ฉบับที่ 99 การแก้ปัญหาผมร่วงที่ผิดทาง?


สวยอย่างฉลาด
รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล : คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล

คนรอบตัวทั้งหญิงและชายมักบ่นให้ฟังว่าผมร่วงทุกวัน ทำให้เป็นกังวลและคอยสอดส่องว่ามียาดีที่ไหนจะได้ไปซื้อหามากินและทา ปัญหาเหล่านี้พบในเกือบทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวใหญ่และหนุ่มใหญ่ บางคนแทบจะไม่เหลือเส้นผมแล้ว เห็นศีรษะล้านเป็นขุนช้าง แต่ก็ยังพยายามหายาดีมากินและทาทำให้เสียเงินเสียทองไปมากมาย แต่ก็ยังไม่ได้ผล ทั้งหมดนี้เกิดจากความไม่เข้าใจธรรมชาติของร่างกาย 

หลายคนยังมีความหวังทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่มีผลต่อการหลุดร่วงของเส้นผม แต่หลายคนที่ศีรษะล้านเป็นขุนช้างและล้านมานานหลายปีแล้ว โอกาสจะสมหวังคงเป็นไปไม่ได้เพราะรากผมฝ่อไปหมดแล้ว การจะไปกินยาหรือทายาเพื่อให้เส้นผมงอกอีกนั้นเป็นไปไม่ได้เพราะไม่มีรากผมเหลือแล้ว

ผมร่วงตามธรรมชาติ
วงจรชีวิตของเส้นผมแต่ละเส้นบนหนังศีรษะจะมี 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ‘ระยะของการเจริญเติบโต’ โดยเส้นผมที่งอกจากรากผมจะเจริญเติบโตประมาณ 1 เซนติเมตรต่อเดือน และจะสามารถคงอยู่บนหนังศีรษะได้ประมาณ 3-7 ปีในคนที่มีสุขภาพปกติ จากนั้นจึงจะเข้าสู่ระยะที่ 2 คือ ‘ระยะพักตัว’ ระยะนี้เส้นผมจะไม่เจริญเติบโตและรากผมจะหดและเริ่มฝ่อ ระยะพักตัวนี้จะใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ก่อนจะเข้าสู่ระยะสุดท้ายคือ ‘ระยะหลุดร่วง’ ซึ่งรากผมและเส้นผมจะหลุดร่วงออกจากหนังศีรษะ ระยะนี้จะกินเวลาอีกประมาณ 3-4 เดือน และในที่สุดร่างกายจะมีปัจจัยต่างๆ มากระตุ้นให้เกิดการสร้างรากผมใหม่แทนที่รากผมที่ฝ่อและหลุดร่วงไป ในคนที่มีสุขภาพร่างกายปกติ เส้นผมบนหนังศีรษะส่วนใหญ่ประมาณ 80-95% จะอยู่ในระยะเจริญเติบโต ส่วนที่เหลือ 5-20% จะอยู่ในระยะหลุดร่วง ส่วนระยะพักตัวของเส้นผมจะสั้นมาก ดังนั้นเราจึงพบว่าทุกคนจะมีเส้นผมหลุดร่วงได้ทุกวัน ประมาณ 100-150 เส้นต่อวัน ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์พบว่าผู้หญิง เส้นผมบนหนังศีรษะจะมีระยะที่ 1 คือระยะเจริญงอกงามนานกว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงมีเส้นผมดกหนานานกว่าผู้ชาย และในระหว่างตั้งครรภ์ เส้นผมจะยิ่งดก แต่เมื่อหลังคลอดบุตร เส้นผมจะหลุดร่วงมากกว่าปกติตามฮอร์โมนที่ลดลง

นอกจากความเข้าใจในวงจรชีวิตเส้นผมแล้ว ความแตกต่างในวัยยังมีผลต่อการเจริญงอกงามของรากผมและเส้นผมอีกด้วย ในวัยเด็กและวัยรุ่นซึ่งเป็น วัยเจริญพันธุ์ ร่างกายสมบูรณ์มีฮอร์โมนเพศสูงสุด แน่นอนเซลล์ทั่วร่างกายมีการแบ่งตัวและเจริญเติบโตเต็มที่ รากผมก็เช่นกัน จะมีรากผมใหม่เกิดทดแทนรากผมเก่าที่ฝ่อและหลุดร่วงไปทันที โดยมีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่าอัตราการตายของรากผมรวมทั้งเซลล์อื่นๆ ทั่วร่างกายก็เช่นกัน ทำให้วัยเด็กและหนุ่มสาวมีเส้นผมดกแม้ว่าจะร่วงทุกวันก็ตาม แต่เมื่อคนเราย่างเข้าสู่วัยกลางคนและวัยชรา อัตราการเกิดของเซลล์ใหม่หรือรากผมน้อยกว่าอัตราการตายและหลุดร่วงของรากผม ทำให้ผมบางลงๆ พร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้น เพราะเส้นผมที่หลุดร่วงทุกวัน แต่รากผมไม่ได้งอกใหม่หรืออัตราการงอกน้อยกว่าอัตราการหลุดร่วงของเส้นผมนั่นเอง

ที่กล่าวไปข้างต้นเป็นเรื่องของธรรมชาติสำหรับคนที่มีสุขภาพสมบรูณ์ ดังนั้นหากพบว่าเราอยู่ในวัยกลางคนหรือวัยชรา หนังศีรษะมีผมบางก็เป็นเรื่องปกติไม่ต้องกังวลใจ และไม่ควรพยายามไปหาซื้อยาหรือวิตามินหรืออาหารเสริมหรือหายาอื่นใดมากินให้เสียเงินเสียทองอีก

ผมร่วงผิดปกติ
ผู้ที่มีเส้นผมร่วงมากผิดปกติจนผมบางลงอย่างสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน เกิดได้จากปัจจัยมากมายดังนี้
1 ผมร่วงชนิดชั่วคราว สาเหตุเช่น ความเครียดมากๆ เป็นระยะเวลานานๆ อาการผมร่วงมักจะตามมาโดยไม่รู้ตัว สามารถเกิดได้กับทุกวัยแม้แต่วัยเรียน อาจเกิดจาก การเจ็บป่วย เป็นไข้สูง หรือโรคต่างๆ หรือสาเหตุจากการเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หรือ เกิดกับ หญิงหลังคลอดบุตร หรือใน ผู้ที่มีการกินยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
การรักษา อาการผมร่วงชนิดชั่วคราวนี้ไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะจะหายเองได้ เช่นเมื่อ
หายเครียดจากปัญหา หายจากอาการเจ็บป่วยที่เรื้อรังหรือเมื่อหยุดการกินยา เส้นผมจะเจริญหนาแน่นดังเดิมได้

2 ผมร่วงจากกรรมพันธุ์ เกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรม และจากระดับของฮอร์โมน ‘เทสโทสเทอร์โรน testosterone’ ในร่างกาย พบได้ในทั้งหญิงและชาย แต่จะพบในชายมากกว่าหญิง
การรักษา ผมร่วงจากสาเหตุนี้แก้ได้ยากมากแม้ว่านักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะ
พยายามคิดค้นยาใหม่ๆ แต่ก็ยังไม่ได้ผล แพทย์ผิวหนังมักนิยมจ่ายยา เพื่อลดปริมาณของฮอร์โมนชนิดนี้ในร่างกาย หรือจ่ายยาลดความดันโลหิตซึ่งมีอาการข้างเคียงคือ การงอกของเส้นผม แต่เส้นผมที่งอกจะเป็นเพียงเส้นขนอ่อนๆ บางๆ เท่านั้น หรือแม้แต่ยากลุ่ม สเตรียรอยด์ ที่แพทย์บางท่านก็นิยมจ่าย แต่ผลลัพธ์ว่าจะมีเส้นผมงอกหนาได้นั้น คงเป็นไปได้ยากมากในกรณีของผมร่วงจากสาเหตุของพันธุกรรม แต่ที่แน่ๆ คือจะได้รับอันตรายจากยาอันตรายเหล่านี้

องค์ประกอบเคมีของผลิตภัณฑ์บำรุงผมหรือป้องกันผมร่วง
จะพบสินค้าเหล่านี้ขายดิบขายดี เพราะทุกคนอยากมีความหวังขอให้เส้นผมงอกงามดกหนาเหมือนวัยหนุ่มสาว (แม้ว่าจะใช้มานานปียังไม่ได้ผลแต่ก็ยังยินดีเสียเงินซื้อใช้ต่อไป) องค์ประกอบหลักทางเคมีมักประกอบไปด้วย

1.สารสำคัญในการกระตุ้นให้มีการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงรากผม เพื่อป้องกันผมร่วง มีมากมาย เช่น วิตามินชนิดต่างๆ รวมทั้งสารสกัดจากพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ

2.สารอาหารในกลุ่มโปรตีน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้รากผมและเส้นผม

3.สารสำคัญที่มีประสิทธิภาพลดและควบคุมปริมาณไขมันของหนังศีรษะ และลดอาการอักเสบของต่อมไขมัน

4.สารสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์บนหนังศีรษะ

ข้อควรสังเกตและน่าคิด
หากยาและผลิตภัณฑ์ป้องกันผมร่วง มีประสิทธิภาพแก้ปัญหาผมร่วงได้ เราคงไม่ได้เห็นคนหัวเถิกหรือหัวล้านในผู้ชายได้ในทุกประเทศทั่วโลก สาเหตุจากพันธุกรรมคงต้องยอมรับ หรือมิฉะนั้นอาจแก้ปัญหาโดยการใส่วิกผมหรือชนิดถักทอเส้นผมลงบนหนังศีรษะ จะปลอดภัยกว่าการพยายามหาซื้อยาวิเศษที่อันตรายแต่ปราศจากความหวังมาเป็นที่พึ่ง



150 point

LINE it!





  เรื่องเกี่ยวข้อง: นิตยสารออนไลน์ ผมร่วง

ฉบับที่ 277 ป้องกันผดผื่นหน้าร้อนได้ด้วยตนเอง

        หน้าร้อนประเทศไทย พ.ศ. 2567 อุณหภูมิพุ่งสูงไปถึง 40 กว่าองศา ถือว่าร้อนมากๆ จะออกไปไหนทีแทบละลายเพราะอุณหภูมิ อากาศร้อนแล้วแดดยังแรงไปอีกก็อย่าลืมป้องกันผิวด้วยครีมกันแดดเพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี แต่ว่านอกจากผิวไหม้เกรียมจากแดด ปัญหาที่พบบ่อยของหลายคนในช่วงหน้าร้อนนี้อีกอย่างจากสภาพอากาศร้อนก็คงจะเป็นอาการผดผื่นที่ขึ้นมาตามร่างกาย ซึ่งจะป้องกันได้อย่างไรฉลาดซื้อมีคำแนะนำมาฝาก         ผดผื่นหน้าร้อนเกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อ ขึ้นได้ทุกบริเวณร่างกายทั้ง ใบหน้า หลัง แขน ขา ข้อพับต่างๆ ตามจุดที่เกิดเหงื่อได้ง่าย ปกติผดผื่นลักษณะนี้มักจะสามารถหายไปได้เองได้ตามธรรมชาติอาจจะไม่ต้องกังวลมาก แต่ยังไงก็ต้องป้องกันไว้ก่อนดีกว่าซึ่งทำได้ง่ายๆ  ดังนี้         1. ผดผื่นเกิดจากความร้อนเป็นสาเหตุ เราก็พยายามอยู่ในที่อากาศเย็น โล่งโปร่งสบายๆ พื้นที่อากาศถ่ายเทได้ตลอด หลีกเลี่ยงไม่ให้เหงื่อออกเยอะได้ยิ่งดี        2. ใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี ไม่เป็นเสื้อที่คับแน่นจนเกินไป ที่สำคัญควรเป็นเสื้อซักสะอาดแล้ว ไม่ใส่เสื้อซ้ำเพราะอาจก่อให้เกิดความหมักหมม เหงื่อไคล สิ่งสกปรกต่างๆ ได้ เรื่องสุขอนามัยสำคัญเสมอ        3. อาบน้ำเย็นและไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ก่อให้ระคายเคืองง่าย หรือใช้แล้วผิวแห้งตึง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม        4. สายออกกำลังกาย แนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งที่แดดแรงๆ และควรทาครีมกันแดดซ้ำสม่ำเสมอ  หลังออกกำลังกายควรอาบน้ำเพื่อชำระคราบเหงื่อบนร่างกายออก        5. หลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่อุณหภูมิสูง        6. สำหรับใครที่สายบำรุงผิว ต้องทาครีมสม่ำเสมอแนะนำให้ไม่เลือกเนื้อครีมที่หนักจนเกินไป เพราะจะทำให้อุดตันได้ง่าย          ผดผื่นไม่ค่อยอันตรายแต่มักจะสร้างความรำคาญ เช่น อาการคัน และเป็นตุ่มใสๆ ขึ้นมาแนะนำว่าพยายามอย่าแกะหรือเกา เพราะอาจทำให้แผลถลอกแสบจนก่อให้เกิดแผลเป็น         วิธีรักษาผดผื่นได้ด้วยตัวเองเบื้องต้น หากมีอาการคันมากๆ แนะนำให้อาบน้ำเย็นหลังจากนั้น ให้ทายาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการคัน เช่น Calamine Lotion ถ้าไม่ดีขึ้น หรือหลายวันแล้วผื่นผด ยังไม่ยุบและมีตุ่มหนอง ตุ่มแดง หรืออาการอื่นๆ ร่วมด้วย แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี อย่าซื้อยามากินหรือทาเองเด็ดขาด         ในกรณีเข้าร้านยาเพื่อซื้อยาควรปรึกษาเภสัชกรโดยบอกอาการให้ชัดเจน บอกตัวยาที่เราแพ้ให้ละเอียดเพื่อป้องกันอันตรายในการบริโภคยาผิดชนิด อ่านและศึกษาวิธีการใช้ให้ชัดเจน เพราะยาทาบางตัวที่ใช้ทาผิวหนังอาจเป็นยาสเตียรอยด์ใช้บ่อยๆ จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้ ทั้งนี้ นอกจากผดผื่นทางผิวหนังช่วงหน้าร้อนแล้ว ยังคงมีโรคทางผิวหนังช่วงหน้าร้อนอีกหลายประเภท ดังนั้น อยากให้หลายๆ คนดูแลตนเองโดยหมั่นรักษาความสะอาด สุขอนามัยให้ดี ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ  ข้อมูลจาก https://www.vimut.com/article/Prickly-heathttps://www.siphhospital.com/th/news/article/share/379https://www.pobpad.com/ผดร้อนhttps://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/รับมือ-ผดผื่นคัน-วายร้า/

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 276 “รอยสิว” แก้ยังไงดี

        “รอยสิว” ไม่ใช่เรื่องสิวๆ เอาเสียเลย ยิ่งถ้ามันเยอะจนเกินไป ยิ่งเป็นเรื่องกวนใจอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะมันทำให้ผู้ประสบปัญหาขาดความมั่นใจได้ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดงหรือหลุมสิวที่ทิ้งร่องรอยไว้บนหน้า แต่มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนเป็นสิว อย่างไรก็ตามก็พอมีวิธีการรักษา ดูสิว่าทำอย่างไรได้บ้าง           ก่อนที่จะไปรักษารอยสิว สิ่งที่ไม่ควรทำและหลีกเลี่ยง มีดังนี้         ·  เวลาเป็นสิวไม่ว่าจะสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ ห้ามแกะ/บีบสิว หรือกดสิวเอง ควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้กดเท่านั้น        ·  ไม่ขัดถู สครับใบหน้าแรงๆ เพื่อไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง         · ไม่ควรนำส่วนผสมต่างๆ ที่เป็นกรดแรงๆ มาแต้มสิวเพราะอาจเกิดอาการไหม้ได้จนทำให้เป็นรอยดำมากกว่าเดิมวิธีการรักษารอยดำ แดง จากสิว                   รอยสิวต่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่สิวหายแล้วนั้น หากเป็น “รอยแดง” และ “รอยดำ” บริเวณบนใบหน้าจะรักษาได้ง่าย นั่นคือต้องขยันทาครีมหรือเจลลดรอยสิวอย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถใช้พวกผลิตภัณฑ์ช่วยลดรอยดำจากสิวที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไปได้ แต่จะให้ดีเลือกตัวที่มีกลุ่มสารประกอบ เช่น ไนอะซินาไมด์ วิตามินซี  กรดซาลิไซลิก(กลุ่มผลัดเซลล์ผิว) หรืออาร์บูติน โดยเลือกที่มีส่วนผสมที่มาจากสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ มะเขือเทศ หอมแดง เป็นต้น อ่านฉลากให้ละเอียดเพื่อดูส่วนผสมต่างๆ ให้ดีเพื่อป้องกันที่จะแพ้ส่วนผสมบางตัว และอย่าลืมดูวันเดือนปีที่หมดอายุ รายละเอียดวิธีการใช้ ชื่อบริษัทที่ผลิต/จัดจำหน่าย                          ในส่วนของสารกลุ่มผลัดเซลล์ผิวแน่นอนว่าสามารถช่วยลดรอยได้แต่ควรระมัดระวังการใช้ให้ถูกวิธี อ่านฉลากก่อนซื้อทุกครั้งว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับอะไร เนื่องจากผลิตภัณฑ์กลุ่มผลัดเซลล์ผิวบางตัวใช้เป็นกลุ่มรักษาสิว ซึ่งหากนำมาใช้ลดรอยโดยเฉพาะนั้น คงจะไม่เหมาะเพราะใช้ผิดวัตถุประสงค์และอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้มากกกว่าเดิม จากหน้าที่ดีขึ้นอาจจะกลายเป็นแย่ลงได้นั่นเอง                 นอกจากนี้ อย่าลืมทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ทุกตัว และที่สำคัญควรทามอยเจอร์ไรเซอร์รวมถึงครีมกันแดดในช่วงระหว่างรักษารอยดำ แดง เพื่อป้องกันแสงแดดทำร้ายผิวให้หมองคล้ำกว่าเดิม ควรเป็นกันแดดที่มีประสิทธิภาพดี เช่น มี SPF 50+ ขึ้นไป         หากผู้บริโภคมีรอยสิวเยอะมากและรู้สึกว่าใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแล้วแต่ก็ไม่ช่วยอะไร อีกวิธีที่ช่วยลดรอยให้เร็วขึ้น คือ การทำเลเซอร์ลดรอย ซึ่งส่วนมากจะนิยมใช้เป็นตัวเลเซอร์ IPL (ปัจจุบันอาจมีเลเซอร์ตัวอื่นที่สามารถช่วยได้เช่นเดียวกัน) การเข้าใช้บริการรักษาด้วยเลเซอร์จากคลินิกเสริมความงาม ควรตรวจสอบให้ดีเกี่ยวกับรายละเอียดใบอนุญาตคลินิก สอบถามเรื่องค่าใช้จ่ายหรือวิธีการรักษาให้ชัดเจน และรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น         กรณี รอยหลุมสิว หรือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว เป็นรอยที่รักษายากพอสมควร ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีครีมตัวไหนรักษาให้กลับมาเนียนเหมือนเดิมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ วิธีเดียวคือการเลเซอร์เท่านั้น ดังนั้นหากใครที่ดูรีวิวจากบรรดาอินฟลูเอนเซอร์แล้วมีการเคลมว่ามี ครีมสามารถรักษาหลุมสิวให้หายได้อย่างรวดเร็ว 3-7 วัน อย่าหลงเชื่อนะคะ  ข้อมูลจาก วิธีรักษาและลบรอยสิว - พบแพทย์ (pobpad.com)https://ch9airport.com/th รอยดำหลังการเกิดสิว รักษาอย่างไรดีhttps://www.si.mahidol.ac.th/metc/met/th/images/exhibition/METex2022/Acne/scar.html

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 275 ใส่คอนแทคเลนส์อย่างไร ให้ปลอดภัย

        การใส่คอนแทคเลนส์ยังคงเป็นที่นิยม บางคนใส่เพื่อแก้ปัญหาทางด้านสายตา แต่บางรายก็เพื่อแฟชั่นความสวยงามเฉยๆ แต่รู้หรือไม่ แม้การใส่คอนแทคเลนส์จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรแต่ก็ควรจะต้องระมัดระวังกันไว้ เพราะเกี่ยวพันกับอวัยวะสำคัญอย่างดวงตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่บอบบาง หากดูแลไม่ดีอาจทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้ ยิ่งเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่หัดใส่คอนแทคเลนส์เป็นครั้งแรกด้วยนั้น ยิ่งต้องดูแลให้ปลอดภัย ฉลาดซื้อจึงมีวิธีที่ถูกต้องมาแนะนำ การเลือกซื้อคอนแทคเลนส์         คอนแทคเลนส์ที่จำหน่ายโดยทั่วไปส่วนมากจะมีระยะเวลาในการใส่ เช่น หลักๆ ก็จะมีเป็นแบบรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน รายปี เป็นต้น ซึ่งสำหรับผู้ใส่คอนแทคเลนส์ควรจะใส่ตามระยะเวลาที่เลือกซื้อ เช่น หากเลือกซื้อแบบรายวัน ก็ควรใช้แบบวันต่อวันและเปลี่ยนใหม่ในวันถัดไปทันที ไม่ควรเอาแบบรายวันมาใส่เป็นรายเดือนเด็ดขาด รวมถึงแบบอื่นๆ ด้วย ห้ามใช้เกินระยะเวลาที่กำหนดเพื่อความปลอดภัย         ในหมู่วัยรุ่นมักจะนิยมใส่คอนแทคเลนส์โดยซื้อจากตามท้องตลาดทั่วไป โดยไม่ตรวจเช็กรายละเอียดอื่นๆ แนะนำว่า ควรต้องดูฉลากกันสักหน่อย เช่น ชื่อคอนแทคเลนส์ วัสดุที่ใช้ วันเดือนปีที่หมดอายุ ที่สำคัญเลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสามารถนำเลขมาตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ ระบบตรวจสอบผลิตภัณฑ์ - กระทรวงสาธารณสุข อย่าลืมติ๊กเครื่องมือแพทย์ก่อนตรวจสอบ  ข้อควรรู้ก่อนใส่คอนแทคเลนส์        1. สำหรับผู้ที่ต้องการใส่คอนแทคเลนส์เนื่องจากปัญหาสายตาสั้นแนะนำให้สอบถามผู้เชี่ยวชาญและเข้าตรวจวัดค่าสายตาก่อนใส่         2. ล้างมือให้สะอาดเสมอก่อนสัมผัสคอนแทคเลนส์ทุกครั้งก่อนใส่         3. ก่อนใส่คอนแทคเลนส์ควรนำออกมาแช่น้ำยาคอนแทคเลนส์ก่อนทุกครั้ง ไม่แนะนำให้แช่เป็นน้ำเกลือหรือน้ำเปล่า         4. ตรวจเช็กก่อนใส่ว่าเลนส์ไม่พลิกหรือกลับด้าน เพื่อป้องกันการใส่ผิดด้านแล้วเกิดการระคายเคือง        5. เมื่อใส่คอนแทคเลนส์แล้วไม่รู้สึกระคายเคืองตา แสดงว่าเข้าที่เรียบร้อยแล้ว หากมีอาการแสบตาระคายเคืองไม่หาย แนะนำควรถอดออกทันที         6. ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์นอนข้ามคืน (ต้องถอดออกก่อนเสมอ) เพราะเสี่ยงทำให้เกิดอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรืออื่นๆ ที่อันตรายต่อดวงตาได้        7. สำหรับคนที่ปัญหาตาแห้งบ่อยควรพกน้ำตาเทียมเพื่อหยอดระหว่างวัน แนะนำใช้แบบธรรมดาไม่เป็นแบบหยอดตาแล้วเย็นหรือใดๆ ทั้งสิ้น        8. ที่สำคัญคือไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับคนอื่นโดยเด็ดขาด  ดูแลรักษาอย่างไรหลังใช้งาน         สำหรับคนที่ใช้แบบรายสัปดาห์ รายเดือนหรือปี ควรเปลี่ยนน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์ในตลับทุกครั้งหลังใช้งาน และควรทำความสะอาดอีกด้วย โดยมีวิธีดังนี้         ล้างมือให้สะอาดและนำคอนแทคเลนส์ ไว้บนฝ่ามือเทน้ำยาลงที่เลนส์แล้วใช้นิ้วถูทำความสะอาดบริเวณเลนส์สักพัก และล้างด้วยน้ำยาอีกรอบ เมื่อเสร็จให้นำใส่ตลับแล้วแช่น้ำยาเหมือนเดิม รวมถึงทำความสะอาดตลับที่ใส่ทุกวัน ในส่วนของตลับใส่ก็ควรเปลี่ยนอย่างน้อยทุก 3 เดือน  ข้อควรระวัง        ·     พิจารณาบรรจุภัณฑ์หรือขวดบรรจุคอนแทคเลนส์ ต้องไม่มีรอยชำรุดหรือเสียหาย หากเจอในลักษณะนั้น ไม่ควรนำมาใช้งาน        ·     น้ำยาคอนแทคเลนส์ ควรดูฉลากให้ชัดเจน โดยเฉพาะวันเดือนปีที่หมดอายุ ถ้าหมดอายุแล้วไม่ควรนำมาใช้ต่อ ไม่ต้องเสียดายให้ทิ้งไปเลย นอกจากนี้อ่านฉลากหรือวิธีการใช้งานให้ละเอียดและควรทำตามอย่างเคร่งครัด เนื่องจากตัวน้ำยาคอนแทคเลนส์ก็มีหลากหลายรูปแบบ บางอันสามารถหยอดตาได้หรือบางอันไม่ได้  และวิธีการใช้งานอาจแตกต่างกัน และอย่าลืม ไม่ควรใช้น้ำเปล่าหรือน้ำเกลือแทนน้ำยาเด็ดขาด         ·     หากมีอาการปวดเจ็บตาผิดปกติจากเดิม เช่น ตาแดง ตามัว ตามแห้ง รวมถึงอาการต่างๆ มากกว่านี้ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา  ข้อมูลจาก : วิธีการดูแล คอนแทคเลนส์ ที่ถูกต้อง วิธีใส่คอนแทคเลนส์ที่ปลอดภัย ทำได้ง่ายใน 7 ขั้นตอนคอนแทคเลนส์ ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยคอนแทคเลนส์ : เภสัชกรหญิง กิตติมา วัฒนากมลกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลใส่คอนแทคเลนส์อย่างไร ให้ปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 274 การดูแล “ส้นเท้าแตก”

        ปัญหาผิวหนังที่หลายคนอาจมองข้ามไป คือ อาการส้นเท้าแตก ซึ่งแม้มันจะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรมากมาย หรืออันตรายต่อสุขภาพ แต่มักสร้างความรำคาญแถมอาจทำให้เสียความมั่นใจในการโชว์เท้าสวยๆ ของตัวเอง        สาเหตุในการเกิด “ส้นเท้าแตก” อาจจะเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ส่วนใหญ่คือความเสี่ยงด้านพฤติกรรมต่างๆ  เช่น  การไม่สวมรองเท้าและเดินเท้าเปล่าบ่อยจนเกิดการเสียดสีมากๆ  อากาศที่แห้งหรือหนาวเย็นหากบริเวณส้นเท้าไม่ทาครีมก็ทำให้ขาดความชุ่มชื่นจนเท้าแตกได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม บางคนอาจเกิดจากการอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ หรือแพ้สารเคมี ส่วนสาเหตุที่อาจพบไม่บ่อย คือ เกิดจากอาการป่วยหรือโรคที่เป็นนั้นเอง         ทั้งนี้ เรื่องอายุที่มากขึ้นก็เช่นกัน เมื่อเรามีอายุมากขึ้นจะมีผิวแห้งกร้านกว่าวัยหนุ่มสาว บริเวณที่เสียดสีกับปัจจัยต่างๆ ข้างต้น จะยิ่งเร่งให้ส้นเท้าแตกง่ายขึ้น  แล้วเราควรจะดูแลส้นเท้าแตกของเราอย่างไร การดูแลส้นเท้าแตก        ·     เลือกทาครีมบำรุงบริเวณส้นเท้าที่ให้ความชุ่มชื้นเยอะๆ หรืออาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นกลุ่มให้ความชุ่มชื้น เช่น  ยูเรีย กลีเซอลีน สามารถทาและสวมถุงเท้าก่อนนอนได้เลย        ·     เรื่องการรักษาสุขอนามัยก็สำคัญ สามารถทำความสะอาดด้วยการแช่เท้าด้วยน้ำอุ่นแต่ไม่ควรเป็นน้ำที่ร้อนจนเกินไปเพราะจะทำให้เสียความชุ่มชื้นได้ ไม่ควรแช่นานจนเกินไป หลังจากนั้น สามารถนำหินมาขัดส้นเท้าเบาๆ ได้ เพื่อนำเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ทั้งนี้ ไม่ควรขัดแรงๆ อีกด้วย ควรขัดเบาๆ ก็พอ        ·     เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่ทำร้ายผิว ไม่แห้งตึง  หรือเป็นกรดด่างเกินไป เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนหรือมีมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นส่วนผสมยิ่งดี แนะนำให้อ่านฉลากส่วนผสมก่อนซื้อทุกครั้ง        ·     ในส่วนของคนที่ชอบถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่า แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใส่รองเท้าทุกครั้ง ก่อนเดินไปที่พื้นเพื่อป้องกันการเสียดสี เปลี่ยนจากรองเท้าแตะเป็นรองเท้าหุ้มส้นได้ยิ่งดี แต่ก็ไม่ควรเป็นรองเท้าที่คับแน่นจนเกินไป        ·     การดื่มน้ำเป็นประจำวันละ 8 แก้ว ก็เป็นตัวช่วยจากภายในสู่ภายนอกได้         นอกจากนี้ อย่าลืมสังเกตตัวเองด้วยว่าปัญหาส้นเท้าแตกของตัวเองที่เกิดนั้น มาจากสาเหตุใด  แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤกรรม         อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บางคนอาจจะเป็นมากถึงขนาดส้นเท้าแตกลาย หรือมีอาการเจ็บเป็นแผลลึก แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และหากเป็นผลข้างเคียงมาจากโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ด้วยยิ่งต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้อง เพราะแพทย์จะเลือกทำการรักษาให้เหมาะสมกับอาการ อาจจะจ่ายยารับประทาน ยาทาผิวหรือต้องผ่าตัดเอาเนื้อตายออก เป็นต้น ข้อมูลจาก Hello คุณหมอ : วิธีแก้ส้นเท้าแตก และวิธีดูแลส้นเท้าไม่ให้แห้งแตกPobPad :  ส้นเท้าแตก สาเหตุและวิธีการรับมืออย่างเหมาะสม

อ่านเพิ่มเติม>

ความคิดเห็น (0)