ฉบับที่ 143 เปลี่ยนกรุงเทพ ฯ เพื่อผู้บริโภค

คนรักษ์อนุสาวรีย์ชัย เป็นการรวมตัวกันของบุคคล หน่วยงานที่อยู่อาศัย บุคลากรที่ทำงานบริเวณอนุสาวรีย์ชัย ตั้งแต่โรงพยาบาลราชวิถี โบสถ์บ้านเซเวียร์ สมาคมบำเพ็ญประโยชน์ เดอะเน็ตเวิร์ค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ห้างสรรพสินค้าเซ็นเตอร์วัน เซ็นจูรี่ คลินิกเพชรา ร้านคอมพิวเตอร์สยาม ก๋วยเตียวเรือพระนคร นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่อาศัยบริเวณใกล้เคียงอีกจำนวนนึง


สิ่งที่น่าสนใจของอนุสาวรีย์ชัย คงหนีไม่พ้นความสะดวกสบายที่เราสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้จากจุดนี้ เดินทางไปจังหวัดใกล้เคียงมีท่ารถตู้ที่สามารถขึ้นได้ทุกมุมอนุสาวรีย์ชัย ปัญหาที่ตามมาเมื่อมีคนเดินทาง ย่อมคู่กับการค้าขาย อยากจะได้อะไร ทั้งของใช้ของกิน ของย่าง ของปิ้ง ผัด ต้ม หรือทอด มีให้เลือกได้หมด จนคนเดินถนนต้องไปเดินเลนที่สอง หรือคนขึ้นรถเมล์ต้องรอรถเมล์บนถนน

 

ปัญหาสำคัญสี่ห้าอย่างถูกนำมาพูดคุยทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการเกือบ 20 ครั้ง เช่น การปรับปรุงเกาะรอบอนุสาวรีย์ชัย ให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการการใช้งานของอนุสาวรีย์ชัยที่เป็นเมืองเดินทางไม่ใช่ปรับปรุงเพื่อการขายของกินของใช้ถาวร การอยู่ร่วมกันของร้านค้า คนขายของบนทางเท้า คนเดินถนน คนขึ้นรถเมล์ รถตู้ หรือปัญหารถตู้ที่จอดผิดกฎหมายเย้ยบริษัทขนส่งจากทุกเส้นทางของประเทศรอบเกาะอนุสาวรีย์ชัย คนเสียชีวิตจากรถฉุกเฉินไม่สามารถเข้าโรงพยาบาลได้จากการจราจรที่ติดขัด รถที่จอดขวางหน้าโรงพยาบาล โบสถ์ หรือรถตู้ปิดถนนแทบทุกซอยในอนุสาวรีย์ชัย ยังไม่นับรวมปัญหาความปลอดภัยและความสะอาด


สิ่งที่น่าสนใจของคนรักอนุสาวรีย์ชัย คือไม่รอให้ผู้ว่ากทม. ปลัดกทม. เข้ามาจัดการปัญหาแต่ขอมีส่วนร่วมกับกทม.ในการจัดการอนุสาวรีย์ชัย การนัดพบผู้ว่ากทม. รองผู้ว่ากทม. ที่ปรึกษาผู้ว่ากทม. เขตราชเทวี สำนักจราจรและขนส่ง(สจส.) อธิบดีกรมการขนส่ง ขสมก. การทางพิเศษแห่งประเทศไทย สถานีตำรวจพญาไท ดินแดงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ

 

การเลือกตั้งมักจะคู่กับการขายฝันของผู้ว่า ไม่ว่าจะอาสามาทำ(รับใช้)อะไรให้กับคนกรุงเทพ ฯ หรือเลือกผมหากต้องการใช้ผม ผมยินดีรับใช้คนกรุงเทพ ฯ เปลี่ยนแปลงกรุงเทพ ฯ ร่วมมือกับรัฐบาลแบบไร้รอยต่อ น่าจะตอกย้ำความเชื่อเดิม ว่า เรารอให้ผู้ว่าจัดการ ปัญหาหลายอย่างจึงเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากขึ้นไปทุกวัน ผู้บริโภคต้องยอมจำนน คนเดินถนนถูกร้านค้าชิงพื้นที่ทางเท้า ปัญหารถตู้ยืน ปัญหารถติดทั่วกรุงเทพมหานคร เพราะเรารอให้มีคนมาแก้ปัญหา กรุงเทพมหานครมี 50 เขต หากทุกเขตรอให้ผู้ว่าจัดการหรือมารับใช้ 4 ปีก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


และก็น่าเสียดายที่ยังไม่เห็นนโยบายผู้ว่ากทม. ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของคนในแต่ละเขต หรือแม้แต่มีนโยบายใหม่ๆ เช่น ปฏิรูปกฎหมายและหน่วยงานในกรุงเทพมหานคร การจัดการเมืองและงบประมาณแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้คนร่วมตัดสินใจว่าเขาอยากให้ชุมชนหรือเมืองของเขามีหน้าตาอย่างไร ภาพลักษณ์หน้าตาของอนุสาวรีย์ชัย ควรจะเป็นอย่างไร  เป็นหมอชิต 2 สายใต้ 2 เอกมัย 2 หรือเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีก๋วยเตี๋ยวเรือแสนอร่อย สะอาด กินแล้วท้องไม่เสีย แถมใครอยู่ที่ไหนก็มีสิทธิโหวตและรักอนุสาวรีย์ชัยได้


แหล่งข้อมูล: สารี อ๋องสมหวัง

150 point

LINE it!





  เรื่องเกี่ยวข้อง: นิตยสารออนไลน์ สารีอ๋องสมหวัง

ฉบับที่ 252 “จุดประกายความคิด”

        ปฏิเสธไม่ใด้ว่า การเรียกคืนรถนต์ทั่วโลกของหลายบริษัท ในประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความฮือฮาและแปรเปลี่ยนมาเป็น “พลัง” ให้กับผู้บริโภคทั่วโลกโดยปริยาย         ความรับผิดชอบดังกล่าวของบริษัทผลิตรถยนต์ กลายเป็น“ตัวอย่าง” ที่สร้างแรงกดดันและช่วย “ยกระดับ”มุมมองและความคิดให้กับผู้บริโภคข้ามชีกโลกทันที         เพราะนับจากนี้ไป บรรดาผู้บริโภคทั้งหลายต่างก็มุ่งหวังตรงกันว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ในประเทศของตนเอง ก็อยากจะเห็นการแก้ไขปัญหาจากบริษัท หรือหน่วยงานต่างๆ ในประเทศของเรา ปฏิบัติตาม“มาตรฐานเดียวกัน” กับประเทศสหรัฐอเมริกา         บทเรียนและประสบการณ์ในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคจากต่างประเทศที่แตกต่างและหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการทำงานรณรงค์ด้านนโยบาย การทำงานศึกษาวิจัย ความเป็นอิสระขององค์กรในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่ต้องพึ่งแหล่งเงินทั้งภาครัฐและธุรกิจเอกชน บทบาทขององค์กรผู้บริโภคในการเปรียบเทียบข้อมูลเพื่อให้ผู้บริโภคใช้ข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า (RatingComparative Testing) เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภค หรือรูปแบบการพึ่งตนเองในการทำงานขององค์กรผู้บริโภค ทั้งจากอตีตหรือในปัจจุบันล้วนมีความสำคัญต่อการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย เพราะสามารถนำมาปรับปรุงเพื่อหาแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับเศรษฐกิจสังคมและการเมือง ทั้งยังเหมาะสมกับวัฒนธรรมมใของผู้บริโภคในประเทศไทย การถ่ายทอดบทเรียนและประสบการณ์การเคลื่อนไหวของผู้บริโภคทั้งจากต่างแดนจะแปรเปลี่ยนเป็น “พลัง” ที่ช่วยจุดประกายและยกระดับการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคให้เกิดขึ้นได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน         เพราะไม่ว่าจะอยู่ชีกมุมไหนของโลก การทำงานก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งจากจุดเล็กๆ และพัฒนาต่อยอดจนผู้บริโภคเชื่อถือ ไว้วางใจกระทั่งก้าวออกมาสนับสนุนเพื่อให้การทำงานคุ้มครองผู้บริโภคเติบใหญ่อย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น         จากหนังสือ “ไปเห็นมากับตา...ทำมากับมือ เปิดเบื้องหลัง “พลัง”ผู้บริโภค

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 251 “ราคารถไฟฟ้าควรเป็นเท่าใด ทำไมคมนาคมเสนอ 36 บาทและทำไมสภาองค์กรของผู้บริโภคเสนอ 25 บาท”

        ประชาชนจำนวนมากยังไม่ได้รับทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด บางส่วนยังตั้งคำถามกับราคา 25 บาทที่สภาองค์กรของผู้บริโภคนำเสนอว่าทำได้มั้ย มาจากอะไร         ราคาตั้งต้นของกระทรวงคมนาคมกำหนดค่าโดยสารที่ 49.83 บาท สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ลดราคาค่าโดยสารลงเหลือ 50% เฉลี่ยที่ 25 บาทโดยยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรถไฟฟ้าจำนวนเท่าเดิมตามตัวเลขของกระทรวงคมนาคม พบว่ากทม. ยังมีรายได้ในปีพ.ศ. 26020 จำนวน 23,200 ล้านบาท ทั้งยังได้รับการยืนยันจาข้อมูลของนักวิชาการว่า ค่าใช้จ่ายในการเดินรถต่อคนต่อเที่ยวของสายสีเขียวระหว่างปี2557-2562 อยู่ระหว่าง 10.10-16.30 บาท เท่านั้น หรือหากติดตามข้อมูลเรื่องนี้ก็จะพบว่า ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานครหรือพรรคการเมืองต่างๆ ยืนยันว่าราคา 20 บาทขึ้นไปเป็นราคาที่ทำได้จริง         แต่สิ่งที่สำคัญมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าปัญหารถไฟฟ้าราคาแพงถึงคนรุ่นต่อไป คือโอกาสของประเทศในการจัดการรถไฟฟ้าทั้งระบบ ระบบตั๋วร่วมการยกเว้นค่าแรกเข้า การกำหนดราคาค่าโดยสารสูงสุด เพราะถึงแม้สายสีเขียวจะถูกลงแต่หากสัญญาสัมปทานไม่มีข้อกำหนดหรือกติกาเหล่านี้ ประชาชนก็ต้องจ่ายราคาแพงในการเดินทางข้ามโครงข่ายรถไฟฟ้าหลากสี ซึ่งสัญญาสัมปทานสายสีเขียวที่นำเข้าสู่การพิจารณาของครม. ไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้เลย และหากจะมีการแก้ไขสัญญาสัมปทานในอนคต คงหลีกเลี่ยงค่าโง่ในการดำเนินการมิได้         การดำเนินการครั้งนี้จึงมีความสำคัญกับประชาชน ในการทำให้ระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพและการเชื่อมต่อกับจังหวัดรอบๆ ปริมณฑลเป็นจริงเพื่อแก้ปัญหาการจราจร ฝุ่น PM 2.5และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน         ล่าสุดจากการเปิดเผยข้อมูลของกระทรวงคมนาคมวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่า ข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมยืนยันว่าสามารถใช้ราคา 36 บาทในการดำเนินการได้จากรายได้ที่กรุงเทพมหานครได้รับ         นอกจากนี้การต่อสัญญาสัมปทานล่วงหน้ารถไฟฟ้าสายสีเขียว 30 ปี ได้ถูกตั้งคำถามปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ได้ดำเนินการตามพรบ. ร่วมทุน และปัญหาค่าโดยสารราคาแพงที่เป็นภาระหนักของผู้บริโภคในอนาคตนานถึง 37 ปี ที่สูงถึง 65 บาท หรือ 39% ของรายได้ขั้นต่ำของ ประชาชน จะมีทางออกอย่างไร ถึงแม้คณะรัฐมนตรีจะยังชะลอการนำเข้าพิจารณาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา         ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า คณะรัฐมนตรีมีความเสี่ยงในการพิจารณาเรื่องนี้ ทั้งข้อเท็จจริงหรือรายได้ ราคาค่าโดยสารที่ขาดที่ไปที่มา ไม่ครบถ้วน ซึ่งราคาที่กำหนดยังได้รับการยืนยันว่า เป็นการเหมารวมระบบสัมปทานแบบทั้งการเดินรถและสิทธิประโยชน์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การโฆษณาตลอดระยะเวลา 37 ปี จึงมั่นใจว่า ราคาค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 25 บาทที่นำเสนอจึงเป็นสิ่งที่ทำได้จริงและหากจะรวมค่าโดยสารรถเมล์หรือบริการขนส่งมวลชนอื่นๆ อีกไม่เกิน 8 บาท รวม 33 บาทจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลทำได้จริง

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 250 เรื่องหมู ที่ไม่หมู

        สภาองค์กรของผู้บริโภคเสนอ ให้นำเข้าเนื้อหมูแช่แข็งชั่วคราวแบบมีเงื่อนไขจากแหล่งผลิตที่ปลอดสารเร่งเนื้อแดงเท่านั้น เร่งปรับโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) และผลักดันท้องถิ่นให้สนับสนุนเกษตรรายย่อยเลี้ยงหมูเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ รวมทั้งผู้บริโภคต้องมีบทบาทสนับสนุนให้เกิดการเลี้ยงหมูแบบธรรมชาติ หรือหมูหลุม เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะ         สาเหตุของหมูแพงเชื่อว่าผู้บริโภคคงได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากข่าวสารต่างๆในสื่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกเนื้อหมูก่อนหน้า การเป็นโรคอหิวาต์แอฟริการของหมูทำให้มีหมูน้อยลงทั้งระบบ และรวมถึงการปกปิดข้อมูลทำให้การจัดการปัญหาล่าช้า และไม่ทันการณ์การจัดการโรคระบาดซึ่งโดยข้อมูลของหลายหน่วยงานแจ้งว่า ต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 18 เดือน        ทางออกของผู้บริโภคในเรื่องนี้ซับซ้อนมาก ถึงแม้ข้อเสนอระยะสั้นที่ทุกฝ่ายจะเห็นด้วยว่า อาจจะจำเป็นที่จะต้องนำเข้าเนื้อหมูแช่แข็งชั่วคราวเนื่องจากปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ และราคาแพงจนไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค แต่การนำเข้าเนื้อหมูต้องกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนและสนับสนุนให้เกิดทางเลือกในการบริโภคของผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยจำกัดเฉพาะเนื้อหมูที่มาจากแหล่งผลิตที่ปลอดจากการใช้สารเร่งเนื้อแดงเท่านั้น         ส่วนข้อเสนอระยะยาว จะทำอย่างไรให้เกิดโครงสร้างการเลี้ยงหมูของเกษตรรายย่อย ในพื้นที่ต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยผู้เลี้ยงหมูที่ล้มหายไปไม่น้อยกว่า 200,000 ราย เพื่อทำให้ไม่เกิดการผูกขาดและการกำหนดราคาที่ขึ้นอยู่กับบริษัทขนาดใหญ่หรือผู้เลี้ยงรายใหญ่เท่านั้น ดังปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน โดยผู้บริโภคก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในการที่จะทำให้เกิดกระบวนการเลี้ยงหมูที่ปลอดภัย ลดการใช้ยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นต้นตอของโรคในหมู ต้นตอของความไม่ปลอดภัยและเป็นสาเหตุสำคัญของเชื้อดื้อยาในมนุษย์ในท้ายที่สุด         บทบาทของหน่วยงานรัฐและหน่วยงานในระดับท้องถิ่นต่างๆที่เกี่ยวข้อง จะทำให้เกิดการสนับสนุนการเลี้ยงหมูแบบธรรมชาติที่รู้จักกันในนามหมูหลุม และผู้บริโภคจะสนับสนุนสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร         ส่วนปัญหาโครงสร้างราคาที่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ว่า ราคาหมูเป็น 120 บาทต่อกิโลกรัม แต่เมื่อเป็นเนื้อหมูทำอาหารทำไมต้องกำหนดราคาเป็นสองเท่าของหมูเป็น และปัญหาวัตถุดิบในการเลี้ยงหมูซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของเกษตรกร นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับต้นทุนการเลี้ยงหมูในต่างประเทศ ความเป็นธรรมของราคาต่อผู้บริโภคและคุณภาพชีวิตของเกษตรกร จะมีการจัดการอย่างเป็นระบบอย่างไร

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 249 “ผู้ประกันตนกับบำนาญชราภาพ”

        องค์กรผู้บริโภคเสนอประกันสังคม จ่ายบำนาญชราภาพแบบเดิมและอาจเตรียมเกษียณอายุ 60 ปี สำหรับผู้ประกันตนรายใหม่การริเริ่มของประกันสังคมที่จะยกเลิกการจ่ายบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตนที่อายุ 55 ปี โดยเลื่อนการจ่าบำนาญชราภาพเมื่ออายุ 60 ปีแทนกลุ่มผู้บริโภคมองว่าเรื่องนี้เมื่อสำนักงานประกันสังคมมีสัญญาที่ตกลงไว้กับผู้ประกันตนว่าจะ        สามารถเกษียณอายุได้ที่อายุ 55 ปีและหากส่งเงินสมทบประกันสังคมไม่น้อยกว่า 180 เดือนหรือ 15 ปีจะได้รับบำนาญชราภาพประมาณ 3,750บาทต่อเดือน หรือหากส่งเงินสมทบในฐานะผู้ประกันตน 20 ปีก็จะได้รับเงินอยู่ที่ประมาณ 4,125 บาท         สิ่งที่สำนักงานประกันสังคมควรจะดำเนินการซึ่งทุกฝ่ายเห็นด้วยก็คือ การขยายเพดานวงเงินสูงสุดของผู้ประกันตนที่สมทบจาก 15,000 บาทเป็น 20,000 บาท แต่หากเปรียบเทียบกับเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าสัญญาเดิมที่ทำไว้กับผู้ประกันตนก็ควรจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนเป็นผู้มีสิทธิในการเลือกว่าจะรับบำนาญที่อายุ 55 ปี หรือ 60 ปี ซึ่งควรเป็นการตัดสินใจของผู้ประกันตนที่จะเลือกสิทธิของผู้ประกันตนนั้นด้วยตัวเอง แต่หากประกันสังคมจะปรับให้จ่ายคืนบำนาญที่อายุ 60 ปีก็ควรดำเนินการกับผู้ประกันตนใหม่หรืออาจจะดำเนินการอย่างเป็นระบบสอบถามความสมัครใจในการที่จะเลือกสำหรับผู้ประกันตนรายเดิมส่วนรายใหม่ก็จัดการปรับแก้กฎหมายให้ชัดเจน ให้จ่ายเงินบำนาญชราภาพที่ 60 ปี ซึ่งอาจจะส่งผลดีก็คือทำให้บริษัทเอกชนทั้งหลายอาจจะต้องยืดระยะเวลาการจ้างงานจาก 55 ปีเป็น 60 ปีแทนที่ในปัจจุบันบริษัทเอกชนใช้วิธียุติการจ้างเมื่อครบอายุ 55 ปี แล้วให้ลูกจ้างไปรับเงินประกันสังคมแล้วอาจจะทำสัญญาจ้างใหม่อีกรอบซึ่งทำให้ลูกจ้างเสียสิทธิต่างๆอีกหลายอย่าง         แต่ไม่ว่าจะดำเนินการอย่างไรสำนักงานประกันสังคม ควรจะสอบถามผู้ประกันตนอย่างเป็นระบบเพราะผู้ประกันควรมีสิทธิเลือกและช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ         สิ่งสำคัญในการปฏิรูปประกันสังคมอีกส่วน คือ การปรับลดสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน เรื่องการรักษาพยาบาล เพราะในปัจจุบันรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ เช่น งบประมาณในการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคสำนักงานประกันสังคมควรเร่งพัฒนาเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์และลดการจ่ายเงินในส่วนบริการสุขภาพหรือยุติการจ่ายเงินในส่วนสุขภาพในที่สุดเพราะรัฐบาลควรรับผิดชอบผู้ประกันตนเช่นเดียวกับผู้ป่วยในระบบบัตรทองหรอระบบสวัสดิการข้าราชการซึ่งจะทำให้ผู้ประกันตนมีโอกาสได้รับ

อ่านเพิ่มเติม>

ความคิดเห็น (0)