ฉบับที่ 126 “จะเท่ทั้งที ต้องป้องกัน UV ด้วยนะ”

 

ผลทดสอบการป้องกันรังสี UV ในแว่นกันแดด

เมื่อพูดถึง “แว่นกันแดด” สำหรับบางคนอาจให้ค่าว่าเป็นเพียงแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง หรืออาจใส่ไว้เพื่อบ่งบอกรสนิยม เชื่อว่าใส่แล้วจะดูเท่ความหล่อความน่ารักจะเพิ่มขึ้น บางคนก็อาจใช้แว่นกันแดดเพื่อปกปิดอำพรางความรู้สึกทางสายตา กลัวว่าคนอื่นมองตาแล้วจะรู้ความคิดที่อยู่ในใจ หรืออาจใส่เพื่อปลอมตัวแบบที่เคยเห็นบ่อยๆ ในละครทีวี ที่แย่กว่านั้นบางคนก็ใช้แว่นกันแดดแทนที่คาดผม ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดแต่ก็ดูเป็นการใช้งานที่ผิดหลักการไปสักหน่อย

 

เพราะความจริงแล้วแว่นกันแดดถือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเรามาก เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยปกป้องดวงตาของเราจากอันตรายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต (UV) ซึ่งเป็นวายร้ายคอยทำลายดวงตาของเรา ทั้งส่งผลเสียต่อจอประสาทตา และเป็นสาเหตุของโรคต้อหิน ดังนั้นการสวมแว่นกันแดดในช่วงเวลาที่ตาของเราต้องปะทะกับแสงแดดจ้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างมาก

 

แว่นกันแดดที่ดีต้องป้องกันรังสี UV ไม่ใช่มีแค่ความเท่

หน้าที่หลักของแว่นกันแดด คือการช่วยป้องกันอันตรายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต (รังสี UV) โดยปกติแล้วแว่นกันแดดที่ดีต้องสามารถป้องกันรังสี ได้ไม่น้อยกว่า 95% (มาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าในสหรัฐฯ The American National Standards Institute (ANSI)) นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันแสงที่เกิดจากการสะท้อนบนผิววัตถุที่มีความมันวาว เพราะแสงประเภทนี้ก็ทำอันตรายกับดวงตาของเราด้วยเช่นกัน อาจทำให้ตาพร่ามั่วชั่วขณะหนึ่ง

 

รังสี UV เป็นรังสีที่มองไม่เห็นและไม่สามารถรับรู้หรือรู้สึกได้ ซึ่งรังสี UV สามารถทำอันตรายกับดวงตาของเรา ทำให้จอประสาทตาเสื่อมและเป็นสาเหตุของโรคต้อกระจก ต้อหิน ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นของเราแย่ลง และอาจรุนแรงถึงขึ้นทำให้ตาบอดสนิทได้เลยทีเดียว

 

รังสี UV ถือเป็นภัยใกล้ตัวที่หลายคนอาจจะมองข้าม เพราะชีวิตประจำวันของเราต้องเสี่ยงกับรังสี UV ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่ต้องทำงานการกลางแดดจ้า คนที่ต้องขับรถ และคนที่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง

 

นอกจากนี้แว่นกันแดดยังใช้สวมเพื่อปกปิดความผิดปกติของดวงตา ป้องกันดวงตาของเราจากฝุ่นละอองและลมด้วย เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ถ้าเราไม่มีหมวก หรือร่ม เมื่อต้องออกเผชิญแดดจ้า เราควรต้องใส่แว่นกันแดด เพื่อช่วยดูแลปกป้องรักษาดวงตาให้อยู่กับเราไปนานๆ

 

เรื่องควรรู้

-สภาพอากาศ ฟ้าที่มีเมฆหรือหมอกไม่สามารถป้องกันรังสี UV ได้


-ยิ่งอยู่กลางแดดนานก็ยิ่งได้รับรังสี UV มากตามไปด้วย

 

-ช่วงเวลาที่แสงแดดมีรังสี UV มากคือประมาณ 10.00 น. – 16.00 น. มีมากที่สุดคือช่วงเที่ยงวัน

 

-ประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร (อย่างเช่นประเทศไทยของเรา) มีโอกาสได้รับรังสี UV มากกว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลก

 

-ยิ่งอยู่ที่สูงโอกาสที่เสี่ยงต่ออันตรายของแสง UV ก็ยิ่งมีมาก

 

-ความเข้มของสีเลนส์แว่นตากันแดดไม่ได้มีผลกับประสิทธิภาพในการการป้องกันรังสี UV

 

-แว่นตากันแดดที่ไม่ได้มาตรฐานไม่มีการเคลือบสารกรองหรือป้องกันรังสี UV นอกจากไม่ช่วยลดอันตรายของรังสี UV แล้ว กลับจะยิ่งทำอันตรายกับดวงตาของเรา เพราะเมื่ออยู่ในที่มืดหรือที่แสงสลัวรูม่านตาของเราจะขยายตัวมากขึ้น ยิ่งทำให้รังสี UV เข้าสู่นัยน์ตาเรามากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงแว่นที่มีการหักเหของแสงที่ไม่เหมาะสม เมื่อใช้แล้วเกิดมุมมองภาพที่บิดเบี้ยวหรือผิดเพี้ยนไปจากปกติ ซึ่งทำให้ตาของเราทำงานหนัก อาจทำให้ปวดตาหรือเวียนหัว

 

-แว่นกันแดดชนิดโพลารอยด์ (polaroid) มีคุณสมบัติช่วยป้องกันแสงที่สะท้อนผ่านเลนส์ ไม่ทำให้สายตาพร่ามั่วและช่วยตัดแสงที่ทำมุม 45 องศาที่เข้ามากระทบ ช่วยตัดแสงไม่ให้เห็นภาพลวงตาที่เกิดจากการหักเหของแสงบนพื้นถนนและช่วยลดความเข้มของแสง ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อตาและประสาทตาเกิดอาการอ่อนล้า

 

-แต่แว่นตากันแดดถึงดียังไง จะได้รับการรับรองว่ากันแสงหรือรังสี UV ได้มากสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถป้องกันอันตรายจากการมองที่ดวงอาทิตย์โดยตรง

 

-การใส่หมวกที่มีปีกช่วยบังทิศทางของแสงที่เข้าหาดวงตา ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอันตรายของรังสี UV ต่อดวงตาของเราได้

 

-แว่นสายตาใสๆ ธรรมดา ก็สามารถป้องกันรังสี UV ได้ด้วยเช่นกัน หากมีการรับรองจากผู้ผลิตหรือผู้ขายว่าป้องกันได้

 

ฉลาดซื้อแนะนำวิธีเลือกซื้อแว่นกันแดด

การจะทดสอบเรื่องของประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UV ในแว่นตากันแดด อาจเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับผู้บริโภคอย่างเรา แต่ก็ใช่ว่าเราจะมองข้ามเรื่องคุณภาพของแว่นกันแดดจนสนใจแต่เรื่องรูปทรงความสวยงามเท่านั้น เพราะยังมีวิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อแว่นกันแดดให้ได้คุณภาพที่คุ้มค่า

 

1.ถ้าหากแว่นกันแดดมีการระบุข้อความว่า “400 UV Protection” ก็น่าจะพอเชื่อใจได้ระดับหนึ่งว่า แว่นกันแดดที่เราจะซื้อมีการป้องกันรังสี UV ที่ระดับสูง (ตัวเลข 400 มาจาก 400 นาโนเมตร ซึ่งเป็นระยะปลอดภัยของรัสี UV หรือเป็นระยะที่ป้องกันรังสี UV ได้ 100% ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ใน ยุโรป อเมริกา และอีกหลายๆ ประเทศ)

 

2.ถ้ามีสัญลักษ์ CE ซึ่งเป็นตรารับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากยุโรป ก็ถือเป็นการการันตีคุณภาพได้เช่นกัน

 

3.ให้ลองมองแนวที่เป็นเส้นตรงผ่านเลนส์ข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นให้ขยับแว่นเลื่อนเข้าเลื่อนออกช้าๆ เลนส์ที่ดีต้องไม่ทำให้เส้นตรงที่มอง คดหรือเบี้ยวขณะขยับแว่น

 

4.รูปทรงของแว่นต้องเหมาะกับรูปหน้าของเรา ไม่คับเกินไปจนอึดอัดหรือเจ็บที่ขมับ และก็ต้องไม่หลวมมากจนเกินไปจนตกลงมาอยู่ที่ปลายจมูกทำให้ต้องเลื่อนสายตาลงมาเวลามอง

 

5.เวลาสวมแว่นกันแดดแล้วต้องให้แสงแดดลอดเข้ามาหาดวงตาน้อยที่สุด ทั้งจากด้านบนและด้านล่าง แต่ก็ไม่ถึงกับใกล้ขนาดใส่แล้วเลนส์มาชิดติดกับขนตา

 

6.แม้เรื่องราคาและยี่ห้อของแว่นจะไม่ใช่ตัวการันตีเรื่องคุณภาพในการป้องกันรังสี แต่การซื้อกับร้านที่มีที่อยู่แน่นอน ตัวแว่นกันแดดมีรายละเอียดข้อมูลที่อยู่ผู้ผลิต มีใบรับประกัน ก็น่าจะทำให้ผู้ใช้อย่างเรามั่นใจคุณภาพได้มากกว่า

 

7.ถ้าหากมีการรับประกันก็ต้องศึกษาให้ดี ยิ่งเป็นแบบที่ราคาแพงยิ่งต้องศึกษาและสอบถามจากร้านค้าหรือพนักงานขาย ดูว่ารับประกันกี่ปี อะไรบ้างที่อยู่ในข่ายรับประกันและไม่รับประกัน เช่น ถ้าซื้อมาใช้แล้วเกิดรอยขีดข่วนที่เลนส์สามารถเปลี่ยนหรือซ่อมให้ฟรีหรือเปล่า

 

8.อย่าลืมสอบถามกับพนักงานที่เราซื้อแว่นตากันแดดว่า แว่นที่เราซื้อต้องดูแลรักษายังไง มีขอควรระวังในการใช้อะไรบ้าง

 

9.แว่นกันแดดเองก็มีกำหนดอายุการใช้งานด้วยเช่นกัน (ซึ่งปกติจะอยู่ที่ 2 – 3 ปี) เพราะฉะนั้นเวลาซื้อก็ต้องอย่าลืมศึกษาข้อมูลวันที่ผลิตจากคู่มือหรือใบรับรอง หรือไม่ก็สอบถามจากพนักงานขาย

--------------------------------------------------------------------------------

สีของเลนส์แว่นกันแดดที่ควรเลือกใช้คือ แดง เทา เขียว น้ำตาล เพราะสีที่เห็นจะเพี้ยนน้อย ซึ่งจะปลอดภัยเวลาต้องสังเกตสัญญาณไฟจราจรขณะขับรถ เลนส์ที่ออกโทนสีเทาและเขียว เป็นเลนส์ที่ให้การมองเห็นเป็นสีจริง ส่วนโทนสีน้ำตาล จะช่วยเพิ่มความคมชัดและการรับรู้ภาพแบบตื้นลึก ซึ่งเหมาะกับนักกีฬา นักบิน คนที่ต้องขับรถเป็นประจำ


สำหรับคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ การใส่แว่นกันแดดก็ช่วยถนอมสายตาและเพิ่มความคมชัดในการมองได้ด้วยเช่นกัน แต่ต้องเลือกแว่นกันแดดเลนส์สีอ่อนๆ เพราะเมื่อใส่แล้วจะช่วยทำให้การมองเห็นดูนุ่มนวลขึ้น

--------------------------------------------------------------------------------

 

อย่าลืมซื้อแว่นกันแดดป้องกัน UV ให้กับเด็กๆ ด้วยนะ

รังสี UV ไม่เป็นมิตรกับใครทั้งนั้นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ แถมเด็กๆ ยังมีโอกาสเสี่ยงอันตรายจากรังสี UV มากกว่าผู้ใหญ่ เพราะดวงตาของเด็กๆ จะเปิดรับการมองเห็นได้มากกว่าผู้ใหญ่ เลนส์แก้วตาก็ยังมีความชัดเจนกว่า จึงเป็นเรื่องที่พ่อ – แม่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้ามสุขภาพตาของเด็กๆ อย่าปล่อยให้ลูกของเราต้องเผชิญแสงจ้าโดยไม่ได้สวมแว่นกันแดด และที่สำคัญเวลาเลือกซื้อแว่นกันแดดให้กับเด็กๆ ก็ต้องดูที่ประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UV เป็นอันดับแรก ไม่ใช่ดูแต่รูปลักษณ์ภายนอก เลือกซื้อแต่แบบที่น่ารักกุ๊กกิ๊กซึ่งอาจกันรังสี UV ไม่ได้

 

ผลทดสอบการป้องกันรังสี UV ในแว่นกันแดด

Vans

ราคา 700 บาท

ค่าการผ่านของแสง                     17%

ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          3.7%

ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0%

ค่าการสะท้อนรัง UV                    3.7%

 

 

Ray Ban

ราคา 6,000 บาท

ค่าการผ่านของแสง                     14.5%

ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.3%

ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0%

ค่าการสะท้อนรัง UV                    4.6%

 

 

ไม่มียี่ห้อ (1)

ราคา 60 บาท

ค่าการผ่านของแสง                     22.5%

ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          3.4%

ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0%

ค่าการสะท้อนรัง UV                    3.6%

 

 

ไม่มียี่ห้อ (2)

ราคา 39 บาท

ค่าการผ่านของแสง                     6.0%

ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          3.6%

ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0.2%

ค่าการสะท้อนรัง UV                    3.8%

 

 

LE Club

ราคา 590 บาท

ค่าการผ่านของแสง                     11.8%

ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.3%

ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0%

ค่าการสะท้อนรัง UV                    4.6%

 

 

Action Eyewear (1)

ราคา 299 บาท

ค่าการผ่านของแสง                     13.1%

ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.7%

ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0%

ค่าการสะท้อนรัง UV                    5%

 

 

Estoffi

ราคา 3,000 บาท

ค่าการผ่านของแสง                     15.4%

ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.5%

ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0%

ค่าการสะท้อนรัง UV                    4.7%

 

 

Action Eyewear (2)

ราคา 199 บาท

ค่าการผ่านของแสง                     20.2%

ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          3.9%

ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0%

ค่าการสะท้อนรัง UV                    4.2%

 

 

Action Polarised

ราคา 399 บาท

ค่าการผ่านของแสง                     9.4%

ค่าการสะท้อนแสงภายนอก          4.6%

ค่าการส่งผ่านรังสี UV                  0%

ค่าการสะท้อนรัง UV                    5.1%

 

*********************************************************************************

ผลการทดสอบ

เมื่อราคาไม่ใช่ตัวการันตีประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UV

ฉลาดซื้อได้สุ่มซื้อตัวอย่างแว่นกันแดดจำนวน 9 ตัวอย่าง โดยเน้นที่ความหลากหลายของราคา เพื่อจะดูว่าราคามีผลกับประสิทธิภาพการป้องกันการส่งผ่านของรังสี UV หรือไม่ ซึ่งผลที่ออกมาถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะแว่นกันแดดทุกตัวอย่างที่เราส่งให้ทางกรมวิทยาศาสตร์บริการทดสอบนั้น มีค่าการส่งผ่านรังสี UV ที่ 0% คือไม่สามารถผ่านได้เลย เท่ากับว่าสามารถป้องกันรังสี UV ได้ 100% มีเพียง 1 ตัวอย่างเท่านั้นที่ยังมีการส่งผ่านของรังสี UV อยู่บ้างคือ ตัวอย่างที่ไม่มียี่ห้อซึ่งมีราคา 39 บาท ที่รูปร่างลักษณะออกจะเป็นแว่นกันแดดเฉพาะโอกาสไว้ใส่สนุกสนานดูเป็นแว่นแฟชั่นมากกว่า โดยรังสี UV สามารถส่งผ่านได้ 0.2% ซึ่งก็ถือว่าน้อยมาก

 

จากเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าในสหรัฐฯ The American National Standards Institute (ANSI) รังสี UVB ซึ่งเป็นรังสีระยะสั้น 280 – 315 นาโนเมตร ค่าการส่งผ่านไม่ควรเกิน 0.1% ส่วนรังสี UVA ที่ระยะรังสีอยู่ที่ 315 – 380 นาโนเมตร ค่าการส่งผ่านไม่ควรเกิน 0.5% ซึ่งระยะปลอดภัยสูงสุดของรังสี UV อยู่ที่ 400 นาโนเมตร ค่าการส่งผ่านจะเท่ากับ 0% แม้การทดสอบของเราไม่ได้มีการประเภทของรังสี แต่การทดสอบก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจเพราะเกือบทั้งหมดมีค่าการส่งผ่านของรังสี UV ที่ 0%

 

ผลทดสอบนี้สามารถบอกเราได้ว่าราคาไม่มีผลกับเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV จะถูกจะแพงก็ป้องกันรังสี UV ได้เหมือนกัน ส่วนเรื่องการทดสอบอื่นๆ ทั้งค่าการผ่านของแสง ค่าการสะท้อนของแสง และค่าการสะท้องรังสี UV ก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันทุกตัวอย่าง

 

แต่การทดสอบนี้เป็นเพียงแค่ส่วนของการผ่านของแสงและรังสี UV เท่านั้น ซึ่งแว่นกันแดดที่ดียังมีต้องคุณสมบัติอื่นๆ ประกอบอีกหลายอย่าง ทั้งความคงทนของเลนส์ กรอบแว่น ขาแว่น ส่วนข้อต่อต่างๆ วัสดุที่ผลิต รวมทั้งเรื่องการออกแบบ และบริการหลังการขาย ซึ่งเรื่องพวกนี้แหละที่มาเป็นเงื่อนไขเรื่องของราคา

แหล่งข้อมูล: กองบรรณาธิการ

150 point

LINE it!





  เรื่องเกี่ยวข้อง: นิตยสารออนไลน์ แว่นตากันแดด ทดสอบ คุณสมบัติ ประสิทธิภาพ

ฉบับที่ 277 ผลวิเคราะห์การสำรวจฉลากเนื้อหมูสด-เนื้อไก่สด และการโฆษณา ณ สถานที่ขาย

        เมื่อเดือนกันยายน 2566 นิตยสารฉลาดซื้อได้สุ่มเก็บตัวอย่างเนื้อหมู เนื้อไก่ ที่มีการแสดงฉลากระบุคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ว่า เป็นสินค้าเกรดพรีเมียม กล่าวอ้างว่า ไม่มีสารเร่งการเจริญเติบโต ไม่มีการตกค้างของยาปฏิชีวนะ เป็นต้น ตอนนั้นได้ทำการเปรียบเทียบราคาพบว่า แพงกว่าราคาปกติสองเท่า แต่ยังไม่ได้ทำการวิเคราะห์ตัวฉลากของสินค้าว่า มีจุดบกพร่องหรือข้อมูลที่อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้บริโภคหรือไม่ ทางนิตยสารฉลาดซื้อจึงได้ร่วมกับนักวิชาการด้านเภสัชกรรมและนักกิจกรรมที่ปฏิบัติการขับเคลื่อนเกี่ยวกับปัญหาเรื่อง การดื้อยาปฏิชีวนะ  ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยง ที่มีความหมายแตกต่างจากคำว่า ปลอดจากยาปฏิชีวนะ         อ.ภก.ชินวัจน์ แสงอังศุมาลี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม  ทำการวิเคราะห์ประเด็นการใช้ยาปฏิชีวนะ และสารอื่นๆ จากฉลากผลิตภัณฑ์ที่นิตยสารฉลาดซื้อเก็บตัวอย่างเมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว ได้ให้ข้อสังเกต ดังนี้         - มีความหลากหลายของการแสดงฉลาก (อาจสะท้อนว่าไม่มีการกำกับดูแลให้มีรูปแบบเดียวกันหรือไม่)         - การแสดงฉลากในเรื่องยาปฏิชีวนะของเนื้อหมูและเนื้อไก่ พบว่าเนื้อหมูและไก่เกรดพรีเมียม 6 ตัวอย่าง (ร้อยละ 42.9) มีการแสดงข้อความในฉลากที่สื่อว่าไม่ใช้เลยตลอดการเลี้ยง และ 6 ตัวอย่าง (ร้อยละ 42.9) ที่ฉลากมีการกล่าวอ้างว่าไม่เจอโดยใช้ข้อความหลายรูปแบบ เช่น ‘ปลอดยาปฏิชีวนะ’ แตกต่างจาก ‘เลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ’  ในขณะที่เนื้อหมูและเนื้อไก่แบบธรรม 2 ตัวอย่าง (ร้อยละ 14.3) ไม่ได้ระบุสาระสำคัญเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ         - บางยี่ห้อเน้นที่รางวัลที่ได้รับ ทำให้ผู้บริโภคสนใจคำว่าชนะรางวัล มากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ         - ข้อความคำแนะนำเป็นภาษาอังกฤษ อ่านยาก ควรเป็นภาษาไทยเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจ         ประเด็นที่สำคัญที่เกี่ยวกับเรื่องยาปฏิชีวนะ มีการใช้คำสองความหมายคือ “เลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ (RAISED WITHOUT ANTIBIOTICS)” ซึ่งแตกต่างจากคำว่า “ปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะตกค้าง (ANTIBIOTICS CONTROLLED หรือ ANTIBIOTICS FREE)” มีการใช้คำกล่าวอ้างที่มีรูปแบบหลากหลายอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด เช่น มีการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยง แต่หยุดการใช้ก่อนเชือดจนไม่มีการตกค้างอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดูเลยได้ ควรมีการกำหนดมาตรฐานและการตรวจสอบก่อนอนุญาตให้ใช้คำดังกล่าว และควรมีการกำหนดให้ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยง ทั้งในฉลากทั้งเนื้อสัตว์แบบพรีเมียม และไม่พรีเมียม รวมทั้งระบุถึงมาตรฐานฟาร์มที่เป็นที่มาของเนื้อสัตว์ดังกล่าว ใครดูแลฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ไม่แปรรูป         ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เภสัชกร ปรุฬห์ รุจนธำรงค์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ข้อสังเกตจากฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ไม่แปรรูปว่า “ประเทศไทยมีการกำหนดฉลากผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ประเภทลูกชิ้น ไส้กรอก แหนม หมูยอ กุนเชียง และผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการผลิตทำนองเดียวกันนี้ที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่าย ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 243) พ.ศ. 2544 เรื่อง ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ และมีการกำหนดฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 367) พ.ศ. 2557 เรื่อง การแสดงฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ แต่ประกาศนี้ก็ไม่ใช้กับอาหารสดที่ไม่ผ่านกรรมวิธีใดๆ หรืออาหารสดที่ผ่านกรรมวิธีการแกะ ชำแหละ ตัดแต่ง หรือวิธีการอื่นใดเพื่อลดขนาด ซึ่งอาจแช่เย็นหรือไม่แช่เย็นและบรรจุในภาชนะที่สามารถมองเห็นสภาพของอาหารสด ฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ไม่แปรรูปขาดการควบคุม         ดังนั้นจึงส่งผลให้ผลการสำรวจฉลากพบการแสดงฉลากที่หลากหลาย ขาดความชัดเจน ทั้งขนาดตัวอักษร รูปแบบการแสดงข้อความ ตลอดจนความชัดเจนของการสื่อความหมายของข้อความ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดได้ จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าบทบาทหน้าที่ในการกำหนดมาตรการด้านฉลากดังกล่าวควรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานใด ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือหน่วยงานอื่น ฉลากมีปัญหา โฆษณาก็ไม่ต่าง         การสำรวจฉลากเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ทำให้เกิดข้อสงสัยเพิ่มเติมในเรื่องของการโฆษณา ณ จุดขาย ดังนั้นทีมงานนิตยสารฉลาดซื้อจึงได้ลงสำรวจจุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 44 ร้าน มีทั้งร้านตั้งเดี่ยวนอกห้างสรรพสินค้า ร้านค้าในตลาด ร้านสะดวกซื้อ แผงในตลาดสด เมื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยเทียบกับหลักเกณฑ์การโฆษณาอาหาร พบการโฆษณาที่เข้าข่ายการแสดงคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหาร โดยมีการแจ้งคุณภาพของสินค้า พบ 16 ร้าน (คิดเป็นร้อยละ 36.3) ซึ่งรูปแบบการแจ้งคุณภาพอาจจะกล่าวเพียงประเด็นเดียวหรือหลายประเด็นได้ จากการสำรวจร้านขายได้กล่าวถึงความสะอาด 8 ร้าน, สด 6 ร้าน, คุณภาพ 4 ร้าน, อนามัย 2 ร้าน, ชุ่มฉ่ำ 2 ร้าน และพบคำว่าพรีเมี่ยม 1 ร้าน และเลี้ยงด้วยโปรไบโอติกส์อย่างละ 1 ร้าน         การอนุญาตให้สินค้าแต่ละชื่อการค้าโฆษณาตัวเอง พบ 8 ร้าน  (คิดเป็นร้อยละ 18.18) นอกจากนี้ยังพบการโฆษณาว่าปลอดภัย พบ 6 ร้าน (คิดเป็นร้อยละ 13.63) การโฆษณาว่าปลอดสารเร่งเนื้อแดง พบ 4 ร้าน (คิดเป็นร้อยละ 9.09) การโฆษณาว่าไม่ใช้ฮอร์โมน พบ 2 ร้าน (คิดเป็นร้อยละ 4.55) การโฆษณาสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK พบ 16 ร้าน (คิดเป็นร้อยละ 36.3) แต่ร้านที่มีสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK มีแจ้งคุณภาพของสินค้าเพียง 8 ร้านเท่านั้น การแจ้งคุณค่าทางโภชนาการของเนื้อสัตว์ที่ขาย พบเพียง 1 ร้าน และการกล่าวอ้างอื่น เช่น การกล่าวอ้างด้านกระบวนการเลี้ยงดูที่เป็นธรรมชาติ พบคำว่า “100% organic” การรับรองตนเอง พบคำรับรองประกันคุณภาพในบริษัท “มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ” “วงจรคุณภาพและความสดของแผนกเนื้อสัตว์”         จากข้อมูลการสำรวจการโฆษณา ณ จุดขายข้างต้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เภสัชกร ปรุฬห์ รุจนธำรงค์ วิเคราะห์ว่า ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 นั้นกำหนดให้การแสดงคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหาร ต้องได้รับอนุญาตก่อนการโฆษณา ซึ่งหากพิจารณาตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง หลักเกณฑ์การโฆษณาอาหาร พ.ศ. 2564 การใช้คำว่า “สด” “ธรรมชาติ” “ผลิตภัณฑ์อินทรีย์” “ออร์แกนิก” “อนามัย” “ถูกสุขอนามัย” “สะอาด” “คุณภาพ” เข้าข่ายบัญชีหมายเลข 3 ของประกาศนี้ ซึ่งเป็นลักษณะการโฆษณาที่เข้าข่ายลักษณะเป็นคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารที่ต้องยื่นคำขออนุญาตโฆษณาอาหาร หากทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาถือว่าผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ไม่แปรรูปเป็นอาหารที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 การกล่าวอ้างในลักษณะนี้ก็ควรจะต้องมีการตรวจสอบโฆษณาทั้งเรื่องการขออนุญาต หรืออย่างน้อยก็ควรมีบทบาทในการตรวจสอบสิ่งที่กล่าวอ้างนั้นเป็นความจริงหรือไม่         “หากมองในมุมกฎหมายการโฆษณาลักษณะนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตก็เป็นปัญหาด้านกฎหมายได้ หากมองในมุมของผู้บริโภคก็ต้องการทราบว่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายเชื่อถือหรือไว้วางใจได้หรือไม่ หากไม่ทราบข้อมูลจากผู้ขายเลยก็อาจขาดข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ หากผู้ขายให้ข้อมูลมา แต่ไม่สามารถตรวจสอบหรือยืนยันได้ว่าเรื่องใดจริงหรือเท็จผู้บริโภคก็ถูกเอาเปรียบได้เช่นกัน”         ด้าน ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ฉลากมีความหลากหลายของการนำเสนอ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้อง คำว่า’ ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยง’ ที่มีความหมายแตกต่างจากคำว่า ’ปลอดจากยาปฏิชีวนะ’ นอกจากนี้ยังพบความแตกต่างของการใช้คำต่าง ๆ เช่น วันหมดอายุ มีขนาดเล็กมาก รวมถึงการระบุสรรพคุณของเนื้อสัตว์ จากการวิเคราะห์กฎหมาย ระเบียบ กติกา อาจมีช่องว่างของการควบคุมฉลากเนื้อสัตว์ดิบประเภทหมูและไก่ เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์แปรรูปแปรรูปหรือไม่ จึงมีช่องว่างของการใช้คำโฆษณาผลิตภัณฑ์ เพื่อทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ เช่นคำว่า ปศุสัตว์  OK หมายถึงอะไรบ้าง การเคลมคุณสมบัติบนฉลากผลิตภัณฑ์ หรือ การแสดง ณ จุดจำหน่ายนี้ มีหน่วยงานใดมีหน้าที่ตรวจสอบบ้าง มีหน่วยงานใดทำหน้าที่ควบคุม การกำหนดราคาสินค้าพรีเมียม มาตรฐานต่างๆข้อเสนอเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค         1. ควรมีเจ้าภาพรับผิดชอบในการกำหนดลักษณะฉลากเนื้อสัตว์สดและการโฆษณาของร้านขายเนื้อสัตว์ ซึ่งอาจจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค         2 .ควรมีข้อกำหนดในการใช้คำให้ชัดเจน เนื่องจากพบการใช้คำโฆษณานี้มีความหลากหลาย มีทั้งการกล่าวอ้างด้านกระบวนการเลี้ยงดูที่เป็นธรรมชาติ และการกล่าวอ้างด้านไม่พบสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจที่แตกต่างกันได้ เช่น คำว่า “ปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ” อาจสื่อความหมายได้ตั้งแต่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู หรือมีระยะหยุดยาก่อนการฆ่า หรือมีการใช้ยาแต่มีเนื้อสัตว์พบยาปฏิชีวนะตกค้างไม่เกินที่กำหนดในกฎหมาย จึงควรมีข้อกำหนดในการใช้คำให้ชัดเจน เช่น “Raised without antibiotics” (ไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะทุกขั้นตอนของการเลี้ยง)         3. ควรมีหน่วยงานที่ติดตามและตรวจสอบการกล่าวอ้าง เพื่อไม่ให้เกิดการกล่าวอ้างเกินจริง ซึ่งจูงใจให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ และการโฆษณาในลักษณะดังกล่าวอาจมีผลทำให้ราคาสินค้าเกินกว่าความเป็นจริงได้ โดยเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เข้ามาตรวจสอบการโฆษณาดังกล่าว        4. มีระบบฐานข้อมูลการตรวจสอบฉลากของสินค้า

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 277 สำรวจฉลากโภชนาการ “นมโปรตีนสูง”

        เมื่อ นมโปรตีนสูง ถูกสื่อสารเชื่อมโยงผ่านกลุ่มคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ คนที่ต้องการลดน้ำหนัก รักษามวลกล้ามเนื้อ หรือกลุ่มคนที่มองหาเครื่องดื่มมาทดแทนมื้ออาหาร ว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก มีโปรตีนสูงกว่านมธรรมดาหลายเท่า หาซื้อง่าย มีหลายรสชาติ อร่อย ดื่มได้ทันที และอิ่มท้องนาน ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้บริโภคที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันนี้หลายคนตัดสินใจซื้อมาดื่มตามแบบไม่ลังเล โดยบางทีก็มองข้ามเรื่องความจำเป็น ความปลอดภัย และความคุ้มค่าไป         นิตยสารฉลาดซื้อ ได้สุ่มเลือกนมโปรตีนสูง จำนวน 8 ตัวอย่าง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มาสำรวจฉลากและส่วนประกอบหลักเพื่อเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการและราคา สำหรับเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคเลือกได้ว่ายี่ห้อไหนมีโปรตีนสูงกว่ากัน หรือมีคุณลักษณะอื่นๆ ที่ตรงใจคุณ เช่น พลังงานสูง น้ำตาลน้อย ไขมันน้อย โซเดียมต่ำ และแคลเซียมสูง เป็นต้น ส่วนรสชาติไหนอร่อยคงต้องลองชิมกันเองแล้ว  ผลสำรวจ         -ทั้งหมด 8 ตัวอย่าง มีโปรตีนจากนมเป็นหลัก  5 ตัวอย่าง ได้แก่ ยี่ห้อดัชมิลล์ นมคืนรูปปรุงแต่ง พร่องมันเนย พาสเจอร์ไรส์ โปรตีนสูง กลิ่นอัลมอนด์ สูตรเวย์พลัส ไม่เติมน้ำตาลทราย, ฮูเร่ ผลิตภัณฑ์นมชนิดพร่องมันเนย พาสเจอร์ไรส์ โปรตีนสูง รสช็อกโกแลต สูตรปราศจากน้ำตาลแลคโตส, แม็กซิมัส น้ำโกโก้ ผสมโปรตีนนม, เมจิ ผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยพาสเจอร์ไรส์ โปรตีนสูง รสช็อกโกแลต สูตรเวย์ และมูฟ น้ำโกโก้ 20% ผสมโปรตีนนม ปราศจากน้ำตาลแลคโตส ส่วนอีก 3 ตัวอย่างมีโปรตีนจากพืชเป็นหลัก ได้แก่ ยี่ห้อออลลี่ เครื่องดื่มผสมโปรตีนจากพืช(ถั่วเหลือง ข้าวและถั่วลันเตา)ใยอาหารจากอินนูลิน วิตามินรวม และแร่ธาตุรวม รสโกโก้, โทฟุซัง นมถั่วเหลือง สูตรโปรตีนสูง รสช็อกโกแลต และอัพ เครื่องดื่มโปรตีนไอโซเลทจากพืช กลิ่นช็อกโกแลตฮาเซลนัท         -ทั้ง 8 ตัวอย่าง มีปริมาณต่อ 1 ขวด ตั้งแต่ 310 – 360 มิลลิลิตร และมีราคาขายปลีกตั้งแต่ 40 – 59 บาทต่อขวด         -มี 4 ตัวอย่างที่ระบุว่า มีเวย์โปรตีนเข้มข้น ในส่วนประกอบ ได้แก่ ยี่ห้อดัชมิลล์ (2.4%), ฮูเร่ (0.5%), แม็กซิมัส (ไฮโดรไลท์ 0.7%) และเมจิ (10.7%) เมื่อพิจารณาคุณค่าทางโภชนาการต่อ 1 หน่วยบริโภคที่แนะนำ (1 ขวด) พบว่า        -ยี่ห้ออัพ มีโปรตีนมากที่สุด คือ 36 กรัม ส่วนยี่ห้อออลลี่มีน้อยที่สุด คือ 25 กรัม        -ยี่ห้อฮูเร่ มีพลังงานมากที่สุด คือ 230 กิโลแคลลอรี ส่วนยี่ห้อดัชมิลล์และเมจิ มีน้อยที่สุด คือ 170 กิโลแคลลอรี        -ยี่ห้อโทฟุซัง มีไขมันมากที่สุด คือ 7 กรัม ส่วนยี่ห้อเมจิและมูฟมีน้อยที่สุด คือ 2 กรัม        -ยี่ห้อดัชมิลล์ มีน้ำตาลมากที่สุด คือ 10 กรัม ส่วนยี่ห้อโทฟุซังและอัพมีน้อยที่สุด คือ

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 275 สำรวจฉลากดาร์กช็อกโกแลต

        ฉลาดซื้อฉบับนี้จะพามาสำรวจฉลากกับภารกิจเตือนภัย ”ขมซ่อนหวาน” ในดาร์กช็อกโกแลตกัน         ดาร์กช็อกโกแลต (Dark Chocolate) จัดเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟูดที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะกินแล้วมีประโยชน์มาก ช่วยคลายเครียด อารมณ์ดีมีความสุข และยังอาจรวมถึงการป้องกันโรคต่างๆ เช่น อัลไซเมอร์ โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น แต่ดาร์กช็อกโกแลตที่ดีต่อสุขภาพควรมีเปอร์เซ็นต์โกโก้ทั้งหมดสูงกว่า 70% ขึ้นไป ซึ่งจะมีรสขม หลายคนลองชิมแล้วอาจรู้สึกว่ากินยาก จึงไปเลือกที่ผสมน้ำตาลและนมเพิ่มรสชาติให้กินง่ายขึ้น ดังนั้นผู้บริโภคต้องระวังว่าดาร์กช็อกโกแลตที่มีน้ำตาลและนมในสัดส่วนมากๆ เพราะแม้จะอร่อยแต่กินบ่อยๆ ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้         นิตยสารฉลาดซื้อ ได้สุ่มเลือกดาร์กช็อกโกแลต จำนวน 15 ตัวอย่าง เมื่อเดือนมกราคม 2567 มาสำรวจฉลากเพื่อดูส่วนประกอบว่าผ่านเกณฑ์ข้อกำหนดตามมาตรฐานหรือไม่ เปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการและราคา เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคใช้ตัดสินใจซื้อในครั้งต่อๆ ไป   ผลการสำรวจฉลาก เมื่อพิจารณาในส่วนประกอบสำคัญ พบว่า         - ยี่ห้อลินด์ เอ็กเซอร์เล็นซ์ ดาร์ก 99% โกโก้ มีโกโก้รวมทั้งหมดมากที่สุด คือ 99% ส่วนยี่ห้อเมจิ แบล็ค ช็อกโกแลต คอนแฟคชั่นเนอรี่ มีน้อยที่สุดคือ 40.4%         - ยี่ห้อบอนโอบอน ดาร์ค ช็อกโกแลต บาร์ มีน้ำตาลมากที่สุด คือ 49% ส่วนยี่ห้อมีอา อินเทนส์ ดาร์ก ช็อกโกแลต 85% และยี่ห้อเวทโทรส เบลเยี่ยน ดาร์ค ช็อกโกแลต 72% มีน้อยสุด คือ 10%         - ยี่ห้อเดียโบล ดาร์ก ช็อคโกแลต วิท สวีทเทนเนอร์ ใส่วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล (มอลตินอล)ส่วนยี่ห้อลินด์ เอ็กเซอร์เล็นซ์ ดาร์ก 99% โกโก้ ไม่ระบุว่ามีน้ำตาลในส่วนประกอบ  เมื่อพิจารณาคุณค่าทางโภชนาการต่อ 1 หน่วยบริโภคที่แนะนำ พบว่า         - ยี่ห้อลินด์ เอ็กเซอร์เล็นซ์ ดาร์ก 99% โกโก้ มีมากที่สุดทั้งพลังงาน (310 กิโลแคลอรี) ไขมัน (25 กรัม) และโซเดียม (140 กรัม) ส่วนน้ำตาลมีน้อยที่สุดคือ 3 กรัม          - ยี่ห้อเนสท์เล่ ลัทเตอริฮ์เย่ ดาร์คช็อกโกแลต 80% มีพลังงานน้อยที่สุดคือ 120 กิโลแคลอรี         - ยี่ห้อบอนโอบอน ดาร์ค ช็อกโกแลต บาร์ มีไขมันน้อยที่สุดคือ 7 กรัม         - ยี่ห้อลอตเต้ กาน่า แบล็ก ช็อกโกแลต มีน้ำตาลมากที่สุดคือ 23 กรัม และมีโซเดียมน้อยที่สุดคือ 5 กรัม        และเมื่อคำนวณเปรียบเทียบราคาต่อปริมาณ 1 กรัม พบว่า ยี่ห้อลินด์ เอ็กเซอร์เล็นซ์ ดาร์ก 99% โกโก้ แพงสุดคือ 3.50 บาท ส่วนยี่ห้อบอนโอบอน ดาร์ค ช็อกโกแลต บาร์ ถูกสุดคือ 0.48 บาท  ข้อสังเกต         - ทุกตัวอย่างผลิตและนำเข้ามาจากต่างประเทศ ได้แก่  มาเลเซีย ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน ญี่ปุ่น เบลเยี่ยม อาร์เจนติน่า สเปน ไอร์แลนด์ สาธารณรัฐกานา และสาธารณรัฐเช็ก         - มี  2 ตัวอย่างที่พบว่ามีเปอร์เซนต์โกโก้ทั้งหมดในส่วนประกอบน้อยกว่าที่ระบุไว้บนฉลาก คือ ยี่ห้อลอตเต้ กาน่า แบล็ก ช็อกโกแลต ฉลากระบุ 50% แต่ในส่วนประกอบรวมได้ 48% และดัลซีเนีย ดาร์ค ช็อกโกแลต 72% ในส่วนประกอบรวมได้ 67%         - มี 2 ตัวอย่างที่เติมไขมันอื่นนอกจากไขมันโกโก้ ได้แก่ ยี่ห้อโมรินากะ ดาร์ส ดาร์ก (ไขมันปาล์ม 4 %) และเมจิ แบล็ค ช็อกโกแลต คอนแฟคชั่นเนอรี่ (มีน้ำมันพืช 14%)         - เมื่อคำนวณคุณค่าทางโภชนาการต่อปริมาณ 40 กรัมเท่ากัน (ค่าเฉลี่ยของหน่วยบริโภคที่แนะนำ) พบว่า ยี่ห้อริตเทอร์สปอร์ต โกโก้ ซีเล็คชั่น 81% มีมากที่สุดทั้งพลังงาน (256 กิโลแคลอรี) และไขมัน (20.8 กรัม) ยี่ห้อบอนโอบอน ดาร์ค ช็อกโกแลต บาร์ มีน้ำตาลมากที่สุดคือ 20.8 กรัม ส่วนยี่ห้อบัตเลอรส์ ดาร์กช็อกโกแลต 70% ยี่ห้อเดียโบล ดาร์ก ช็อคโกแลต วิท สวีทเทนเนอร์ และยี่ห้อเวทโทรส เบลเยี่ยน ดาร์ค ช็อกโกแลต 72% มีพลังงานน้อยที่สุดคือ 210 กิโลแคลอรี         - มีตราประทับ Rainforest Alliance Certified บนฉลากยี่ห้อเนสท์เล่ ลัทเตอริฮ์เย่ ดาร์คช็อกโกแลต 80% ยี่ห้อริตเทอร์สปอร์ต โกโก้ ซีเล็คชั่น 81% และยี่ห้อคาสิโน ช็อกโกล่าต์ นัวร์ เดอ ดีกัสตาซีอง 85% ซึ่งสัญลักษณ์นี้หมายความว่า ผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมที่ผ่านการรับรองนั้นผลิตขึ้นโดยใช้วิธีการที่สนับสนุนหลักสามประการของความยั่งยืน ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ฉลาดซื้อแนะ         - ดาร์กช็อกโกแลตส่วนใหญ่ผลิตและนำเข้าจากต่างประเทศ ควรเลือกซื้อที่มีฉลากภาษาไทยกำกับไว้ชัดเจน มีเลขทะเบียน อย. ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยและเปรียบเทียบปริมาณของส่วนประกอบได้         - ก่อนซื้อดาร์กช็อกโกแลตควรดูเปอร์เซ็นต์ของโกโก้ทั้งหมด น้ำตาลและนม และเลือกให้ตอบโจทย์กับความต้องการ โดยมีคำแนะนำว่าหากอยากลดน้ำหนัก ให้เลือกที่ 80 - 100 % ใครเพิ่งลองกินและยังไม่ชินกับรสขม ให้เลือกที่ 50 - 80 % ใครชอบหวานให้เลือกน้อยกว่า 50% ส่วนใหญ่จะใส่น้ำตาลเยอะ ควรกินแต่น้อย         - ดาร์กช็อกโกแลตมีแคลอรี่สูงและมีคาเฟอีนด้วย ควรกินในประมาณที่เหมาะสม หรือไม่เกิน 60 กรัมต่อวัน แหล่งข้อมูลอ้างอิง https://bestreview.asia/best-dark-chocolate/#google_vignettehttps://www.thaihealth.or.th (บทความ กินช็อกโกแลตถูกหลัก ช่วยสร้างสุข)https://www.bio100.co.th/knowledge/rainforest-alliance-certified/

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 274 สำรวจฉลากโภชนาการ “ขนมในกระเช้าปีใหม่”

        ช่วงเทศกาลส่งความสุขในปีใหม่นี้ ผู้บริโภคคนไหนกำลังคิดจะเลือกซื้อขนมอบกรอบหวานหอม และขนมขบเคี้ยวเค็มๆ มันๆ ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์สีสันสดใส มาจัดกระเช้าปีใหม่ ด้วยหวังว่าผู้รับจะชอบใจ อยากให้แตะเบรกไว้ก่อน เพราะแม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ยอดฮิตที่มักมอบให้กันในโอกาสพิเศษต่างๆ แต่อย่าลืมว่าขนมเหล่านี้มีส่วนผสมหลักเป็นแป้ง น้ำตาล เนย นม เกลือ ผงฟู และสารกันเสีย ซึ่งหากกินเข้าไปเยอะๆ บ่อยๆ อาจเกิดการสะสมของน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมในร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือดได้         นิตยสารฉลาดซื้อ ได้สุ่มเก็บตัวอย่างขนมในกระเช้าปีใหม่ (คุกกี้ บิสกิต แครกเกอร์ และพาย) จำนวน 11 ตัวอย่าง ในช่วง 1 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2566 มาเปรียบเทียบข้อมูลบนฉลากโภชนาการ (ปริมาณพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม) และราคาต่อปริมาณ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้บริโภคว่าจะเลือกขนมเหล่านี้จัดใส่กระเช้าปีใหม่ดีไหมหนอ  ผลการสำรวจ        ·     ทุกตัวอย่างระบุเลขที่ใบอนุญาตจาก อย. ไว้ถูกต้อง ตรวจสอบข้อมูลได้         ·     เมื่อพิจารณาฉลากโภชนาการของขนม 11 ตัวอย่าง พบว่า ยี่ห้ออิมพีเรียล บัตเตอร์คุกกี้ สูตรเดนมาร์ค มีปริมาณต่อหนึ่งหน่วยบริโภคที่แนะนำมากที่สุดคือ 34 กรัม ส่วนยี่ห้อไฮไท แครกเกอร์ รสดั้งเดิม และ ยี่ห้อเดนม่า คุกกี้สอดไส้รสผลไม้ มีน้อยที่สุดคือ 25 กรัม         ·     เมื่อเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการต่อ 1 หน่วยบริโภค พบว่า            -        ปริมาณพลังงานมากที่สุด = 180 กิโลแคลอรี คือยี่ห้ออิมพีเรียล บัตเตอร์คุกกี้ สูตรเดนมาร์ค ส่วนยี่ห้อล็อตเต้ ช็อกโกพาย บานาน่า มีน้อยที่สุด  = 120 กิโลแคลอรี            -        ปริมาณน้ำตาลมากที่สุด = 11 กรัม  คือยี่ห้อโอรีโอ ช็อกโกแลต ครีม ส่วนยี่ห้อไฮไท แครกเกอร์ รสดั้งเดิม มีน้อยที่สุด = 2 กรัม             -        ปริมาณไขมันมากที่สุด = 9 กรัม ได้แก่ ยี่ห้ออิมพีเรียล บัตเตอร์คุกกี้ สูตรเดนมาร์ค และยี่ห้อดานิสา ช็อกโกแลต บัตเตอร์คุกกี้ ผสมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ส่วนยี่ห้อล็อตเต้ ช็อกโกพาย บานาน่า และยี่ห้อแซง มิเชล กาเลต โอ เบอร์ ทิน บัตเตอร์ คุกกี้ มีน้อยที่สุด = 5 กรัม             -        ปริมาณโซเดียมมากที่สุด = 135 มิลลิกรัม คือ ยี่ห้อแมคไวตี้ส์ ไดเจสทีฟ ออริจินอล(บิสกิตข้าวสาลี) ส่วนยี่ห้อเดนม่า คุกกี้สอดไส้รสผลไม้  มีน้อยที่สุด = 40 มิลลิกรัม         ·     เมื่อเปรียบเทียบราคาต่อปริมาณ 1 กรัม พบว่า ยี่ห้อบาวเซ่น เดโลบา บลูเบอร์รี่ แพงสุดคือ 0.95 บาท ส่วนยี่ห้อโอรีโอ ช็อกโกแลต ครีม ถูกสุดคือ  0.22 บาท  ข้อสังเกต        - เมื่อคำนวณในปริมาณ 1 หน่วยบริโภคที่เท่ากัน คือ 30 กรัม (ปริมาณเฉลี่ย ได้จากผลรวมของปริมาณต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ÷ 11) พบว่า ยี่ห้อดานิสา ช็อกโกแลต บัตเตอร์คุกกี้ผสมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีปริมาณพลังงานมากที่สุด = 160 กรัม ส่วนยี่ห้อโอรีโอ ช็อกโกแลต ครีม มีทั้งน้ำตาล (11.96 กรัม) และโซเดียม (141.30 มิลลิกรัม) ในปริมาณมากที่สุด         - หากเรากินโอรีโอ ช็อกโกแลต ครีม 1 ห่อ (3 ชิ้น) จะได้รับน้ำตาลเกือบครึ่งหนึ่งของที่แนะนำให้กินได้ต่อวัน(ไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 24 กรัมต่อวัน) ถ้าเผลอกินเพลินเกิน 2 ห่อต่อวัน ร่างกายจะได้น้ำตาลเกินจำเป็น         - วัยผู้ใหญ่ไม่ควรกินขนมขบเคี้ยวที่มีโซเดียมเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้น หากกินขนมแมคไวตี้ส์ ไดเจสทีฟ ออริจินอล (บิสกิตข้าวสาลี) 2 ชิ้น หรือโอรีโอ ช็อกโกแลตครีม 3 ชิ้น ก็จะได้รับโซเดียมเกินครึ่งหนึ่งของที่แนะนำไว้แล้ว        - เมื่อลองนำเกณฑ์สัญลักษณ์โภชนาการ”ทางเลือกสุขภาพ” มาพิจารณา ในปริมาณขนม 100 กรัม         ขนมบิสกิตและแครกเกอร์   กำหนดให้มีน้ำตาล ≤ 7 กรัม  และโซเดียม ≤ 500 มิลลิกรัม พบว่าทุกตัวอย่างมีน้ำตาลเกิน และมีโซเดียมอยู่ในเกณฑ์        ขนมคุกกี้  กำหนดให้มีน้ำตาล ≤ 20 กรัม และ โซเดียม ≤ 300 มิลลิกรัม พบว่า ทุกตัวอย่างมีน้ำตาลเกิน และมีโซเดียมเกินเกณฑ์นี้ 3 ตัวอย่าง ได้แก่ ยี่ห้อโอรีโอ ช็อกโกแลต ครีม (471.01 มก.)  ยี่ห้อบาวเซ่น เดโลบา บลูเบอร์รี่ (348.48 มก.) และยี่ห้ออิมพีเรียล บัตเตอร์คุกกี้ สูตรเดนมาร์ค (323.53 มก.)         - ทุกตัวอย่างบอกวันผลิตและวันหมดอายุไว้ มีอายุตั้งแต่ 10 – 21 เดือน โดยมี 8 ตัวอย่างที่อายุ 1 ปี         - ยี่ห้อดานิสา ช็อกโกแลต บัตเตอร์คุกกี้ผสมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ระบุวันหมดอายุ 01.12.23 และมีอายุนับจากวันผลิตนานถึง 21 เดือน         - มี 3 ตัวอย่างที่ผลิตในประเทศไทย ส่วนใหญ่ผลิตจากต่างประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย เยอรมันฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร         - ทุกตัวอย่างแสดงข้อความเตือนว่า “บริโภคแต่น้อยและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ”     ฉลาดซื้อแนะสำหรับผู้ให้        - หากจะซื้อขนมมาจัดกระเช้าปีใหม่ ต้องดูวันหมดอายุให้ดีๆ เพราะอาจมีสินค้าใกล้หมดอายุมาวางขายปะปนบนชั้นได้ ยิ่งถ้าใครซื้อแบบกระเช้าสำเร็จรูปก็ต้องตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อนเสมอ         - เลือกซื้อขนมที่ผลิตในประเทศไทย สนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศ         - เปลี่ยนเป็นขนมที่ดีต่อสุขภาพแทน เช่น กระเจี๊ยบมอญอบกรอบ บร็อคโคลี่อบแห้ง งาดำอัดแท่งหวานน้อย ลูกเดือยกล้อง ถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอนด์ วอลนัท) อบไม่ปรุงรส ดาร์คช็อคโกแล็ต (มี %cocoa มากกว่า 70%) เป็นต้น         - อย. แนะนำให้มอบกระเช้าของขวัญปีใหม่ในแบบ “สุขใจผู้ให้ ห่วงใยผู้รับ” โดยเลือกที่มีสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice) เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองแล้วว่ามีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมต่อสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) สำหรับผู้รับ        - เมื่อได้รับขนมเหล่านี้เป็นของขวัญ มักได้เป็นกล่องหรือกระป๋องใหญ่ แกะแบ่งห่อเล็กปันคนอื่นๆ ด้วยก็ดีไม่ต้องเก็บไว้เยอะ และอย่าเผลอกินเกินจำนวนหน่วยบริโภคที่แนะนำบนฉลากโภชนาการ เดี๋ยวจะอ้วน         - ถ้าวันไหนรู้ตัวว่ากินคุกกี้ แครกเกอร์ เยอะเกินแล้ว ก็ควรจะออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกินออกไป จะได้กินขนมให้อร่อยต่อไปได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วนหรือรู้สึกผิดต่อตัวเอง         - กินขนมคู่กับน้ำเปล่าดีที่สุด หากไม่อยากได้รับน้ำตาล ไขมันและโซเดียมเพิ่มอีก         - อย่าชะล่าใจ กินขนมอบกรอบรสหวานๆ เสี่ยงเป็นเบาหวานแล้วยังเสี่ยงเป็นโรคไตด้วย เพราะโซเดียมไม่ได้มีแต่ในเกลือที่ให้รสเค็ม แต่ยังแฝงอยู่ในผงฝูและสารกันบูดที่เป็นส่วนผสมของขนมเหล่านี้ด้วย  ข้อมูลอ้างอิงwww.thaihealth.or.thwww.oryor.com

อ่านเพิ่มเติม>

ความคิดเห็น (0)