่อนส่งไม่ได้ หรือไม่ต้องการรถ ตามกฎหมายผู้รับจองมีสิทธิยึดเงินจองได้ เช่นเดียวกับกรณีผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มีรถยนต์พร้อมส่งมอบแล้ว แต่ผู้ซื้อไม่ไปรับรถตามสัญญา ผู้แทนจำหน่ายมีสิทธิยึดเงินจองคืนได้ไม่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ สคบ. ฝากเตือนคนที่ซื้อรถอย่าขาดส่งค่างวดติดต่อกันเกิน 3 งวด มีสิทธิ์ถูกยึดรถ และถ้าเข้าร่วมโครงการรถคันแรก ผู้ซื้อยังต้องคืนเงิน 100,000 บาทให้กับรัฐด้วย     เครื่องไฟฟ้าต้องติดฉลาก ประหยัดไฟจริงไม่จริง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.เตรียมออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ควบคุมให้ผู้ประกอบการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต้องแสดงรายละเอียดค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าว่าแต่ละชนิดใช้พลังงานเท่าไหร่ ประหยัดมากน้อยเพียงใด หลังจากที่ผ่านมาได้หารือกับกระทรวงพลังงาน และผู้ประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้า พบว่าปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้แสดงฉลากประหยัดไฟเพียงเบอร์ 5 อย่างเดียว แต่เบอร์อื่น ๆ ไม่ได้แสดงให้ผู้บริโภครับทราบ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบ และแสดงความชัดเจนให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดได้อย่างเป็นธรรม จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายควบคุม คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ภายในกลางเดือน มิ.ย.นี้ การแสดงฉลากประหยัดไฟครั้งใหม่นี้ ผู้ประกอบการจะต้องแสดงรายละเอียดของเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละประเภทให้ชัดเจน โดยใช้ข้อมูลจริงที่กระทรวงพลังงานตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าว่ามีค่าการใช้พลังงานอยู่ที่เท่าใด จากนั้นจึงกำหนดว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนั้น สมควรที่จะติดฉลากประหยัดไฟเบอร์ใด เพื่อแสดงเป็นข้อมูลให้กับผู้บริโภค     อย.ไม่ให้ขาย “ชาเจสันวินเทอร์ที” สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ตรวจพบผลิตภัณฑ์ ชาเจสันวินเทอร์ที (Jason Winters Tea) ซึ่งนำเข้าโดย บริษัท เอส-คลาส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีส่วนประกอบที่ไม่ปลอดภัยในการบริโภค คือ Special spice, Red clover และ Chaparral ซึ่งเป็นส่วนประกอบของอาหารใหม่ที่ต้องผ่านการประเมินความปลอดภัย เพราะอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดพิษต่อตับ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังแสดงชนิดของส่วนประกอบไม่ตรงตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 280) พ.ศ. 2547 เรื่อง ชาสมุนไพร จึงเข้าข่ายเป็นอาหารปลอม แสดงฉลากลวงทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิด ซึ่งถือว่าไม่ปลอดภัยในการบริโภค อย.จึงได้ยกเลิกเลขสารบบอาหารผลิตภัณฑ์ชาเจสันวินเทอร์ทีดังกล่าว มีผลทำให้ผู้นำเข้าต้องหยุดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทันที และให้เก็บผลิตภัณฑ์ออกจากท้องตลาด และขอให้ร้านค้าที่มีผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจำหน่าย เร่งส่งคืนผลิตภัณฑ์ไปยังผู้นำเข้า หากพบว่ายังมีการลักลอบจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว อย. จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป     คนใช้ทางด่วนเตรียมจ่ายเงินเพิ่ม คณะกรรมการการทางพิเศษ(กทพ.)  เตรียมขึ้นค่าผ่านทางพิเศษเฉลิมมหานคร(ทางด่วนขั้นที่ 1) ทางพิเศษศรีรัช(ทางด่วนขั้นที่ 2) ทางพิเศษบูรพาวิถี(บางนา-ชลบุรี) และทางพิเศษอุดรรัถยา(บางปะอิน-ปากเกร็ด) ตั้งแต่ 5-10 บาท เริ่ม 1 กันยายนนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ การปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษเป็นไปตามสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ซึ่งกำหนดให้วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2541 และทุกระยะเวลา 5 ปี นับจากนั้น ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการปรับอัตราค่าผ่านทางมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2541, 2546 และ 2551 สำหรับอัตราค่าผ่านทางใหม่ ของโครงข่ายในเขตเมือง (ทางพิเศษเฉลิมมหานคร : ดินแดง-ท่าเรือ, บางนา-ท่าเรือ, ดาวคะนอง-ท่าเรือ, ทางพิเศษศรีรัช ส่วน A และ B : พญาไท-พระราม 9, พญาไท-บางโคล่) จะปรับอัตรา ค่าผ่านทางสำหรับรถ 4 ล้อ จากเดิม 45 บาท เป็น 50 บาท รถ 6-10 ล้อ จากเดิม 70 บาท เป็น 75 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ จากเดิม 100 บาท เป็น 110 บาท ตามลำดับ ส่วนโครงข่ายนอก เขตเมือง (ทางพิเศษศรีรัช ส่วน C และ D) จะปรับเฉพาะทางพิเศษศรีรัช ส่วน D (ถนนพระราม 9-ถนนศรีนครินทร์) สำหรับ รถ 6-10 ล้อ จากเดิม 50 บาท เป็น 55 บาท และรถมากกว่า 10 ล้อ จากเดิม 70 บาท เป็น 75 บาท ตามลำดับ โดยรถ 4 ล้อ ยังไม่ปรับราคา สำหรับทางพิเศษอุดรรัถยาและทางพิเศษบูรพาวิถี จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์และสัญญาที่เกี่ยวข้อง     คนไทยป่วยโรคความดันเพิ่มขึ้น 5 เท่า มีข้อมูลจากกรมควบคุมโรค พบสถานการณ์ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเข้ารับการรักษาในสถานบริการสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าตัว ตลอดช่วงปี 2544-2554 ที่ผ่านมา ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ ทำให้เส้นเลือดแดงแข็งขึ้น ลดความเร็วการไหลเวียนเลือดและออกซิเจนไปสู่หัวใจ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่ออื่นๆ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว หลอดเลือดสมองแตก/ตีบ โรคเบาหวาน และโรคไตวาย กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง คือ ผู้ที่ชอบบริโภคอาหารรสเค็ม บริโภคผักผลไม้น้อย คนอ้วน ไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก สูบบุหรี่ หรือสูดดมควันบุหรี่มือสอง และผู้มีความเครียดเรื้อรังที่จัดการไม่ได้ สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง สามารถสังเกตอาการผิดปกติได้ดังนี้ เจ็บแน่นหน้าอกเหมือนมีอะไรมากดทับ หายใจลำบาก บวมปลายมือปลายเท้า หรือมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด ได้แก่ ปากเบี้ยว แขน ขาอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก ตามองไม่ชัด มีปัญหาด้านการพูด ถ้าหากหมดสติต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดไม่เกิน 3 ชั่วโมง จะช่วยรักษาชีวิตและสามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้หรือใกล้เคียงคนปกติมากที่สุด //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 123 กระแสในประเทศ

  ประมวลเหตุการณ์เดือนเมษายน 2554 1 เมษายน 2554“สปาปลา” อาจพาให้เป็นโรคผิวหนัง เตือนผู้นิยมใช้สปาปลา ต้องสำรวจตัวเองให้ดีว่ามีอาการป่วยเป็นโรคที่เสี่ยงต่อการติดเชื้ออยู่หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของตัวเอง ร่วมทั้งป้องกันไม่ให้ตัวเองกลายเป็นพาหะแพร่โรคไปสู่ผู้อื่นที่มาใช้บริการสปาร่วมกัน  สมาคมโรคผิวหนังแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่ามีโรคติดต่อที่อาจเกิดจากน้ำและปลาเป็นสาเหตุซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น โรครูขุมขนอักเสบโดยมีอาการคัน คล้ายเม็ดสิว มีแผลผุพอง มีผื่นลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส และกลายเป็นหนอง หรืออาจเกิดอาการโรคไฟลามทุ่ง ที่มีอาการผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง และอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ  สำหรับกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้สปาปลาคือ 1.ผู้ที่มีแผลตามผิวหนัง 2.ผู้ที่ใช้ยาลดภูมิ กลุ่มสเตียรอยด์ เพราะส่งผลให้มีภูมิต้านทานที่ต่ำติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องด้วย เช่น ผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ และ 3.กลุ่มที่ป่วยเป็นเบาหวานและมีแผล ไม่ควรแช่เท้าเป็นเวลานาน เพราะเชื้อแบคทีเรียจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่าปกติ    18 เมษายน 2554“ฟองน้ำล้างจาน” แหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค!!! ถ้วย ชาม จาน ช้อน ที่เคยมั่นใจว่าล้างทำความสะอาดอย่างดี อาจกลายเป็นพาหะนำโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น โรคอาหารเป็นพิษ หรือโรคอุจจาระร่วง หลังจากมีการเปิดเผยงานวิจัยที่น่าสนใจโดยทีมนักวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และคณะอุตสาหกรรมเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ว่า “ฟองน้ำ” และ “แผ่นใยขัดล้างจาน” ที่ใช้กันอยู่แทบทุกบ้านคือแหล่งสะสมและขยายพันธุ์อย่างดีของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดมาจากเชื้อแบคทีเรีย “ซัลโมเนลล่า” ที่มากับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ยิ่งเจอเข้ากับสภาพอากาศของบ้านเราที่เอื้ออย่างมากต่อการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรีย โดยในปี 2552 กระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษมากกว่า 1 แสนรายต่อปี  สำหรับวิธีการลดหรือทำลายเชื้อแบคทีเรียในแผ่นใยขัดล้างจานหรือฟองน้ำ ทำได้ง่ายๆ โดยการนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวัน ล้างน้ำเปล่าให้สะอาดแล้วนำไปตากแดดจัดทิ้งไว้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง หรือใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำเปล่า แล้วนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวันมาแช่ทิ้งไว้ค้างคืน แต่ต้องเปลี่ยนน้ำส้มสายชูใหม่ทุกวัน ภาวะที่มีความเป็นกรดสูงนั้นจะช่วยให้สามารถลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ได้ ที่สำคัญที่สุดคือต้องหมั่นดูแลรักษาห้องครัวให้สะอาดถูกสุขอนามัยอยู่เสมอ     19 เมษายน 2554ระวังโรคภูมิแพ้เพราะครีมทาผิว คนที่อยากผิวสวยอาจต้องเสี่ยงกับการเป็นภูมิแพ้ เมื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ได้นำข้อมูลจากการประชุมเรื่องโรคภูมิแพ้ที่จัดขึ้นที่รัฐซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเด็นที่แพทย์รักษาโรคภูมิแพ้ให้ความสนใจและห่วงใยเป็นพิเศษ คือ อันตรายจากการใช้ครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ หรือสารให้ความชุ่มชื้นต่างๆ ที่เดี๋ยวนี้มีการเติมสารปรุงแต่งต่างๆ ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ และไม่มีความจำเป็น แถมยังอาจก่อให้เกิดโทษกับผู้ใช้ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง  คนที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรหาซื้อโลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่มีส่วนผสมใดๆ อยู่ และควรอ่านอ่านส่วนประกอบของโลชั่นก่อนการใช้งานเสมอ และไม่ควรให้ส่วนผสมในโลชั่น มีน้ำหอม มีสี หรือสารกันเสียที่ที่ชื่อ พาราเบน ไม่ควรมีสิ่งปรุงแต่งเกินความจำเป็น ถึงแม้ว่าสารนั้นจะเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติก็ตาม     อย่ามองข้ามความปลอดภัย เด็กไทยเสี่ยงตายเพราะรถยนต์สูงขึ้น เด็กไทยยังต้องเสี่ยงตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นเพราะอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่ติดตั้งมากับรถยนต์ไม่มีคุณภาพและไม่เหมาะกับเด็ก ทั้งเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัย ทางแก้ไขพ่อ-แม่ ผู้ปกครองควรใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ซึ่งมีความเหมาะสมกับเด็กเล็ก ในต่างประเทศมีกฎหมายชัดเจนในการบังคับให้ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อยึดเหนี่ยวเด็กไม่ให้เด็กบาดเจ็บ เมื่อเกิดรถชน รถเบรกรุนแรง แต่ในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมในส่วนนี้ มีเพียง พ.ร.บ.จราจรที่กำหนดให้ที่นั่งข้างคนขับต้องมีเข็มขัดนิรภัย ซึ่งในความเป็นจริงเข็มขัดนิรภัยไม่เหมาะสมกับเด็ก และไม่สามารถใช้ป้องกันอันตรายต่อตัวเด็กได้ โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 9 ขวบ หรือสูงไม่เกิน 140 ซม.แถมอาจให้ผลในทางตรงกันข้ามคือกลายเป็นเพิ่มอันตรายกับเด็ก เนื่องจากหากจะให้ปลอดภัยเข็มขัดนิรภัยจะต้องยึดเหนี่ยว 3 จุดสำคัญ คือ หัวไหล่ หน้าตัก และบริเวณเชิงกราน แต่หากเด็กขาดเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับรถเข็มขัดจะรัดที่บริเวณท้องน้อยและลำคอแทน หากรถเบรก หรือชน เข็มขัดจะรัดช่องท้องทำให้ตับ ม้ามแตก รัดลำคอและกระดูกสันหลังกระเทือน อาจเป็นอัมพาตได้  ส่วนถุงลมนิรภัยก็ไม่เหมาะสมกับเด็กเช่นกัน เนื่องจาก การใช้อุปกรณ์ดังกล่าวจะปลอดภัยเมื่อนั่งห่างจากถุงลมอย่างน้อย 25 ซม.แต่เด็กที่นั่งตักแม่จึงอยู่ห่างจากระยะระเบิดของถุงลมน้อยเกินไป ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกามีรายงานว่าเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี เสียชีวิตจากถุงลมในอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรงกว่า 200 ราย เกิดจากการบาดเจ็บของสมองเป็นหลัก ดังนั้น เด็กจึงควรมีการเสริมที่นั่งนิรภัยเป็นการเฉพาะ โดยทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี ต้องใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับทารก จัดวางที่เบาะหลังและหันหน้าไปทางด้านหลังรถเพื่อลดโอกาสความเสี่ยงต่อการ เกิดกระดูกต้นคอหักจากการสะบัดของศีรษะเมื่อเกิดการชนหรือเบรกรุนแรง เด็กอายุ 1-3 ปี ให้ใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเล็ก หันหน้าไปทางด้านหน้ารถตามปกติ และใช้ที่เบาะหลังเท่านั้น เด็กอายุ 4-7 ปี ใช้ที่นั่งเสริม ไม่มีเข็มขัดนิรภัยในตัว ใช้เข็มขัดนิรภัยรถยนต์เป็นอุปกรณ์ยึดเหนี่ยว และอยู่บริเวณเบาะหลังเท่านั้น เด็กอายุ 8-12 ปี ควรใช้ที่นั่งเสริมจนกว่าจะสามารถใช้เข็มขัดนิรภัยได้พอดี     ถึงเวลาผู้ประกันตนแสดงพลัง ทวงสิทธิรักษาพยาบาลมาตรฐานเดียวรวมพลังผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมร่วมกันทำจดหมายถึงสำนักงานประกันสังคมเพื่อขอเงินคืน แก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมของระบบประกันสุขภาพ ซึ่งผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินสมทบเพื่อรับสิทธิในการรักษาพยาบาล ขณะที่ผู้ใช้บัตรทองหรือสิทธิข้าราชการไม่ต้องจ่ายเงินสบทบ นางสาวสุภัทรา นาคะผิว ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ในฐานะกรรมการชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน ให้ข้อมูลว่า การจ่ายเงินสมทบเพื่อสุขภาพในระบบประกันสังคมนั้นขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในมาตรา  30 , 51 และ 80 (2) และกฎหมายหลักประกันสุขภาพเนื่องจากสิทธิสุขภาพเป็นสิทธิที่รับรองตามรัฐธรรมนูญและปัจจุบันกำหนดให้ใช้บริการโดยไม่ต้องร่วมจ่าย ดังนั้นผู้ประกันตนต้องได้รับบริการตามสิทธิเช่นเดียวกัน  นายนิมิตร์ เทียนอุดม เลขาธิการชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน กล่าวเชิญชวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมทุกคน แสดงพลังทวงคืนสิทธิ์ ด้วยการให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมทำจดหมายทวงเงินสมทบค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายทุกเดือนโดยหักประมาณร้อยละ 5 ของเงินเดือน ซึ่งผู้ประกันตนเป็นกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายขณะที่กลุ่มอาชีพอื่นๆรัฐบาลเป็นผู้ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล โดยส่งจดหมายไปถึงสำนักงานประกันสังคมในแต่ละพื้นที่เพื่อทวงเงินที่ต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการที่ให้ทวงเงินตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน เพราะเป็นวันที่รัฐบาลประกาศยกเลิกไม่ต้องจ่าย 30 บาทสำหรับบัตรทองในการรักษาโรค โดยชมรม ฯ ได้จัดทำจดหมายสำเร็จรูปให้สมาชิกชมรมและผู้ประกันตน ซึ่งสามารถดาวน์โหลดจาก Facebook ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน หรือ www.consumerthai.org  

อ่านเพิ่มเติม >