ฉบับที่ 265 ผลสำรวจฉลากยาดม ตอนที่ 1

        อากาศเมืองไทยตลอดปีมีทั้งร้อน ร้อนมาก ร้อนสุดๆ ทำให้หลายคนเกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน คล้ายจะเป็นลม จึงต้องมียาดมพกไว้ให้พร้อมเพื่อผ่อนคลายอาการซึ่งนี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตลาดยาดมเติบโตมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านต่อปี โดยนอกจากสำรวจพบว่าคนไทย 10% ใช้ยาดม และใช้อย่างน้อยเดือนละ 2 หลอดแล้ว (ข้อมูล : Nielsen ประเทศไทย) ปัจจุบันยาดมของไทยยังเป็นของฝากที่นักท่องเที่ยวต้องหิ้วกลับไปอีกด้วย อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่ายาแล้วก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญด้วย เพราะยาดมในรูปแบบต่างๆ นั้น หาซื้อได้ง่ายในราคาไม่แพง 
        ส่วนประกอบหลักๆ ในยาดม คือเมนทอล การบูร พิมเสน น้ำมันหอมระเหยต่างๆ ซึ่งจะทำให้รู้สึกเย็นซ่าในโพรงจมูก สดชื่น ตื่นตัวได้ แต่การสูดดมสารเหล่านี้บ่อยๆ อาจเสี่ยงทำให้เยื่อเมือกบุทางเดินจมูกที่สัมผัสกับกลิ่นที่เข้มข้นเป็นประจำเกิดการระคายเคืองได้ 
        นิตยสารฉลาดซื้อ และโครงการสร้างเสริมความเข้มแข็งระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. สุ่มเลือกผลิตภัณฑ์ยาดมที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นไว้ใช้ดมหรือทาแก้วิงเวียนและคัดจมูก ทั้งแบบหลอด แบบน้ำ และแบบขี้ผึ้ง จำนวน 22 ตัวอย่าง 16 ยี่ห้อ เมื่อเดือนมีนาคม 2566 มาสำรวจการแสดงข้อความบนฉลาก ส่วนประกอบที่พึงระวัง และเปรียบเทียบราคา เพื่อนำเสนอเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อต่อไป



ผลการสำรวจฉลาก
        จากยาดม 22 ตัวอย่าง แบ่งเป็น รูปแบบหลอด 8 ตัวอย่าง แบบน้ำ 13 ตัวอย่าง และแบบขี้ผึ้ง 1 ตัวอย่าง พบว่า
        ·     ทุกตัวอย่าง ระบุ ชื่อยา เลขทะเบียนตำรับยา เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิตหรือวิเคราะห์ยา วัน เดือน ปี ที่ผลิต-หมดอายุ และ คำเตือน เช่น  ยาใช้ภายนอก  ยาใช้เฉพาะที่ ห้ามรับประทาน หรือ For external use only’ ไว้บนฉลาก 
        ·     มี 16 ตัวอย่าง ระบุเป็น ยาสามัญประจำบ้านโดยปรากฏสัญลักษณ์ คิดเป็น 72.73 %  ของตัวอย่างทั้งหมด
        ·     มี 18 ตัวอย่าง แสดง คำระบุบนฉลากว่าเป็น ยาแผนโบราณ หรือ ยาแผนไทย
        ·     เมื่อเปรียบเทียบราคาต่อปริมาณ 1 หน่วย (ซีซี / มิลลิลิตร / กรัม)
            - จากตัวอย่างยาดมทั้งหมด พบว่า ยาดมพิมเสนน้ำ ตราหงส์ไทย(ขวดแก้ว) แพงสุด คือ 16.88 บาท / ซีซี  ส่วนยี่ห้อไอซ์ เจลลิ บาล์ม  ถูกสุด คือ 2.86 บาท / กรัม
            - จากตัวอย่างยาดมแบบหลอด พบว่า ยาดมตราพาสเทล แพงสุด คือ 16.67 บาท / มิลลิลิตร  ส่วน ยาดมพีเป๊กซ์  ถูกสุด คือ 8 บาท / ซีซี / หลอด
            - จากตัวอย่างยาดมแบบน้ำ พบว่า พิมเสนน้ำตราโป๊ยเซียน(กระปุก) ถูกสุด คือ 4 บาท /ซีซี 
ข้อสังเกต
        ·     มี 4 ตัวอย่าง ที่ไม่ระบุว่ามี การบูรในส่วนประกอบ ได้แก่ ยาดมพีเป๊กซ์ ยี่ห้อวาเป๊กซ์ เอชอาร์ พิมเสนน้ำและยาหม่องน้ำ ตราขาวละออ
        ·     ยาดมพีเป๊กซ์ มีเมทิล ซาลิไซเลต (Methyl Salicylate) ปริมาณ 0.05% ในส่วนประกอบ ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติแก้ปวดเมื่อย    
        ·     ยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว สูตร 1 มีอายุยาอยู่ที่ 5 ปี (ผลิต 21/7/22 หมดอายุ 21/7/27) ขณะที่ตัวอย่างอื่นๆ มีอายุยาอยู่ที่ 2 - 3 ปี 
        ·     ยี่ห้อไอซ์ เจลลิ บาล์ม และยาดมตราพาสเทล แสดงคำว่ายาสิ้นอายุไว้บนฉลาก โดยไม่ได้เป็นยาสามัญประจำบ้าน
        ·     เมื่อดูตามเกณฑ์ข้อความที่ต้องแสดงบนฉลากในกลุ่มที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน พบว่า
            - ยาดมผสมสมุนไพร ตราหงส์ไทย สูตร 2 (หลอด) ไม่ระบุปริมาณของยาที่บรรจุ
            - ยาดมสมุนไพร ตราอภัยภูเบศร และยาหม่องน้ำขาวละออ ไม่ระบุปริมาณของส่วนประกอบ
            - มีเพียง 2 ตัวอย่าง ที่แสดงคำว่ายาสิ้นอายุได้แก่ ยี่ห้อวาเป๊กซ์ เอชอาร์ และยาดมท่านเจ้าคุณ
            - พิมเสนน้ำตราโป๊ยเซียน(กระปุก) ไม่ระบุชื่อผู้ผลิตและจังหวัดที่ตั้งสถานที่ผลิตยา
 
ฉลาดซื้อแนะ
        ·     หลายคนเลือกซื้อยาดมเพราะติดกลิ่นและใช้แล้วเห็นผลดั่งใจ แต่ก็อย่าลืมเลือกที่มีเลขทะเบียนยาถูกต้องด้วย หรือเลือกที่มีสัญลักษณ์ยาสามัญประจำบ้าน เพื่อความปลอดภัยในระดับหนึ่ง
        ·     เภสัชกรแนะนำว่า ยาหม่องน้ำซึ่งมีข้อบ่งใช้คือทาแก้อาการปวดเมื่อย ที่มีเมทิล ซาลิไซเลต เป็นตัวยาหลักนั้น ไม่ควรนำมาใช้สูดดม เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองบริเวณทางเดินหายใจ
        ·     การบูร เป็นสารกระตุ้นในระบบประสาทชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการเสพติดได้ หากสูดดมกลิ่นที่เข้มข้นของการบูรบ่อยๆ อาจทำให้แพ้หรืออักเสบได้ เช่น โพรงจมูกอักเสบ ติดเชื้อในโพรงจมูก ไซนัสอักเสบ เยื่อบุโพรงจมูกเสียหาย และการระคายเคืองที่อาจรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบได้ จึงไม่ควรสูดดมติดต่อกันเป็นเวลานาน และใช้เมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมติดยาดม คือหยิบมาสูดดมหรือทาเป็นประจำ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอาการวิงเวียนหรือคัดจมูกใดๆ เพราะอาจเสี่ยงได้รับสารต่างๆ ในยาดมเกินความจำเป็น  และทำให้เสียบุคลิกอีกด้วย




ข้อมูลอ้างอิง 
mahidol.ac.th บทความ ยาดมมีอันตรายหรือไม่
BrandAge Online
https://wizsastra.com/2017/10/15/householddrugs/

แหล่งข้อมูล: กองบรรณาธิการ

300 point

LINE it!





  เรื่องเกี่ยวข้อง: นิตยสารออนไลน์ ผู้บริโภค ยาดม ฉลาก ยาดมสมุนไพร

ฉบับที่ 264 มาสคารา

        แม้ว่ามาสคาราจะมียอดขายลดลงเพราะมีขนตาปลอมและบริการต่อขนตาเข้ามาแย่งตลาด แต่ค่ายเครื่องสำอางก็ยังส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อสนองความต้องการของคนทุกเพศทุกวัยที่รักการมีขนตางอนงาม         หากยังคิดไม่ตกว่าจะเลือกมาสคารายี่ห้อไหน ลงทุนเท่าไรถึงจะคุ้มค่า ฉลาดซื้อฉบับนี้มีผลทดสอบเปรียบเทียบมาสคารา 24 รุ่น ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ได้ทำไว้เมื่อปลายปี 2565 มาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ (ติดตามผลการทดสอบเปรียบเทียบมาสคารามาครั้งก่อนหน้านี้ได้ในฉลาดซื้อ  ฉบับที่ 138)    การทดสอบครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน        -       การทดลองใช้ โดยผู้ที่เชี่ยวชาญ (ด้านการใช้มาสคารา) ที่ใช้ผลิตภัณฑ์วันละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 30 วัน และตอบคำถามเกี่ยวกับการใช้งาน เช่น การเปิด/ปิด ความถนัดในการจับด้ามแปรง ความหนาและความโค้งงอนของขนตา ความสม่ำเสมอของเนื้อผลิตภัณฑ์บนเส้นขนตา ความเร็วในการแห้ง การติดทนและไม่ทิ้งคราบ ความยากง่ายในการล้างออก และอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น             -       การให้คะแนนโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยดูจากภาพถ่ายดวงตา ก่อนและหลังการใช้มาสคารา        -       การทดสอบในห้องปฏิบัติการซึ่งแบ่งออกเป็น            ·     การตรวจวิเคราะห์หาสารต้องห้ามและปริมาณโลหะหนัก และ            ·     การวัดปริมาณมาสคาราที่เหลือค้างในบรรจุภัณฑ์ (ทดสอบโดยใช้แปรงจุ่มมาสคาราในหลอดแล้วนำมาเช็ดออก ทำซ้ำจนกว่าจะไม่มีสีติดที่กระดาษหรือหลังมือ จากนั้นนำบรรจุภัณฑ์มาชั่งน้ำหนัก ก่อนจะนำไปล้างและเช็ดให้แห้งด้วยสำลีก้าน แล้วนำมาชั่งอีกครั้งเพื่อหาส่วนต่าง) ผลทดสอบที่น่าสนใจ        ·     การทดสอบครั้งนี้พบว่าไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่มีสารเคมีหรือโลหะหนักเช่น ฟอร์มัลดีไฮด์ สารหนู ตะกั่ว แคดเมียม นิกเกิล ฯลฯ เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ที่น่าสนใจคือตรวจไม่พบสารเหล่านี้เลยในมาสคาราของ Benefit  Lancome  และ Kiko           ·     ในเรื่องของความพึงพอใจและความสามารถในการแปลงลุคขนตาของผู้ใช้ เราพบว่าราคาไม่ใช่ตัวชี้วัดเสมอไป แม้ผลิตภัณฑ์ที่ได้คะแนนสูงสุด YVES SAINT LAURENT Mascara Lash Clash จะมีราคาเกิน 1,300 บาท แต่ ISADORA Build-Up Mascara Extra Volume ที่ได้คะแนนตามมาติดๆ ราคาไม่ถึง 500 บาท และมาสคาราหลายยี่ห้อที่ราคาเกินหนึ่งพันบาท ก็ได้คะแนนในอันดับไม่ดีนัก---ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงการใช้มาสคาราที่เปิดใช้งานมานานเกิน 3 เดือน และไม่ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ร่วมกับใคร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 264 สำรวจฉลากผลิตภันฑ์ระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชาย

        เมื่อแฟนคลับสุภาพบุรุษส่งข้อความมาถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรลออนฟอร์เมน ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงจัดให้ตามคำขอ พอเราได้ไปสำรวจก็พบว่า ผลิตภันฑ์ระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชายนั้นมีให้เลือกหลายรูปแบบและหลายสูตรมาก โดยหลักๆ เน้นประสิทธิภาพของการระงับกลิ่นกายและลดเหงื่อ ซึ่งสินค้ากลุ่มที่เน้นเพศชายนี้ส่วนใหญ่ใช้คำโฆษณาที่ระบุถึงประสิทธิภาพ เช่น พลังหอม เย็นสดชื่น แห้งสบายผิว ระงับกลิ่นนาน หอมปกป้องยาวนาน มั่นใจตลอดวัน         นิตยสารฉลาดซื้อ โครงการสร้างเสริมความเข็มแข็งระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ได้สุ่มเลือก”ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชาย” จำนวน 18 ตัวอย่าง 11 ยี่ห้อ เมื่อเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2566 มาสำรวจฉลากดูคุณสมบัติ ส่วนประกอบที่เสี่ยงเกิดอาการระคายเคือง (อะลูมิเนียมคลอโรไฮเดรต แอลกอฮอล์ และน้ำหอม) สารกันเสียที่พึงระวัง (ไตรโคลซาน และพาราเบน) ระยะเวลาติดทนนาน และราคา เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ใช้ตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้กลิ่นตัวหาย กลิ่นกายหอม เสริมความมั่นใจอย่างปลอดภัยและคุ้มค่า ผลการสำรวจฉลาก         จากผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชาย จำนวน 18 ตัวอย่าง 11 ยี่ห้อ แบ่งเป็นรูปแบบลูกกลิ้ง(โรลออน) 11 ตัวอย่าง แบบแท่ง(สติ๊ก) 2 ตัวอย่าง และแบบสเปรย์ 5 ตัวอย่าง พบว่า         -  ทุกตัวอย่างระบุว่ามีคุณสมบัติระงับกลิ่นกาย         -  8 ตัวอย่าง ระบุว่ามีคุณสมบัติทั้งระงับกลิ่นกายและลดเหงื่อ ได้แก่ ยี่ห้อทรอส เฟรช & โพรเทค ดีโอ โรลออน และเอไอ เชิ้ต โพรเทคชั่น ดีโอ โรลออน ยี่ห้อนีเวีย เมน คูล คิก โรลออน, ซิลเวอร์ โพรเทค โรลออน, ดราย อิมแพ็ค สติ๊ก และคูล คิก สเปรย์  ยี่ห้ออาดิดาส ไอซ์ไดฟ์ แอนตี้-เพอร์สพิแรนท์ และยี่ห้อวัตสัน เมน อินสแตนท์ คูลลิ่ง โรลออน ดิโอโดแรนท์         -   11 ตัวอย่าง ระบุว่ามีอะลูมิเนียมคลอโรไฮเดรต หรือคิดเป็น 61.11% ของตัวอย่างทั้งหมด         -    6 ตัวอย่าง ไม่ระบุว่ามีแอลกอฮอล์ ได้แก่ ยี่ห้ออาดิดาส ไอซ์ไดฟ์ แอนตี้-เพอร์สพิแรนท์, ทรอส เอไอ เชิ้ต โพรเทคชั่น ดีโอ โรลออน, วัตสัน เมน อินสแตนท์ คูลลิ่ง โรลออน, โอเรียนทอล พริ้นเซส ฟอร์เมน, ดีโอ เคลียร์ คลาสิค เพียว (สติ๊ก) และนีเวีย เมน คูล คิก สเปรย์         - ทุกตัวอย่างระบุว่ามีน้ำหอม ยกเว้น ยี่ห้อดีโอ เคลียร์ คลาสิค เพียว(สารส้มแท่ง)        - พบ ไตรโคลซาน ในยี่ห้อโฟกัส ไอซ์ซี่ เฟรช คูลลิ่ง โรลออน         - พบ พาราเบน (Methyl Paraben และ Propyl Paraben)ในยี่ห้อโอเรียนทอล พริ้นเซส ฟอร์ เมน อัลตร้า เฟรช แมคซิมัม โพรเทคชัน ดีโอเดอแรนท์         - มี  10 ตัวอย่างที่ระบุระยะเวลาติดทนนานไว้ 48 ชั่วโมง และมี 1 อย่างระบุไว้ 24 ชั่วโมง          - เมื่อเปรียบเทียบราคาต่อปริมาณ 1 มิลลิลิตรจากทุกตัวอย่างที่สำรวจ พบว่า ยี่ห้อนีเวีย เมน ดราย อิมแพ็ค สติ๊ก มีราคาแพงสุด คือ  4.38 บาท ส่วนยี่ห้อดีโอ เคลียร์ คลาสิค เพียว(สติ๊ก) มีราคาถูกสุด คือ 1.08 บาท แต่หากเปรียบเทียบราคาต่อปริมาณ 1 มิลลิลิตร เฉพาะในกลุ่มโรลออล 11 ตัวอย่าง พบว่า ยี่ห้อโอเรียนทอล พริ้นเซส ฟอร์ เมน มีราคาแพงสุดคือ 2.85 บาท และยี่ห้อโฟกัส ไอซ์ซี่ เฟรช คูลลิ่ง โรลออน และไคลแม็กซ์ โรลออน มีราคาถูกสุดคือ 1.13 บาท ส่วนในกลุ่มสเปรย์ 5 ตัวอย่าง มีราคาใกล้เคียงกัน อยู่ที่ตั้งแต่ 1.11 – 1.35 บาท   ข้อสังเกต         - ยี่ห้อนีเวีย เมน ซิลเวอร์ โพรเทค โรลออน แสดงข้อมูลบนฉลากไม่ครบ เช่น ไม่ระบุเลขที่ใบรับจดแจ้ง ส่วนประกอบ และที่อยู่ผู้ผลิต/จัดจำหน่าย เป็นต้น         -  8 ตัวอย่างที่มีคุณสมบัติลดเหงื่อ ส่วนใหญ่มีสารอะลูมิเนียมคลอโรไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก ยกเว้น ยี่ห้อนีเวีย เมน ดราย อิมแพ็ค สติ๊ก ที่มีสารลดเหงื่อชนิดอื่นคือ อะลูมินัมเซอร์โคเนียมเททระคลอโรไฮเดรกซ์ (Aluminum Zirconium Tetracholorohydrex) และ อะลูมีเนียมเซสคิวคลอโรไฮเดรต (Aluminum Sesquichlorohydrate)           - ยี่ห้อดีโอ เคลียร์ คลาสิค เพียว(สติ๊ก) เป็นสารส้มประเภทแอมโมเนียมอะลัม (Ammonium Alum) ที่ทําให้เกิดสารประกอบของเอมีน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ผิวหนังและตาได้ แต่ไม่ปรากฏคำเตือนนี้บนฉลากผลิตภัณฑ์          - มีเพียง 4 ตัวอย่างที่ระบุถึงความปลอดภัย เช่น 0%Paraben  0%Aluminum Salts ไม่มีสารเคมีหรือสารกันเสียที่ทำให้แพ้หรือระคายเคือง เป็นต้น  ฉลาดซื้อแนะ         - บางยี่ห้อนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นจุดขาย ผู้บริโภคอย่าเพิ่งเชื่อโฆษณา ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ มีเลขที่ใบรับจดแจ้งชัดเจน และมีฉลากภาษาไทยแสดงรายละเอียด เช่น ชื่อและชนิดของผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบสำคัญ วิธีใช้ วันเดือนปีที่ผลิต ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต/หรือผู้นำเข้า ปริมาณสุทธิ ให้ครบถ้วน         - ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ เพราะแต่ละคนอาจเกิดอาการแพ้ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการแพ้แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารกันเสียในผลิตภัณฑ์ ถ้าพบความผิดปกติใด ๆ ต้องหยุดใช้ทันที อย่าเสียดาย         - ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรอ่านฉลากดูว่ามีส่วนประกอบที่อาจเป็นอันตรายไหม แล้วเลือกรูปแบบที่ชอบและกลิ่นที่ใช่ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง จากนั้นมาดูประสิทธิภาพว่าระงับเหงื่อและกลิ่นตัวได้นานขนาดไหน อย่างน้อยต้อง 24 ชั่วโมง จะได้ไม่ต้องคอยทาซ้ำระหว่างวัน และหากเจอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์แต่แพงเกินไป อาจไปหายี่ห้ออื่น ๆ ที่มีส่วนประกอบเหมือนกัน แต่ราคาถูกลงมาหน่อย ก็น่าจะคุ้มกว่า         -ใครที่เหงื่อออกเยอะและมีกลิ่นตัวแรงมาก ๆ แนะนำให้ใช้สูตรที่ไม่มีกลิ่นจะดีที่สุด เพราะหากกลิ่นตัวผสมกับกลิ่นน้ำหอมแล้ว อาจยิ่งทำให้เกิดกลิ่นที่แรงกว่าเดิมเข้าไปอีก          - ใครที่กลัวว่าจะแพ้หรือเกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังจากผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายและลดเหงื่อที่มีขายอยู่ทั่วไป อาจเลือกใช้ “สารส้ม” แทนได้ข้อมูลอ้างอิงบทความ โรลออน ผลิตภัณฑ์….ระงับ “กลิ่นกาย”  : ชมพูนุช ไปมูลเปี่ยม (นักวิทยาศาสตร์)ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 181 สารในโรลออนเสี่ยงมะเร็งเต้านมจริงหรือ?https://www.dms.go.th/Content/Select_Landding_page?contentId=24772https://bestreview.asia/best-roll-on-deodorants-for-men/

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 257 มีอะไรน่าสนใจใน “ครีมนวดผม”

        ในทุก ๆ วัน เส้นผมของเราต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ผมเสียได้มากมาย ทั้งแสงแดด ฝุ่นควัน ความร้อนจากการเป่าและหนีบผม รวมถึงสารเคมีจากการทำสีผม ไฮไลต์ผม และดัดผมอีกด้วย หลายคนจึงนิยมเลือกใช้ “ครีมนวดผม” มาปรับสภาพเส้นผมหลังการสระผม เพื่อให้เส้นผมอ่อนนุ่ม ไม่พันกัน หวีง่าย อีกทั้งช่วยฟื้นฟูและดูแลสุขภาพผมให้ดีขึ้น         ในปี 2564 ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมในประเทศไทย เติบโต 5.6% มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดถึง 74% (Euromonitor, 2021) ส่วนในรายงานการตลาดระดับโลกพบว่า ผลิตภัณฑ์ครีมนวดผมและทรีตเมนต์มีมูลค่าการขายเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปี 2563 (Kantar, 2022)         ครีมนวดผมแต่ละยี่ห้อที่มีหลากหลายสูตรให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นสำหรับผมแห้งเสีย ขจัดรังแค ลดผมขาดหลุดร่วง หรือสูตรพิเศษสำหรับผมทำสีก็ตาม มักจะมีสารซิลิโคนและสารกันเสียเป็นส่วนประกอบพื้นฐานอยู่ ดังนั้นหากผู้บริโภคใช้ครีมนวดผมเป็นประจำอาจเสี่ยงสัมผัสสารเคมีเหล่านั้นเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน          นิตยสารฉลาดซื้อ และโครงการสร้างเสริมความเข้มแข็งระบบเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ได้สุ่มเลือกผลิตภัณฑ์ “ครีมนวดผม” จำนวน 12 ตัวอย่าง เมื่อเดือนมิถุนายน 2565 เพื่อสำรวจฉลากว่า มีสารเคมีหรือสารกันเสียที่ควรระวังหรือไม่ ได้แก่         ซิลิโคน (Silicone) เป็นสารโพลิเมอร์ใช้เติมลงในครีมนวดเพื่อให้ผมลื่น หวีง่าย เคลือบเส้นผมให้เงางาม แต่ล้างออกยาก จึงเกิดการสะสมอยู่ที่เส้นผมและหนังศีรษะ ใช้บ่อยๆ เส้นผมจะลีบแบนและเป็นมันเยิ้ม ซึ่งสารซิลิโคนที่ตกค้างอาจจะไปอุดตันรูเส้นผม ทำให้เซลล์ผมทำงานผิดปกติ การขับของเสียและดูดซึมสารอาหารลดลง และหากใช้ไปนานๆ จะทำให้ผมร่วงได้         สารกันเสียในครีมนวดผมที่ควรระวังมีดังนี้พาราเบน (Parabens) : มีรายงานว่าอาจเสี่ยงต่อสุขภาพ ส่งผลให้เป็นมะเร็ง         ฟอร์มาดีไฮด์ (Formaldehyde) : หากสัมผัสสารในปริมาณมากอาจทำให้เกิดผื่นแดง ปวดแสบปวดร้อน จนถึงผิวหนังไหม้ เป็นผื่นอักเสบและติดเชื้อได้         อิมิดาโซลิตินิล ยูเรีย (Imidazolidinyl urea) : อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบ และมีอันตรายจนสามารถทำลายเซลล์ผิวได้         เมทิลไอโซไทอะโซลิโนน (Methylisothiazolinone : MIT) : หากเกิดอาการแพ้จะทำให้ผิวอักเสบและมีผื่นแดงขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงควบคุมให้ใช้ในความเข้มข้นตามที่กำหนด และอนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วล้างออกเท่านั้น         พีน็อกซี่เอทานอล (Phenoxyethanol) : พบได้ในครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของน้ำหอม มีคุณสมบัติทำให้กลิ่นหอมคงตัว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้ใช้ในผลิตภัณฑ์ได้ไม่เกิน 1.0 % หากสัมผัสกับผิวในปริมาณที่มากอาจทำให้ผิวแพ้ ระคายเคือง และเกิดผดผื่นได้ผลการสำรวจฉลาก “ครีมนวดผม”        -        พบสารซิลิโคนทั้ง 12 ตัวอย่าง        -        ไม่พบ พาราเบน ฟอร์มาดีไฮด์ และอิมิดาโซลิตินิล ยูเรีย        -        พบเมทิลไอโซไทอะโซลิโนน (MIT) ใน 7 ตัวอย่าง  คิดเป็น 58.33 % ของตัวอย่างทั้งหมด        -        พบพีน็อกซี่เอทานอล ใน 8 ตัวอย่าง คิดเป็น 66.67 % ของตัวอย่างทั้งหมด        -        เมื่อคำนวณเปรียบเทียบราคาต่อปริมาณ  1 มิลลิลิตร พบว่า ยี่ห้อเคลียร์ แอนตี้แดนดรัฟ สกาล์ป แคร์ คอนดิชันเนอร์ ไอซ์คูล เมนทอล แพงสุดคือ 0.61 บาท ส่วนยี่ห้อซันซิล แดเมจ รีสโตร์เซรั่มคอนดิชันเนอร์ แอคทีฟ-อินฟิวส์ชั่น ถูกสุดคือ 0.16 บาท ข้อสังเกต                                -        สารกลุ่มซิลิโคนที่พบในตัวอย่างนี้ส่วนใหญ่เป็น Dimethicone รองลงมาคือ Amodimethicone และ Dimethiconol ตามลำดับ        -        ยี่ห้อเคลียร์ แอนตี้แดนดรัฟ สกาล์ป แคร์ คอนดิชันเนอร์ ไอซ์คูล เมนทอล ไม่พบสารกันเสียที่ควรระวังตัวใดเลย        -        มี 4 ตัวอย่างที่พบสารกันเสียทั้งเมทิลไอโซไทอะโซลิโนนและพีน็อกซี่เอทานอล        -        ทุกตัวอย่างระบุวันที่ผลิต แต่มี 4 ตัวอย่างที่ไม่ระบุวันหมดอายุ ฉลาดซื้อแนะ                -        เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากภาษาไทย และมีข้อความตามที่กฎหมายกำหนด คือ ชื่อผลิตภัณฑ์ประเภทสารที่ใช้เป็นส่วนผสม วิธีใช้ ชื่อและสถานที่ตั้งผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ครั้งที่ผลิต เดือนปีที่ผลิตและปริมาณสุทธิ        -        ซื้อจากร้านค้าที่เชื่อถือได้ เพื่อป้องกันผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย ยีสต์และราสูงเกินกำหนด โดยหากเรานำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปใช้ อาจทำให้เชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังที่อักเสบเป็นสิว แผล และเกิดการติดเชื้อได้        -        สังเกตฉลากบนผลิตภัณฑ์เพื่อดูส่วนผสมของสารกันเสียต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว หรือหากใช้ไปแล้วเกิดอาการแพ้ใดๆ ควรหยุดใช้ทันที หรือไปพบแพทย์เพื่อหาว่าแพ้สารชนิดใด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารชนิดนั้นอีกต่อไป        -        หากครีมนวดผมที่ใช้อยู่มีซิลิโคนและสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ เราจะต้องล้างครีมนวดผมออกให้เกลี้ยงทุกครั้ง เพื่อไม่ให้สารเหล่านั้นตกค้างและสะสมมากจนเกิดผลข้างเคียงต่างๆ ตามมาได้        -        ครีมนวดผมจะมีอายุ 2 - 3 ปี ไม่ควรซื้อครีมนวดผมที่ใกล้หมดอายุ โดยเฉพาะต้องดูให้ดีๆ เวลามีโปรโมชั่นลดราคาเยอะๆ เพราะอาจใช้ไม่ทันวันหมดอายุ จนเหลือทิ้ง กลายเป็นซื้อแพงโดยใช่เหตุ          -        เมื่อต้องการเปลี่ยนครีมนวดผมยี่ห้อใหม่ อาจซื้อแบบซองมาลองใช้ก่อน เพื่อดูว่าแพ้ไหม ใช้แล้วเหมาะกับสภาพผมและได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการหรือเปล่า หากใช้ได้ผลดีค่อยซื้อขวดใหญ่คุ้มกว่า        -        ลองทำครีมนวดผมโฮมเมดง่ายๆ จากสมุนไพรอย่างมะกรูด อัญชัญ และวัตถุดิบในครัวเช่น ไข่ไก่ โยเกิร์ต กล้วย น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น ค้นหาวิธีทำได้จากเว็บไซต์และยูทูบต่างๆ มีหลายสูตรมากข้อมูลอ้างอิงฉลาดซื้อ ฉบับที่ 185 ครีมนวด-ครีมหมักผม จำเป็นแค่ไหนhttps://marketeeronline.co/archives/266777https://www.komchadluek.net/news/521385

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 255 ผลิตภัณฑ์กันแดด 2022

ก่อนจะออกไปเที่ยวผจญแดดร้อนลมแรงที่ไหน อย่าลืมสำรวจวันหมดอายุของครีม/โลชัน/สเปรย์กันแดดที่มีอยู่ โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีอายุประมาณ 2 – 3 ปี แต่ถ้ามันถูกเก็บในบริเวณที่ร้อนมากอย่างคอนโซลหน้ารถ ความสามารถในการป้องกันยูวีอาจเสื่อมไปก่อนเวลาอันควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลิตภัณฑ์มีลักษณะเปลี่ยนไป เช่น แยกชั้น หรือจับตัวเป็นก้อน เราขอแนะนำให้คุณซื้อใหม่         ฉลาดซื้อ ฉบับนี้มีผลทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์กันแดดที่ทำขึ้นในช่วงต้นปี 2565 มาให้สมาชิกได้เลือกกันถึง 25 ผลิตภัณฑ์ (ค่า SPF30 และ SPF50+) ทั้งแบบครีม โลชัน และสเปรย์ สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ที่สามารถหาซื้อได้ในประเทศไทย         แม้จะยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ได้คะแนนถึงระดับห้าดาว แต่ “ตัวท็อป” ในการทดสอบปีนี้ก็ได้คะแนนรวมไปถึง 74 คะแนน (เทียบกับ 71 คะแนนของปีที่แล้ว) ข่าวดีคือผลิตภัณฑ์ 25 ตัวนี้ไม่มีสารรบกวนฮอร์โมน หรือสารก่ออาการแพ้ Octocrylene D5         แต่การทดสอบก็ทำให้เรารู้ว่ายังมีผลิตภัณฑ์อีกไม่น้อยที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันยูวีต่ำกว่าที่แจ้งบนฉลากหรือในโฆษณา เป็นการตอกย้ำว่าราคาหรือภาพลักษณ์ไม่สามารถรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้เสมอไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ความคิดเห็น (0)